Monday, March 28, 2011

Rebecca Black: Friday ห่วยจนได้ดี?

Technorati Tags: ,,

ตั้งแต่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง บวกกับแรงหนุนจากเว็บสังคมออนไลน์ต่างๆ การจุติของศิลปิน นักร้องวงดนตรีก็เป็นไปได้ง่ายขึ้น จนมีศิลปินหน้าใหม่แบบดังข้ามคืน หรือดีจนคนเห็นแววเอาไปปั้น กลายเป็นตำนานซินเดอเรลลาที่ถูกก๊อปปี้ซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ และคิดว่าคงจะมีมาเรื่อยๆตราบเท่าที่คนยังไม่เบื่อเรื่องราวของการปั้นดินที่เป็นดาว แต่ในคราวนี้ เรื่องราวกลับสลับขั้วอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อเด็กสาวคนหนึ่ง ดังไปทั่ววงการอินเตอรเน็ต เธอไม่ได้เป็นนักร้องสมัครเล่น แต่เธอสังกัดค่ายเพลงอยู่แล้ว แต่เพลงของเธอมัน ห่วย ห่วย ห่วย ซะจนกลายเป็นประเด็นร้อนไปทั่ววงการเพลงเลยทีเดียว

จริงๆแล้ว งานเพลงของ Rebecca Black ที่ชื่อ Friday ที่ได้รับการเรียกงานว่าเป็นเพลงที่ห่วยที่สุดเพลงนี้ ก็คงเป็นแค่เพลงๆหนึ่งที่จมหายไปในทะเลของวงการดนตรีที่กว้างขวางโดยไม่ได้มีใครสนใจมากนัก เธอก็เป็นเพียงวัย tween อีกคนหนึ่งที่ให้แม่จ่ายเงินให้ค่ายเพลง เพื่อจ้างให้ทำเพลงและ MV ให้ และเธอก็เลือกเพลง Friday ออกมาเท่านั้น

แต่ที่มันเป็นเรื่องก็เพราะ Daniel Tosh ตลกดังของอเมริกาได้พูดถึงเพลงนี้ในรายการของตัวเอง โดยบอกว่า ใช่ว่าทุกคนจะแต่งเพลงได้ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความดังในทางแย่ของเพลงๆนี้ด้วยอำนาจของเทคโนโลยีที่ชื่อ youtube ผู้คนต่างเริ่มคลิกเข้าไปดู MV เพลงนี้ของเธอ (ส่วนผมเอง รู้จักเพราะเว็บไซต์ที่ทำโปสเตอร์ล้อเลียน เล่นเรื่องของเธอแบบไม่ยั้ง เลยลองเสิร์ชดู แล้วก็ อึ๋ย) และมันก็เริ่มระบาดไปทั่ว ต่างคนต่างสับเพลงๆนี้แบบไม่มีชิ้นดี และเมื่อคนทราบ ก็คลิกเข้าไปดูอีก ก่อนจะพูดถึงเรื่องอื่น เราไปดูกันก่อนดีกว่าทำไมมันถึงถูกสับขนาดนั้น

ผมคงขอบายเรื่องที่ว่า เธอหน้าตาดีหรือไม่ดี เพราะคิดว่า ส่วนนั้นเป็นเรื่องของรสนิยมเสียมากกว่า และไม่เกี่ยวกับเรื่องดนตรี อีกอย่าง ผมไม่อยากพูดเรื่องนี้ของเด็ก 13 ปีครับ มันฟังดูเหมือนพวกโรคจิตซะมากกว่า ใครมีโอกาส ลองคลิกเข้าไปดูเพลงนี้ทาง youtube คงจะต้องตกใจตั้งแต่ต้น MV ที่คุณภาพงานกราฟฟิคออกมาเหมือนใช้โปรแกรมคอมยุคเก่าทำ บวกกับสีสันย้อนยุค ช่วงแหกปากแรกๆ มันก็ยังพอรับไหวครับ แต่พอตัดเข้าเนื้อเพลง นรกก็มาเยือนครับ ถ้าเธอเป็นคนแต่งเพลงนี้เอง ผมคงจะไม่คิดอะไรมาก เพราะบางดี เด็ก 13 อาจจะมีประสบการณ์ชีวิตน้อยจนไม่รู้จะเขียนอะไร แต่เป็นมืออาชีพที่แต่งเพลงเพื่อหาเงินแล้วล่ะก็ ถ้าไม่ลาออก ก็ควรไปฮาราคีรีได้แล้วครับ เพราะเนื้อเพลงของเธอคือ ตื่นนอน ต้องสดชื่น ต้องลงไปข้างล่าง ชั้นต้องหาถ้วย ชั้นต้องกินซีเรียล (ถึงจุดนี้ คงเริ่มสงสัยว่ามันโฆษณาซีเรียล สดชื่นทุกเช้าวันใหม่รึเปล่า) ที่สำคัญ ยังใช้เครื่องปรับเสียงอย่าง Auto-tune แบบไม่ยั้งครับ แล้วหลังจากนั้น ไฮไลต์ที่ผมชอบที่สุดก็กำลังจะมาถึงครับ

เธอต้องออกไปรอรถบัส แล้วเธอก็เห็นเพื่อนเธอ ซึ่งซิ่งมาในรถเปิดประทุนเต็มคันรถ (เด็ก 13 ขับรถเปิดประทุนกันไปไหนมาไหน ผิดกฎหมาย และไร้สาระเหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่นยุคเก่า) เธอมองไปแล้วสงสัยว่า จะนั่งข้างหน้า จะนั่งข้างหลัง เธอต้องตัดสินใจล่ะว่า จะนั่งตรงไหนดี ให้ตายเถอะครับ มันยากนักหรือไง ข้างหน้า คนนั่งเต็ม ข้างหลังว่างอยู่ มันโง่กันถึงขนาดจะไปนั่งเบียดข้างหน้าเลยหรือไง ไม่รู้ว่าขาดสามัญสำนึก หรือว่าตกเลขกัน ผมคิดว่า น่าจะกลายเป็นอีกวลีหนึ่ง หลังจากนั้น ก็ตกเย็น พวกวัยรุ่นก็ขึ้นทางด่วนไปเที่ย แถมนั่งบนพนักเบาะหลังร้องเพลง (ชวนตายและผิดกฎหมาย) ก่อนที่จะตัดเข้าท่อนเบรกที่บอกว่า เมื่อวานวันพฤหัส วันนี้วันศุกร์ พรุ่งนี้วันเสาร์ และจากนั้นก็วันอาทิตย์ (สุดยอดทักษะการแต่งเพลง) ก่อนจะมีพี่มืดมาแร๊พบ้าบออะไรก็ไม่รู้ ดูเหมือนพวกโรคจิตชอบเด็กไปซะ นอกจากเนื้อเพลงห่วยแล้ว คุณภาพของ MV ยังเข้าขั้นบัดซบ ทั้งคุณภาพวิดีโอที่บอกตรงๆว่า วิดีโองานแต่งเพื่อนผมยังทำดีกว่าหลายขุมครับ นรกของแท้ ห่วยจนแทบจะหาที่ชมไม่ได้เลยทีเดียว

ที่พอจมได้คือ พวกเขาสามารถทำเพลงที่ห่วยจนติดหูได้แบบไม่น่าเชื่อครับ Fun Fun Fun Weekend Weekend และเพราะความห่วยนี้เอง ที่ทำให้เธอดังไปทั้งวงการ ถึงขนาด hashtag ของเธอในทวิตเตอร์ มาแรงแซงซึนามิที่ญี่ปุ่นไปเลยทีเดียวครับ และกลายเป็นขุมทรัพย์ของพวก troll และล้อเลียนทางอินเตอร์เน็ตเพียบครับ ลองเซิร์ชดู และคลิปเธอใน youtube ยอดคนดูก็พุ่งขึ้นแบบกระจุยกระจาย เพิ่มวันละล้านเลยทีเดียว และความเห็นก็รุนแรงเอาเรื่อง แต่เธอก็ใจแข็งพอที่จะไม่ถอดมันออกจาก youtube เพราะเธอจะไม่ยอมแพ้พวกที่เกลียดเธอแน่นอน แม้จะมีคนเกลียด แต่เธอก็ได้รับคำชมจาก Simon Cowell และ Lady Gaga เหมือนกันนะครับ

ไม่ว่าจะดีหรือร้ายแค่ไหน Rebecca Black ก็กลายมาเป็น phenomenon ไปเรียบร้อยแล้ว และแม้ผมจะคิดว่าเพลงนี้มันห่วยนรกแตกแค่ไหน แต่ผมก็ยังอยากดูว่าเธอจะกลับมาด้วยวิธีไหนครับ

Monday, March 21, 2011

Anna Calvi–Anna Calvi

Technorati Tags: ,

ค่ายเพลงมาแรงโคตรแนวอย่าง Domino Records ที่มีศิลปินอย่าง Arctic Monkeys และ Franz Ferdinand อยู่ในค่าย มีศิลปินมากมาย แต่ยังไม่เคยมีศิลปินหญิงเดี่ยวมาก่อนครับ และเมื่อพวกเขาปล่อยผลงานโดยศิลปินเดียว ก็คาดหวังได้เลยครับ ว่าต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ และก็เป็นจริงครับ เมื่องานของ Anna Calvin หญิงเดี่ยวคนแรก กลายเป็นงานเปิดตัวชั้นเยี่ยมไปครับ

เธอเป็นศิลปินที่มีพื้นฐานด้านการเรียนดนตรีมาอยู่แล้ว และเมื่อเธอเริ่มเล่นกับวงดนตรี อดีตมือกีตาร์ของ the Coral ก็ไปพบเธอเข้า และแนะนำค่าย Domino Records ให้เซ็นสัญญากับเธอ และพวกเขาก็ทำตามนั้น และกลายเป็นการตัดสินใจชั้นเยี่ยม เธอได้แรงหนุนจากกระทั่งรุ่นเก๋าอย่าง Brian Eno เลยทีเดียว ซิงเกิ้ลแรกของเธออย่าง Jezebel ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากAnna Calvi - Anna Calvi %28Official Album Cover%29 Out January 25

จนอัลบั้มเต็มของเธอออกมาเมื่อเดือนมกราคม ก็เป็นงานเพลงที่คลาสสิกมากๆครับ ตั้งแต่เพลงเปิด Rider to the Sea ที่อลังการและเวิ้งว้างจนน่ากลัว แต่ละเพลงของเธอสร้างบรรยากาศเหมือนเรายืนอยู่ในที่ว่างมืดๆกว้างๆ มันงดงามและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน อย่างเช่น No More Words ที่เหมือนดูหนังของ David Lynch เพลง Desire ก็แสนเท่แบบสาวมั่น First We Kiss ก็เพราะแบบเพลงเลานจ์หน่อยๆ เสียงโหยหวลใน The Devil ก็ชวนนึกถึง This Mortal Coil เพลง I’ll be you man ก็เท่แบบอลังการ เหมือนกับ Love Won’t Be Leaving ที่แอบนึกถึง The Doors อย่างน่าประหลาด ส่วนเพลงโปรดผมอีกเพลงคือ Blackout ที่ทั้งอลังการ เกรียงไกร ไล่เรียงอารมณ์เพลงได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยเครื่องสายที่ประกอบมาตลอดเพลงเหมือนกับ The Arcade Fire จนกลายเป็นงานเพลงชั้นเยี่ยม ความเท่ หลุดโลก แหวกแนว และการเว้นระยะห่างของเธอให้เรานึกถึงศิลปินสาวมาดเท่รุ่นพี่อย่าง PJ Harvey (อาจจะเป็นเพราะโปรดิวเซอร์เคยทำงานให้ PJ Harvey มาด้วย)

แม้จะฟังดูเหมือนว่าเธอเอาจุดดีของคนนั้นคนนี้มาผสมกัน แต่จริงๆแล้ว งานเพลงของเธอก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และต้องยอมรับว่ามันเป็นก้าวที่กล้าหาญมากๆสำหรับศิลปินสาวหน้าใหม่ที่ทำงานเพลงแหวกไปจากกระแสขนาดนี้ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นงานเพลงที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งครับ

Sunday, March 13, 2011

Tinie Tempah ดาวดวงใหม่ของเกาะอังกฤษ

Technorati Tags: ,

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมหลงใหลเกี่ยวกับเพลงจากฝั่งอังกฤษนั้น ไม่เพียงแค่ดนตรีร๊อคและป๊อปสุดเจ๋งที่ผมเติบโตมากับมันเท่านั้น แต่วัฒนธรรมของเพลงเต้นรำก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน เพราะนอกจากจะเป็นหม้อต้มยำของวัฒนธรรมเต้นรำที่ผสมผสานดนตรีสารพัดชนิดเข้าด้วยกันแล้ว มันยังเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์จนทำให้มีอัลบั้มที่คลาสสิกชนิดที่เรียกได้ว่าเหนือกาลเวลาอย่าง Timeless ของ Goldie (สมชื่อ) หรือ Music for Jilted Generation ของ The Prodigy ที่น่าทึ่ง และคราวนี้ ดูเหมือนพวกเราจะพบดาวดวงใหม่อีกคนของวงการเต้นรำจากเกาะอังกฤษแล้ว นั่นคือ Tinie Tempahtinie-tempah2

Tinie Tempah (ไทนี่ เทมพาห์ ชื่อจริง Patrick Chukwuemeka Okogwu) เริ่มเข้าวงการเพลงตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 20 เมื่อเขาเริ่มออกผลงานเพลง และได้รับการเปิดตามสถานีวิทยุ และไปร่วมงานกับศิลปินแนง Grime จนไปเข้าตาแมวมองเมื่อเขาขึ้นเล่นที่เทศกาล Wireless Festival ทั้งๆที่เขาพึ่งออกงานใต้ดินแค่ชิ้นเดียว แต่กลับทำให้คนดูเป็นพันเมามันไปกับเพลงของเขาได้ และทำให้แมวมองจากค่าย Parlophone รีบไปเช็คทันที และเมื่อได้พบและลองฟังงานของเขา ค่ายก็ตกลงเซ็นสัญญากับเขาทันที

Pass Out ซิงเกิ้ลเปิดตัวของเขา ในเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่แล้ว กลายเป็นงานฮิตระดับประเทศ เพราะมันขึ้นถึงอันดับหนึ่งของชาร์ตในอังกฤษ และขายได้ถล่มทลาย ซึ่งก็สมควร เพราะมันคืองานเพลงที่รวบยอดเอาความยอดเยี่ยมของวัฒนธรรมเพลงเต้นรำของอังกฤษออกมาได้อย่างเข้มข้น มันมีทั้งจังหวะของดับสเต็ปที่มาแรงแบบสุดๆในช่วงปีที่ผ่านมา ท่อนเบรกด้วยเสียงร้องเพราะจนทำให้นึกถึงเพลง Let’s Push Things Forward ของ The Streets กลิ่นไอของ Grime ท่อนท้ายเพลงที่พลิกผันกลายเป็นจังเกิ้ลไปซะ รวมไปถึงการแร๊พและเนื้อเพลงที่เกี่ยวกับการออกไปเที่ยวเพื่อเมาให้หนำใจจนสลบไป มันจึงสมกับการที่จะมาเป็น Club Anthem ในอังกฤษเสียเหลือเกินครับ ใครอยากรู้ว่าคลับที่อังกฤษเปิดเพลงแบบไหน ฟังเพลงนี้เป็นไกด์ได้เลยครับ

5127804425_f4385ca30a

และมันก็กลายเป็นการเปิดตัวศิลปินใหม่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ และเป็นการเปิดตัวแรงไม่แพ้ศิลปินรุ่นพี่ๆ อย่าง Dizzee Rascal, So Solid Crew หรือ The Streets ในช่วงที่หลายปีผ่านมาเลยครับ กลายเป็นว่าได้เกิดดาวดวงใหม่ประดับวงการเพลงอังกฤษอีกแล้ว และยังเขายังได้ขึ้นเล่นที่เทศกาลระดับช้างเรียกพ่ออย่าง Glastonbury อีกต่างหาก

เขาตามความสำเร็จด้วยซิงเกิ้ลที่สองอย่าง Frisky ที่มาในรูปแบบเดียวกับซิงเกิ้ลแรกคือการผสมผสานดนตรีหลากแนว มาพร้อมกับเบสหน่วงๆที่แน่นสุดๆและท่อนท้ายเพลงที่อัดเป็นจังเกิ้ลแบบเต็มๆให้ได้โยกอย่างสะใจ กับเนื้อเพลงที่เกี่ยวกับการจับคู่ในคลับ และทำให้ชื่อของเขาดังขึ้นมาอีก

เดือนกันยายนปี 2010 เขาออกซิงเกิ้ลที่ 3 ชื่อ Written In Stars ที่พุ่งพรวดขึ้นอันดับ 1 ทันที เขาร่วมงานกับ Eric Turner ศิลปินอเมริกันที่ยังไม่ได้ออกผลงาน โดยมาร่วมร้องและเล่นเปียโนให้ และมันก็เป็นเพลงที่เพราะมากๆครับ ทั้งเสียงร้องของอีริคที่สุดเพราะ จังหวะที่โครมครามแต่ติดหู รวมทั้งเนื้อเพลงที่ให้กำลังใจในการต่อสู้ เขาองก็ยอมรับว่าตัวเองก็เป็นคนธรรมดามาก่อน ท่อน Damn, I used to be the kid that no one cared about. That’s why you have to keep screaming til they hear you out คือท่อนที่กินใจมากๆครับtinie-tempah-live-in-berlin-1294933926-view-0

เขาออกอัลบั้มเปิดตัวในเดือนตุลาคม ชื่อว่า Disc-Overy แต่ก่อนนั้น เขาได้ร่วมกับ Swedish House Mafia ออกซิงเกิ้ลเพลงเต้นรำเต็มตัวชื่อ Miami 2 Ibiza ที่เหมาะกับจะเป็นธีมที่เหมาะสำหรับปาร์ตี้ริมหาดทุกหาดครับ มันเต็มไปด้วยความสดชื่นของหน้าร้อนริมทะเลจริงๆครับ เทียบได้กับ Holiday ของ Dizzee เลยทีเดียว

และตัวอัลบั้มก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับ มันเต็มไปด้วยเพลงที่ยอดเยี่ยมทั้งอัลบั้มจริงๆ นอกจากซิงเกิ้ลทั้งสี่ที่ว่ามา ยังมีอีกสองเพลงที่เป็นซิงเกิ้ลคือ Invincible ที่ร่วมงานกับ Kelly Rowlands กับ Wonderman ที่ร่วมงานกับ Ellie Goulding อีกหนึ่งดาวรุ่งของเกาะอังกฤษ ซึ่งมันก็เยี่ยมทั้งคู่ครับ และยังมีเพลงเพราะๆอย่าง Just a Little หรือดับสเต็ปจ๋าๆอย่าง Simply Unstoppable ที่เด็ดดวงสุดๆ

และจากความยอดเยี่ยมของผลงานเขา ทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัล Brit Awards ถึง 4 สาขาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และคว้าไปถึงสองรางวัลคือ ศิลปินอังกฤษหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และซิงเกิ้ลอดเยี่ยมจากเพลง Pass Out และยังได้ขึ้นเล่นสดในเพลง Wonderman กับ Ellie ได้อย่างยอดเยี่ยมครับ

อย่างที่ผมพูดไว้แต่แรกครับ Disc-Overy คืองานเปิดตัวชั้นเลิศที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้งานเพลงเต้นรำคลาสสิกหลายๆชิ้นจากเกาะอังกฤษครับ และ Tinie Tempah เองก็เป็นศิลปินที่ยังมีอนาคตอีกยาว แต่วันนี้ แนะนำให้ลองฟัง Masterpiece ชิ้นนี้ทันทีครับ

Saturday, March 5, 2011

คำบ่นของคนฟังเพลงและสิ่งที่อยากเห็นจากวงการเพลงไทย

Technorati Tags:

นานทีปีหน นอกจากเขียนวิจารณ์เพลงใหม่ กับแนะนำวงดนตรีแล้ว ผมก็รู้สึกตัวว่า ควรจะเขียนบทความแนวอื่นบ้าง ซึ่งจริงๆ ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับวงการเพลงไทยที่ผมอยากจะเขียนถึงมาหลายครั้งแล้ว

สาเหตุที่อยากเขียนก็เป็นเพราะได้มีโอกาสคุยกับเพื่อต่างวัยชาวอังกฤษ ที่เติบโตมากับยุคที่ดนตรีพังค์รุ่งเรือง และผมก็ถูกถามจังๆว่า ทำไมถึงชอบเพลงฝั่งอังกฤษ โดยเฉพาะพวกที่มีรากฐานของเพลงพังค์ขนาดนั้น แล้วไม่สนเพลงไทยเหรอ เล่นเอาอึ้ง และทำให้คิดขึ้นมาเหมือนกันว่าทำไม

คำตอบที่ตอบไปคือ ส่วนตัวผมเองแล้ว ผมชอบเพลงพังค์ เพราะเนื้อหา และความดิบของมัน มันคือพลังของวัยหนุ่มสาวที่กราดเกรี้ยว พร้อมที่จะทำลายทุกอย่างที่ตัวเองไม่เห็นด้วย เพลงแม้จะสั้น แต่ก็สามารถมีความเป็นขบถมากกว่าชีวิตคนสักคนเสียอีก ผมมองว่า การออกมาต่อต้านสิ่งที่ตนเองไม่เห็นด้วยนั้นเป็นเรื่องปกติมากๆ เพราะคนเราไม่ควรจะเป็นตุ๊กตาหัวสปริงที่มีหน้าที่ผงกหัวตลอด และการที่วัยรุ่นออกมาแหกปากร้องเพลง แสดงว่าเขามีอะไรที่อึดอัดอยู่ในใจอยู่

แล้วเพลงไทยล่ะ ผมเองก็ฟังเพลงไทย ซื้อเพลงของศิลปินไทยอยู่เรื่อยๆเหมือนกัน (ไม่โหลดไม่ซื้อผีแน่นอน) คนไหนดีๆ ผมก็พยายามสนับสนุนอยู่เสมอ ซึ่งก็มีไม่น้อยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นวงรุ่นเก๋าอย่าง ครับ และงานต่างๆของอดีตสมาชิก เบอเกอรี่ยุคแรกๆ ค่ายสมอลรูม ค่ายหัวลำโพง พี่ซี้ด พาราดอกซ์ วงอีเล็กโทรนิกส์เจ๋งๆ และอีกหลากหลาย แต่พอดูๆไป มีน้อยมากครับ ที่วงการเพลงไทยจะทำให้ผมพึงพอใจในเนื้อหาของเพลง ส่วนใหญ่จะชอบแนวเพลงซะมากกว่าrmt1

เพราะเหตุที่ว่า เพลงส่วนมากนั้นมักจะเป็นเพลงที่เนื้อหาวนเวียนอยู่กับความรัก รัก รัก รัก และรัก น้อยมากที่จะมีเพลงที่วิเคราะห์สังคมตรงๆ (แม้จะมีเสียดสีบ้างแบบริชแมนทอย) แต่สุดท้ายแล้ว เพลงที่ขายได้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพลงรักๆใคร่ๆ อกหัก รักคุด เสมอ ไม่ก็จะเป็นเพลงที่ออกมาในแนวสำหรับชนชั้นกลางเสียเหลือเกิน (กินเที่ยวเตร็ดเต่ ไม่สนเรื่องสังคม) ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะว่า เอาเข้าจริงๆ ชนชั้นกลางนั้นเป็นคนส่วนมากของสังคมที่เข้าถึงสื่อ จึงไม่แปลกอะไรที่เพลงจะสนองคนชั้นนี้เสมอ

ดังนั้น เมื่อฟังไป เรามักจะได้ผลงานเพลงที่ออกจะพลาสติกมากเหลือเกิน เพลงสารพัด ต่างพูดถึงเรื่องราวต่างๆอย่างตื้นเขิน ไม่ได้สัมผัสถึง passion ที่มี ไม่มีความ real อยู่ในงานเลย ตัวอย่างง่ายๆคือ เพลง มหานคร ของวงไทยเทเนี่ยม ที่เจ้าตัวก็ยอมรับตรงๆว่าได้ไอเดียจาก Jay-Z แต่ที่ต่างกันคือ ลองฟังเพลงนี้ดีๆแล้ว มันไม่มีอะไรนอกจากการพล่ามไปเรื่อยถึงการไปเที่ยวนู่นนี่ กับเสียงผู้หญิงมากรีดร้องแบบไร้ความหมาย ฟังจบ ใจความที่ได้คือ เขาอยู่ที่กรุงเทพ ไปนู่นมานี่ เท่านั้น แต่ไม่ได้รู้สึกถึงชีวิตคนในกรุงเทพอื่นๆ แม่ค้าหาบเร่ เด็กแวนต์ คนสลัม ไม่ ไม่มี พวกนี้ไม่มีตัวตนในสายตาคนที่ทำเพลงขายตลาดใหญ่หรอกครับ มันทำให้ผมรู้สึกว่าเพลงนี้มันช่างกลวงสนิทเสียนี่อะไร

อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของวงการเพลงคือจุดกำเนิดของศิลปินครับ ที่อังกฤษ วงดนตรีส่วนใหญ่ต้องเล่นเพลงของตัวเองตามผับบาร์ต่างๆจนกว่าจะไปเข้าตาแมวมอง หรือแบบปัจจุบันก็อัพเพลงตัวเองขึ้นเว็บจนเป็นที่เลื่องลือกันในวงการ จนดังได้ (แบบ Arctic Monkeys) แต่มองมาบ้านเรา นักดนตรี (ขอไม่ใช้คำว่าศิลปินนะครับ) กลุ่มหนึ่ง รวมตัวกันมาร้องเพลงของคนอื่น (เน้น คนอื่น) ได้เหมือน โดยเฉพาะเพลงต่างประเทศ อัพขึ้นเว็บ กลับกลายเป็นคนดัง มีคนเรียกศิลปิน ทั้งๆที่สิ่งที่พวกเขาทำคือ การร้องเพลงของคนอื่นได้เหมือน ซึ่งไม่ใช่งานศิลปะ เหมือนให้ผมวาดรูปได้เหมือนปิกัซโซ่ ผมก็เป็นแค่คนก๊อปปี้เท่านั้น น่าตลกที่พวกเขาได้รับการยกย่องทั้งๆที่ยังไม่เคยทำผลงานเพลงแท้ๆ แต่ก็มีค่ายพร้อมจะอุ้มไปจัดการแล้ว ตลกดีครับ อีกอย่างคือ การที่หลายต่อหลายคนชมว่า แหม ร้องเหมือนเจ้าของภาษาเลย มันคือความเป็น provincialism อย่างนึงที่แฝงอยู่ในความคิดเราว่า การทำได้เหมือนต่างชาติ=เก่งและดี ทั้งๆที่คนพูดมักจะชูธงภูมิใจความเป็นไทยแท้ๆ29218-greasy_cafe

ที่ผมบ่นบ้ามาเป็นหน้า ก็เพราะว่า อยากจะเห็นคนรุ่นใหม่ออกมาทำเพลงตามที่อยากทำขึ้นกว่าเดิม ผมอยากเห็นเด็กสลัมร้องเพลงเกี่ยวกับชีวิตเขา เด็กแวนต์ทำเพลงพังค์ นักร้องที่เป็นเพศที่ 3 กล้าทำเพลงเกี่ยวกับเพศที่ 3 ไม่ใช่ต้องติดอยู่ในกรอบร่างกายที่สังคมต้องการให้เป็น กระทั่งเด็กนักศึกษาที่ทำเพลงเพื่อชีวิต ไม่ต้องยึดติดกับกีตาร์โปร่งกับผมยาวก็ได้ครับ ศิลปินในดวงใจคุณที่คุณอยากเลียนแบบขายวิญญาณกันไปหลายคนแล้ว คุณจะทำเพลงแนวไหนก็ได้ จะทำเพลงฮิปฮอปก็ยังได้ ขอแค่เนื้อหามันตรงกับที่คุณต้องการสื่ออกมาก็พอ อย่าติดกับภาพลักษณ์เดิมๆที่ไม่ได้อัพเดตมา30ปีเลย โลกหมุนไป บ๊อบ ดีแลนยังเล่นกีตาร์ไฟฟ้าเลย อย่าติดอยู่กับสิ่งเดิมๆครับ แม้อาจจะไม่ได้สบาย แต่ถ้าคุณเชื่อและมุ่งมั่นในหนทางของคุณ ซักวัน คุณจะประสบความสำเร็จครับ หรือถ้ามันไม่เวิร์กจริงๆ อย่างน้อย คุณก็ได้ทำมันลงไปแล้วครับ