Monday, December 13, 2010

My Chemical Romance: แวมไพร์กลายเป็นฮีโร่ (ภาคจบ)

Technorati Tags: ,

หลังจากที่ประสบความสำเร็จในวงกว้าง และถูกเกลียดโดยสื่อและคนหัวโบราณที่มองพวกเขาว่าเป็นแค่เด็ก Emo ขี้แพ้ เรียกร้องความสนใจเท่านั้น คำถามคือ พวกเขาจะทำอะไรต่อไป และผลที่ออกมาก็คือ อัลบั้มชุfที่สามที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะคิดไว้ได้

พวกเขาเก็บรายละเอียดของอัลบั้มนี้ไว้เป็นความลับ และในคอนเสิร์ตก่อนเปิดอัลบั้ม พวกเขาเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น The Black Parade เพื่อปูทางให้เข้ากับอัลบั้มใหม่ที่ชื่อเดียวกันนั่นเอง และมันก็ไม่มีแวมไพร์อีกต่อไป แต่ Gerard กลับออกมาด้วยภาพลักษณ์ที่น่าตกใจ เพราะเขากัดสีผมตัวเองเป็นสีขาวโพลน เพื่อให้เข้ากับคอนเซ์ปต์ของอัลบั้ม เพราะสำหรับงานครั้งนี้ มันคือเรื่องราวของชีวิตผู้ป่วยโรคมะเร็งขั้นสุดท้ายMy-chemical-romance_stopmusique

The Black Parade ได้ Rob Cavallo โปรดิวเซอร์มือทองเจ้าของ American Idiot มาร่วมงาน และเขาก็ช่วยพัฒนาแนวคิดคอนเซ็ปต์อัลบั้มของวงได้เป็นอย่างดี The Black Parade คือการเดินทางครั้งสุดท้ายของ The Patience ตัวละครเอก ผู้ป่วยมะเร็งขั้นสุดท้ายที่นอนซมในโรงพยาบาล ตั้งแต่เพลงแรก The End ที่เปรยถึงจุดจบของชีวิตเขาเอง ไปจนเพลงสุดท้าย มันเปิดตัวด้วยเพลง Welcome to The Black Parade ซิงเกิ้ลแรกที่เกี่ยวกับภาพหลอนของพาเหรดที่ตัวเอกเคยชมสมัยเด็ก มาปรากฎตรงหน้าเขาก่อนที่เขาจะสิ้นใจไป มันคือพังค์ร๊อคโอเปร่าแบบอลังการเหมือนกับเอาวง Queen มาผสมกับ Sex Pistols และเป็นการเปิดตัวอัลบั้มอย่างงดงามเหลือเกิน ด้วยความยิ่งใหญ่ของเพลงนี้ ทำให้เรารู้แล้วว่า วิสัยทัศน์ของพวกเขานั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ทั้งอัลบั้มวนเวียนอยู่กับจิตใจของ the Patience ทั้งอัลบั้ม ไม่ว่าจะเป็น Mother ที่พูดถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับแม่เขา Teenagers เพลงที่เกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่นของเขา ส่วน I Don’t Love You เป็นบัลลาดซิงเกิ้ลที่โคตรเศร้า เพราะเขาขอร้องคนรักของเขาให้จากเขาไป โดยให้เธอบอกว่า ไม่รักอีกต่อไปแล้ว เพื่อที่เธอจะได้มีชีวิตทีดีกว่า อีกเพลงที่เศร้าไม่แพ้กันคือ Cancer ที่บรรยายภาพชีวิตของคนเป็นมะเร็งออกมาได้อย่างชัดเจน บรรยากาศความเศร้ามันอบอวลไปทั่วเพลง

และเนื้อเพลงที่ค่อยๆคลี่คลายเรื่องราวปานนิยาย ขมวดถึงจุดจบในเพลง Famous Last Words ที่ เป็นซิงเกิ้ลสุดท้าย ที่ทิ้งปริศนาให้เรางงว่า The Patience เป็นเช่นไร ในเมื่อเขาประกาศก้องในวินาทีสุดท้ายว่า เขาไม่กลัวที่จะมีชีวิตต่อไป และไม่กลัวที่จะต้องก้าวเดินอย่างเดียวดาย แต่โดยรวมแล้วมันคืออัลบั้มที่ยอดเยี่ยม ยิ่งใหญ่ และสมบูรณ์แบบจนคนที่เคยโจมตีพวกเขาไว้ต้องหันกลับมามองอีกที พวกเขากลายเป็นวงร๊อคระดับ Monster ไปในทันที (เส้นทางคล้ายกับ Green Day ที่เคยถูกมองว่าเป็นแค่วงพังค์โง่ๆมาก่อน)

พวกเขาสนุกกับความสำเร็จและขยายฐานแฟนออกไปกว้างมาก แต่ความสำเร็จจากงานชุดนี้ทำให้หลายคนสงสัยว่าพวกเขาจะเดินไปในทางไหนต่อ และคำใบ้ก็อยู่ในงาน Desolation Row ที่อยู่ในหนัง Watchmen ที่เป็นงานคัฟเวอร์เพลงเก่ามาเป็นเพลงพังค์แบบดิบๆ มันสะใจไปอีกแบบ

หลังจากเงียบไปให้แฟนๆรอเกือบสี่ปี พวกเขาก็กลับมาทำงานชุดใหม่ และแฟนๆก็ได้ตะลึงอีกครั้ง เพราะหลังทำเรื่องเครียดของคนเป็นมะเร็งมาแล้ว พวกเขาเลือกทำเพลงร๊อคเบาสมองเกี่ยวกับโลกอนาคตที่ถูกเหล่าร้ายครอบงำ และพวกเขาคือฮีโร่ที่จะมากอบกู้โลกใบนี้ ผมสีขาวถูกย้อมเป็นสีส้ม พร้อมกับเสื้อผ้าหลุดโลก และเพลงร๊อคแบบที่พร้อมจะเติมเวทีขนาดยักษ์ได้ทุกแห่ง และชื่อของงานชิ้นนี้คือ Danger Days: The True Lives of the Fabulous Killjoys

header-you-are-not-in-this-alone-killjoys2

พวกเขาเปลี่ยนโทนของเพลงจากที่มืดหม่น มาเป็นเพลงที่แหกคอก และสร้างความหวังให้กับโลกที่มืดหม่นแทน มันคือการ์ตูนไซไฟแอคชั่นชั้นดีที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเพลงก็ว่าได้ เริ่มตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรก Na Na Na ที่เป็นเพลงพังค์เบาสมองแบบไม่ต้องคิดอะไรเลย คล้ายกับเพลงอื่นๆในอัลบั้มที่เป็นเพลงพังค์สะใจเช่นกัน เช่น Party Poison และ DESTROYA เพลงที่แหวกแนวออกมามากๆคือ Planetary (GO!) ที่มีส่วนผสมของดิสโกผสมลงไปด้วย Bulletproof Heart ก็ทำให้ผมนึกถึง The Who ขึ้นมาตะหงิด เพลง Summertime ก็เป็นเพลงที่น่าจะสดใสที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยทำออกมาแล้ว คล้ายกับเพลง The Kids From Yesterday ที่น่าฟังขณะขับรถทางไกลจริงๆ ถ้าอยากจะได้บรรยากาศเก่าก็ต้องเพลง Save Yourself, I'll Hold Them Back ส่วนเพลงที่น่าจะเติมเต็มเวทีใหญ่ๆได้สบายก็อย่าง The Only Hope For Me Is You และ Sing ซิงเกิ้ลที่สองที่ชวนแฟนเพลงแหกปากตามได้เป็นอย่างดี Danger Days คือก้าวใหม่ที่กล้าหาญของพวกเขาที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งครับ ยิ่งถ้าพยายามตามเรื่องทั้งหมดแล้วจะสนุกเอาเรื่องเลย ลองดู MV ใน Youtube ก็ได้ครับ โคตรสนุก

My Chemical Romance - danger-days-true-lives-fabulous

My Chemical Romance ผ่านอะไรมาเยอะกว่าจะได้เป็นขวัญใจของคนในวงกว้าง ด้วยความสร้างสรรค์อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยของพวกเขาจริงๆ ทำให้การรอคอยอัลบั้มแต่ละชิ้นของพวกเขาเป็นความสนุกอย่างแท้จริงครับ

Saturday, December 4, 2010

My Chemical Romance: แวมไพร์กลายเป็นฮีโร่ (ภาคต้น)

Technorati Tags: ,

ในชีวิตของคนที่ฟังเพลง มักจะมีวงที่สำคัญต่อชีวิตเป็นอย่างมากด้วยสาเหตุแตกต่างกัน สำหรับผม มีหลายวงเหมือนกัน และอีกวงหนึ่งที่ผมรักมาก จนอยากจะเขียนถึงแบบมือกระดิกแทบไม่หยุด แต่ก็หาจังหวะไม่ได้ซะที จนในที่สุด พวกเขาก็ออกอัลบั้มใหม่ออกมา ไม่มีตอนไหนเหมาะกว่านี้อีกแล้วครับ เชิญพบกับ My Chemical Romance สองตอนรวดครับ0904_my_chemical_romance_b

การจะพูดถึง My Chemical Romance (MCR) คงต้องเริ่มต้นที่ชีวิตของนักร้องแกนนำของวง Gerard Way (เจอราร์ด)ก่อน เพราะเขาเป็นเหมือนทุกอย่างของวงเลยทีเดียว Gerard โตมาในย่านชานเมืองนิวเจอร์ซีย์ ที่ไม่ปลอดภัยนัก เขาเคยโดนทั้งเอาปืนจ่อกบาล เจอศพของแก๊งที่ยิงกันตายมาแล้ว แต่เขาก็ยังมีศรัทธา ด้วยความชอบงานศิลปะ เขาก็ได้เป็นนักวาดการ์ตูนให้ Cartoon Network (หาดู Magic Breakfast Monkey ได้ครับ) แต่เหตุการณ์ 9/11 ที่เขาเห็นมันเกิดขึ้นต่อหน้าตัวเอง ทำให้เขาคิดได้ว่า ชีวิตสั้นเกินกว่าที่จะปล่อยไปวันๆ เขาจึงตัดสินใจทำสิ่งที่อยากทำมาตลอด นั่นคือ ตั้งวงดนตรี

เขาเริ่มวงกับ Matt Pelissier (แมตต์ กลอง) และดึงเอา Ray Toro (เรย์) มาเล่นกีตาร์ ตามมาด้วย Mikey Way (ไมกี้)น้องชายของ Gerard มาเล่นเบส ก่อนจะได้ Frank Iero (แฟรงค์) มาเล่นกีตาร์อีกคน กลายเป็นจุดเริ่มต้นของวง พวกเขาเรียกตัวเองว่า My Chemical Romance จากชื่อหนังสือที่ Mikey เจอ

0904_my_chemical_romance_aพวกเขาเริ่มแต่เพลงของตัวเอง โดยแนวเพลงของพวกเขาคือพังค์ผสมกับเมทัล ส่วนเนื้อเพลงมักจะปนเปกันไป ทั้งเรื่องชีวิต ผีดิบ และ แวมไพร์ พวกเขาได้สัญญากับค่าย Eyeball Records และออกผมงานชิ้นแรกในลักษณะอินดี้ ชื่อว่า I Brought You My Bullets, You Brought Me Your Love ในปี 2002

ในช่วงแรก พวกเขายังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แม้ว่ามันจะเป็นอัลบั้มที่น่าสนใจมาก แต่มันยังไม่โดดเด่นกว่าวงอื่นมากนัก พวกเขาผสมเอาสารพัดสิ่งที่พวกเขาชอบลงไปในงานเพลงของพวกเขา แม้แนวหลักจะเป็นพังค์ แต่พวกเขาก็ใส่ไลน์กีตาร์สวยๆจากฝีมือของ Ray เข้าไปเสมอ ทำให้มันได้อารมณ์แตกต่างไป ยิ่งตัวอย่างเช่นท่อนอินโทรเพลง Headfirst For Halos นั้นเหมือนกับมาจาก Van Halen บวกกับ Queen จริงๆครับ ส่วน Vampires Will Never Hurt You ที่เป็นซิงเกิ้ล ก็มันแบบไม่หยุดหย่อนเหมือนกัน แล้วยังมีเพลงเจ๋งๆอย่าง Skylines And Turnstiles ที่เกี่ยวกับ 9/11 และ Cubicles ที่เกี่ยวกับความรักในออฟฟิส อีกด้วยครับ

พวกเขาเปิดตัวได้ไม่เปรี้ยงปร้างนัก แต่ก็เริ่มดังแบบปากต่อปาก ผมเองก็รู้จักพวกเขาจาก NME ที่แนะนำ Gerard ใน Cool List ปี 2003 ว่าเหมือนกับร่างจุติของ Billy Corgan (ทั้งหน้าทั้งเสียง) กับปกใน Funeral for a Friend ที่สมาขิกวงสวมเสื้อของ MCR ด้วย ดูท่าทางว่า เส้นทางของพวกเขาจะมีแสงสว่างอยู่รำไรเหมือนกัน

พวกเขากลับไปทำงานชุดที่สอง ที่เป็นงานชิ้นแรกกับค่าย Reprise ค่ายเพลงเมเจอร์ที่เซ็นสัญญากับพวกเขามา และมันก็กลายเป็นงานที่ชื่อ three Cheers For Sweet Revenge ที่เป็นงานที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย พวกเขาถูกตราว่าเป็นวง Emo เพราะเนื้อเพลง และภาพลักษณ์ที่เริ่มมียูนิฟอร์มและแต่งหน้า แต่ใครจะสนเมื่อพวกเขาทำเพลงที่โคตรมันได้ขนาดนี้ ส่วนตัวอัลบั้มนั่น เป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่เกี่ยวกับชายหนุ่มที่จะพยายามต่อสู้เพื่อเอาชีวิตของแฟนสาวเขาคืนมาจากซาตาน ซิงเกิ้ลแรก I’m Not Okay (I Promise) กลายเป็นเพลงชาติของEmoไปเรียบร้อย เพลงเด่นเพลงอื่นก็อย่าง Helena ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ Thank You For The Venom ที่โชว์ฝีมือกันเต็มที่ (ชุดนี้กีตาร์ทั้งสองเด่นมากครับ) ส่วนอีกเพลงโปรดผมที่ค่อนข้างน่าขนลุกคือ Cemetery Drive อัลบั้มนี้ใส่อารมณ์ความสะใจกันเต็มๆครับ และเนื้อเพลงแบบทำลายตัวเองและความตายของพวกเขาก็ทำให้พวกเขากลายเป็นเป้าโจมตีของสังคมไป แต่สุดท้าย พวกเขาก็ถือว่าประสบความสำเร็จในวงกว้างอย่างงดงามครับ และพร้อมที่จะครองโลกในอีกไม่ช้า0604_my_chemical_romance_a

แม้จะเป็นวงร๊อค แต่เนื้อใน พวกเขาเป็นเด็กเนิร์ดชนิดเข้าใส้ พวกเขาเลือกเล่นเกมแทนไปเมาเหล้า และเป็นพวกสบายๆจริงๆกว่าที่คิดครับ ปี 2004 ผมอยู่ที่ญี่ปุ่น พวกเขามาเล่นคอนเสิร์ต ตอนที่พึ่งออกอัลบั้มที่สอง เลยยังไม่ดังมาก ผมกับเพื่อนอเมริกันไปเดินเล่นก่อนเริ่ม ดันไปเจอ Ray กับ Mikey ที่ร้านรองเท้า พอเข้าไปทัก พวกเขาก็คุยโคตรดี แถมให้ผมช่วยพูดภาษาญี่ปุ่นหารองเท้าคอนเวิร์สสีชมพูให้แฟนอีกตะหาก ติดดินโคตรๆครับ ส่วนตอนเล่นคอนเสิร์ตในไลฟ์เฮาส์ Gerard ก็ตะโกนมาเล่นกับเพื่อนผมฝรั่งบ้านเดียวกันอย่างสนุก แถมรับมุข America! Fxxk Yeah! จาก Team America ซะด้วย ไม่รักไม่ได้ครับ และผมก็ดีใจมากๆที่วงที่เชียร์มาตั้งแต่ยังไม่ดังเลย กลายเป็นวงดังระดับบิ๊กเบิ้มไปแล้ว

แต่ผมพลาดไปหน่อยตรงที่ พวกเขาจะยิ่งใหญ่กว่าที่ผมคาดคิดไว้ซะอีกครับ เพราะอะไร ติดตามตอนต่อไปครับ

Tuesday, November 30, 2010

Interview with the Charlatans

Technorati Tags: ,

ก่อนที่คอนเสิร์ตจะเล่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์วง The Charlatans ซึ่งเป็นครั้งแรกของผมในการสัมภาษณ์วงดนตรีจริงๆ และเนื่องจากผมเป็นแฟนของวงนี้มานาน มันจึงเหมือนการที่ได้คุยกับวงที่ชอบมากกว่าสัมภาษณ์อีกครับ

Q: หลายวงในยุค Brit-Pop มาเมืองไทย วงอย่าง Suede Shed Seven หรือกระทั่ง Mansun มาเพื่อสร้างฐานแฟนเพลง ซึ่งพวกเขาทำสำเร็จ ที่สงสัยคือ ทำไมคุณไม่มาช่วงนั้น แต่กลับเลือกมาตอนนี้

A: Martin มันขึ้นอยู่กับหลายอย่างครับ เช่น กับค่ายเพลง หรือเอเจนต์ จริงๆแล้ว การมาเมืองไทยอยู่ในแผนการของเรามาตลอด แต่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเราก็เริ่มจริงจังกับแผนการทัวร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น แต่ปกติแล้ว กับเอเชีย เราก็ไปญี่ปุ่นทุกครั้งที่มีอัลบั้มใหม่ออกครับ

Q: แล้วสนุกกับเมืองไทยไหมครับ

A: Tim พวกเราสนุกมาก มาได้ 3 วันแล้ว เราได้ไปไหนมาไหนหลายที่ แต่ก็อยากเห็นอีก บางทีก็ชอบความวุ่นวายในเมือง เพราะบางที มันก็เหมือนกับไม่มีกฎระเบียบอะไรเลย แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็มีความสงบอยู่เหมือนกันครับ

IMG_6921

Q: พวกคุณตั้งวงมาได้ 20 กว่าปีแล้ว หลายวงได้แยกกันไป แต่พวกคุณยังอยู่เหนียวแน่น อะไรทำให้พวกคุณอยู่กันได้นานขนาดนี้โดยไม่มีการพักงานหรือแยกวงเลย

A: Mark คิดว่าเป็นการทำเพลงครับ เวลาเราเบื่อ เราก็พยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ทำให้เราไม่รู้สึกว่า วงถึงทางตัน และรู้สึกสดชื่นตลอด เราจะได้ทดลองเรื่อยๆ

Tim ผมคิดว่าตอน Primal Scream และ Charlatans ออกมา MSP ออกมา สิ่งที่พวกเรามีเหมือนกันคือ พวกเรามีเป้าหมายชัดเจน แม้แนวเพลงจะแตกต่างกัน แต่ว่าพวกเราส่งผลกระทบต่อผู้คน และแชร์กลุ่มแฟนเพลงกัน

Q: ส่วนความสัมพันธ์ในวงล่ะครับ เหมือนพี่น้องกันเหรอ

A: Tim เราไม่ใช่คนที่รวมตัวอยู่กันแบบหลวมๆครับ พวกเราสนิทกันมาก

Q: พวกคุณทำเพลงหลากหลายแนวทาง ทั้งผสมร๊อคเข้ากับดนตรีเต้นรำ ดังนั้นคุณสามารถปรับตามยุคสมัยได้เสมอ อย่างการทำเพลงกับ The Chemical Brothers นั่นทำให้คุณอยู่ในวงการได้ยาวนานหรือเปล่าครับ

A: Tim ตอนพวกเราออกมาใหม่ๆ เราทำรีมิกซ์เยอะเหมือนกัน อย่าง The Chemical Brothers ก็มาจากพื้นเพเดียวกัน และเราก็ทำงานหลายอย่างด้วยกันมาก่อนเกือบ 5 ปี กว่าผมจะไปร้องให้พวกเขา และพวกเขาตอบแทนด้วยการมิกซ์เพลงให้ น่าจะเป็นเพราะดนตรีอีเล็กโทรนิกส์มันดังในช่วงนั้น เราก็เลยลองทดลองดู ไม่ใช่ว่าทำเพราะขายได้ เหมือนกับยุค Brit Pop ที่เราก็ผ่านมันมา พวกเรามาก่อนมัน และอยู่รอดหลังจากนั้นได้ มันก็มาแล้วไป พวกเราก็ไม่ได้วิ่งหามันนัก แต่ก็รับอิทธิพลมาเหมือนกัน

Q: ในความเห็นของพวกคุณ อะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างในช่วง 20 ปีที่คุณอยู่ในวงการมา

A: Martin วิธีที่ผู้คนเข้าถึงดนตรีครับ ก่อนหน้านี้ผุ้คนไปร้านแผ่นเสียง ซื้อซีดี แต่ตอนนี้ นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แทน

Q: อินเตอร์เน็ตได้ฆ่าวงการเพลงหรือไม่

A: Martin มันทั้งฆ่า และส่งเสริมไปพร้อมๆกันครับ การดาวน์โหลดเพลงส่งผลกระทบมาก ถ้าเพลงถูกดาวน์โหลดฟรี วงก็ตายแน่นอน

Q: การทำอัลบั้มเป็นไปได้ยากขึ้นหรือไม่ ในเมื่อผู้คนสนใจแต่จะฟังเป็นเพลงๆไป

A: Mark ผมคิดว่าคนยังเชื่อในคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มอยู่ และมันกำลังกลับมาครับ วงใหม่ๆหลายวงที่น่าสนใจ อย่าง The Horrors ก็ทำเพลงแบบเน้นโครงสร้างอัลบั้ม พวกเราอยากให้มีวงแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆครับ มากกว่าที่จะสนใจขายพลงไม่กี่เพลง

Q: คุณมาที่ไทย ที่มีปัญหาเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมาก คุณออกไปแล้วเห็นแผ่นเถื่อนมากมาย คุณคิดว่าอย่างไรบ้าง

A: Tim ผมก็คิดว่า มันช่วยอะไรไม่ได้ เหมือนกับอินเตอร์เน็ตล่ะครับ มันก็ต้องมีของแบบนี้อยู่แล้ว เหมือนกับแต่ก่อนที่คนบอกว่า การก๊อปปี้เทพเพลงจะทำลายดนตรี แต่ยุคสมัยมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆล่ะครับ เราไม่ได้เป็นห่วงอะไรมาก

Mark สิ่งที่คุณก๊อปปี้ไม่ได้คือ ประสบการณ์จากการแสดงสดครับ นั่นทำให้ปัจจุบัน วงหลายวงหันมาให้ความสำคัญกับการแสดงสดมาก เพราะว่า นั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถก๊อปปี้ หรือดาวน์โหลดผ่านอินเตอร์เน็ตได้ครับ

Q: คำถามสุดท้ายนะครับ พวกคุณคิดอย่างไรกับรีลลิตี้โชว์อย่าX-Factor (รายการประกวดร้องเพลงเหมือนกับ AF บ้านเราแต่ดังกว่ามากๆ)

A: Martin มันก็ทำตามเป้าหมายของมันนะครับ มันโชว์ให้เห็นว่าดนตรีป๊อปทำอะไรได้บ้าง มันเป็นแค่ความบันเทิงเท่านั้น แค่ทีวี

Tim ผมค่อนข้างสงสารคนที่ทำมันนะ เพราะว่ามันเหมือนกับของปลอมๆ พอๆกับ เฮโรอีนสังเคราะห์

Mark ผมไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่ากลัวอะไร เราคงไม่ต้องกลัวผู้ชนะการประกวดหรอกครับ

Martin ก็เหมือนกับคาราโอเกะนั่นแหละครับ วัยรุ่นชอบมัน ป้าๆยายๆชอบมัน ก็คงโอเค

Tim ผมเกลียดยายผมนะ ฮ่าๆ แต่พวกเรารักมันมากๆ (ประชด)

หลังจากสัมภาษณ์ ก็ได้คุยนอกรอบกับทางวงหน่อย ซึ่ง Tony ดูท่าทางจะสนใจกล้องผมมาก ชวนคุยซะยาวเลย จริงๆแล้ว ได้คุยเรื่องวง The Verve กับ Pete ด้วยครับ แต่เขาขอเป็นนอกรอบ เลยเว้นไว้ดีกว่า เดี๋ยวครั้งหน้า กลับมาเจอคอลัมน์แบบปกติแล้วครับ เล่น the Charlatans ซะ 3 ตอนติดเลย

ขอเนียนด้วย

Saturday, November 20, 2010

The Charlatans Live in BKK รอมานาน มันโคตรๆ

Technorati Tags: ,

หลังจากที่ผมเกริ่นไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วถึงการจะมาเปิดคอนเสิร์ตในไทยของวง The Charlatans ในที่สุด วันที่วงเล่นจริงๆก็มาถึงแล้วครับ และก็เป้นวันที่ผมและรวมถึงหลายๆคนรอคอยมานานอย่างแน่นอนครับ

เริ่มต้นความตื่นเต้นจากวันแถลงข่าว ที่ทางวงออกมาอย่างพร้อมหน้ากันในวันที่ 18 พย. ที่โรงแรมเรดิสัน ซึ่งแม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็เห็นได้ว่าวงค่อนข้างสนุกและตื่นเต้นกับการมาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ น่าเสียดายที่ Jon Brookes มือกลองของวงไม่สามารถเดินทางมาด้วย (ไม่ทราบสาเหตุครับ) แต่ทางวงก็ได้ Pete Salisbury มือกลองจาก The Verve มาเล่นให้แทนครับ วันต่อมา ผมได้สัมภาษณ์ทางวงด้วย เดี๋ยวถ้าแกะเทปเสร็จ และที่ผมอัดไว้ไม่มีปัญหา ก็คงจะได้อ่านกันสัปดาห์หน้าครับ

หลังจากงมหาทางไปนครินทร์เทียเตอร์ เพราะผมไม่เคยไปมาก่อน และฝ่ารถติดแบบโคตรๆกว่าชั่วโมงกว่า ก็มาเจอจนได้ เป็นฮอลล์ที่แปลกดีครับ เหมือนเป็นพื้นที่ไว้จัดคอนเสิร์ตชั่วคราว แต่ขนาดก็กำลังดี ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป คนเพียบครับ เท่าที่ดูก็มีต่างชาติเกือบ 70% ของคนที่เขามาดูครับ

วงแรกที่เริ่มเล่นก่อนคือวง The Standards วงลูกครึ่งไทยอังกฤษ (อังกฤษ 2 ไทย 3) ที่ผมได้ซีดีมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ฟัง ขึ้นมาเล่น น่าตกใจที่ แม้จะเป็นวงที่ตั้งในไทย แต่ผมว่าคุณภาพเข้าขั้นใช้ได้เลยทีเดียวกันครับ พวกเขาทำเพลงร๊อคผสมนิวเวฟที่โจ๊ะเอาเรื่อง เสียงคีย์บอร์ดช่วยให้วงนี้มีกลิ่นที่ต่างออกไปจากวงอื่นครับ ฟังดูอินเตอร์ใช้ได้เหมือนกัน น่าเสียดายที่ตลาดวงการเพลงไทยอาจจะยังไม่พร้อมสำหรับพวกเขาก็ได้ เพราะไม่น่าจะใช่แนวที่วัยรุ่นไทยชอบ แต่นักฟังเพลงน่าจะรักกันได้ไม่ยากครับ

IMG_6959

และวงต่อมาที่ขึ้นเล่นคือ Abuse The Youth ที่ผมเคยดูพวกเขามาก่อนแล้ว และยังเป็นวงที่เล่นดนตรีได้มันเหมือนเดิม จุดด้อยน่าจะเป็นนักร้องนำที่เสียงยังไม่โหดพอที่จะเล่นแนวแหกปาก บางที การร้องแบบวง Ash หรือ Weezer น่าจะเหมาะกับเขามากกว่าก็เป็นได้ และครั้งนี้ วงมีเซอร์ไพรซ์คือ พวกเขาเล่นเพลงที่เป็นภาษาไทยด้วยครับ คาดว่าน่าจะเป็นเพลง คืนสุดท้ายของแสงไฟ ซิงเกิ้ลล่าสุดของพวกเขา โดยรวมก็มันใช้ได้ครับ

IMG_7000

และหลังจากรอมานาน The Charlatans ก็ขึ้นเล่นซะทีครับ ผมได้โอกาสไปถ่ายรูปหน้าเวที เลยทำให้ได้รูปที่พอใช้ได้ แม้จะเป็นกล้องที่ไม่ได้ฉลาดมากอย่าง G9 พวกเขาเริ่มต้นด้วยเพลง Then ที่จากอัลบั้มใหม่ (ที่วางขายครั้งแรกในงานนี้ครับ) เพลงแรก แฟนอาจจะยังไม่คุ้น แต่เพลงอินโทรสอง Weirdo ขึ้นมาปุ๊บ แฟนรุ่นเก๋า (รวมทั้งผม) เฮกันหมดครับ เพราะมันคือหนึ่งในเพลงดังพวกเขาเลยทีเดียว และตามมาด้วยเพลง Can’t Get Out of Bed ที่แฟนเพลงสาวๆชอบกันเหลือเกิน เฮกันทั้งฮออล์ครับ

IMG_7024

ถึงตรงนี้ สิ่งหนึ่งที่ผมคิดคือ ทำไม Tim ดูเหมือน Ian Brown เอามากๆ ทั้งหน้าตา ทรงผม นี่ถ้าเปลี่ยนท่าควงไมค์ของทิม เป็นท่าลิงของ Ian คงเหมือนกันมากๆ เพลงต่อมาที่พวกเขาเล่นคือ Blackened Blue Eyes เพลงดังรุ่นเก่า ก่อนจะคั่นด้วย Smash The System เพลงใหม่ แล้วค่อยกลับมาที่ You’re So Pretty – We’re So Pretty กับ One to Another ที่แฟนพันธุ์แท้ร้องตามกันได้อย่างเพลิดเพลินครับ และอีกเพลงคือ My Beautiful Friend แล้วก็เป็นสามเพลงใหม่ครับ นั่นคือ Oh! Vanity จากชุดก่อน แล้วก็ My Foolish Pride และ Intimacy เล่นเอาแฟนเพลงงงๆเหมือนกัน แต่เมื่อ The Misbegotten กลับมา คนก็เฮกันอีกรอบครับ ดูเหมือนพวกเขาจัดลิสต์มาเอาใจแฟนจริงๆครับ

IMG_7169_resize

และบรรยากาศมาพีคสุดเมื่ออินโทรของเพลงสร้างชื่ออย่าง The Only One I Know ฮอลล์แทบแตกครับ แถวหน้าที่ผมอยู่ ทั้งเต้น ทั้งร้องตาม แล้วเซิร์ฟกันอย่างเมามัน ได้เหงื่อแล้วครับ และเมื่อพวกเขาตามมาด้วยเพลง North Country Boy คนก็ยิ่งโยกอย่างเมามันยิ่งกว่าเดิมครับ โคตรสนุก นี่แหละครับ ปรสบการณ์ที่ไม่สามารถดาวน์โหลดได้จากที่ไหน มันต้องมาเองครับ พวกเขาปิดท้ายด้วย This is the End จาก You Cross My Path ครับ

IMG_7160_resize

และพวกเขาก็กลับมาอีกครั้งในช่วงอังกอร์กับเพลง Love is Ending ที่เป็นเพลงใหม่เหมือนกัน และปิดท้ายด้วย Sproston Green เพลงเก่าจาก Some Friendly ที่ท้ายเพลง แจมกันอย่างเมามันจริงๆครับ เรียกเสียงเฮได้เยอะมากก่อนที่จะจบการแสดงที่ตรงนั้น

เรียกได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตที่โคตรมัน และคุ้มเงินมากๆครับ พวกเขาใส่กันแบบไม่มียั้งจริงๆ เล่นเอาวงรุ่นน้องน่าจะอายได้เลยครับ เสียดายที่ขาดเพลง Love is the Key ไป ไม่งั้นคงจะเติมได้เต็มจริงๆครับ แต่เท่านี้ ก็มันเหงื่อซกแล้วครับ หวังว่าปีหน้าจะมีโปรโมเตอร์ใจดี เอาของแบบนี้มาให้ได้เฮกันอีกนะครับ

Monday, November 15, 2010

The Charlatans: Live in Bangkok

Technorati Tags: ,

บางที ความสุขมันก็มาหาเราแบบไม่ทันตั้งตัวเหมือนกันนะครับ หลังจากที่ได้ไปดูคอนเสิร์ตของ Vampire Weekend หลังจากชีวิตแล้งคอนเสิร์ตมานาน ก่อนงานจะเลิก ก็มีคนแจกแผ่นพับเล็กๆ แต่เนื้อหาใหญ่คือ วง The Charlatans กำลังจะมาเล่นคอนเสิร์ตในไทย โอว ใครจะเชื่อว่าช่วงเวลาไม่นานแบบนี้ จะมีของดีมาให้ดูบ่อยขนาดนี้ นี่ผมอยู่ในช่วงปี 95-97 รึเปล่านี่ ที่วงต่างชาติวนมาเมืองไทยเป็นว่าเล่น

นักฟังเพลงรุ่นใหม่ อาจจะไม่ค่อยคุ้นกับวงนี้ แต่สำหรับรุ่นที่โตมากับยุค Brit-Pop อย่างผม The Charlatans คือหนึ่งในวงระดับเต้ยของวงการ เพราะว่า พวกเขายังอยู่ ยังยืนยงอยู่ในวงการเพลงมาถึงยี่สิบกว่าปีแล้วครับ เด็กบางคนยังไม่เกิดเลยครับ พวกเขามาก่อนยุค Brit-Pop เสียด้วยซ้ำ และเมื่อจบยุคนั้น พวกเขาก็ยังคงอยู่อย่างเหนียวแน่น ซึ่งวงที่ผมคิดว่าอยู่ทนนานแบบนี้ เหลือไม่กี่วงเองครับ เท่าที่นึกออกตอนนี้ก็มี Manic Street Preachers และ Primal Scream เท่านั้นเองครับ

CharlatansUK

The Charlatans เริ่มฟอร์มวงในช่วงปลายยุค ’80 โดยมีสมาชิกดั้งเดิมคือ Tim Burgess (ทิม ร้องนำ) Rob Collins (ร๊อบ คีย์บอร์ด) Martin Blunt (มาร์ติน เบส) John Baker (จอห์น กีตาร์) และ Jon Brookes (จอน กลอง) และเริ่มต้นจากการออกซิงเกิ้ลแรกที่ชื่อ Indian Rope ด้วยตัวเอง และมันก็กลายเป็นเพลงฮิตในแวดวงอินดี้ เพราะช่วงนั้น กระแสดนตรีแนว Baggy หรือ Madchester กำลังเป็นที่นิยมจากการเบิกทางของ The Stones Roses ทำให้พวกเขาก็กลายเป็นหนึ่งของกระแส Madchester ไปในทันที

หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้ค่ายเพลงอย่างเป็นทางการและเริ่มออกผลงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งซิงเกิ้ลแรกหลังจากเซ็นสัญญาคือ The Only One I Know เพลงที่เป็นเหมือนเพลงเด่นประจำวง ที่ถ้าพูดถึง The Charlatans ก็ต้องเพลง the Only One I Know เพราะมันคือเพลงสร้างชื่ออย่างเป็นทางการเนื่องจากมันทะยานไปติด Top 10 ของซิงเกิ้ลชาร์ตในอังกฤษเลยทีเดียว ซึ่งความสำเร็จนั้นก็ส่งผ่านไปยังอัลบั้มแรก Some Friendly ที่กลายเป็นงานเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

the_charlatans_1024x768

แม้ผลงานชุดต่อมาอย่าง Between 10th and 11th จะไม่ได้ทำยอดขายดีนัก แต่ซิงเกิ้ลดัง Weirdo ก็ทำให้พวกเขาไม่หายไปจากเรดาร์ แต่พวกเขาก็ต้องเจอปัญหาใหญ่ เมื่อ Rob ถูกจับกุม เพราะความซวยที่ดันไปขับรถให้เพื่อน โดยที่ไม่รู้ว่าเพื่อนจะไปปล้น เลยเจอข้อหาสมรู้ร่วมคิด และติดคุกไป 4 เดือน ก่อนจะกลับมาและออกอัลบั้ม Up to Our Hips ในปี 1994 และมี Can’t Get Out of Bed เป็นซิงเกิ้ลเด่น ก่อนที่จะกลับมาประสบความสำเร็จในวงกว้างกับอัลบั้มชื่อเดียวกับวงในปี 1995 ที่มีเพลง Just When You're Thinkin' Things Over เป็นเพลงดังในช่วงเดียวกับการเบ่งบานของดนตรี Brit-Pop และเทรนด์ Cool Britain

แต่ในขณะที่เหมือนอะไรกำลังจะไปได้ดี ข่าวร้ายก็มาเยือน เมื่อ Rob เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับ กลายเป็นเรื่องโศกเศร้าของทางวงไป แต่พวกเขาก็ยืนหยัดต่อ และออกอัลบั้มชั้นเยี่ยมอย่าง Tellin’ Story ในปี 1997 ที่มีเพลงดังอย่าง North Country Boy และ How High และพวกเขาก็รักษาคุณภาพงานของตัวเองมาได้ตลอดไม่ว่าจะเป็นอัลบั้ม Us and Us Only ในปี 1999 ที่มีเพลงเด่น Forever และตามด้วย Wonderland ในปี 2001 ที่มีเพลงเด่นมากๆอย่าง Love is the Key และเพลง You’re So Pretty – We’re So Pretty อีกด้วย

the-charlatans

พวกเขายังโชว์ความเก๋าเกมในอัลบั้ม Up at the Lake ในปี 2004 กับ Simpatico ในปี 2006 ที่มีเพลง Blackened Blue Eyes ก่อนจะออกผลงานชิ้นที่ 10 ชื่อ You Cross My Path ในปี 2008 กับค่ายอิสระอีกครั้ง และเป็นก้าวที่กล้าหาญมากครับ

และปีนี้ พวกเขาจะมาเล่นคอนเสิร์ตที่เมืองไทย พร้อมเปิดตัวผลงานล่าสุด Who We Touch ในวันเดียวกับคอนเสิร์ตเลยนะครับ แน่นอนว่ามีของขวัญพิเศษสำหรับแฟนที่ซื้อแผ่นในงานด้วยครับ สำหรับแฟนเพลงรุ่นเก่า ก็หวังว่าจะเจอกันในงานนะครับ ส่วนแฟนรุ่นใหม่ที่อยากทำความรู้จักวงรุ่นเก๋า ก็เชิญครับ ที่ Nakarin Theatre วันศุกร์ ที่ 19 เดือนนี้ครับ บัตรหาได้ที่ thaiticketmajor นะครับ บอกได้คำเดียวครับว่า พลาดไม่ได้จริงๆสำหรับแฟนเพลงทั้งหลาย ส่วนผมเองก็เอาแผ่นเก่าๆมาซ้อมไว้แล้วครับ แล้วเจอกันนะครับ

Monday, November 8, 2010

Toyota Classic: Ochstra Citta Di Firenze กับวิชามารยาท 101

Technorati Tags: ,

วันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผมพบตัวเองในเสื้อสูทตัวเต็มยศ รองเท้าหนังเงาแว้บ ยืนอยู่ที่หน้าศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะแปลกปลอมสำหรับตัวผมอยู่มาก สาเหตุที่ผมต้องทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคยคือ ผมกำลังจะได้ชมคอนเสิร์ตออเคสตราเป็นครั้งแรกในชีวิต ในงาน Toyota Classics ประจำปี 2010 ที่ได้วง Orchestra Citta Di Firenze วงออเครสตราชื่อดังจากนครฟลอเรนซ์ ที่รวมรวมนักดนตรีฝีมือดีเข้ามา เพื่อเล่นเพลงแชมเบอร์ หรือเพลงดังๆที่แต่งโดยผู้ประพันธ์ชาวอิตาลี

ทีแรก ผมเองก็ไม่ได้รู้ข่าวมาก่อน จนแฟนผมที่ทำงานที่โตโยต้ามาบอกว่า บริษัทจะจัดงานคอนเสิร์ตการกุศล ผมเลยตกลงใจไปดูทันที เพราะว่านอกจากได้ฟังเพลงคลาสสิกสดๆแล้ว ยังได้ทำการกุศลด้วย ราคาบัตรที่ซื้อก็ถือว่าถูกมาก ยิ่งถ้าไปเทียบกับวงเกาหลีหรือ AF แต่พอทราบทีหลังว่า สมเด็จพระเทพก็ทรงเสด็จในงานนี้ด้วย เลยเกร็งๆหน่อย เพราะไม่คุ้นกับงานระดับนี้ครับ001

พอถึงวันงาน ผมก็ยืนรอแฟนและเพื่อนอยู่หน้างานท่ามกลางคนญี่ปุ่นและคนไทยไฮโซทั้งหลาย เห็นว่างานปีนี้คนเยอะกว่าปีก่อน อาจจะเป็นเพราะว่ามีแขกรับเชิญอย่าง อ๊อฟ ปองศักดิ์ มาร่วมร้องเพลงด้วย เลยมีแฟนเพลงของอ๊อฟมาร่วมงานนี้ด้วย และพองานจะเริ่ม ก็ค่อยๆเดินเข้าไปในฮอลล์ครับ และสิ่งที่ทำให้ผมผงะคือ ผมแต่งตัวมาร่วมงานแบบเต็มยศ แต่คนอื่นๆที่อยู่ในชั้นเดียวกัน กลับมาแบบสบายๆมากๆ แถมยังมีกางเกงยีนส์ หรือรองเท้าแตะ เล่นเอาผมงงไปนิดหน่อย ว่าตัวเองเวอร์ไปรึเปล่า แต่ก็คิดได้ว่า แต่ดีไป ดีกว่าแต่งแย่ไปเสมอ ก็นั่งรอไป ฮอลล์ก็ดูดีครับ ท่าทางระบบเสียงจะโอเคเลย ต่างคนก็รอกันไป กดมือถือกันไป มีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ด้วย แทบไม่เห็นใครศึกษาโปรแกรมที่ได้รับแจกเลยครับ

หลังจากประกาศเตือน สิลปินก็เริ่มทะยอยเข้ามา คนก็เริ่มเก็บมือถือและเงียบ เฮียที่อ่านหนังสือพิมพ์ก็พับหนังสือพิมพ์เก็บแบบเสียงดังไม่เกรงใจใครอยู่ซะนาน เล่นเอารำคาญใช้ได้ น่าสงสารนักดนตรีครับ

งานเริ่มด้วยการที่วงเล่นเพลงพระราชนิพนธ์สองเพลงคือ เทวาพาคู่ฝัน และ อาทิตย์อับแสง โดยการควบคุมวงของ Lorenzo Castritota Skanderberg และตัวเพลงก็ได้รับการเรียบเรียงอย่างดี ถือว่าไพเราะมากครับ จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงการแสดงหลัก นั่นคือเริ่มต้นด้วยเพลง Ombra mai fu ของ Handel จากเรื่อง Serse ที่ได้นักร้องเสียงเทเนอร์ประจำวง Leonardo Melani มาขับขาน ซึ่งก็ออกมาน่าประทับใจมากครับ น้ำเสียงทรงพลังมากๆครับ ก่อนจะต่อด้วย เพลงบรรเลง Preludio (Act1) จาก La Traviata ที่บอกตามตรงว่า แม้ผมจะไม่ใช่แฟนเพลงคลาสสิก แต่ก็เคยผ่านหูเพลงเหล่านี้มาบ้าง แม้จะไม่รู้ชื่อเพลงครับ

และนักร้องก็กลับออกมาอีกรอบกับเพลง Tu Che M’ Hai Pres il Cour ของ Frank Lehar ก่อนที่จะส่งเวทีคืนให้กับเพลง Torna a Surriento ที่เป็นเพลงบรรเลงของ Ernesto de Curtis ที่คุ้นหูอีกเพลงครับ

มาจนถึงตอนนี้ ผมก็ได้ฟังเพลงอย่างเพลิดเพลิน แต่เริ่มตะหงิดเมื่อเห็นคนควักเอามือถือมากดเล่น จนสงสัยว่า หนีจากโรงหนัง ก็ยังมาเจอคนประเภทนี้ อยากจะบอกว่า ออกไปเถอะครับ เพราะคุณกำลังทำลายมารยาทของการฟังเพลงเป็นอย่างยิ่งครับ ถ้าอยากจะคุยแชตกันขนาดนั้นก็ออกไปข้างนอกเถอะครับ และเท่านั้นยังไม่พอ บางคนยังถ่ายรูปแบบเห็นๆครับ ทั้งๆที่ก็ชัดเจนแล้วว่ามีป้ายบอกเป็นภาษาไทยและอังกฤษชัดเจนว่า ห้ามถ่ายภาพขณะแสดง ไม่น่าจะโง่พออ่านไม่ออกกันนะครับ บอกตรงๆว่ารบกวนศิลปินมากๆครับ มารยาททรามมากๆ

กลับมาเรื่องการแสดง เพลงต่อมาคือ La tragenda ของ Puccini จากเรื่อง Le villi และตามมาด้วยเพลงดังอย่าง Granada ของ Augustin Lara ก่อนจะปิดท้ายช่วงแรกด้วยเพลง Funiculi-Funicula ของ Luigi Denza ที่คุ้นหูผมเป็นอย่างมาก เพราะมันถูกนำม่ใช้ประกอบโฆษณาเห่ยๆของคลินิคศัลกรรมในนาโกย่า เล่นเอาผมและแฟนกลั้นเสียงหัวเราะแทบไม่ไหว (ยังดีที่เงียบต่อได้) ก่อนจะไฟพักเบรกกัน

เมื่อกลับมา ศิลปินรับเชิญอย่างอ๊อฟก็ออกมาร้องเพลง ชีวิตลิขิตเอง ของพี่เบิร์ด ตามด้วยเพลง จุดอ่อนของฉันอยู่ที่หัวใจ ของเขาเอง ซึ่งจริงๆ อ๊อฟเป็นนักร้องที่เสียงดี และวงก็เล่นดี เพียงแต่ พอมาผสมกัน กลับกลายเป็นไปกันคนละทางอย่างน่าเสียดาย อาจจะเป็นเพราะการใช้ไมค์ ทำให้เสียงออกมาแปร่งไปก็ได้

และวงก็เข้าสู่การแสดงหลักด้วยเพลงยาก 3 เพลงคือ Le nozze di Figaro เพลงชื่อดังของอัจฉริยะ Mozart ที่วงเล่นได้อย่างแสนเพลิดเพลิน ตามด้วย La gazza ladra Sinfonia ของ gioacchino Rossini อีกเพลงที่บรรเลงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ก่อนจะปิดท้ายด้วยเพลงยาวมากๆอย่าง Giovanna d’Arco Sinfonia ที่แบ่งออกเป็นสามท่อน โดยช่วงกลางจะหม่นหมองหน่อยครับ และวงก็เล่นปิดได้อย่างสนุก ก่อนจะกลับมาอังคอร์กับอีกเพลง (ที่ผมไม่รู้จัก) เรียกเสียงตบมือได้เป็นอย่างดีจริงๆครับ

เสร็จงาน ผมออกมาอย่างประทับใจ แม้จะรำคาญคนมารยาทแย่ทั้งหลายที่ไม่เกรงใจคนอื่นเลยครับ แต่โดยรวมก็ยังถือว่าดีครับ ก็รอให้โตโยต้าจัดอีกทีปีหน้าล่ะครับ

Monday, November 1, 2010

Belle & Sebastian โคตรอินดี้

Technorati Tags: ,

วงดนตรีบางวง ผมอยากจะเอามาเขียน แต่ก็ยังหาโอกาสไม่ได้ เพราะว่าไม่มีวาระให้เขียนถึง จู่ๆจะเขียนเลย มันก็แปลกๆ ต้องรอให้ออกผลงานก่อน (ซึ่งบางวงก็ดันไม่รู้จักออกงานใหม่ซะที) และบางวงถึงผมจะอยากเขียน แต่ก็ไม่ค่อยกล้า เพราะว่า ถ้าวงนั้นยิ่งใหญ่ในระดับเป็น cult ไปเมื่อไหร่ หากผมพูดไม่ถูกใจ ก็คงโดนสาวกถล่มเอาได้ง่ายๆ (ขอคิดต่างบ้างสิวะ ไม่ต้องชม ไม่ต้องซึ้งอย่างเดียวได้มั้ย) แต่ครั้งนี้ ผมก็ได้โอกาสเขียนถึงวงโคตรอินดี้ของจริงอีกวงหนึ่ง โดยไม่ขอสนพวกสาวกล่ะครับ วงนั้นคือ Belle & Sebastian

800px-belle_and_sebastian_british_band

Belle & Sebastian (ขอย่อว่า BS ล่ะกัน) คือวงที่เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นวงดนตรีเหมือนวงอื่นๆนัก ในขณะที่วงอื่นตั้งวง เพื่ออยากทำเพลง อยากดัง แต่สองแกนนำ (ถ้าไม่ตั้งใจมาก จะเป็นแกนนอน รึเปล่า) ของวงอย่าง Stuart Murdoch และ Stuart David เริ่มทำงานเพลงเพื่อส่งงานอาจารย์อาจารย์ในวิชาการบริการจัดการดนตรี ซึ่งงานคือการส่งซิงเกิ้ลปีล่ะแผ่นให้กับค่ายเพลงของมหาวิทยาลัย และเมื่อค่ายเพลงของมหาวิทยาลัยประทับใจกับผลงานที่ออกมา ทำให้พวกเขาได้รับอนุญาตให้ออกอัลบั้มเต็มได้

และเมื่อโอกาสมาถึง Belle & Sebastian (ชื่อมีที่มาจากรายการทีวีที่ทำจากนิยายเด็กของฝรั่งเศสเกี่ยวกับเด็กและหมาตามชื่อ) พวกเขาก็ออกอัลบั้มแรก Tigermilk ในวงจำกัด แค่ 1000 แผ่น ในปี 1996 ในครั้งแรก และมันก็กลายเป็นผลงานที่ทำให้โลกภายนอกได้รู้จักพวกเขามากขึ้น มันเป็นงานเพลงอินดี้ป๊อป ฟังสบายๆ ชวนฝัน และมีเอกลักษณ์ของตนเองเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่า แหวกไปจากวงอื่นๆในตอนนั้น และปัจจุบัน แผ่นเสียงล๊อตนี้ก็ถูกเปลี่ยนมือกันในราคาถึง 400 ปอนด์ต่อแผ่น

และเมื่อพวกเขาได้รับคำชมขนาดนั้น Belle & Sebastian ก็เปลี่ยนสถานภาพจากวงชั่วคราว กลายเป็นศิลปินเต็มตัวไป และได้เซ็นสัญญากับค่าย Jeepster Records และออกวางขายผลงานชิ้นที่สองในปีเดียวกัน นั่นคือ If You’re Feeling Sinister และมันก็กลายเป็นงานระดับตำนานเมื่อสื่อพากันเทใจเชียร์งานชิ้นนี้อย่างออกนอกหน้า ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจครับ เพราะว่า งานชิ้นนี้มันระดับมาสเตอร์พีซจริงๆ เพลงแทบทุกเพลงในอัลบั้มสามารถตัดออกมาวางขายเป็นซิงเกิ้ลได้หมดครับ มันคือความงามแบบไร้ที่ติจริงๆ ถ้าใครอยาจะออกเดินทางท่อยุโรปด้วยการนั่งรถไฟ นี่คืออัลบั้มที่คุณอยากจะติดไว้ใน iPod ของคุณแน่นอนครับ

นอกจากนั้น พวกเขายังออก EP ชั้นเลิศออกมาอีกสามแผ่นคือ Dog on Wheels, Lazy Line Painter Jane และ 3.. 6.. 9 Seconds of Light ที่กลายเป็นงานคลาสสิกไปอีก ก่อนที่จะออกงานชิ้นที่สาม นั่นคือ The Boy with the Arab Strap ในปี 1998 ที่เป็นงานชิ้นแรกจริงๆของพวกเขาที่ผมได้ฟัง และทึ่งไปกับวงๆนี้ หลังจากได้อ่านเกี่ยวกับพวกเขามานาน และเป็นอีกครั้งที่ แม้เพลงจะไพเราะแบบน่ารัก ชื่ออัลบั้มเตือนให้เรานึกได้เสมอว่า พวกเขายังคงแอบใส่เรื่องเพศแบบแปลกๆ หรือรักร่วมเพศในผลงานของเขาเสมอ เป็นอีกครั้งที่พวกเขาทำงานเพลงชั้นเยี่ยมออกมาครับ

หลังจากงานชิ้นที่สาม ผมก็ได้รับอุปการะคุณจากอาจารย์และเพื่อนชาวอังกฤษของผม แบ่งปันงานใหม่ๆของ BS มาให้ผมฟังเสมอ เพราะเขาชอบฟังเพลง และเป็นอดีตนักเขียน และการที่จะหาคนคุยเรื่องวงพวกนี้ในเมืองอย่างขอนแก่นคงไม่ง่ายนัก

จากงานสามชิ้นแรก ทำให้พวกเขากลายเป็นวงอินดี้ระดับสถาบัน ที่มีแฟนอย่างเหนียวแน่น และทำเพลงออกมาเมื่อไหร่ ก็ขายได้เสมอ และยังรักษาคุณภาพของตนเองได้เป็นอย่างดี แม้จะเสียสมาชิกหลักไปสองคนอย่าง stuart David ที่ไปตั้งวง Looper และ Isobell Campbell ที่ไปเป็นศิลปินเดี่ยว และออกงานร่วมกับม Mark Lanegan แต่ Belle and Sebastian ก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ผ่านผลงานสารพัดที่พวกเขาขยันผลิตออกมาเสมอ

และในปีนี้ พวกเขาก็ไม่ได้ทำให้สาวกรอคอยนานนัก ด้วยการออกงานใหม่ Write about Love ที่ยังเป็นงานที่เต็มไปด้วยคุณภาพตามมาตราฐานของพวกเขาเป็นอย่างดี เพลงเด่นสารพัดอยู่เต็มอัลบั้ม ไม่ว่าจะเป็น Write About Love ที่ ร้องคู่ Carey Mulligan ที่เป็น งานออกจะโจ๊ะๆ ชวนยักย้านส่ายสะโพกหน่อย น่ารักดีครับ อีกเพลงหนึ่งที่คิดว่าน่าจะดังต่อไปคือ Little Lou, Ugly Jack, Prophet John ที่ได้เสียงหวานๆของ Norah Jones มาร่วมเจื้อยแจ้งด้วย คลาสสิกครับ นอกจากนี้ เพลงเปิดอัลบั้มอย่าง I Didn’t See It Coming ก็ช่างยอดเยี่ยม และงดงามเหลือเกินครับ เป็นอีกอัลบั้มที่ช่วยจรรโลงใจผมขณะเจอกับสภาพรถติดแบบไม่เคลื่อนตัวได้จริงๆครับ Write About Love คืองานที่แสดงหเห็นถึง คุณภาพ ฝีมือ และความเก๋าของวงที่อยู่ในวงการมาอย่างมั่นคงเป็นเวลาเกินทศวรรษจริงๆครับ

Monday, October 25, 2010

Vampire weekend: Live

Technorati Tags: ,

21 ตุลาคม 2010 PM 5.40 สนามบินนาริตะ ญี่ปุ่น (เวลาท้องถิ่น) ผมกำลังนั่งรอนกเหล็กหมายเลข JL707 ที่จะพาผมกลับเมืองไทยหลังจากเสร็จภารกิจในประเทศญี่ปุ่นเรียบร้อย การเดินทางคนเดียวเป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างจะชอบ เพราะมันได้บรรยากาศเหงาๆดีเหมือนกัน สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมงงนิดหน่อยก็คือ ทำไมเที่ยวบินจากโตเกียวมาไทยเที่ยวบินนี้มีฝรั่งเยอะจัง ก็เอาแต่คิดว่าอาจจะเป็นเพราะว่าเป็นเที่ยวโค้ดแชร์กับสายการบินอเมริกันก็ได้ อย่างตรงข้ามผม มีชายหนุ่มผิวขาวร่างท้วม ทำผมโมฮอว์คซ่าเชียว กำลังจิ้มเครื่องแมคของเขาตลอด คิดว่ามันก็ดูเทีดีแฮะ

22 ตุลาคม 2010 PM 8.45 เวลาประเทศไทย ผมยืนอยู่หน้าเวทีคอนเสิร์ตของวง Vampire Weekend ที่ทันเดอร์โดม เมืองทองธานี หลังจากฝ่ารถติดแบบสุดๆมาได้ แม้จะไม่ทันมาดูวงเปิดอย่าง 25 Hours แต่การมาทันดูวงหลักก็ยังดี แถมยังได้เจออาจารย์สมัยม.ปลาย และพี่ซี้ด ดีเจและนักเขียนฮีโร่ในใจด้วย

หลังจากเซ็ตเสียงเสร็จ วง Vampire Weekend จากอเมริกาก็เดินออกมา และทันใดนั้นเอง คำว่า “ยึดเป็ด” ก็หลุดออกจากปากของผมทันที เพราะไอ้หนุ่มโมฮอว์คที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมนั้น จริงๆแล้วก็คือ Rostam Batmanglij มือกีตาร์ของวงนั่นเอง เล่นเอาผมรู้สึกโง่ไปในทันที นั่งตรงข้ามกันแท้ๆ แต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้ทำตัวเป็นร๊อคสตาร์อะไรนักหนา แต่ดูออกจะเหมือนกับนักศึกษากำลังท่องเที่ยวเท่านั้นเอง

IMG_6794_resize

พวกเขาทั้งหมดออกมาในชุดสบายๆ ส่วน Ezra นักร้องนำของวง ก็ใส่แค่เสื้อลายสก๊อตตาใหญ่เหมือนผ้าขาวม้า กับกางเกงขาเต่อ และรองเท้าแล่นเรือใบเท่านั้น พวกเขาไม่พูดพล่ามทำเพลงครับ เริ่มต้นเปิดงานด้วยเพลง Holiday ทันที เล่นเอาแฟนๆ (โดยเฉพาะสาวๆ) เฮฮากันอย่างเต็มที่ ส่วนนักเขียนอย่างผมก็ได้แต่กดชัตเตอร์เก็บภาพอย่างเต็มที่ด้วยกล้อง Canon G9 คู่ใจ ที่แม้จะไม่โปรมาก แต่ก็ถือว่าใช้งานได้ดีเลยทีเดียว (ดูจากรูปประกอบได้ครับ) เมื่อจบเพลง Holiday พวกเขาก็ต่อด้วย White Sky ก่อนจะเรียกเสียงฮือฮาด้วย Cape Cod Kwassa Kwassa ที่แฟนเพลงรู้จักกันดี และเมื่อจบเพลง ผมก็ต้องออกมาจากแถวหน้า เนื่องจาก ทางวงอนุญาตให้นักข่าวถ่ายภาพแค่สามเพลงครับ จึงต้องออกมาสนุกต่อข้างนอกแทน ส่วนพวกเขาก็เริ่มทักทายแฟนๆบ้างครับ

หลังจากนั้นพวกเขาก็ขนเพลงสารพัดสารพันของพวกเขาออกมาให้แฟนๆได้สนุกกันอย่างเต็มที่ครับ โดยเรียงไปเลยตั้งแต่ I Stand Corrected, M79, Bryn และ California English เรียกเสียงกรี้ดได้ตลอดครับ

IMG_6817_resize

เมื่อมีเวลามองไปรอบๆงาน ผมสังเกตได้ว่าในงานมีคนผิวขาวเยอะมากๆครับ จนอาจจะพอๆกับคนไทยเลยก็ได้ (กลุ่มเพื่อนที่ผมไปด้วยก็มีทั้งอังกฤษทั้งญี่ปุ่น) เรียกได้ว่า แรงหนุนจากแฟนเพลงที่อยู่ในต่างประเทศก็ไม่เลวเลยจริงๆครับ เพลงต่อมาที่พวกเขาเล่นคือ Cousins, Taxi Cab, Run และเพลง A-Punk ที่เรียกเสียงกรี้ดและเฮจากแฟนๆได้เยอะมากๆครับ โดยเฉพาะช่วง เฮ้ เฮ้ เฮ้ เฮ้ ที่แหกปากตามกันอย่างสนุกครับ แล้วค่อยต่อด้วย One (Blakes got a new face) อีกทีครับ

อีกเพลงที่พวกเขางัดออกมาเรียกเสียงกรี้ดต่อคือ Giving Up The Gun ที่เป็นเพลงโปรดของผม เพราะบีตมันหนักหน่วงเสียเหลือเกินครับ สนุกกันอย่างเต็มที่ ก่อนจะต่อด้วย Campus และปิดท้ายเซ็ตด้วยเพลงป๊อปหนุงหนิงอย่าง Oxford Comma เป็นการปิดท้ายเซ็ตอย่างสวยงาม ก่อนที่จะเดินออกไปกันครับ

และตามฟอร์มที่ต้องมีการคอรัสครับ (เลิกก็ดีครับ เบื่อ เล่นให้มันสะใจรวดเดียวไปเลยดีกว่า) พวกเขากลับมาโดยที่ Ezra เปลี่ยนกางเกงเป็นกางเกงมวยไทย นอกเวทีคงใส่แบบนี้ไม่ไหวล่ะครับ และเพลงที่พวกเขาเลือกกลับมาคือ Horchata เพลงเด่นอีกเพลง ก่อนที่จะตามด้วยเพลงเกี่ยวกับเมืองแห่งการศึกษาอย่าง Boston แล้วก็เล่น Mansard Roof เพลงเปิดอัลบั้มแรกต่อ ผมกำลัง้ริ่มคิดว่าเขาจะเอาเพลงไหนมาปิดท้ายให้แฟนๆได้สนุก เพราะพวกเขางัดเอาทีเด็ดออกมาเกือบหมดแล้ว แต่ผมกลับลืมว่ายังมีเพลง Walcott เพลงแสนสนุกจากอัลบั้มแรกอยู้ และมันก็เป็นเพลงปิดท้ายเซ็ตได้อย่างงดงามจริงๆครับ แม้ว่าจะคอนเสิร์ตนี้จะสั้นไปหน่อย (แค่ราวชั่วโมง แต่ผมขับรถมาเกือบสองชั่วโมง) แต่ก็ถือว่าสนุกเอาเรื่องจริงๆครับ

หลังจากจบงานแล้ว ยังมีการเปิดแผ่นของพี่ซี้ดต่อให้แฟนเพลงอินดี้ได้ฟังอย่างเพลิดเพลินครับ ผมเองก็นั่งฟังซักพักก่อนจะขอตัวกลับมาเขียนงานนี่แหละครับ ระหว่างนั้น มีคนเอาประกาศมาบอกว่า วันที่ 19 พฤศจิกายน จะมีคอนเสิร์ตของวงรุ่นเก๋าอย่าง The Charlatans มาให้ได้ชมอีก คงไม่พลาดล่ะครับ

IMG_6804_resize

IMG_6834_resize

Saturday, October 9, 2010

Music One และ Jay Sean Mini Live

Technorati Tags: ,

เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้รับเทียบเชิญไปงานเปิดตัว ซึ่งปกติ ผมเป็นคอลัมนิสต์ ไม่ใช่นักข่าวสายตรง มักจะไม่ไปงานพวกนี้ เพราะว่า ไม่ค่อยรู้จักคน และไม่ตรงกับงานเขียนนัก แต่กับงานนี้ มีสองเหตุที่ทำให้ผมต้องรีบโทรไปแจ้งคุณฮั้ว พีอาร์ของค่ายวอร์นเนอร์ที่ขยันส่งเพลงใหม่ๆมาให้ผมได้ฟังเสมอๆ ว่าจะขอเข้าร่วมงานด้วย

เหตุผลแรกคือ Music One ที่ว่า คือการรวมตัวของยักษ์ใหญ่ของวงการเพลงในไทยอย่าง Warner, Sony Music และ Universal รวมไปถึงค่ายอื่นอย่าง KPN, Love Is และ Revol อีกด้วย นอกจากนี้ ยังไปดึงเอาเครื่อธุรกิจต่างๆทั้งห้างสรรพสินค้า มือถือ กระทั่งโรงหนัง ทำเอาผมสงสัยว่า มันจะเป็นอะไรกัน จนอยากไปค้นหา อีกอย่างหนึ่งคือ ในงาน จะมีการจัด Mini Live ของศิลปินเชื้อสายอินเดียที่โด่งดังไปทั่วแล้วอย่าง Jay Sean (อ่านบทความเก่าเกี่ยวกับเขาได้ที่ http://sljkz.blogspot.com/2010/07/jay-sean.html) ที่ผมเองก็ติดตามเขามาตั้งแต่อัลบั้มแรกแล้ว งานนี้ เลยไม่พลาดครับ

ไปถึงที่จัดงานที่ร้าน ฟาลาเบลล่า ช่วงเย็น กลายเป็นงานระดับบึ้มเลยครับ คนเพียบ น้องๆเพรตตี้ในงานก็น่ารักซะ เล่นเอาหวิวใจเพราะไปคนเดียวเหมือนกัน มองไปทางไหนก็เจอแต่คนหน้าคุ้นๆ คนในวงการทั้งนั้น แต่ด้วยความที่ผมอ่อนด้อยเรื่องวงการบันเทิงไทย เลยไม่ค่อยรู้ว่าใครเป็นใคร ที่แน่ๆคือเห็นพี่บอย โกสิยพงศ์ คนนึงล่ะครับ

พองานเริ่ม ก็เปิดงานด้วยการแสดงของน้องๆนักร้องของ KPN ที่ออกมาโชว์เสียง ก่อนที่คุณพีเค พิธีกรจะมาเริ่มแนะนำงาน และแนะนำผู้มีเกียรติ ซึ่งก็เป็นคนใหญ่โตของแต่ละค่าย ออกมาอธิบายถึง Music One ที่ขอบอกตามตรงว่า ตอนนี้ เท่าที่ผมเข้าใจคือ การขายเพลงในรูปแบบดิจิตอลโดยการร่วมมือกันของค่ายเพลง โดยผ่าน เว็บไซต์ App ของมือถือ หรือว่า โทรไปที่ *248 ซึ่งผมมองว่าเป็นทางเลือกที่ดีในการปรับตัวเข้ากับยุคสมัยครับ ซึ่งน่าจะเปิดตัวในวงกว้างแบบเต็มรูปแบบอีกที เพราะตอนนี้ ยังจับคอนเซ็ปต์ได้เท่านั้น อาจจะรวมไปถึงการนำศิลปินมาแสดงในไทยอีก อย่างเช่น Lady Gaga, Justin Bieber กระทั่ง Bon Jovi ซึ่งตรงนี้ ผมต้องขอมองยาวๆครับ เพราะแล้งคอนเสิร์ตมานานแล้ว อยากจะหาอะไรดูเต็มทีแล้วครับ แม้จะยังจับอะไรได้ไม่มาก แต่ว่า ได้เห็นยักษ์จับตัวกันกลายเป็นยักษ์มหึมาแบบนี้ ก็คาดหวังได้ไม่เลวครับ01

หลังจากแถลงการและถ่ายรูป ก็เป็นกิจกรรมบันเทิงครับ โดย ศิลปินไทยคนแรกที่ขึ้นเล่นคือ ดัง พันกร ที่ออกมาร้องเพลงชุดแดง และเจ้าชู้คนตาย กับอีกเพลงก่อนจะกลับไป แต่งานนี้ มีทีเด็ดที่แดนเซอร์ชาย (?) ที่เต้นคั่นแทนอาภาภรณ์ นครสวรรค์ได้กระแดะมากครับ ตามมาด้วย สิงโต นำโชค ชายหนุ่มกับเพลงสบายๆที่เขาได้แรงบันดาลใจจากการไปอยู่ที่ภูเก็ต เพลงสไตล์ Jack Johnson ฟังสบายๆครับ

คนต่อมาคือ แชมป์ จากค่าย Love Is ที่ปิดท้ายเซ็ตด้วยเพลง Man in the Mirror ของ Michael Jackson ได้อย่างงดงามครับ วงต่อมาคือ Singular ที่ดังจากเพลง 24/7 งานเพลงเป็นแนวออกจะเลาจ์หน่อยๆ นิ่มๆ หลายคนในงานชอบมาก และกรี้ดนักร้องหนุ่มหน้าสวยกันลั่นครับ

ตามมาด้วยวง Link Corner ที่เล่นกันได้มัน สนุกดีครับ นักร้องนำไฮเปอร์เอามากๆ ก่อนจะปิดท้ายเซ็ตศิลปินไทยด้วยวง 25 Hours ที่กำลังดังจากเพลงประกอบหนังเรื่อง กวน มึน โฮ ก็ทำให้คนในงานได้เฮกันหมดครับ พวกเขาเปิดตัวด้วยอินโทรยังกับวง The Who เลยครับ ฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆครับวงนี้ สนุกมากๆ02

และไม่นาน ก็ได้เวลาที่ผมรอมานาน รอบตัวผมเริ่มเต็มไปด้วยวัยรุ่นเชื้อสายภารตะ และทันทีที่ดีเจเซ็ตชุดเทิร์น เทเบิ้ลเสร็จ Jay Sean ก็ออกมาเปิดตัวกับเพลง Do You Remember ให้สาวได้กรี้ดกันหมด ก่อนที่เมื่อจบเพลงที่สอง Ride Itเขาจะบอกว่า เคยมาเล่นที่ไทยมาก่อน แต่ตอนนั้น มีคนน้อยมากๆครับ และก็ยังคุยเล่น โชว์ลีลา Beatboxing ระดับเทพ ก่อนจะงัดเอาเพลง Eyes On You ที่ทำเอาหลายคนงง เพราะมันคือเพลงแรกของเขาตั้งแต่สมัยอยู่ที่อังกฤษนู่นครับ ส่วนผม ดีใจที่ได้ฟังเพลงตามเขามาตั้งแต่เพลงนี้นี่แหละครับ ก่อนจะงัดสองเพลงใหม่คือ Ain’t Got You และ 2012 มาเรียกเสียงกรี้ดอีกรอบ เขาเล่นไม่หวงตัวเลยครับ เนื่องจากเวทีมันเล็ก และเตี้ย ทำให้เขาเดินขึ้นลงในหมู่คนดูตลอดครับ สนุกจริงๆ ก่อนจะส่งท้ายด้วยเพลงฮิตโคตรอย่าง Down ที่เล่นเอาสาวๆในงานระทวยกันไปหมดครับ และปิดท้ายงานแถลงข่าวนี้ได้อย่างสุดแสนสนุกจริงๆครับ

03

Monday, October 4, 2010

Chief – Modern Rituals

Technorati Tags: ,

chief-modernrituals

งานเพลงของสี่หนุ่มจากแคลิฟอร์เนีย ที่ข้ามฟากไปเรียนที่นิวยอร์ก และได้ไปเซ็นสัญญากับค่ายสุดเท่อย่าง Domino Records ที่อังกฤษ และจากส่วนผสมเบื้องต้น ทำให้เราได้วงดนตรีที่จับเอาส่วนดีของทั้งสามที่มาสมกันจนกลายออกมาเป็นงานโฟลค์ร๊อคชั้นเยี่ยม

งานของพวกเขาผสมเอาเสียงกีตาร์แบบวงรุ่นพี่อย่าง The Beach Boys หรือ กระทั่ง My Morning Jacket เมื่อบวกกับ เสียงร้องของนักร้องทั้งสอง ที่ อีวาน โคกา จะยานคางคล้ายกับ Richard Ashcroft และ แดนนี่ ฟูจิคาวะ ออกจะหนักไปทางวง Doves ของฝั่งอังกฤษ ผสมเข้ากับซาวนด์แบบวงจากอังกฤษอย่าง Coldplay หรือ Travis จนได้งานเพลงที่ฟังได้สบายๆ และติดหูจนเราสามารถฮัมเพลงตามได้สบายๆ แต่ละเพลงทั้งไพเราะและงดงามจริงๆครับ

ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Breaking Walls ช่างงดงามไร้ที่ติด ทั้งเสียงร้อง และเสียงกีตาร์ที่คลอไปตลอดเพลง และตัวเพลงยังมีกลิ่นแบบคันทรี่อเมริกา ชนิดที่ทำให้เราอยากหารถ Corvette เก่าๆไปขับข้ามรัฐทางตอนใต้ของอเมริกาไประหว่างฟังเพลงนี้เลยครับ ส่วน In the Valleys ก็โชยกลิ่นของ The Verve ออกมาจางๆครับ You Tell Me ก็มีบรรยากาศคล้ายงานชั้นดีของ Elbow ในขณะที่ Summer's Day และ Nothing's Wrong ก็เป็นเพลงที่เร็วและสดใสเหมือนหน้าร้านในแคลิฟอร์เนียครับ

อัลบั้ม Modern Rituals ของวงหน้าใหม่ Chief แม้จะได้อิทธิพลมาจากศิลปินหลายราย แต่พวกเขาก็สามารถสร้างเสียงที่เป็นตัวของตัวเองออกมาได้อย่างดี และเป็นงานที่โชว์ฝีมือของวงหน้าใหม่ที่จัดจ้านเอาเรื่องครับ

Underworld – Barking

Technorati Tags: ,

underworld-barking การกลับมาอีกครั้งของวงโปรเกรซซีฟเฮาส์วงโปรดของผมที่เคยเขียนถึงไปเมื่อตอนเข้ามารับหน้าที่นี้ใหม่ๆเมื่อสามปีก่อน และเป็นงานชุดที่สามของวงตั้งแต่กลับมาเป็นวงคู่หูอีกครั้งหลังจากการจากไปของ ดาเรน เอเมอร์สัน (แยกวงครับ ไม่ได้ตาย) และทุกครั้งพวกเขาก็ทำดนตรีเต้นรำในแบบที่พวกเขาถนัดได้เสมอ และสิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับเพลงของวงนี้มากคือ มัน Timeless หรือ อกาลิโก มากๆครับ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี เมื่อเอาออกมาฟังก็ไม่มีการตกยุค เชย หรือล้าสมัยเลยครับ งานหลายๆชิ้นยังเป็นงานมาสเตอร์พีซที่ฟังได้ไม่มีเบื่อครับ ไม่ว่าจะเป็น Born Slippy (NUXX) เพลงขวัญใจของเด็กแนวยุคบุกเบิก Jumbo ที่โคตรมหึมาสมชื่อ King of Snakes ที่เร็วปานรถไฟเหาะ และ Two Months Off เป็นกระแสคลื่นแห่งความสุขที่ถาโถมมาอย่างไม่หยุดหย่อน

และการกลับมาครั้งนี้ พวกเขาก็ยังพกมาตราฐานความยอดเยี่ยมของพวกเขามาด้วยครับ แต่ละเพลงยังคงเป็นเพลงเต้นชั้นยอดแบบที่แสดงให้เห็นถึงความเก๋าเกมของพวกเขาได้เป็นอย่างดีเลย แต่ที่มาแปลกกว่างานเก่าๆคือ งานชิ้นนี้ พวกเขาเลือกที่จะร่วมงานกับโปรดิวเซอร์หลากหลาย ทำให้งานเพลงแต่ละชิ้นมีกลิ่นที่แตกต่างกันออกไปตามโปรดิวเซอร์ที่โปรดิวซ์งานให้พวกเขา และเพลงที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนคือ Scribble ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มนี้ ที่กลายเป็นงานเพลง Drum and Bass ตามแบบที่ High Contrast โปรดิวเซอร์ของเพลงถนัด เล่นเอาแฟนขาประจำอย่างผมงงไปเหมือนกันครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรังเกียจอะไร กลับเป็นโอกาสดีที่จะให้วงทดลองกับแนวเพลงใหม่ๆ แถมผมเองก็ชอบเพลง Drum and Bass อยู่แล้วเหมือนกัน เลยกลายเป็นความสุขแบบใหม่ที่ทำให้รู้สึกดีไม่เบาเหมือนกันครับ

ส่วนซิงเกิ้ลที่สอง Always Loved A Film ก็เป็นเพลงเฮาส์แบบที่เบาลงมาหน่อย เพลงที่น่าจะสมกับเป็น Underworld ที่สุดคงเป็น Bird 1 ที่เต็มไปด้วยความลึกในแบบโปรเกรซซีฟเฮาส์แบบที่พวกเขาถนัด กับเสียงร้องที่เหมือนบ่นของคาร์ ไฮด์ และเสียงซินธิไซเซอร์ที่โจมตีเข้ามาเป็นระยะ พะยี่ห้อ Underworld มาเต็มๆเลยครับ ส่วนเพลงอื่นๆในอัลบั้มอย่าง Diamond Jigsaw ก็เป็นเลเยอร์ทับซ้อนของเสียงเพลงที่แสนอลังการ Between Stars ก็ทำให้นึกถึง Little Boots ได้หน่อย แต่เพลงที่น่าทึ่งที่สุดคือ Louisiana ที่เป็นเพลงช้าๆ เน้นที่เสียงร้องของคาร์ล ไฮด์ แบบที่พวกเขาไม่ค่อยได้ทำนัก

Barking เป็นงานที่แปลกใหม่ และรีแลกซ์มากขึ้นกว่าเดิม ถ้า Two Months Off คือ Multiple Orgasm แล้ว Barking ก็คือการนั่งจิบคอคเทลในคลับข้างชายหาดดูแสงอาทิตย์ยามพลบค่ำครับ

Monday, September 27, 2010

Goo Goo Dolls – Something for the Rest of Us

Technorati Tags: ,

art_something งานเพลงชุดใหม่จากวงร๊อครุ่นเก๋าอีกวง ที่บอกว่ารุ่นเก๋า เพราะว่าพวกเขาอยู่ในวงการมาตั้งแต่ปี 1986 แล้ว เกือบ 25 ปีแล้วนะครับ ส่วนผมมารู้จักพวกเขาเอาตอนปี 1995 กับเพลงดัง Name ของพวกเขาในตอนนั้น แต่คนไทยโดยมาจะมารู้จักเอาตอนเพลง Iris จาก อัลบั้ม Dizzy Up The Girl ที่ได้ไปประกอบหนังเรื่อง City of Angels จนดังไปทั่วโลกครับ

และ Something for the Rest of Us คือการกลับมากับผลงานชิ้นที่เก้าของพวกเขา ซึ่งผมคงบอกได้แค่เพียงว่า พวกเขาเต็มไปด้วยความ เก๋าเกม มากๆ และรู้ว่าแฟนเพลงต้องการอะไรเป็นอย่างดีครับ แต่ละเพลงที่พวกเขาแต่งขึ้นมา หากเป็นแฟนของวงแล้ว ไม่แปลกอะไรที่จะตกหลุมรักอัลบั้มนี้ตั้งแต่แรกฟังครับ ตั้งแต่เพลงแรก Sweetest Lie พวกเขาก็ขนอาวุธเด็ดทั้งเสียงกีตาร์เพราะๆกับเสียงร้องที่มีเสน่ห์มาประโคมใส่เราเข้าไปเต็มๆ ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Home ก็แสดงให้เห็นถึงชั้นเชิงในการแต่งเพลงระดับเทพของพวกเขาจริงๆครับ อีกเพลงที่ผมคิดว่าเพราะมากๆคือ Still Your Song ที่ได้เสียงเปียโนเพราะๆมาคลอเคลียไปตลอดช่วงท่อนคอรัสได้อย่างสวยงามครับ ส่วนเพลงโปรดของผมคงต้องเป็น As I Am ที่นอกจากเนื้อเพลงจะชวนซึ้งแล้ว การเรียบเรียงเพลงยังทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วยครับ

Something for the Rest of Us คืองานเพลงที่เหมาะกับคนที่ต้องการฟังเพลงร๊อคที่ได้รับการเรียบเรียงเป็นอย่างดี และสำหรับแฟนของวงก็รับรองไม่ผิดหวังครับ

Linkin Park – A Thousand Suns

Technorati Tags: ,

linkin-park-a-thousand-suns-cover1

งานชิ้นที่สี่ของวงที่อยู่รอดจากยุค Nu-Metal แม้ว่ากระแส Nu-Metal จะจืดจางลงอย่างรวดเร็วและทิ้งวงหลายๆวงไว้เบื่องหลัง แต่ Linkin Park ก็รู้ที่จะเล่นกับเกมเป็นอย่างดี และนอกจากอยู่รอดกันอย่างเหนียวแน่นแล้ว พวกเขายังสร้างผลงานที่น่าประทับใจและแหวกไปจากแนวทางเดิมเรื่อยๆ

งานชุด
A Thousand Suns ก็เป็นงานชุดที่สี่ที่แหวกแนวจากงานเก่ามาก แม้เราจะได้กลิ่นการเปลี่ยนแนวเพลงในอัลบั้มชุด Minutes to Midnight แล้ว แต่งานชุดนี้มันฉีกไปจากแนวเดิมเป็นอย่างมาก จนเรียกได้ว่า คนที่เคยฟังแต่งานชุดแรก แล้วได้มาฟังงานชุดนี้เลย คงอาจะคิดว่าเป็นคนละวงก็เป็นได้ ส่วนตัวผมเอง ก็ไม่ได้ตามวงนี้มากนัก เพราะไม่ใช่แนวถนัด แต่ก็รู้จักและเคยฟังเพลงของพวกเขามาเรื่อยๆ พอมาเจออัลบั้มนี้ ก็เล่นเอางงเหมือนกันครับ เพราะว่าแทบจะไม่เหลือเค้าเดิมเลย

A Thousand Suns ยังเป็นผลงานการโปรดิวซ์ของตำนานอย่าง Rick Rubin และ Mike Shinoda เช่นเดียวกับอัลบั้มที่แล้ว แต่ในครั้งนี้ พวกเขาหันเข้าหาดนตรีสังเคราะห์มากยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า ตัวเพลงต่างๆจึงเปลี่ยนจากเพลงร๊อคที่แหกปากตะโกน และแทรกด้วยการแร๊พเป็นช่วงๆ กับกลายเป็นงานดนตรีอีเล็กโทรนิกส์ที่ผสมความก้าวร้าวเข้าไป คล้ายๆกับ ให้ Junior Boys ที่โกรธกับเมียมาทำเพลงก็ว่าได้ครับ มันเลยทำให้ผมกลัวหน่อยๆว่า แฟนดั้งเดิมของพวกเขาจะรับได้หรือไม่ครับ

แม้อัลบั้มนี้จะมีเพลงถึง 15 เพลง แต่เนื่องจากหลายเพลงเป็นเพลงคั่นสั้นๆ ทำให้มันยาวแค่ 47 นาทีเท่านั้น แต่มันก็เป็นงานที่ยังฟังได้สนุกครับ โดยที่สำหรับผมแล้ว เพลงเด่นๆจะไปกองอยู่ที่ครึ่งค่อนหลังของอัลบั้มเอาซะมากครับ ตั้งแต่เพลง Blackout ที่แม้จะเต็มไปด้วยเสียงแหกปาก แต่ดนตรีประกอบข้างหลังนี่เยี่ยมไม่เบาเลยครับ แถมยังมีบีทที่หนักหน่วงเอาเรื่องอีกต่างหาก ส่วน Wretches And Kings ก็เป็นการผสมเพลงฮิพฮอพที่ใช้เสียงสังเคราะห์หนักๆมาเป็นตัวให้จังหวะ ออกจะไปคล้ายกับงานของ Public Enemy ถูกนำมาทำให้ทันสมัยมากขึ้น ส่วนซิงเกิ้ลแรกอย่าง The Catalyst ก็เป็นงานเพลงร๊อคผสมกับอีเล็กโทรนิกส์ที่ทำออกมาได้อย่างน่าสนใจ บวกกับเสียงสังเคราะห์แบบเพลง Trance คงจะทำให้ดีเจหลายคนอยากเอาไปรีมิกซ์มาก แต่ที่น่าทึ่งที่สุดคงเป็นเพลงปิดท้ายอัลบั้มThe Messenger ที่เป็นเพลงกีตาร์โปร่ง ออกไปคล้ายๆกับเพลงแนวที่วงแฮร์แบนด์ชอบทำ ฟังไปเกือบเผลอจุดไฟแช๊คครับ

A Thousands Suns เป็นการเปลี่ยนแนวอย่างกล้าหาญของพวกเขามากๆ เพราะเป็นการทิ้งแทบจะทุกสิ่งที่สร้างชื่อให้พวกเขามา อาจจะเทียบได้กับ Kid A ของ Radiohead ได้เลยครับ ใครเป็นแฟนก็ลองหามาฟังกันดูครับ

Monday, September 20, 2010

Glee ละครเพลงฉบับทีวี

Technorati Tags: ,,

โดยส่วนตัวแล้ว ผมเป็นคนที่ดูทีวีค่อนข้างน้อย โดยส่วนมากก็จะดูแค่ข่าว รายการกีฬา และสารคดี แต่ก็มีอีกอย่างหนึ่งที่เล่นเอาผมติดงอมแงมได้เสมอ นั่นก็คือละครทีวี แต่ผมไม่ได้ติด วณิดา หรืออะไรประเภทนั้นนะครับ (ไม่เคยดูเลย) แต่ที่ผมติดแบบถอนตัวไม่ขึ้นคือละครทีวีของทางฝั่งอเมริกากับอังกฤษที่สนุกสุดๆหลายเรื่องอย่าง Dexter หรือ Heroes แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่ทีแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่พอได้ดูทางทีวีเรื่อยๆ ก็สนุกและติดจนถอนตัวไม่ขึ้นอีกเหมือนกัน เรื่องที่ว่าคือ Glee ครับGlee

ทีนี้ ถ้าเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเพลง ผมคงไม่กล้าเอามาเขียนในคอลัมน์นี้หรอกครับ แต่ที่อ ยากเอามาเขียนเพราะว่า Glee คือเรื่องที่เกี่ยวกับดนตรีเต็มๆเลยครับ จริงๆแล้ว คำว่า Glee หมายถึง เพลงที่ใช้ในการร้องประสานเสียงครับ และเรื่อง Glee ที่ว่านี้ก็เกี่ยวกับการร้องประสานเสียงแบบเต็มๆ เพียงแต่ว่า ถ้าหากเป็นเพลงประสานแบบดั้งเดิม คงจะไม่มีใครสนใจมากนัก และคงถูกขอให้ไปร้องช่วงคริสมาสแทน แต่ที่มันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าแทนที่จะใช้เพลงแบบดั้งเดิม พวกเขาเอาเพลงสมัยใหม่มาเรียบเรียงใหม่เพื่อทำการร้องประสานได้อย่างแนบเนียน

Glee เป็นเรื่องของอาจารย์มัธยมหนุ่มที่ได้มารับช่วง Glee Club ชมรมนักร้องประสานเสียงที่เขาเคยเป็นตัวเด่นสมัยเป็นนักเรียนอยู่ แต่พบว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป การอยู่ในชมรมนี้ไม่ได้หมายถึงความเท่เหมือนเก่า แต่กลับกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะแทนสำหรับโรงเรียนอเมริกันในตอนกลางประเทศ เขาต้องพยายามรวบรวมนักเรียนมาเข้าชมรม ซึ่งก็ได้ทั้งเด็กพิการ สาวเจ้าเนื้อ สาวติดอ่าง หนุ่มมาดแต๋วจนต้องใช้ลูกเล่นหลากหลายเพื่อรวบรวมสมาชิก จนได้คนดังอย่างนักกีฬาและเชียร์ลีดเดอร์ เข้ามาร่วมทีม (อย่างมีนัยยะสำคัญ) แต่ก็มีปัญหาเกิดเข้ามาเรื่อยๆให้ได้ลุ้นกันให้สนุกสนาน ได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ผอ.ขี้งก อ.พละขี้อิจฉา นักเรียนรักๆเลิกๆ ปัญหาส่วนตัวของตัวละครแต่ละตัว เรื่องรักร่วมเพศ รวมไปถึงประเด็นแรงๆ อย่างการท้องในวัยเรียนอีกด้วย ทำให้เป็นเรื่องที่ดูได้เพลินแบบหยุดไม่อยู่เหมือนกันครับglee_56992

แต่สาเหตุหลักอีกอย่างที่ทำให้ผมชอบมากคือ แทนที่จะเอาเพลงเก่าๆมาร้อง พวกเขาเอาเพลงร่วมสมัยมาทำใหม่ให้เป็นฉบับประสานเสียง ทำให้เราได้ฟังเพลงฮิตทั้งหลายทั้งในยุคนี้และยุคเก่าหน่อยในฉบับร้องประสานเสียงได้อย่างสนุกสนาน และนอกจากฉากซ้อมร้องเพลงแล้ว หลายๆฉากในเรื่องก็เล่าเรื่องด้วยการร้องเพลงของตัวละครแทนการเล่าเรื่องแบบปกติ จนกลายเป็นละครเพลงหลายช่วงมากๆ และเพลงที่เลือกมาก็เข้ากับบรรยากาศของเรื่องตอนนั้นเป็นอย่างดี พูดง่ายๆคือเป็นการเล่าเรื่องด้วยเพลงได้อย่างสนุกสนานเอามากๆครับ (บางครั้งก็เหมือนหนังแขกไปเลย)

เพลงที่เลือกมา แม้จะมีเพลงจากละครบรอดเวย์ดังอย่างเพลง Defying Gravity (กลายเป็นฉากโปรดของผมในเรื่อง) แต่ก็มีเพลงป๊อป เพลง R&B และเพลงร๊อคดังๆ ดังๆสารพัดเพลงครับ คนที่ชอบเพลงอย่างผมก็เพลินกับแอบร้องตามไปกับละครอย่างมาก สารพัดเพลงดังถูกเลือกออกมาใช้ได้อย่างน่าสนใจ กระทั่งบางตอนก็เป็นการทริบิวต์ให้กับนักดนตรีดังอย่าง Madonna หรือ อีสาวซ่ารุ่นน้องอย่าง Lady Gaga ไปเลยทีเดียว นักแสดงทั้งหลายก็ทำหน้าที่ตรงจุดนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะโดยมากก็มักจะมีพื้นฐานมาจากการเป็นนักร้องแต่เดิมอยู่แล้ว ขนาดนักแสดงที่รับบทเป็นอาจารย์ก็ผ่านงานละครบรอดเวย์มาก่อนทีเดียว ทำให้เราสามารถสนุกกับเพลงได้อย่างไม่รู้สึกสะดุดอะไรเลย เพลงดังสารพัดที่ถูกประโคมมาก็อย่างเช่น Dream On (Aerosmith), Physical (Olivier Newton John), One (U2), Loser (Beck), Jump (Van Halen), Gold Digger (Kanye West) รวมไปถึงเพลงอมตะอย่าง Bohemian Rhapsody ของ Queen ที่เอามาปรับเข้ากับเนื้อเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยมในฉากสำคัญของเรื่องGLEE-CONCERT-ARIZONA-MAY-15-2010-glee-12236542-2560-17932

ส่วนเพลงที่เป็นเพลงธีมหลักของเนื้อเรื่องในปีแรกของละครเรื่องนี้ คงต้องเป็น Don’t Stop Believin’ ของวง Journey ที่แต่เดิมก็เป็นเพลงยอดนิยมสำหรับคาราโอเกะอยู่แล้ว พอมาได้ตัวแสดงในเรื่องมาร้องประสานเสียงกันอย่างยอดเยี่ยม มันก็น่าประทับใจและชวนสนุกให้เราร้องตาม (เพลงนี้โดยมากคนอเมริกันรู้จักกันหมดครับ) เป็นการเลือกเพลงที่ดีมากๆ และความหมายของเพลงยังสื่อให้เราอย่ายอมแพ้ อย่าล้มเลิกในสิ่งที่เราเชื่อมั่น เหมือนตัวละครในเรื่องที่แม้จะมีอะไรเกิดขึ้น ก็ต้องไม่ท้อถอย และสู้ต่อไปครับ (American Spirit จริงๆ) และทำให้เราแอบเอาใจช่วย Underdog ทั้งหลายในเรื่องไม่ได้ครับ

ไหนๆเขียนชมมาขนาดนี้แล้ว วานคนสนใจ เอามาทำเป็นแผ่นขายหน่อยครับ จะได้เก็บเป็นชิ้นเป็นอันหน่อยครับ ส่วนคนที่สนใจฟังเพลง บ้านเราก็มีอัลบั้มรวมเพลงขายแล้วนะครับลองหากันมาดูได้ ขอแนะนำอย่างแรงครับ

Monday, September 13, 2010

Harlem - Hippies

Technorati Tags: ,

HippiesHarlem อัลบั้มที่สอง แต่เป็นชุดแรกที่ออกกับค่ายเพลงอย่างเป็นทางการของวงดนตรีสามชิ้นจากออสติน เท็กซัส ซึ่งมันเป็นอัลบั้มที่เต็มไปด้วยเพลงที่แสนติดหูกับริฟฟ์ที่ทำให้คุณอยากออกมาเต้น

พวกเขาคือสามหนุ่ม ไมเคิล คูมเมอร์ส (ร้องนำ กีตาร์ กลอง) เคอติส โอมาร่า (ร้องนำ กีตาร์ กลอง) และ โฮเซ่ โบเยอร์ (เบส) ซึ่งรวมตัวกันในเมืองออสติน และด้วยความชอบดนตรีเป็นอย่างมาก พวกเขา ถึงกับออกงานชุดแรก Free Drugs ในปี 2008 ด้วยตัวเองมาแล้วครับ และด้วยความพยายามนั้น พวกเขาก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายเลงสุดเท่จากฝั่งอเมริกาอย่าง Matador

ส่วนแนวทางการทำเพลงของพวกเขา หลักๆก็คือเพลงการาจที่เต็มไปด้วยความดิบสดเหมือนเดกวัยรุ่นเล่นซนกับเครื่องดนตรี บวกเขากับทักษะในการเรียบเรียงเพลงแบบของ The Beatles เจือกลิ่น Rockabilly เข้าไปอีกนิด ก็จะกลายเป็นดนตรีในแบบเฉพาะของพวกเขาขึ้นมาได้ครับ

และ Hippies งานชุดที่สองของพวกเขาที่ได้มาวางจำหน่ายในบ้านเรา ก็เป็นงานที่สดใหม่เอาอย่างมากครับ พวกเขาเอาความสดใสของวัยหนุ่มมาใส่ไว้ในเพลงได้ลงตัวจริงๆ ตั้งแต่ Someday Soon ที่เป็นเพลงเปิดตัวอัลบั้ม ก็ได้ทำให้เรารู้ว่าพวกเขาจะมาไม้ไหนกับเรา ด้วยเพลงกีตาร์ป๊อปที่ดิบแบบการาจบวกด้วยท่อนคอรัสเพราะๆแบบ The Beatles ทำให้มันกลายเป็นงานเพลงชั้นเลิศไปได้เลยทีเดียว ซึ่งพวกเขาก็ใช้เทคนิคเดียวกันนี้กับเพลง Number One ที่เท่เหลือเกินครับ คล้ายกันกับเพลง Be Your Baby ที่ติดหูสุดๆ ผสมกับโทนเพลงหนุงหนิงเรียบง่ายแบบ The Drums ทำเอาเราอยากไปดีดกีตาร์ร้องเพลงนี้ให้หญิงคนรักฟังเลยครับ ส่วน Gay Human Bones ก็ได้ความดิบมาผสมจนเหมือนวงพังค์ที่ไม่เคร่งเครียดมากเลยครับ ส่วน Friendly Ghost ก็ได้อารมณ์เพลงแบบ Rockabilly มาผสมทำให้มันชวนขยับขโยกไปตามจังหวะเพลงจริงๆครับ ส่วน Tila & I ก็ใช้ท่อนคอรัสแบบแนวเซิร์ฟร๊อคออกมาอย่างได้ผลจริงๆครับ

Hippies คืองานเปิดตัวในวงกว้างชั้นเยี่ยมของวงวัยรุ่นสามคนจากเท็กซัสที่มันยอดเยี่ยมถึงกับเข้าโผอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปีของนิตยสารฝั่งอังกฤษอย่าง NME ไปแล้วครับ

Magic Kids - Memphis

Technorati Tags: ,

Magic-Kids-Memphis-560x560 อัลบั้มเปิดตัวของวงหน้าใหม่จากเมริกา พวกเขามาพร้อมกับดนตรีป๊อปที่สดใสใต้แสงอาทิตย์แบบที่วงรุ่นพี่ (หรือรุ่นพ่อ) อย่าง The Beach Boys ได้ทำไว้ บวกความหนุงหนิงของ Belle and Sebastian ซึ่งบรรยากาศของมันก็เหมือนกับการบันทึกแสงแดด สายลม ฟองคลื่น ออกมาเป็นเสียงดนตรีในที่มีความยาว 28 นาทีชุดนี้

เนื่องจากพวกเขาเป็นวงหน้าใหม่มากถึงขนาดทำให้ผมหาข้อมูลพวกเขาบนเว็บหากินอย่าง Wikipedia ไม่ได้ เลยมีข้อมูลคร่าวๆเพียงว่าพวกเขาคือ เบ็นเน็ต (ร้องนำ) อัล (กีตาร์) เบ็น (เครื่องเคาะ) ไมเคิล (เบส) วิล (เปียโน) และ อลิซ (ไวโอลิน) และพวกเขาคือหนุ่มสาวจากเมือง เมมฟิส เทนเนสซี่ (ซึ่งนอกจากเป็นที่มาของชื่ออัลบั้มแล้ว ยังเป็นเมืองในตำนานที่ตั้งของ Sun Studios อีกด้วยครับ)

แม้ว่าผมจะเกริ่นไว้ว่าพวกเขาทำดนตรีออกมาเหมือนวง The Beach Boys แต่พวกเขาก็ไม่ใช่แค่วงหน้าใหม่ที่ก๊อบเอาไอเดียจากวงรุ่นพี่ดื้อๆ แต่พวกเขากลับสามารถทำมันออกมาได้อย่างเฉพาะตัวในแบบของพวกเขา จนเป็นเหมือนการตีความวงดนตรีแบบเซิร์ฟจากมุมมองของคนรุ่นใหม่ซะมากกว่า นอกจาก The Beach Boys แล้ว อีกวงที่ผมคิดว่าเหมือนกับพวกเขาอย่างน่าหระหลาดใจคือ Super Furry Animals วงรุ่นเก๋าจากเวลส์ที่อาจจะเหมือนกันได้เพราะบรรยากาศแบบล่องลอยหน่อยๆ และเสียงร้องที่คล้ายกับ Gruff Rhys อย่างมากครับ

แม้ผมจะไม่อยากยกเพลงไหนซักเพลงมาเป็นเพลงเด่นในอัลบั้มเลย เพราะมันคืออัลบั้มที่คุณควรจะยัดใส่ในเครื่องเล่นซีดีในรถขณะที่คุณกำลังขับรถไปเที่ยวชายหาดในวันที่แดดกำลังดี (ถ้าเป็นเมืองหนาว จะได้ฟีลมาก แต่บ้านเรา ร้อนตับแลบครับ) แล้วเปิดมันวนไปวนมาเพื่อสร้างบรรยากาศก่อนไปถึงทะเล แต่ถ้าต้องยกเพลงเด่นๆมา ก็คงต้องขอยกเพลงอย่าง Summer ที่เป็นซิงเกิ้ลแรกที่จับเอาบรรยากาศของฤดูร้อนมาใส่ในเพลงได้อย่างงดงาม พร้อมกับโปรดัคชั่นแบบ Phil Spector ที่แสนละเมียด ในขณะที่เพลงอย่าง Good To Be ก็เต็มไปด้วยความสดใส และกระตือรือร้นของวัยหนุ่มสาวที่แสนจะสดชื่น ส่วน Superball ก็มีการเรียบเรียงที่เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็กน้อย

Memphis คืองานเปิดตัวที่แสดจะงดงามและยอดเยี่ยมของวงน้องใหม่ Magic Kids อย่างที่ผมบอกไว้ครับ พวกเขาไม่ใช่วงก๊อปปี้รุ่นพี่ลวกๆ แต่พวกเขาเหมือนกับเด็กวัยรุ่นที่เจอผลงานเด็ดจากคอลเลคชั่นของพ่อ และอยากจะทำดนตรีแบบนั้นเพื่อโชว์ความเจ๋งของมันให้เพื่อนๆได้รู้จักครับ