หลายๆท่าน เวลาไปร้านอาหารญี่ปุ่น คงจะเคยเห็นตุ๊กตาเจ้าแมวน้อย ทำท่ากวักมือ คอยเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน อีกมือหนึ่งก็ถือเงินไว้ ซึ่ง ต่อให้ไม่รู้วัฒนธรรมญี่ปุ่นเลย ก็คงเดาออกว่า เจ้าแมวน้อยนี่ มีหน้าที่เรียกลูกค้าเข้าร้าน เหมือนนางกวักของบ้านเรา จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกว่า แมวนางกวัก
บล๊อกเกี่ยวกับเรื่องดนตรี และเรื่องไร้สาระอื่นๆโดยทั่วไป มักจะบล๊อกเป็นภาษาไทย แต่ก็บล๊อกเป็นภาษาอังกฤษบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง ตามอารมณ์
Wednesday, December 28, 2011
Friday, December 16, 2011
ที่มาของชื่อตัวละครใน นารูโตะ
Wednesday, December 7, 2011
แสงไฟ ความมืด ความเหงา โตเกียว และกรุงเทพ
ช่วงนี้ ความสุขอย่างหนึงของผมคือ การขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจไปตามท้องถนนในกรุงเทพตอนกลางคืน ซึ่งก็ไม่ใช่มอเตอร์ไซค์หรููอะไรหรอกครับ แค่ GTO มือสองที่เอามาแต่งแบบเรโทรให้คล้ายกับ Z400 ที่ผมชื่นชอบนั่นเองครับ ซึ่งที่ผมโปรดปรานการซิ่งตอนกลางคืน ไม่ใช่เพราะว่าอยากทำตัวแวนต์หรืออะไร แต่เป็นเพราะว่า อากาศที่เย็นสบาย ถนนที่โล่ง และความสุขของการขับรถมอเตอร์ไซค์ใต้แสงไฟนีออนที่หลงไหลเพราะเพลง Motorcycle Emptiness ที่กรอกหูตัวเองมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เพราะมันมีความเหงาแฝงอยู่ในความมืดที่ๆแสงไฟส่องไปไม่ถึงอยู่เสมอ
และการซิ่งตอนกลางคืนกลับทำให้ผมนึกถึงอดีตสมัยอยู่ที่ญี่ปุ่นได้อย่างน่าประหลาดใจ ทั้งๆที่ผมไม่เคยซิ่งมอเตอร์ไซค์ตอนอยู่ที่นั่นเลยแท้ๆ อาจจะเป็นเพราะว่าตอนที่อยู่ที่นั่น ผมปั่นจักยานบ่อยมาก และบางครั้งก็ปั่นเป็นระยะทางไปกลับเกิน 10 กิโล เพื่อที่จะไปหาแฟนเท่านั้นเอง แต่บรรยากาศของการฝ่ายสายลมท่ามกลางแสงไฟตอนกลางคืน คือความสุขที่ผมหลงไหลมาก
Sunday, December 4, 2011
Mogwai Live in Bangkok
หลังจากคนกรุงพารานอยด์เรื่องน้ำท่วมไประยะหนึ่ง ในที่สุด ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น แม้รอบนอกยังมีน้ำท่วมอยู่ แต่ก็เหมือนกับหลายๆคนจะลืมๆไปแล้ว อย่าพึ่งรีบลืมครับ วันที่ 2 ธค. นี้มีคอนเสิร์ตดีๆ ก็สนุกกับคอนเสิร์ตแล้วก็กลับไปหาทางช่วยคนที่ยังลำบากต่อไปก่อนดีกว่าครับ
ตอนแรกที่ได้ยินข่าวว่า Mogwai จะมา ก็ดีใจนะครับ เพราะว่าแม้จะไม่ได้เ)นแฟนอะไร แต่มีคอนเสิร์ตดีๆมาให้ดู สำหรับผมแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเสมอครับ โดยเฉพาะงานนี้ที่เป็นวง Mogwai วงโพสต์ร๊อคฝีมือดีจากอังกฤษ ทำให้เพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก และยิ่งมีคนมาแนะนำให้ได้รู้จักวง toe วงญี่ปุ่นที่จะมาเล่นเปิดให้ พอได้หามาลองฟังแล้ว ยอมรับฝีมือเลยครับ ยิ่งทำให้ความอยากไปดูเพิ่มมากขึ้นอีก
สถานที่จัดงานคราวนี้คือ Moonstar Studio ที่ลาดพร้าว 80 ซึ่งก็สะดวกสำหรับผมเพราะอยู่ใกล้ๆบ้านของตัวเองดี ซิ่งมอเตอไซค์คู่ชีพไปแป๊บเดียวก็ถึง ผมค่อนข้างจะสนใจแนวคิดเอาสตูดิโอถ่ายละครมาทำเป็นที่จัดคอนเสิร์ตขนาดนี้ เพราะไม่ใหญ่เกินไป ทำให้ได้ใกล้ชิดวงดนตรี แต่ปัญหาอย่างแรกคือ อยู่ลึกเกินไป คนไปลำบาก ยังต้องคิดถึงตอนกลับอีกนะครับ
พอไปถึงงาน คนเยอะกว่าที่คิดไว้มากครับ ไม่นึกว่าจะมีแฟนเพลงมาเยอะขนาดนี้ แถมชาวต่างชาติก็ไม่ได้เยอะแบบถล่มทลายแบบคอนเสิร์ตที่ผ่านมาอย่าง The Charlatans แต่ก็ได้เจอกับคนเกาหลีที่มุ่งมั่นจะมาดูมากๆเพราะเป็นแฟน Mogwai ผมกับเพื่อนั่งซดเบียร์รอซะหน่อย ก็เข้าไปในฮอล์โดยผ่านการเบียดเข้าประตูที่เล็กพอๆกับประตูห้องนอนผม
Monday, November 28, 2011
Mogwai โพสต์ร๊อคบุกไทย
หลังจากความมันในคอนเสิร์ต X-Japan และการเลื่อนคอนเสิร์ตของ Pitbull ไป หลายๆคนคงจะนึกว่า ปีนี้คงจะไม่มีคอนเสิร์ตเจ๋งๆให้ได้ดูแล้ว แต่จริงๆแล้ว ยังมีอีกงานนึงเหลืออยู่ และเหมาะสำหรับคนที่อยากชื่นชอบเสียงดนตรีอย่างมากครับ เพราะมันคือคอนเสิร์ตของวงโพสต์ร๊อคที่เปี่ยมประสบการณ์อย่าง Mogwai (มอกไกว)
Mogwai คือวงโพสต์ร๊อคที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 ที่ประเทศสก๊อตแลนด์โดยมีสมาชิกคือ Stuart Braithwaite (สจ๊วต กีตาร์ ร้องนำ) Dominic Aitchison (โดมินิค เบส) Martin Bulloch (มาร์ติน กลอง) John Cummings (จอห์น กีตาร์) Barry Burns (แบรี่ สารพัด) โดยเรียกตัวเองว่า Mogwai โดยมาจากคำภาษาจีนที่แปลว่าปีศาจ (ไม่ใช่ไอ้ตัวน่ารักๆในเรื่อง Gremlins นะครับ) ซึ่งโทนเพลงของพวกเขาเป็นการผสมผสานกันของวงพังค์รุ่นดั้งเดิมอย่าง MC5 และ Fugazi กับวงรุ่นหลังอย่าง My Bloody Valentine และ Sonic Youth ซึ่งพวกเขาผสานแนวเพลงสารพัดตั้งแต่เสียงกีตาร์แตกพร่าอย่างชูเกซ การเรียบเรียงอย่างซับซ้อนของ Math Rock และความหนักหน่วงของเมทัลเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นเพลงโพสต์ร๊อคที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความซับซ้อน เป็นเพลงบรรเลงที่สลับระหว่างความหนักและเบา เสียงและช่องว่าง เมโลดี้ของไลน์เบส และแผงเอฟฟคต์สารพันที่จะสร้างเสียงที่ไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากกีตาร์ได้ และเพลงของพวกเขาโดยมากแล้วเป็นเพลงบรรเลง ซึ่งสมาชิกก็ให้เหตุผลว่า เพราะคนจะได้ร้องตามไม่ได้ จะได้โฟกัสไปที่ดนตรีได้อย่างเต็มที่ครับ
Saturday, November 26, 2011
Twilight Saga: Breaking Dawn Part 1 OST
กลับมาอีกรอบครับ กับหนังเรื่องดังในหมู่สาวๆ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่สนใจจะดูหรอกครับ เพราะเท่าที่อ่านดู ก็ไม่น่าจะมีอะไรให้สนใจได้ แค่สาวคนเดียว ทำตัวเป็นนางวันทอง ไม่รู้จะเลือกผีดูดเลือด หรือหมาป่าดี กลับทำซะยาวเชียว (เอานะ คำสาปฟาโรห์ยาวกกว่าเยอะ) แต่มองอีกมุม สาวๆมีหนังอย่างนี้ให้กรี้ด ก็ดีครับ เพราะสาวๆเค้าทนหนุ่มๆเพ้อเรื่องหนังอย่างสตาร์วอร์ อินเดียนน่าโจนส์กันมานาน งานนี้ สาวๆก็มีหนังชุดยาวให้กรี้ดบางล่ะ
Coldplay – Mylo Xyloto
การกลับมาของวงที่ยิ่งใหญ่ระดับ Gigantic อย่าง Coldplay ไม่เคยเป็นเรื่องธรรมดาครับ หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากกับอัลบั้มก่อน Viva la Vida ทำให้อัลบั้มชุดนี้ถูกคาดหวังอย่างมาก
และเมื่อพวกเขาเปิดตัวซิงเกิ้ลแรก Every Teardrop Is A Waterfall ก็ทำให้โลกต้องฮือฮาด้วยกระแสที่มาแรงเป็นอย่างมาก และคงไม่ทำให้หลายๆคนที่รอคอยผิดหวัง เพราะมันคือเพลงในแบบที่โคลด์เพลย์ถนัดอยู่แล้ว ด้วยจังหวะที่เร่งเร้า กับเสียงกีตาร์ที่ดีดไล่ไปตามเพลงตลอด ทำให้ผมต้องอดนึกไปถึงวงที่พวกเขาพยายามไล่ตามอย่าง U2 ในยุค Joshua Tree จริงๆ
สู้ต่อไป ลูเชียส
กลับมาแนะนำการ์ตูนอีก แต่งานนี้ ไม่ใช่งานที่ผมแปลเองครับ (แต่ก็เกือบได้แปล บก.โยนมาให้ แต่ไม่เอา เพราะขี้เกียจค้นคว้าข้อมูล 55 นักแปลที่โคตรขี้เกียจจริงๆ) เรื่อง “สู้ต่อไป ลูเชียส” ที่เป็นการ์ตูนที่กำลังโด่งดังในญี่ปุ่นตอนนี้
ดูจากปก กับชื่อเรื่องแล้ว คงงง ว่ามันจะเกี่ยวกับอะไร จริงๆแล้วชื่อเรื่องญี่ปุ่นคือ テルマエ・ロマエ หรือ Thermae Romae ซึ่ง Thermae ก็คือโรงอาบน้ำในอาณาจักรโรมันนั่นเอง แต่ทำไม รูปปั้นโรมันบนปกถึงได้ถือกาละมังแบบญี่ปุ่นล่ะ
ตัวละครเอกของเรื่องนี้คือ ลูเชียส วิศวกรที่มีแนวคิดเฉพาะของตัวเองในยุคโรมันสมัยพระเจ้าฮาดริอานุส เขากำลังถึงช่วงตกต่ำเพราะว่าคนที่ว่าจ้างไม่ชอบงานสไตล์เรโทรของเขาที่ย้อนเทรนด์กลับไป 100 ปี ระหว่างที่เขาปวดหัวว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี เขาก็เข้าไปอาบน้ำในโรงอาบน้ำ และก็เจอโพรงลึกลับ ที่ทำให้จู่ๆ เขาก็หลุดมาในโรงอาบน้ำแบบญี่ปุ่น หรือ เซ็นโต ในยุคปัจจุบัน ซึ่งเขาเองคิดว่าเป็นโรงอาบน้ำของเหล่าทาสจากประเทศ “ไร้ดั้ง” เป็นพวกป่าเถื่อน แต่ลูเชียสก็ต้องตกใจว่าทำไม “ทาส” ถึงได้มีพัฒนาการเรื่องการอาบน้ำที่เด็ดดวงขนาดนี้ จนเขาได้แต่ตะลึงกับสิ่งต่างๆรอบๆตัว กระทั้งนมรสผลไม้ที่ได้ดื่มหลังจากแช่น้ำมาหมาดๆ แต่เมื่อเขาหมดสติ เขาก็กลับมายังยุคของเขา เขาก็นำเอาความรู้ที่ไ้ดจากญี่ปุ่น มาพัฒนา (ลอกนั่นล่ะ) โรงอาบน้ำรูปแบบใหม่สำหรับชาวโรมัน ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก จนทำให้เขากลายเป็นวิศวกรชื่อดัง และเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางบนเส้นทางวิศวกรโรงอาบน้ำที่จะทำให้เขาได้เจอกับการเดินทางข้ามมิติมาเจอกับพัฒนาการอันล้ำเลิศของประเทศบ้าแช่น้ำร้อนอย่างญี่ปุ่น
อย่างที่เล่ามา แม้กจะดูจริงจัง แต่จริงๆแล้วเรื่องนี้เป็นการ์ตูนแก๊กผลงานของ ยามาซากิมาริ ที่กำลังโด่งดังในตอนนี้ เพราะนอกจากความฮาแบบลึกๆจากความเปิ่นของลูเชียสที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรแล้ว ยังเป็นความภูมิใจเล็กๆของชาวญี่ปุ่น ที่โรมันยังต้องมาเลียนแบบเลยนะ (ฮา) แถมยังแหวกแนวแบบสุดๆด้วยสิ จนตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในมังงะสำหรับผู้ใหญ่ ที่ขายดีติดแผงที่ญี่ปุ่น และถึงกับกลายเป็นภาพยนต์ฉบับคนแสดง ที่ได้ อาเบะ ฮิโรชิ ดาราเจ้าบทบาท (เราเคยเห็นเขาในเรื่อง ช๊อคโกแลต นั่นล่ะครับ) มารับบทเป็น ลูเชียส อีกด้วย ไปกันใหญ่ล่ะครับ เรื่องนี้ ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นพึ่งออกมา 3 เล่ม ของไทยเรา ออกมาเล่มนึงแล้ว ลองหามาอ่านกันดูครับ ไม่เสียหลายแน่นอน
Monday, November 14, 2011
X-Japan ยิ่งใหญ่สมใจแฟนๆ
และแล้ว วันที่วง x-Japan อันเป็นที่รักยิ่งของชาวไทยทั้งหลายก็มาเปิดคอนเสิร์ตทันที ไม่เกริ่นยาวครับ เปลืองพื้นที่
วันที่ 7 เป็นวันที่ทางวงมาถึงไทย และก็ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวรอบดึก ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ตกใจนะครับ ที่ได้เห็นคนระดับนั้นใกล้ๆ เสียดายที่โทชิ ไม่มาด้วยเพราะไม่สะดวก คำถามโดยรวมก็พูดถึงความสัมพันธ์กับเมืองไทย โยชิกิให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ บอกว่าดีใจที่ได้มาเมืองไทย และเสียใจกับเหตุการณ์น้ำท่วม แต่ว่า The Show Mus Go On และจะเล่นให้เต็มที่ สมกับที่แฟนเพลงคาดหวัง (แม้จะกดดันหน่อย) และพวกเขาก็ได้บริจาคเงินช่วยเหลือน้ำท่วมถึง 500,000 บาท และยังมอบของส่วนตัวให้กับช่อง 3 เพื่อไปประมูลกาเงินช่วยน้ำท่วมอีกด้วย (เท่แล้วยังใจดี)
Monday, November 7, 2011
X-Japan Live in Bangkok Press Conference
ในที่สุด วันนี้ก็มาถึงครับ วันแถลงข่าวคอนเสิร์ต X-Japan ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในบ้านเรา ครับ ถึงจะเริ่มช้าหน่อย แต่นักข่าวก็หนาแน่นครับ แถมยังใจดี ให้ถ่ายรูปได้อีกต่างหาก คิดถูกกที่เตรียมกล้องไปด้วยครับ
ตามกำหนดการณ์ การแถลงข่าวจะเริ่มตอน 21.30 แต่ก็เลตนิดนึงครับ แต่ก็ไม่มาก เริ่มแรกได้ดู VTR ก่อน ก่อนที่พิธีกรจะเปิดตัวศิลปินครับ
ตอนเปิดตัว ทีแรกผมก็ลุ้นว่าจะเหมือนวง Green Day ที่เดินมาจากหลังห้อง ผ่ากลางนักข่าวเลย แต่ครั้งนี้ มาจากหลังเวทีครับ คงจะกลัวนักข่าวกึ่งแฟนตะคองเข้ากอดซะก่อน (ฮา) ซึ่งก็ค่อยทะยอยออกมา จากที่สังเกตเห็นเก้าอี้แค่สี่ตัว ก็๋เลยงงว่า ขาดใครไป พอเห็นคนที่ขึ้นมาคือ Pata, Heath, Yoshiki และ Sugizo ก็เป็นที่เข้าใจว่า Toshi ไม่มาร่วมสัมภาษณ์ครั้งนี้ โดยให้เหตุผลว่าไม่สะดวกครับ ทุกคนก็เริ่มทักทายด้วยการสวัสดีแฟนๆแบบไทยๆ เอาใจแฟนได้น่ารักดีครับ
Sunday, November 6, 2011
Anamanaguchi: พังค์ร๊อค8บิต
เนื่องจากสภาพน้ำท่วมแบบนี้ ผมเองก็ลำบากใจที่จะเขียนคอลัมน์เหมือนกัน เพราะว่า ไม่รู้จะบิวด์อารมณ์ให้รื่นเริงได้อย่างไร ลำบากไม่เบาครับ ไหนๆก็ต้องเขียนแล้ว ครั้งนี้ ขอแนะนำวงร๊อคที่แหวกแนว ต่างไปจากวงอื่นหน่อย เพราะพวกเขา ทำเพลงร๊อคโดยใช้อุปกรณ์หลักคือ เครื่องเกม8บิตอย่างแฟมิคอม และ เกมบอยที่คนวัย 25 อัพต้องคุ้นเคยอย่างแน่นอนครับ พวกเขาคือ Anamanaguchi
พูดถึงเครื่องเกมทั้งสอง ผมเองที่เป็นคนที่โตมากับยุคเครื่องเล่น 8 บิต ก็ต้องบอกตรงๆว่า พอมาฟังเพลงของเกมแต่ละเกมในตอนนี้ มันช่างมีสเน่ห์จริงๆครับ เชื่อว่าหลายคนที่โตมาในยุคเดียวกัน ต้องจำเพลงประกอบของเกมดังๆทั้งหลายได้ อย่างน้อยที่สุด ก็ต้อง Super Mario ล่ะครับ ไม่น่าเชื่อว่า นักสร้างเกมยุคนั้น สามารถสร้างเพลงที่ติดหูได้ขนาดนี้ ทั้งๆที่มีข้อจำกัดมากมายเหลือเกิน แต่กลับสร้างเพลงที่ได้บรรยากาศขนาดนั้น ลองหลับตานึกถึงความรู้สึกตอนเจอบอสแล้วเพลงประกอบเปลี่ยนสิครับ อย่างตื่นเต้นเลย คนที่เคยผ่านช่วงเวลานั้นมา ไม่ว่าใครก็ต้องตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงนั้นแน่นอน
Wednesday, October 19, 2011
จาก “FWD Mail” สู่ “กดแชร์” และ “รีทวีต” เทคโนโลยีเปลี่ยนไปแต่การใช้งานไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ซึ่ง ก็เป็นภาพและข้อความที่ได้รับการแชร์วนไปมาไม่น้อย ซึ่ง ผมเองก็คิดว่า ไม่แปลกอะไร เพราะเรามักจะได้อ่านเรื่องราวของท่านในลักษณะนี้อยู่เสมอ (เช่นใน Fwd Mail ที่ส่งกันไปมาหลายครับ) และครั้งนี้ ก็เป็นอีกครั้ง ที่ท่านทรงภารกิจเป็นการส่วนพระองค์ แต่ที่ผมงงคือ แล้วผุ้ที่เอามาแชร์ ทราบได้อย่างไร และ ทำไมถึงมีภาพ
เรื่องราวมาถึงบางอ้อ เมื่อ ภาพที่ว่า มากจากที่นี้เองครับ
พระเทพโปรดเกล้าฯ พระราชทานพันธุ์ข้าว แจกจ่ายให้เกษตรกร
จริงๆแล้วเป็นภาพข่าวจากปีก่อน ที่ท่านทรงพระราชทานพันธุ์ข้าว กลายเป็นว่า ภาพกับเนื้อหา เป็นคนล่ะเรื่องไป ลดความน่าเชื่อถือของข้อมูลไปครึ่งหนึ่ง และยิ่งไม่มีข่าวอย่างเป็นทางการ เราเองก็ไม่สามารถบอกอะไรได้เลย กลายเป็นอีกครั้งที่ เราแชร์ข้อมูลที่ไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้ หวังว่า ครั้งนี้ คงจะไม่ไประคายเคืองเบื้องสูง ถึงกับสำนักพระราชวังต้องออกมาแถลงข่าวอีกนะครับ
กรณีที่ 3 กรณียิ่งลักษณ์ขี้เมา
กรณีนี้ เป็นอีกด้านหนึ่งของโลกออนไลน์ครับ จะว่าเป็นด่านมืดก็ว่าได้ โดยต้นตอมาจาก ภาพๆนี้ครับ
โดยมีการบรรยายประกอบว่า นี่คือภาพนายกยิ่งลักษณ์ ยกเหล้ากรอกปากสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัย และด่าสาดเสียเทเสีย
จริงๆแล้ว ถ้าเป็นเรื่องในอดีต ผมว่า มันไม่ใช่เรื่องอะไรเลยนะครับ ประธานธิปดีอเมริกาอย่างโอบาม่ายังยอมรับว่าพี้กัญชาสมัยเรียนเลย คนครับ อายุน้อย ทำอะไรก็มีโอกาสพลาด แต่ ประเด็นมันไม่ใช่ตรงนั้นครับ
นี่คือตัวอย่างของ Hate Speech โจมตีเรื่องส่วนตัวของบุุคคลสาธารณะ โดยใช่วิธีการใดก็ได้ที่จะสร้างความน่ารังเกียจให้เกิดกับบุคคลดังกล่าว และอีกประเด็นคือ นี่คือ นายกยิ่งลักษณ์ในอดีตหรือไม่
คำตอบคือ ไม่ และที่มาคือ ลิงค์นี้ครับ คลิก มันคือภาพจากเว็บรวมภาพสาวฟิลิปปินส์ ซึ่งหยิบมาภาพเดียวที่ดูคล้ายนายก (ดูที่เหลือสิครับ เหมือนมั้ย) และเอามาโจมตี ทั้งๆที่ไม่ใช่เจ้าตัวเลยแท้ๆ นี่คือตัวอย่างของการใช้วิธีสกปรกสาดเสียเทเสียบุคคล โดยไม่ได้คิดเลยว่า วิธีที่ตัวเองใช้นั้นคือ อวิชชา ที่สกปรกจริงๆ แน่นอครับว่า คนทำก็รู้ตัวอยู่แก่ใจว่า กำลังโกหกอยู่ แล้วคุณล่ะครับ จะร่วมขบวนคนโกหกไปกับพวกเขาหรือไม่
กรณีที่ 4 ทำเป็นหน้าเศร้า แต่ที่แท้ ก็ระรื่นเฮฮา
กรณีนี้ ก็กำลังมาแรงครับ โดยบอกว่า ดูนายกสิ ทำเป็นลุยงานหนัก แต่เอาเข้าจริงๆ ก็กระดี้กระด้า ไม่ได้มาสามัญสำนึก (ดูรูปประกอบ)
จริงๆแล้ว รูปนี้ ถ้าใช้สมองคิดซักหน่อย ไม่ได้ถูกบังตาโดยความเกลียดชัง จะสังเกตได้ว่า
1. พื้นที่่เป็นป่า ไม่น่าจะใช้พื้นที่ประสบภัยตอนนี้
2. ชุดที่ใส่ ไม่ใช่ชุดที่ใส่เป็นปกติในตอนรับตำแหน่ง แต่ดุคล้ายตอนหาเสียง
3. เวลาขึ้นฮ.สั่งงาน ปกติจะเป็นเครื่องขนาดใหญ่ ที่นั่งคุยแผนงานได้มากกว่าเครื่องขนาดเล็กที่ต้องนั่งติดเก้าอี้แบบนี้
ซึ่งพอเอาเข้าจริงๆ ค้นหาซักหน่อย ก็เจอครับ คลิก ว่าเป็นภาพตั้งแต่สมัยหาเสียง และไปถ่ายที่เชียงใหม่นู่นครับ แต่ชมรมคนเกลียดก็ด่ามันปากไปล่ะ
จาก 4 ตัวอย่างที่ผมยกมาให้เห็น ทำให้เข้าใจได้เลยว่า แม้เทคโนโลยีจะเปลี่ยนไป แต่ถ้าเราไม่เคยคิด ไม่เคยตรวจสอบ แชร์ หรือ รีทวีต แบบอัตโนมัติ ไม่ต่างจากการทำงานของกล้ามเนื้อแบบรีเฟลกซ์ ผ่านแต่สันหลัง ไม่ผ่านสมอง มันมีแต่จะทำให้เสียกับเสียครับ
จริงๆ เรื่องภาพนี่ เทคโนโลยีใหม่ของอากู๋ กูเกิ้ลอย่าง Search by Image ของ Google Image มันเทพมากนะครับ แค่ลากรูปที่เราอยากรู้ว่ามาจากไหน ไปใส่ใน Searchbox ก็เจอแล้ว ดังนั้น ลองหาดูเองมั่งก็ได้ครับ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของ “นักขุดรูปเก่า เล่านิทานลวง” ได้ครับ และที่สำคัญ
ปล. ผู้เขียนใช้ Facebook ในการติดต่อกับเพื่อนเป็นหลัก ถ้าต้องการติดตาม ที่ twitter.com/souljackaz ดีกว่าครับ
Monday, October 17, 2011
Jack’s Mannequin เปียโนร๊อคเนียนๆ
ยุคนี้จะหาวงร๊อคที่เน้นเปียโนเป็นหลักนี่ยากเอามากๆนะครับ แม้บางวงจะเล่นเปียโนประกอบไปบ้างอย่างโคลด์เพลย์ แต่ถ้าจะเอาแบบเน้นเปียโนเป็นหลักไปเลยอย่าง Ben Fold Five นี่ ก็ไม่ค่อยมีง่ายๆ อีกวงหนึ่งที่เป็นทำเพลงป๊อปแบบแท้ๆได้ยอดเยี่ยมอย่าง Catch ก็หายไปเรียบร้อยแล้ว แต่วงหนึ่งที่ผสมเสียงเปียโนเข้ากับเพลงร๊อคได้อย่างลงตัวจนกลายเป็นจุดเด่นของวงคือ Jack’s Mannequin
Jack’s Mannequin เดิมที่เป็นโปรเจ็คต์ชั่วคราวของ Andrew McMahon (แอนดริว ร้องนำ เปียโน) นักร้องของSomething Corporate วงพังค์จากย่าน Orange County ซึ่งตัว Andrew ได้แต่งเพลงขึ้นมาในระหว่างที่พักทัวร์ แต่เขารู้สึกว่า มันไม่เหมาะที่จะเป็นเพลงของ Something Corporate และเมื่อแยกห่างจากเพื่อร่วมวงมากกว่าเดิมกว่าเดิม เขาก็เริ่มแต่งเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวมากขึ้น จนมันแยกห่างจากงานเพลงของวงหลัก เขาชอบมันมากถึงกับลงทุนจ่ายเงินค่าโปรดัคชั่นในการอัดเพลงเองเป็นเงินถึง 40,000 เหรียญ แต่ก็คุ้มค่าเพราะมันทำให้เขาได้สัญญากับค่ายเพลง Mavericks
Monday, October 10, 2011
SBTRKT
SBTRKT (อ่านว่า Subtract) คือโปรเจ็คต์เพลงเต้นรำของ Aaron Jerome ศิลปินและโปรดิวเซอร์จากเกาะอังกฤษที่เคยผ่านงานรีมิกซ์เพลงให้กับศิลปินหลากหลายราย เช่น M.I.A., Underworld, Mark Ronson และ Radiohead ก่อนที่จะหันมาทำผลงานเพลงของตัวเอง จริงๆแล้ว เขาแทบไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเท่าไรนัก และสวมหน้ากากชนพื้นเมืองเสมอ เพื่อให้คนสนใจกับดนตรีมากกว่าที่จะสนใจกับตัวตนของเขา และหลังจากหลายงานรีมิกซ์ และซิงเกิ้ลที่ทำให้เป็นที่สนใจ เขาก็ได้ออกอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับชื่อตัวเองเลย
Example
หนึ่งในศิลปินเพลงเต้นรำอีกรายที่กำลังมาแรงในปีนี้ Example คือ Elliot Gleave ที่ชื่อย่อ E.G ที่หมายถึง ยกตัวอย่าง ในภาษาลาตินเป็นที่มาของชื่อ Example
Example เติบโตขึ้นมาในลอนดอนและเริ่มต้นแร๊พเนื่องจากความประทับใจในศิลปินแร๊พระดับตำนานอย่าง Wu-Tang Clan และ Snoop Dogg และเข้าแข่งแร๊พในท้องถิ่น และยังชนะประกวดกลอนโดย Royal Mail อีกด้วย พอเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็เริ่มทำงาน MC ก่อนะได้เจอกับ Rusher ที่จะกลายมาเป็นเพื่อนร่วมงานของเขาต่อไป
Sunday, October 2, 2011
ผมกับเมี้ยวหง่าว
การ์ตูนเล่มใหม่ล่าสุดที่ผมแปลอีกเล่มครับ “ผมกับเมี้ยวหง่าว” หรือชื่อญี่ปุ่นคือ Ore to Nekonyan เป็นการ์ตูนสั้นๆ ตอนละหกเจ็ดหน้าก็จบ เป็นเรื่องของประสบการณ์การเลี้ยงแมวของนักเขียนการ์ตูน ซึ่งเมื่อเป็นประสบการณ์ตรง ก็ได้ความขำ และฮาไม่เบาครับ เพราะว่า บ้าพอกัน ทั้งคนทั้งแมว ฝ่ายคนก็บ้าแมวมาก แมวทำอะไรก็ไม่ผิด ส่วนแมว ก้เป็นแมวนั่นล่ะครับ เอาแต่ใจ ตามประสามัน ภาพออกจะดูเหมือนธรรมดาๆ แต่ก็เหมาะกับเรื่องสบายๆแบบนี้ล่ะครับ แมวดูเหมือนจะน่ารัก แต่ตอนมันทำตัวน่ากลัวก็ไม่เบานะ อ่านแล้วอยากเลี้ยงแมวขึ้นมาเหมือนกันล่ะครับ ตอนนี้พึ่งออกเล่มแรก ส่วนที่ญี่ปุ่นพึ่งออกได้สองเล่มครับ
Saturday, October 1, 2011
Korea Invasion กิมจิราวีปลาดิบ
เมื่อปีก่อน ผมก็เขียนเรื่องวงการเพลงเกาหลีบุกไทยมาแล้ว และแย๊บไปที่ญี่ปุ่นนิดนึง แต่ตอนนี้ ผมคงจะต้องขอเขียนถึงวงการบันเทิงญี่ปุ่น กับกระแสเกาหลีหน่อยล่ะครับ เพราะว่า หลังๆมานี่ สถานการณ์เข้มข้นเสียจริงๆครับ
อย่างที่ผมเคยเขียนไปแล้วว่า กระแส ฮันริว (ฮัน คือ อักษรจีนที่หมายถึงเกาหลี ส่วนริวหมายถึงกระแส) เริ่มต้นในตอนที่เรื่อง Winter Sonata ละครรักเกาหลีเข้าไปครองดวงใจของป้าๆชาวญี่ปุ่น เพราะมันทำให้เพ้อไปถึงความรักอันแสนบริสุทธิ์ได้ และรอยยิ้มพิมพ์ใจของแป ยอง จุน ก็ทำให้ป้าทั้งหลาย แทบละลายไปเลยทีเดียว หลังจากนั้น ความเข้มข้นของ แด จัง กึม (ที่ญี่ปุ่นเรียก จองกึม) ก็เป็นที่นิยมไปทั่วญี่ปุ่นอีกรอบ แต่ว่า เรื่องเพลงน่ะ ตามมาทีหลังครับ
Monday, September 26, 2011
David Guetta ใครว่าทำเป็นแต่เพลงตลาด
ถ้าจะไล่เรียงชื่อดีเจชื่อดังในโลกตอนนี้ แน่นอนว่า พลาดไม่ได้ที่จะใส่ชื่อของ David Guetta ดีเจและโปรดิวเซอร์เพลงแดนซ์จากฝรั่งเศษที่ประสบความสำเร็จในวงกว้างอย่างงดงามจริงๆครับ เพราะตอนนี้ถ้าไปเที่ยวคลับ คงไม่พลาดที่จะได้ฟังเพลงแดนซ์ที่ติดหูจริงๆของเขาครับ
David Guetta คือ หนุ่มปารีเซียง ฝรั่งเศส ที่เริ่มสนใจงานดีเจตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น และสร้างผลงานเพลงพร้อมทั้งเป็นดีเจ และดูแลคลับมาตั้งแต่ยุค ’90 และก็มีผลงานที่เป็นที่นิยมในคลับในฝรั่งเศสบ้าง ซึ่งก็เป็นโชคของเขาที่มันเป็นยุครุ่งเรืองของดนตรีเฮาส์จากฝรั่งเศสที่เบ่งบานไปทั่วยุโรปด้วยการเจาะตลาดของรุ่นพี่ระดับตำนานอย่าง Daft Punk หรือ Dimitri from Paris ซึ่งการทำงานเพลงในยุคนั้นก็ได้สร้างเสริมประสบการณ์ให้เขาก่อนที่จะเริ่มเบ่งบานตามหลังรุ่นพี่
Monday, September 19, 2011
Frank Turner – England Keep My Bones
ผลงานชิ้นที่ 4 ของชายหนุ่มผู้ขยันสร้างผลงานเพลง Frank Turner คืออดีตสมาชิกวง Post-Hardcore ชื่อ Million Dead แม้จะทำงานเพลงแบบนี้ แต่ถ้าดูแบคกราวด์ เขาก็จัดได้ว่าเป็นพวกอำมาตย์เหมือนกันนะครับ มาจากครอบครัวปู่เป็นท่านเซอร์คนรวย แถมเรียนที่อีตั้นรุ่นเดียวกับเจ้าชายวิลเลียมส์ด้วย แต่งานเพลงของเขา กลับเริ่มจากเพลงPost-Hardcore ก่อนจะมาเป็นเพลงร๊อคผสมโฟลค์และมีกลิ่นของความเป็นพังค์ ก็แปลกดีนะครับ
Red Hot Chilli Peppers – I’m with You
การกลับมาครั้งล่าสุดของวงที่ผมคุ้นเคยมานานที่สุดอีกวงนึงก็ว่าได้ครับ เพราะตอนผมเริ่มฟังเพลงใหม่ๆ เพลง Under the Bridge ของ RHCP ก็กำลังดัง และเป็นช่วงพีคของผลงานของพวกเขาก็ว่าได้ครับ เพราะว่าอัลบั้ม Blood Sugar Sex Magik ของพวกเขากำลังเป็นอัลบั้มดังอย่างมาก และประสบความสำเร็จทั้งยอดขายและเสียงวิจารณ์ในช่วงนั้นเลยทีเดียว
Monday, September 12, 2011
Story of the Year อีกความมันที่กำลังจะมาเยือน
บางที ความสุขมันก็มากันแบบติดๆจนไม่น่าเชื่อนะครับ นี่ เดี๋ยว X-Japan จะมาแล้ว แล้วยังมีข่าวว่า อีกวงหนึ่ง ที่เล่นสดได้เมามันเต็มที่อย่าง Story of the Year ก็จะมาเปิดคอนเสิร์ตที่เมืองไทย ให้ขาร๊อคได้มอชกันให้มันเลยทีเดียวครับStory of the Year คือวงจากท้องถิ่นเซนต์หลุยส์ มิซซูรี่ หลังจากที่เป็นวงท้องถิ่นมานาน โดยใช้ชื่อ Big Blue Monkey มาก่อน ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Story of the Year เพื่อว่ามีวงที่ชื่อซ้ำกันมาก่อนแล้ว จึงเลือกชื่อวงใหม่จาก EP ที่ออกมาในตอนนั้น โดยสมาชิกคือ Dan Marsala (แดน ร้องนำ) Ryan Phillips (ไรอัน กีตาร์) Philip Sneed (ฟิลลิป กีตาร์) Adam Russell (อดัม เบส) และ Josh Wills (จอช กลอง)
และเหมือนจะเป็นชื่อนำโชค เพราะหลังจากเล่นท้องถิ่น ออกผลงานแบบอินดี้ พวกเขาก็ไปเข้าตาค่าย Maverick และได้ออกผลงานชิ้นแรกในระดับประเทศชื่อ Page Avenue ในปี 2003 โดยมีซิงเกิ้ลเปิดตัวอย่าง Until the Day I Die ที่เริ่มต้นอย่างช้าๆ ก่อนที่จะกระชากอย่างเมามันให้แฟนได้สะใจ ในแนวเดียวกับวงบอดี้แสลมยุคเก่าล่ะครับ ตามมาด้วยซิงเกิ้ลที่สองอย่าง Anthem of our Dying Day ที่มาในแนวเดียวกับเพลงแรก พวกเขาเน้นอัดความหนักหน่วงเข้าไปในช่วงที่ต้องอัดอย่างเต็มสูบจริงๆครับ ส่วนอีกเพลงที่หลายคนน่าจะรู้จักคือ And The Hero Will Drown ที่อัดหนั่งหน่วงเต็มสูบตั้งแต่ต้นเพลงในแบบฮาร์ดคอร์แท้ๆ ก็ได้ไปอยู่ในเกม Need For Speed: Underground ที่ฮิตถล่มทลายนั่นล่ะครับ ทำให้ชื่อพวกเขาเป็นที่รู้จักในตลาดวงกว้างขึ้น และตัวอัลบั้มเองก็ไม่ทำให้แฟนของแนวเพลงโพสต์ฮาร์ดคอร์ผิดหวังครับ เพราะมันเต็มไปด้วยกำลังที่อัดแน่นไปทั้งอัลบั้มจริงๆครับ
Sunday, September 11, 2011
Summer Wars เรื่องวุ่น ตระกูลใหญ่
ในที่สุด การ์ตูนเรื่องที่ผมแปลอีกเรื่อง ก็ออกมาครบชุดจนได้ครับ เรื่อง Summer Wars ที่มาจากอนิเมะดังระดับชิบหายเลยทีเดียว ผมเองก่อนที่จะมาแปล ก็ไม่ได้ดูหรอกครับ ได้ยินแต่คำชม แล้วชอบการออกแบบตัวละครของ ซาดาโมโต้ โยชิยูกิ (คนที่ออกแบบตัวละครให้ Evangelion นั่นล่ะครับ) แต่พอเห็นวางในสนพ. ก็หน้าด้านขอแปล เพราะนอกจากจะน่าสนแล้ว มัน 3 เล่มจบด้วยนี่ล่ะครับ (ไม่ชอบภาระผูกพัน)
พอได้แปล เลยเอาฉบับอนิเมะมาดู เออ เรื่องมันทำออกมาได้เยี่ยมากเลยครับ เล่นกับเรื่องโลกของเทคโนโลยี กับโลกอนาลอกของญี่ปุ่นบ้านนอกได้ดีจริงๆ แถมธีมยังเป็นเรื่องหน้าร้อนของวัยรุ่น อะไรมันจะน่าสนใจได้ไปกว่านี้ล่ะครับ (เฮ้อ อยากกลับไปเรียน ม.ปลาย)
Saturday, September 10, 2011
Official Blogger app for iPhone
Finally, I can blog straight from my phone. It's been a while waiting for the official Blogger app for iPhone and it is much easier now.
Sunday, September 4, 2011
New Blood สายเลือดใหม่
แป๊บๆ ก็เข้าเดือนกันยายน ไตรมาสสุดท้ายของปีแล้วนะครับ ไวเป็นบ้า ผมยังไม่ชินกับปี 2554 เลย นี่จะเปลี่ยนล่ะ ก่อนที่จะสิ้นปี ผมเองก็ต้องเริ่มไล่เรียงเตรียมอันดับอัลบั้มยอดเยี่ยมของปี ระหว่างนั้นก็เจอศิลปินเลือดใหม่ที่ออกผลงานที่น่าประทับใจออกมา ก็ต้องขอนำมาเสนอกันบ้างล่ะครับ
Jonathan Jeremiah
ชายหนุ่มจากลอนดอนเหนือ ที่แปลกแยกกว่าคนอื่น แทนที่เขาจะสนใจเพลงอินดี้ร๊อคแบบเด็กรุ่นเดียวกัน เขากลับหลงไหลไปกับเพลงโฟลค์อังกฤษ การเรียบเรียงเครื่องสาย และเสียงร้องที่นิ่มนวล เขาโตมากับกองแผ่นเสียงของพ่อที่เต็มไปด้วย Scott Walker, Cat Stevens และ Serge Gainsbourg และเริ่มเล่นกีตาร์เมื่ออายุเพียง 6 ขวบเท่านั้น
เมื่ออายุได้ 21 ปี เขาเดินทางไปอเมริกาเพื่อหาประสบการณ์ แทนที่จะได้พบกับแนวดนตรีโฟลค์อเมริกันที่เขาคาดหวัง เขากลับพบกับความหงอยเหงาเพราะหาคนที่สนใจแนวดนตรีเดียวกันไม่เจอ แต่มันก็ได้เสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับเขาเพื่อพัฒนาการแต่งเพลงต่อไป เมื่อเขากลับมาอังกฤษ ก็ได้พบกับกลุ่มนักดนตรีออเคสตรารุ่นใหม่ ทำให้เขาได้ทีมงานมาช่วยเหลือในอัลบั้มที่เขาโปรดิวซ์เอง เนื่องจากต้องการเสียงจากเครื่องดนตรีจริงๆ โดยเขาต้องทำงานเป็นรปภ.เพื่อหางานมาจ่ายค่าตัวของนักดนตรี เมื่อเสียงออเคสตราที่แสนบรรจง บวกเข้ากับเสียงกีตาร์ที่เป็นเหมือนอวัยวะอีกชิ้นของเขา และเสียงบาริโทนนุ่มๆ ทำให้กลายเป็นส่วนผสมทางดนตรีที่ลงตัวที่สุดอีกชิ้นหนึ่ง และเป็นเพขรที่รอคอยการถูกค้นพบอยู่ครับ
และเมื่อคุณหยิบ A Solitary Man ผลงานชิ้นแรกของเขามาฟัง คุณจะเข้าใจความทุ่มเทที่เขาใส่ลงไปในงานชิ้นนี้ครับ แม้บางคนจะมองมันว่าเป็นแค่งานเพลงฟังสบายๆ ไม่หวือหวา แต่มันเต็มไปด้วยความบรรจงในการแต่งแต้มสีสันของเพลงเป็นอย่างดี แต่ละเพลงร้อยเรียงได้อย่างลงตัวไร้รอยต่อจริงๆ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความตั้งใจในการประสานเครื่องดนตรีทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพลงอย่าง That Same Old Line เป็นตัวอย่างที่ดีมากในการเล่าเรื่องราวผ่านเพลง ส่วน Heart of Stone ก็เป็นเพลงร๊อคย้อนยุคแบบที่ฟังดูแล้วไม่เชยเลย เหมาะแก่การหยิบไปฟังเวลาขับรถทางไกลมาก Lost เป็นเพลงโปรดอีกเพลงหนึ่งของผม ที่เล่นกับเนื้อเพลงง่ายๆออกมาได้อย่างดี Happiness ก็เป็นอีกเพลงที่เรียบเรียงออกมาได้ลงตัวมาก เช่นเดียวกับ See ที่เครื่องสายบาดลงไปถึงหัวใจเราเลยทีเดียว
แม้คุณจะมีความสุขกับการฟังเพลงสุดเท่ทั้งหลาย แต่ในบางเวลา เมื่อคุณเหน็ดเหนื่อยกับสิ่งต่างๆ งานเพลงของ Jonathan Jeremiah คือสิ่งที่จะเยียวยาคุณจากความเหน็ดเหนื่อยเหล่านั้นได้ครับ
James Blake
อีกหนึ่งหนุ่มลอนดอนที่โดดเด่นเอามากๆในช่วงปีที่ผ่านมาก James Blake จบการศึกษาจาก Goldsmiths, University of London โดยมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อดังอีกคนอย่าง Katy B และเขาก็ใช้เวลาระหว่าเรียนในการอัดผลงานเพลงของตัวเองมาเสมอ และเริ่มออกงานเพลงชิ้นแรก Air & Lack Thereof ในปี 2009 และมันก็ไปเข้าตาดีเจชื่อดังอย่าง Gilles Peterson จนได้รับเชิญไปมิกซ์เพลง หลังจากนั้น เขาก็ได้ออก EP ชื่อ CMYK ซึ่งก็กลายเป็นที่จับตามองอีก
แต่เพลงที่ส่งเขาเข้าไปอยู่ในสปอตไลต์ของวงการเพลงจริงๆคือ Limit to Your Love ที่เป็นเพลงช้าๆ เนิบๆ แต่เล่นกับช่องว่างของเสียงได้เป็นอย่างดี และยังไล่อารมณ์เพลงได้ยอดเยี่ยมจนขนลุกเลยทีเดียว และนั่นทำให้เขาได้รับการจับตามอง จนถึงกับถูกรวมใน The Sound of 2011 ที่จัดโดย BBC เลยทีเดียว
เขาใช้เวลาตลอดปี2010 เพื่ออัดงานเพลงชุดแรกของเขา และกลายมาเป็นงานอัลบั้มเต็มที่ใช้ชื่อเดียวกับเขาเลย และมันก็กลายเป็นงานที่โดดเด่นเอามากๆอีกชิ้นหนึ่งในปีนี้ ด้วยความที่มันสามารถใช้ช่องว่างระหว่างเสียงและจังหวะสร้างบรรยากาศแบบเฉพาะตัวได้อย่างงดงามเกินบรรยาย เพลงที่โดดเด่นมากๆก็อย่างซิงเกิ้ล The Wilhelm Scream ที่งดงามเกินบรรยาย ให้ความรู้สึกเหมือนการล่องลอยอยู่ระหว่างความฝันและความจริงโดยที่ไม่รู้แน่ชัดว่าเรากำลังอยู่ส่วนไหนกันแน่ ราวกับหลุดเข้าไปอยู่นภาพวาดเซอเรียลิสม์ชั้นครู และเป็นตัวแทนของอัลบั้มนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะทั้งอัลบั้ม มันเล่นกับจังหวะและช่องว่างได้อย่างเหนือชั้นจริงๆครับ เป็นตัวอย่างของการสร้างบรรยากาศของเพลงที่ดึงดูดเราเข้าไปสู่โลกของศิลปินได้อย่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน
ไม่แปลกอะไรที่ความยอดเยี่ยมและโดดเด่นของมันจะพาให้เขาได้เข้าร่วมชิงรางวัล Mercury Prize รางวัลเด่นของคนดนตรีในอังกฤษในปีนี้ และอีกโปรเจ็คต์ที่น่าสนใจเอามากๆคือ เขากำลังร่วมทำงานเพลงกับ Justin Vernon แห่ง Bon Iver ศิลปินที่ถนัดในการสร้างบรรยากาศของเพลงอีกคน น่าสนจริงๆครับว่างานของพวกเขาจะออกมาในแนวไหนกัน
Thursday, September 1, 2011
ความเป็นกลางของสื่อมวลชน
มื้อนี้ที่ไม่ลืมเลือน
ชีวิตนี้ คุณเคยกินอาหารแล้วประทับใจแบบสุดๆ จนแทบจะขึ้นสวรรค์ น้ำหูน้ำตาไหลพรากๆแบบในการ์ตูนญี่ปุ่นบ้างมั้ยครับ ผมว่า ถ้าเป็นคนทีชอบกิน ไม่ว่าใครก็คงเคยล่ะครับ ยกเว้นแต่จะเป็นคนลิ้นด้าน ไม่ได้สนใจเรื่องรสชาติอาหาร หรือเป็นคนที่ขาดความสุนทรีย์เป็นอย่างยิ่งครับ
ตัวผมเอง ก็พิศมั ยการกินมาโดยตลอด แม้ตอนเด็กๆจะเรื่องมาก ไม่กินนู่นกินนี่ แต่พอโตมา ก็กลายเป็นพวกชอบหาของอร่อยๆกิน โดยไม่ยอมพลาดโอกาสดีๆแม้แต่น้อยครับ และในชีวิตที่ผ่านมา ก็หากินนู่นกินนี่ เจอที่อร่อยๆมาก็ไม่น้อย แต่เอาเขาจริงๆ การเจออาหารที่อร่อยแบบเทพๆ กระทั่งชวนน้ำหูน้ำตาไหลนี่ มันมีเงื่อนไขเยอะเหมือนกันนะครับ ไม่ใช่แค่ตัวอาหารอย่างเดียวครับ มันยังมีเรื่องของจังหวะเวลา สถานที่ คนที่ทานด้วย สารพัดอย่างมารวมกันครับ
Tuesday, August 30, 2011
Lupe Fiasco ฮิปฮอปเด็กเรียน
ในวงการเพลงฮิปฮอป ส่วนใหญ่ศิลปินที่ครองตลาดได้ มักจะต้องเป็นแนวโชว์เก่า โชว์พาว ข่มคนอื่น จนทำให้รู้สึกว่า บางคนมันไม่ได้แร๊พเป็น แค่พูดเกรียนไปเรื่อยๆ ส่วนบางชาติ ยิ่งแล้วใหญ่ ทำตัวเป็นคนผิวดำยิ่งกว่าคนผิวดำเสียอีก บอกตรงๆครับ ดูแล้ว อนาถ แต่ในกลุ่มนั้นก็มี-พวกแหวกแนวออกมา กลายเป็นพวกแร๊ปเปอร์ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มแร๊ปเปอร์เด็กเรียนไป และ Lupe Fiasco ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนั้นด้วยครับ
Lupe Fiasco (ลูเป้ เฟียสโค) เกิดในครอบครัวชาวผิวดำนับถืออิสลามในชิคาโก โดยมีชื่อจริงว่า Wasalu Muhammad Jaco โดยตอนเด็กพ่อแม่ของเขาแยกทางกัน แต่พ่อแม่ของเขาก็ยังทำหน้าที่ของพ่อแม่ที่ดีได้ พ่อเขาให้เขาฟังเพลงหลากหลายแนว จนกลายเป็นเบ้าหล่อหลอมเขา ละแวกที่เขาโตมาจัดเป็นย่านเสื่อมโทรมมีทั้งพวกค้ายา ประเวณี แต่ในบ้านเขาก็เต็มไปด้วยหนังสือหนังหาไว้อ่านหาความรู้เหมือนกัน
ทีแรก เขาไม่ชอบดนตรีฮิปฮอปเพราะภาษาที่หยายคาย และสนใจที่จะเล่นเพลงแจ๊ซมากกว่า แต่สุดท้าย อัลบั้มที่โดดเด่นเรื่องการเล่นคำและใช้ภาษาอย่าง It Was Written ของ Nas ก็เปลี่ยนใจเขาได้อย่างสิ้นเชิง เขาเริ่มสนใจการแร๊ปและใช้ฉายาต่างๆทำเพลงกับเพื่อนๆ โดยมาลงตัวกับชื่อ Lupe Fiasco ที่ Lupe มาจากคำท้ายชื่อเขา (Lu) และ Fiasco ที่แปลว่าล้มเหลว ก็คือการเตือนตัวเองเสมอ
Monday, August 22, 2011
Patrick Wolf – Lupercalia
หนึ่งในอัลบั้มที่เตรียมชิงอันดับหนึ่งในปีนี้ของผมคืองานชุดล่าสุดของ Patrick Wolf ชุดนี้ที่แสดงความเหนือชั้นในการแต่งเพลงป๊อปที่แสนละเมียดละไมแต่ยังลึกซึ้ง ราวกับหลุดมาจากยุค '80 ที่เต็มไปด้วยเพลงป๊อปที่เจิดจรัส นี่คือผลงานที่งดงามไม่ต่างจากรูปปั้นหินอ่อนที่ได้รับการแกะสลักอย่างปราณีต
One of my contenders for the best album this year is the latest album by Patrick Wolf, Lupercalia. It is such a wonderful album that reminded me of perfect pop music from the ‘80. It was well-crafted like a statue that was deliberately carved by a genius craftsman.
Saturday, August 20, 2011
X-Japan มาไทยแลนด์ซะที
ในที่สุด ในที่สุด คอนเสิร์ตนึงที่แฟนเพลงชาวไทยคงรอคอยมาอย่างยาวนานสองสามนาน ไปจนถึงหลายๆนาน ก็เป็นจริงๆแล้วครับ กว่าที่จะเกิดคอนเสิร์ตนี้ได้ แฟนเพลงชาวไทยก็เฝ้ารอจนคอยืดคอยาว หลายๆคนคงเลิกล้มความตั้งใจไปตามวัยและภาระที่เพิ่มมากขึ้น บางคนก็แอบน้อยใจ หันไปเป็นติ่งหูเกาหลีรุ่นอาวุโสแทน แต่ไม่ว่าจะยังไง อีกไม่นาน วง X-Japan วงญี่ปุ่นที่มือชื่อเสียงในเมืองไทยที่สุดก็จะพาตัวเป็นๆมาเล่นให้เราดูกันสดๆแล้วล่ะครับ
สำหรับเด็กรุ่นใหม่วัยมัธยม อาจจะไม่ค่อยรู้จักว่า X-Japan ยิ่งใหญ่แค่ไหน เลยขอสรุปให้ง่ายๆล่ะกันครับว่า ในยุคที่อินเตอร์เน็ตและโซเชี่ยลมีเดียยังไม่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ขนาดนี้ วง X-Japan คือวงดนตรีต่างชาติวงหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในบ้านเราแบบยิ่งใหญ่จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นกระแส หรือยอดขาย เรียกได้ว่าฮิตไปทั่ว และสร้างกระแสความนิยมดนตรีเฮวี่เมทัลแบบญี่ปุ่นในบ้านเราได้อย่างยิ่งใหญ่มากๆครับ
พวกเขารวมวงกันมานานตั้งแต่สองสมาชิกหลักอย่าง Yoshiki (โยชิกิ มือกลองและเปียโน) ร่วมตั้งวงกับ Toshi (โทชิ ร้องนำ) ตั้งวงตั้งแต่สมัยมัธยม ก่อนที่จะได้ Hide (ฮิเดะ กีตาร์) Pata (พาตะ กีตาร์) และ Taiji (ไทจิ เบส ก่อนจะออกจากวงและได้ Heath ฮีธมาแทนในภายหลัง) มาฟอร์มวงกันอย่างเป็นทางการในชื่อ X ในปี 1987 ยุคที่วงแกลม และเฮวี่เมทัล เบ่งบานไปทั่วโลก
พวกเขาได้เข้าสังกัดค่ายโซนี่ และเริ่มโด่งดังกับอัลบั้มที่สอง Blue Blood โดยมีเพลงเด่นอย่าง Kurenai และ Endless Rain ในช่วงปี 1989 แต่ก็ต้องเพิ่ม Japan เข้าไปในชื่อวงเนื่องจากไปชนกับวงพังค์อเมริกัน หลังจากนั้น อัลบั้มต่อมาอย่าง Jealousy ก็สร้างชื่อให้กับพวกเขาอีกครั้ง ด้วยเพลง You Say Anything และ Silent Jealousy
Tuesday, August 16, 2011
Friendly Fires ปลุกสัญชาติญาณการแดนซ์
ผมเคยพูดมาหลายครั้งแล้วว่า ทุกวันนี้ เส้นที่กันแบ่งระหว่างแนวเพลงต่างๆมันเริ่มบางลงเรื่อยๆ แต่ละวงเริ่มข้ามขอบเขตของแนวเพลงตัวเองไปหาแรงบันดาลใจจากแนวเพลงอื่นๆ ทำให้เราได้แนวเพลงที่หลากหลายที่ถือกำเนิดจากแนวเพลงที่มีมาแต่เดิมแล้ว จนเราแทบแยกแยะแนวเพลงไม่ออก และ Friendly Fires ก็เป็นอีกวงที่จัดแนวเพลงลำบากเหลือเกินครับ
Friendly Fires คือวงที่มาจาก St. Albans ประเทศอังกฤษ ประกอบด้วย Ed Macfarlane (เอ็ด หรือ EdMac ร้องนำ และคีย์บอร์ด) Edd Gibson (เอ็ด กีตาร์) และ Jack Savidge (แจ๊ค กลอง) ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาเริ่มต้นจากการทำวง Post Hardcore ชื่อ First Day Black เมื่ออายุ 14 ปี ก่อนจะยุบไปตอนเข้ามหาวิทยาลัย ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย EdMac ได้ออกงานเพลงของตัวเองอีกด้วย และเมื่อเรียนจบ พวกเขาก็รวมตัวตั้งวงดนตรีอีกรอบ โดยมีอิทธิพลจาก เพลงเต้นรำ ทำนองแบบวงชูเกซ ผสมเพลงป๊อป โดยพวกเขายกให้ค่ายเพลงมินิมอลเทคโน Kompakt จากเยอรมัน Prince และ Cark Craig เป็นแรงบันดาลใจหลัก และพวกเขาเรียกตัวเองว่า Friendly Fires จากชื่อเพลงของพวกเขาเอง
พวกเขาเริ่มเป็นที่จับตามองในปี 2006 จากการแสดงที่น่าตื่นตา และได้ออก EP แรกที่ชื่อ Photobooth ผ่านค่ายอินดี้ People in The Sky ในปลายปี 2006 และตามด้วย Cross The Line ในช่วงหน้าร้อนปี 2007 และยังเป็นวงแรกที่ได้ออกรายการ Transmission ทาง Channel 4 โดยที่ยังไม่มีสังกัดด้วยซ้ำ
ความดังของพวกเขา ทำให้ค่ายอินดี้ชื่อดัง Moshi Moshi จับพวกเขาไปออกซิงเกิ้ลที่ 3 ชื่อ Paris ในช่วงปลายปี 2007 และมันกลายเป็นความสำเร็จที่งดงาม พวกเขาได้รับคำชมเป็นอย่างมากจากสื่อ และกลายเป็นเพลงฮิต ส่งให้พวกเขาได้โอกาสไปเล่นเปิดให้กับวงดังอย่าง Interpol ก่อนที่จะถูกค่ายเพลงอินดี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกค่ายหนึ่งในอังกฤษอย่าง XL ดึงตัวไปเป็นศิลปินในค่าย
เมื่อมีค่ายมาโอบอุ้ม พวกเขาก็เริ่มต้นทำงานอย่างเต็มที่ โดยระหว่างนั้นก็ได้ไปทัวร์กับ Noise Tour ที่จัดขึ้นโดยนิตยสารทรงอิทธิพลอย่าง NME อีกด้วย ระหว่างที่ทำงานเพลง ซิงเกิ้ลเก่าของพวกเขาอย่าง On Board ก็ถูกนำไปใช้ประกอบโฆษณา WiiFit ด้วย และงานอัลบั้มเต็ม ที่ใช้ชื่อเดียวกับวงก็ออกมาในช่วงปลายปี 2008 โดยมี On Board และ Paris เป็นซิงเกิ้ลนำร่อง และมีซิงเกิ้ลที่ 3 ชื่อ Jump In The Pool ผลงานการโปรดิวซ์ของพ่อมดอินดี้ Paul Epworth เป็นเพลงแรกของพวกเขาที่ติดชาร์ต Top 100 ซึ่งมันก็เป็นเพลงที่มากับจังหวะโจ๊ะๆ เบสไลน์ที่เบียบเข้ามาเป็นระยะบวกกับเสียงร้องที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่อเหมือนกับการได้กระโดดเข้าใส่สระว่ายน้ำกลางฤดูร้อนจริงๆ
ซิงเกิ้ลต่อมาอย่าง Skeleton Boy ก็เริ่มต้นด้วยเสียงแบบเทคโนย้อนยุคก่อนจะเบรคด้วยกีตาร์แตกๆ กลายเป็นเพลงที่ชวนเราโยกย้ายร่างกายตามแบบไม่หยุดจริงๆ เพลงที่ไม่ใช่ซิงเกิ้ลอย่าง In The Hospital ก็คืกการผสมกันอย่างลงตัวของจังหวะเพลงฟังค์กับกีตาร์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆครับ นอกจากนี้ เพลงอื่นๆอย่าง White Diamonds ก็มันไม่แพ้กัน ส่วน Strobe ก็กลายเป็นงานมินิมอลเทคโนยุคใหม่ไปเลยครับ
Friendly Fires กลายเป็นงานเพลงที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์มากๆ เพราะมันคืองานที่ชวนให้คนปลุกสัญชาติญาณการแดนซ์ออกมาแบบไม่ต้องเกรงใจมนุษย์คนอื่นเลย ราวกับพวกเขารู้วิธีอัดความสนุกเข้าไปในงานเพลงทั้งอัลบั้ม
ในปี 2009 พวกเขาออกอัลบั้มนี้อีกครั้งโดยมีEP แถมที่มีเพลงที่ยอดเยี่ยมอย่าง Kiss Of Life ที่เป็นเหมือนความสดชื่นที่ได้รับจากจูบที่ริมทะเลยามเย็นจริงๆ และความสำเร็จเหล่านี้ก็ส่งให้พวกเขาได้เข้าชิงรางวัล Mercury เลยทีเดียว
และในปีนี้ พวกเขาก็กลับมาด้วยอัลบั้มชุดที่สอง Pala ที่บอกตรงๆว่า มันคืองานเพลงที่ต้องติดหนึ่งในอัลบั้มยอดเยี่ยมของปีนี้จริงๆครับ ประสบการณ์สอนให้พวกเขาแตกฉานในเรื่องการปลุกเร้าอารมณ์ความสนุกในตัวมนุษย์จริงๆ แต่ละเพลงคือส่วนผสมของจังหวะเพลงเต้นรำ กีตาร์เพลงร๊อคและความติดหูของเพลงป๊อปได้อย่างลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
ตั้งแต่เพลงแรก Live Those Days Tonight ที่เหมือนกับบอกให้เราเต้นรำแบบไม่ต้องสนวันพรุ่งนี้อีกต่อไป (ลองหา MV นี้ดูครับ) ส่วนซิงเกิ้ลที่สองอย่าง Hawaiian Air ก็คือการอัดเอาความสดชื่นของฮาวายลงมาอยู่ในเพลงที่ยาว 4.16 นาที ชวนให้เราปลดปล่อยทุกสิ่งออกไปจากตัวจริงๆ ว่าที่ซิงเกิ้ลต่อไป Hurting ก็เป็นเพลงป๊อปฟังสบาย เพลงเด่นเพลงอื่นในอัลบั้มก็อย่าง 3 เพลงติด Show Me Lights ที่ชวนให้เราสนุกกับจังหวะที่แสนติดหู True Love ที่มีท่อนเบสแสนเร้าใจ ส่วน Pull Me Back To Earth ก็เหมือนการระเบิดความสุขออกมาจากทุกอณูพร้อมๆกัน ถ้าจะให้สรุปคือ Pala คืองานเพลงที่เข้าใจสัญชาติญาณความสนุกของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี และพน้อมจะดึงทุกชีวิตลงไปที่แดนซ์ฟลอร์ครับ
อากาศร้อนๆแบบนี้ ไม่ลองหางานชิ้นนี้ไปฟังที่ทะเลดูเหรอครับ ผมลองดูแล้วและบอกได้คำเดียวว่า เข้ากันจริงๆครับ
Monday, August 8, 2011
Utada Hikaru – WILD LIFE อำลาเวที
Monday, August 1, 2011
Amy Winehouse ดวงดาวที่ดับแสง
ใจจริง ผมเองมีแผนที่จะเขียนเรื่องอื่นอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่า เกิดเหตุอันไม่คาดฝันทำให้ผมต้องเปลี่ยนหัวข้อในการเขียนมาเป็นเรื่องที่อยากเขียนน้อยที่สุด นั่นคือการเขียนไว้อาลัยให้กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของศิลปินที่ชื่นชอบ ซึ่งในครานี้ ก็คือ Amy Winehouse ศิลปินหญิงมากความสามารถ แต่ชีวิตกับถูกสิงด้วยเหล้าและยาเสพติดแบบที่เธอหนีจากมันไม่พ้น จะต้องจบชีวิตลงด้วยวัยสาวเพียงแค่ 27 ปี เท่านั้น
ชีวิตอันแสนสั้นของ เอมี่ ไวน์เฮาส์ เริ่มต้นในครอบครัวชาวยิวที่พ่อคนขับแท็กซี่ของเธอชอบร้องเพลงคลาสสิกให้เธอฟังเสมอๆ แม้ครอบครัวจะแตกแยก แต่เธอก็ได้โอกาสเข้าเรียนในโรงเรียนศิลปะการแสดง ก่อนจะถูกไล่ออกมาทีหลัง แต่เพชรก็ยังเป็นเพชร ความพยายามในการแต่งเพลงของเธอไปเข้าตาค่ายเพลง ก่อนที่จะได้ไซมอน ฟูลเลอร์ พ่อมดนักปั้นศิลปินมาดูแล ก่อนที่เธอจะกลายเป็นต้นเหตุของศึกระหว่างค่าย Island และ EMI ที่แย่งตัวเธอกันเพราะเห็นความน่าสนใจและจุดขายที่ต่างจากศิลปินดาดๆในยุคนั้น
หลังจากได้ค่ายเพลงอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน เธอก็เริ่มต้นสร้างสรรค์เพลงของตนเอง ซึ่งผสมผสานกันระหว่าง เพลงโซล แจ๊ซ และ R&B แบบคลาสสิก ซึ่งเธอแต่งเพลงเองทั้งหมดและบรรจงร้องออกมาด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ทรงพลังของเธอ ซึ่งหากได้ยินแค่เสียง อาจจะนึกว่าเป็นงานของนักร้องผิวสีที่หลุดมาจากยุค ’60 เอาก็ได้ นอกจากเสียงแล้ว รสนิยมเรื่องแฟชั่นของเธอ ยังแหวกแนวแบบไม่ซ้ำรอยใคร เธอหลงไหลแฟชั่นย้อนยุคมาก และทำผมทรงรังผึ้ง (beehive) แบบย้อยยุค บวกกับการเขียนตาแบบพระนางคลีโอพัตรา นอกจากนี้ เธอยังมีความห้าวและแสบแบบสาวพังค์ร๊อคอยู่ในตัว ทำให้เธอเหมาะสมกับความเป็นซูปเปอร์สตาร์แห่งยุคอีกคนจริงๆ
อัลบั้มแรกของเธอ Frank ออกในปี 2003 และมันก็เป็นอัลบั้มที่ทำได้ดีทั้งยอดขายและเสียงวิจารณ์ในประเทศอังกฤษ ทำให้ชื่อของเธอกลายเป็นทีรู้จักไปทั่ว ด้วยอานิสงค์จากซิงเกิ้ลเด่นๆอย่าง Stronger Than Me หรือ Pumps ด้วยความที่มันเป็นช่วงฟื้นฟูของดนตรีอังกฤษพอดี ตลาดวงการเพลงเต็มไปด้วยความสดชื่นและศิลปินอินดี้ทยอยออกอัลบั้มมาก ความแปลกใหม่ของเธอทำให้เธอกลายเป็นแนวหน้าและเป็นผู้เบิกทางให้กับศิลปินสาวมากกความสามารถรุ่นหลังอย่าง Adele หรือ Lilly Allen ถึงขนาดที่ Adele ยังบอกว่า ไม่มีเอมี่ ก็ไม่มีเธอในวันนี้
แต่สิ่งที่ตามมาคือ ความสำเร็จกลายเป็นสิ่งที่ลากเธอเข้าหาเหล้าและยาเสพติด เธอเริ่มมีปัญหาเสพติดทั้งสองสิ่งอย่างรุนแรง จนทั้งคนรอบตัวและค่ายเพลงเป็นห่วงและบังคับให้เธอเข้ารับการบำบัด แต่เธอก็ไม่ยอม
และเธอนำประสบการณ์ดังกล่าวมาเขียนเป็นเพลง Rehab เพลงที่กลายมาเป็นเพลงสร้างชื่อในระดับโลกให้เธอ มันกลายเป็นเพลงฮิตไปทั่ว ไม่เพียงแค่ในเกาะอังกฤษ เธอยังกลายเป็นศิลปินหญิงเดี่ยวอังกฤษที่ไปเจาะตลาดอเมริกาได้อย่างงดงาม และยังดังไปทั่วโลก Rehab กลายเป็นเพลงประจำตัวเธอไป จะว่าไป มันคงเป็นเพลงที่แสดงตัวตนของเธอได้อย่างชัดเจนที่สุด
และอัลบั้ม Back to Black ตามมาในปี 2007 ก็กลายเป็นงานมาสเตอร์พีซของชีวิตนักดนตรีของเธอ มันกลายเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จในทุกๆด้าน และยังเข้าชิงและคว้ารางวัลทางด้านงานเพลงจากหลายๆสถาบัน และส่งให้เธอกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ตัวจริงเสียงจริงอย่างเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ
แต่ในด้านมืด มันก็ไม่ต่างจากเพลงของเธอ เธอมีปัญหาการเสพติดอย่างเรื้อรัง ไม่หยุดหย่อน และชีวิตคู่ของเธอ กับสามีขี้ยา ก็กลายเป็นตัวเร่งให้เธอวิ่งตรงดิ่งสู่ขุมนรกของยาเสพติดเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนคนรอบตัวต้องจับทั้งสองแยกจากกัน ก่อนที่เขาจะต้องเข้าไปอยู่ในคุกจากคดีอื่น แม้จะดีขึ้นบ้าง แต่สุดท้าย เธอก็จมอยู่ในวงเวียนของการใช้ยาและเหล้า จนภาพเธอเมาเหล้าหมดสภาพมีเห็นได้ตามหนังสือพิมพ์หัวสีอยู่ตลอด
แม้จะพยายามสร้างสรรค์งานเพลง แต่ดูเหมือนเธอจะหมดเวลาไปกับการเมาหัวราน้ำเสียมากกว่า แม้จะเข้ารับการบำบัด แต่เมื่อออกมาจากสถานบำบัด เธอก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม ก่อนหน้าที่จะเสียชีวิต เธอเดินทางไปเล่นคอนเสิร์ตที่เซอร์เบีย ก่อนจะถูกโห่ไล่ลงจากเวที เนื่องจากเมามายหมดสภาพจนจำเนื้อเพลงไม่ได้
หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็กลับมาอังกฤษ พยายามรักษาตัว และมีนัดหมายกับแพทย์หลายราย แต่ในเช้าวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา เธอร้องและเล่นคนตรีในห้องของเธอจนเช้า ก่อนที่คนดูและจะมาเห็นว่าเธอหลับไปในตอนเช้า เมื่อเขาเข้ามาเช็คอีกทีในตอนบ่าย ก็พบว่าเธอเสียชีวิตเสียแล้ว แม้เหตุผลของการเสียชีวิตของเธอจะไม่แน่ชัด แต่ก็คงพูดได้ว่า การใช้ชีวิตที่ผ่านมาของเธอมีผลไม่น้อย และดวงดาวที่ส่องแสงก็ลาลับฟ้าไปอีกหนึ่งดวง
มันเป็นเรื่องตลกร้าย ที่การไม่ยอมรักษาตัวของเธอ กลายเป็นที่มาของเพลงดังที่สุดและสร้างชื่อให้กับเธอ ในขณะเดียวกัน มันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของเธอไปด้วย ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมเองก็อยากรู้ว่า เธอจะเลือกเดินเส้นทางเดิมหรือไม่ RIP Amy Winehouse
Monday, July 11, 2011
Bon Iver ล่องลอยไปกับเสียงเพลง
คราวนี้ ผมจะขอมาแปลกหน่อย เพราะจะเป็นการแนะนำศิลปินที่ไม่ได้มีผลงานขายในบ้านเรา และไม่ได้โด่งดังอะไรในหมู่คนทั่วไปนักหนา แต่ผมฟังอัลบั้มใหม่ของพวกเขาได้ ได้แต่อึ้ง ทึ่ง และตะลึงในความยอดเยี่ยมของมัน จนต้องขอลัดคิวเอามาเผยแพร่ให้ได้รู้จักกับวงๆนี้ นั่นคือ Bon Iver ครับ
Bon Iver คือวงที่กำเนิดขึ้น โดยมีสมาชิกหลักสำคัญคือ Justin Vernon (จัสติน) เจ้าพ่อนักร้องนักแต่งเพลงโฟลค์ชาวอเมริกัน ที่มีผลงานสารพัดโปรเจ็คต์ (ปีที่แล้วก็พึ่งออกงานอีเล็กโทรนิกส์หลอนๆในนามวง GAYNGS หมาดๆ) โดยสมาชิกที่เหลือทำหน้าที่เล่นเสริมในคอนเสิร์ต นั่นคือ Sean Carey (ชอน กลอง) Michael Noyce (ไมเคิล กีตาร์) และ Matthew McCaughan (แมธธิว เบส)
จุดเริ่มต้อนของ Bon Iver คือ การยุบวงเดิมของ Justin ที่ชื่อ DeYarmond Edison ซึ่งเป็นวงแนวโฟลค์ เขาย้ายจากนอร์ธแคโลไลน่า กลับไปวิสคอนซิน และฝังตัวเองอยู่ในกระท่อมในป่า ซึ่งเขาใช้เวลาในนั้นเป็นเวลา 3 เดือน เดิมที่เขาแค่จะเข้าไปเพื่อหาความสงบ และมองย้อนไปในอดีตเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่า เขาสามารถแต่งเพลงวันละ 12 ชั่วโมง และอัดเพลงแบบตามมีตามเกิด หาอุปกรณ์นู่นนี่มาสร้างเสียงต่างๆ จนได้เพลง 9 เพลงที่จะกลายมาเป็นเพลงในอัลบั้มแรกของเขาจนได้
ส่วนชื่อวง Bon Iver นั่น มาจาก การที่เขาได้ดูสารคดี และเห็นคนทักกันเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า Bon Hiver ที่แปลว่า Good Winter ซึ่งเขาชอบมันมาก แต่ก็เปลี่ยนเป็น Bon Iver แทนตามความชอบส่วนตัวของเขา
แม้ชื่อวง และตัวเพลงจะพร้อม แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะปล่อยมันออกมาวางขาย เขากะแค่จะใช้มันเป็นงานเดโม ส่งไปตามค่ายเพลง แล้วค่อยมาอัดใหม่อีกทีเมื่อได้สัญญา แต่เมื่อเขาทำออกขายในจำนวนจำกัด ผลตอบรับที่ดี ทำให้เขาได้รับสัญญาจากค่ายอินดี้ Jagajaguwar และทำมันออกวางขายทั้งอย่างนั้นเลย และทำให้เขาได้เรียนรู้อีกว่า เขาไม่ต้องการซาวด์เอ็นจิเนียร์ และ โปรดิวเซอร์ในการทำเพลงเลย เนื่องจาก เขาทำมันเองได้ทั้งหมด
เมื่อได้สัญญาสมาชิกวงก็ตามมา Sean เข้าติดต่อเขาหลังคอนเสิร์ตโดยบอกว่าร้องและเล่นกลองได้ทุกเพลง Michael คือลูกศิษย์เรียนกีตาร์ของ Justin ส่วน Matthew ก็เจอกันระหว่างทัวร์
ผลงานแรกของเขา For Emma, Forever Ago ออกวางขายในช่วงต้นปี 2008 โดยในยุโรปได้ 4AD ค่ายเพลงระดับเทพเป็นผู้จัดจำหน่าย ซึ่งแม้ตัวงานจะทำยอดขายได้เงียบๆ ไม่หวือหวามาก แต่มันได้รับคำชมจากนักวิชาการเป็นอย่างมาก จนติดชาร์ตอัลบั้มเพลงยอดเยี่ยมแห่งปีของหลายๆสำนักเลยทีเดียว
For Emma, Forever Ago คืองานเพลงโฟลค์สมัยใหม่ ที่ไม่ได้พึ่งพาเสียงกีตาร์โปร่งอย่างเดียว มันเป็นงานเพลงโฟลค์ชั้นยอดเทียบเท่ากับเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง Iron & Wine เลยทีเดียว Skinny Love ซิงเกิ้ลแรก คือตัวอย่างของการทำเพลงโฟลค์นิ่มๆประสานไปกับเสียง Falsetto ของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วน The Wolves (Act I And II) ก็สร้างบรรยากาศเฉพาะตัวได้เป็นอย่างดี For Emma ซิงเกิ้ลอีกตัว ก็เป็นเพลงโฟลค์เพราะๆสบายๆ ชวนเราขับรถไปตามถนสายยาวเหยียดของเมริกาเป็นอย่างดี
หลังจากงานชิ้นแรกออกวางขาย พวกเขาก็เริมเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น และในปี 2010 เพลง The Wood ที่เป็นเพลงแถมใน EP Blood Bank ถูก Kanye West แซมเปิ้ล ไปใช้ในเพลง Lost in the World และเขายังถูกเชิญไปร่วมแจมในเพลง The Power อีกด้วย ทำให้ Bon Iver (Justin Vernon) เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ก่อนจะถูกดึงไปเข้าค่ายเพลง Good Music ของ Kanye
และในปีนี้ เขาก็ออกงานใหม่ ชื่อ Bon Iver, Bon Iver ซึ่งเป็นงานที่แตกต่างไปจากงานชุดเดิมมาก จากงานที่เป็นเรื่องราวส่วนตัวของเขา อัลบั้มนี้ เขาเลือกเดินทางผจญภัยไปเพื่อค้นหาเสียงใหม่ๆ เขาเลือกใช้ Auto-Tune เพื่อสร้างเสียงใหม่ๆ (แบบในเพลง The Wood) รวมไปถึงการรับความช่วยเหลือจากนักดนตรีหลายราย จนแทบไม่เหลือคราบเดิมเลย แค่เพลงเปิด Perth มันคือการรบกันของเสียงต่างๆ ตั้งแต่กีตาร์ที่ค่อยๆร้อยเรียงทำนองขึ้นมาก กลองที่กระหึ่ม ยังมีเสียงทรัมเป็ตเข้ามาร่วมรบอีก เป็นการผสมผสานที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เขากลับทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เหมือนกับเตือนเราว่า จากนี้ เราจะได้ท่องเข้าไปในมิติอันแปลกประหลาดของเสียงต่างๆ
เพลงต่างๆในอัลบั้มร้อยเรียงและผสมผสานกันไปได้เนียนอย่างไม่น่าเชื่อ และทุกเพลงจะเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆเสมอ Minnesota, WI ก็เป็นเพลงที่ลึกลับด้วยเสียงประสานต่างๆ จุดพีคของอัลบั้มคงต้องยกให้เพลง Calgary ที่เหมือนกับการนำเอาเพลง AOR จากยุค 80 มาทำให้ให้ทันสมัยขึ้น บวกกับบรรยากาศเฉพาะตัวของมัน ทำให้ได้เพลงที่ยอดเยี่ยมไม่ต่างกับ Midlake เลยทีเดียว ก่อนจะปิดอัลบั้มด้วย Beth/Rest ที่เล่นกับบรรยากาศอย่างเต็มๆเลยทีเดียว และ Bon Iver, Bon Iver ก็กลายเป็นงานที่ได้รับทั้งเงินทั้งกล่อง เพราะนอกจากยอดขายที่ยอดเยี่ยมแล้ว นักวิจารณ์ส่วนมากยังให้คะแนนมันสูงมากด้วย
แม้ Bon Iver จะเป็นเพียงหนึ่งในโปรเจ็คต์สารพัดของ Justin Vernon แต่จากความสำเร็จครั้งนี้ คงจะทำให้เข้าขยันออกงานในชื่อนี้มากขึ้นล่ะครับ