Monday, October 25, 2010

Vampire weekend: Live

Technorati Tags: ,

21 ตุลาคม 2010 PM 5.40 สนามบินนาริตะ ญี่ปุ่น (เวลาท้องถิ่น) ผมกำลังนั่งรอนกเหล็กหมายเลข JL707 ที่จะพาผมกลับเมืองไทยหลังจากเสร็จภารกิจในประเทศญี่ปุ่นเรียบร้อย การเดินทางคนเดียวเป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างจะชอบ เพราะมันได้บรรยากาศเหงาๆดีเหมือนกัน สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมงงนิดหน่อยก็คือ ทำไมเที่ยวบินจากโตเกียวมาไทยเที่ยวบินนี้มีฝรั่งเยอะจัง ก็เอาแต่คิดว่าอาจจะเป็นเพราะว่าเป็นเที่ยวโค้ดแชร์กับสายการบินอเมริกันก็ได้ อย่างตรงข้ามผม มีชายหนุ่มผิวขาวร่างท้วม ทำผมโมฮอว์คซ่าเชียว กำลังจิ้มเครื่องแมคของเขาตลอด คิดว่ามันก็ดูเทีดีแฮะ

22 ตุลาคม 2010 PM 8.45 เวลาประเทศไทย ผมยืนอยู่หน้าเวทีคอนเสิร์ตของวง Vampire Weekend ที่ทันเดอร์โดม เมืองทองธานี หลังจากฝ่ารถติดแบบสุดๆมาได้ แม้จะไม่ทันมาดูวงเปิดอย่าง 25 Hours แต่การมาทันดูวงหลักก็ยังดี แถมยังได้เจออาจารย์สมัยม.ปลาย และพี่ซี้ด ดีเจและนักเขียนฮีโร่ในใจด้วย

หลังจากเซ็ตเสียงเสร็จ วง Vampire Weekend จากอเมริกาก็เดินออกมา และทันใดนั้นเอง คำว่า “ยึดเป็ด” ก็หลุดออกจากปากของผมทันที เพราะไอ้หนุ่มโมฮอว์คที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมนั้น จริงๆแล้วก็คือ Rostam Batmanglij มือกีตาร์ของวงนั่นเอง เล่นเอาผมรู้สึกโง่ไปในทันที นั่งตรงข้ามกันแท้ๆ แต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้ทำตัวเป็นร๊อคสตาร์อะไรนักหนา แต่ดูออกจะเหมือนกับนักศึกษากำลังท่องเที่ยวเท่านั้นเอง

IMG_6794_resize

พวกเขาทั้งหมดออกมาในชุดสบายๆ ส่วน Ezra นักร้องนำของวง ก็ใส่แค่เสื้อลายสก๊อตตาใหญ่เหมือนผ้าขาวม้า กับกางเกงขาเต่อ และรองเท้าแล่นเรือใบเท่านั้น พวกเขาไม่พูดพล่ามทำเพลงครับ เริ่มต้นเปิดงานด้วยเพลง Holiday ทันที เล่นเอาแฟนๆ (โดยเฉพาะสาวๆ) เฮฮากันอย่างเต็มที่ ส่วนนักเขียนอย่างผมก็ได้แต่กดชัตเตอร์เก็บภาพอย่างเต็มที่ด้วยกล้อง Canon G9 คู่ใจ ที่แม้จะไม่โปรมาก แต่ก็ถือว่าใช้งานได้ดีเลยทีเดียว (ดูจากรูปประกอบได้ครับ) เมื่อจบเพลง Holiday พวกเขาก็ต่อด้วย White Sky ก่อนจะเรียกเสียงฮือฮาด้วย Cape Cod Kwassa Kwassa ที่แฟนเพลงรู้จักกันดี และเมื่อจบเพลง ผมก็ต้องออกมาจากแถวหน้า เนื่องจาก ทางวงอนุญาตให้นักข่าวถ่ายภาพแค่สามเพลงครับ จึงต้องออกมาสนุกต่อข้างนอกแทน ส่วนพวกเขาก็เริ่มทักทายแฟนๆบ้างครับ

หลังจากนั้นพวกเขาก็ขนเพลงสารพัดสารพันของพวกเขาออกมาให้แฟนๆได้สนุกกันอย่างเต็มที่ครับ โดยเรียงไปเลยตั้งแต่ I Stand Corrected, M79, Bryn และ California English เรียกเสียงกรี้ดได้ตลอดครับ

IMG_6817_resize

เมื่อมีเวลามองไปรอบๆงาน ผมสังเกตได้ว่าในงานมีคนผิวขาวเยอะมากๆครับ จนอาจจะพอๆกับคนไทยเลยก็ได้ (กลุ่มเพื่อนที่ผมไปด้วยก็มีทั้งอังกฤษทั้งญี่ปุ่น) เรียกได้ว่า แรงหนุนจากแฟนเพลงที่อยู่ในต่างประเทศก็ไม่เลวเลยจริงๆครับ เพลงต่อมาที่พวกเขาเล่นคือ Cousins, Taxi Cab, Run และเพลง A-Punk ที่เรียกเสียงกรี้ดและเฮจากแฟนๆได้เยอะมากๆครับ โดยเฉพาะช่วง เฮ้ เฮ้ เฮ้ เฮ้ ที่แหกปากตามกันอย่างสนุกครับ แล้วค่อยต่อด้วย One (Blakes got a new face) อีกทีครับ

อีกเพลงที่พวกเขางัดออกมาเรียกเสียงกรี้ดต่อคือ Giving Up The Gun ที่เป็นเพลงโปรดของผม เพราะบีตมันหนักหน่วงเสียเหลือเกินครับ สนุกกันอย่างเต็มที่ ก่อนจะต่อด้วย Campus และปิดท้ายเซ็ตด้วยเพลงป๊อปหนุงหนิงอย่าง Oxford Comma เป็นการปิดท้ายเซ็ตอย่างสวยงาม ก่อนที่จะเดินออกไปกันครับ

และตามฟอร์มที่ต้องมีการคอรัสครับ (เลิกก็ดีครับ เบื่อ เล่นให้มันสะใจรวดเดียวไปเลยดีกว่า) พวกเขากลับมาโดยที่ Ezra เปลี่ยนกางเกงเป็นกางเกงมวยไทย นอกเวทีคงใส่แบบนี้ไม่ไหวล่ะครับ และเพลงที่พวกเขาเลือกกลับมาคือ Horchata เพลงเด่นอีกเพลง ก่อนที่จะตามด้วยเพลงเกี่ยวกับเมืองแห่งการศึกษาอย่าง Boston แล้วก็เล่น Mansard Roof เพลงเปิดอัลบั้มแรกต่อ ผมกำลัง้ริ่มคิดว่าเขาจะเอาเพลงไหนมาปิดท้ายให้แฟนๆได้สนุก เพราะพวกเขางัดเอาทีเด็ดออกมาเกือบหมดแล้ว แต่ผมกลับลืมว่ายังมีเพลง Walcott เพลงแสนสนุกจากอัลบั้มแรกอยู้ และมันก็เป็นเพลงปิดท้ายเซ็ตได้อย่างงดงามจริงๆครับ แม้ว่าจะคอนเสิร์ตนี้จะสั้นไปหน่อย (แค่ราวชั่วโมง แต่ผมขับรถมาเกือบสองชั่วโมง) แต่ก็ถือว่าสนุกเอาเรื่องจริงๆครับ

หลังจากจบงานแล้ว ยังมีการเปิดแผ่นของพี่ซี้ดต่อให้แฟนเพลงอินดี้ได้ฟังอย่างเพลิดเพลินครับ ผมเองก็นั่งฟังซักพักก่อนจะขอตัวกลับมาเขียนงานนี่แหละครับ ระหว่างนั้น มีคนเอาประกาศมาบอกว่า วันที่ 19 พฤศจิกายน จะมีคอนเสิร์ตของวงรุ่นเก๋าอย่าง The Charlatans มาให้ได้ชมอีก คงไม่พลาดล่ะครับ

IMG_6804_resize

IMG_6834_resize

Saturday, October 9, 2010

Music One และ Jay Sean Mini Live

Technorati Tags: ,

เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้รับเทียบเชิญไปงานเปิดตัว ซึ่งปกติ ผมเป็นคอลัมนิสต์ ไม่ใช่นักข่าวสายตรง มักจะไม่ไปงานพวกนี้ เพราะว่า ไม่ค่อยรู้จักคน และไม่ตรงกับงานเขียนนัก แต่กับงานนี้ มีสองเหตุที่ทำให้ผมต้องรีบโทรไปแจ้งคุณฮั้ว พีอาร์ของค่ายวอร์นเนอร์ที่ขยันส่งเพลงใหม่ๆมาให้ผมได้ฟังเสมอๆ ว่าจะขอเข้าร่วมงานด้วย

เหตุผลแรกคือ Music One ที่ว่า คือการรวมตัวของยักษ์ใหญ่ของวงการเพลงในไทยอย่าง Warner, Sony Music และ Universal รวมไปถึงค่ายอื่นอย่าง KPN, Love Is และ Revol อีกด้วย นอกจากนี้ ยังไปดึงเอาเครื่อธุรกิจต่างๆทั้งห้างสรรพสินค้า มือถือ กระทั่งโรงหนัง ทำเอาผมสงสัยว่า มันจะเป็นอะไรกัน จนอยากไปค้นหา อีกอย่างหนึ่งคือ ในงาน จะมีการจัด Mini Live ของศิลปินเชื้อสายอินเดียที่โด่งดังไปทั่วแล้วอย่าง Jay Sean (อ่านบทความเก่าเกี่ยวกับเขาได้ที่ http://sljkz.blogspot.com/2010/07/jay-sean.html) ที่ผมเองก็ติดตามเขามาตั้งแต่อัลบั้มแรกแล้ว งานนี้ เลยไม่พลาดครับ

ไปถึงที่จัดงานที่ร้าน ฟาลาเบลล่า ช่วงเย็น กลายเป็นงานระดับบึ้มเลยครับ คนเพียบ น้องๆเพรตตี้ในงานก็น่ารักซะ เล่นเอาหวิวใจเพราะไปคนเดียวเหมือนกัน มองไปทางไหนก็เจอแต่คนหน้าคุ้นๆ คนในวงการทั้งนั้น แต่ด้วยความที่ผมอ่อนด้อยเรื่องวงการบันเทิงไทย เลยไม่ค่อยรู้ว่าใครเป็นใคร ที่แน่ๆคือเห็นพี่บอย โกสิยพงศ์ คนนึงล่ะครับ

พองานเริ่ม ก็เปิดงานด้วยการแสดงของน้องๆนักร้องของ KPN ที่ออกมาโชว์เสียง ก่อนที่คุณพีเค พิธีกรจะมาเริ่มแนะนำงาน และแนะนำผู้มีเกียรติ ซึ่งก็เป็นคนใหญ่โตของแต่ละค่าย ออกมาอธิบายถึง Music One ที่ขอบอกตามตรงว่า ตอนนี้ เท่าที่ผมเข้าใจคือ การขายเพลงในรูปแบบดิจิตอลโดยการร่วมมือกันของค่ายเพลง โดยผ่าน เว็บไซต์ App ของมือถือ หรือว่า โทรไปที่ *248 ซึ่งผมมองว่าเป็นทางเลือกที่ดีในการปรับตัวเข้ากับยุคสมัยครับ ซึ่งน่าจะเปิดตัวในวงกว้างแบบเต็มรูปแบบอีกที เพราะตอนนี้ ยังจับคอนเซ็ปต์ได้เท่านั้น อาจจะรวมไปถึงการนำศิลปินมาแสดงในไทยอีก อย่างเช่น Lady Gaga, Justin Bieber กระทั่ง Bon Jovi ซึ่งตรงนี้ ผมต้องขอมองยาวๆครับ เพราะแล้งคอนเสิร์ตมานานแล้ว อยากจะหาอะไรดูเต็มทีแล้วครับ แม้จะยังจับอะไรได้ไม่มาก แต่ว่า ได้เห็นยักษ์จับตัวกันกลายเป็นยักษ์มหึมาแบบนี้ ก็คาดหวังได้ไม่เลวครับ01

หลังจากแถลงการและถ่ายรูป ก็เป็นกิจกรรมบันเทิงครับ โดย ศิลปินไทยคนแรกที่ขึ้นเล่นคือ ดัง พันกร ที่ออกมาร้องเพลงชุดแดง และเจ้าชู้คนตาย กับอีกเพลงก่อนจะกลับไป แต่งานนี้ มีทีเด็ดที่แดนเซอร์ชาย (?) ที่เต้นคั่นแทนอาภาภรณ์ นครสวรรค์ได้กระแดะมากครับ ตามมาด้วย สิงโต นำโชค ชายหนุ่มกับเพลงสบายๆที่เขาได้แรงบันดาลใจจากการไปอยู่ที่ภูเก็ต เพลงสไตล์ Jack Johnson ฟังสบายๆครับ

คนต่อมาคือ แชมป์ จากค่าย Love Is ที่ปิดท้ายเซ็ตด้วยเพลง Man in the Mirror ของ Michael Jackson ได้อย่างงดงามครับ วงต่อมาคือ Singular ที่ดังจากเพลง 24/7 งานเพลงเป็นแนวออกจะเลาจ์หน่อยๆ นิ่มๆ หลายคนในงานชอบมาก และกรี้ดนักร้องหนุ่มหน้าสวยกันลั่นครับ

ตามมาด้วยวง Link Corner ที่เล่นกันได้มัน สนุกดีครับ นักร้องนำไฮเปอร์เอามากๆ ก่อนจะปิดท้ายเซ็ตศิลปินไทยด้วยวง 25 Hours ที่กำลังดังจากเพลงประกอบหนังเรื่อง กวน มึน โฮ ก็ทำให้คนในงานได้เฮกันหมดครับ พวกเขาเปิดตัวด้วยอินโทรยังกับวง The Who เลยครับ ฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆครับวงนี้ สนุกมากๆ02

และไม่นาน ก็ได้เวลาที่ผมรอมานาน รอบตัวผมเริ่มเต็มไปด้วยวัยรุ่นเชื้อสายภารตะ และทันทีที่ดีเจเซ็ตชุดเทิร์น เทเบิ้ลเสร็จ Jay Sean ก็ออกมาเปิดตัวกับเพลง Do You Remember ให้สาวได้กรี้ดกันหมด ก่อนที่เมื่อจบเพลงที่สอง Ride Itเขาจะบอกว่า เคยมาเล่นที่ไทยมาก่อน แต่ตอนนั้น มีคนน้อยมากๆครับ และก็ยังคุยเล่น โชว์ลีลา Beatboxing ระดับเทพ ก่อนจะงัดเอาเพลง Eyes On You ที่ทำเอาหลายคนงง เพราะมันคือเพลงแรกของเขาตั้งแต่สมัยอยู่ที่อังกฤษนู่นครับ ส่วนผม ดีใจที่ได้ฟังเพลงตามเขามาตั้งแต่เพลงนี้นี่แหละครับ ก่อนจะงัดสองเพลงใหม่คือ Ain’t Got You และ 2012 มาเรียกเสียงกรี้ดอีกรอบ เขาเล่นไม่หวงตัวเลยครับ เนื่องจากเวทีมันเล็ก และเตี้ย ทำให้เขาเดินขึ้นลงในหมู่คนดูตลอดครับ สนุกจริงๆ ก่อนจะส่งท้ายด้วยเพลงฮิตโคตรอย่าง Down ที่เล่นเอาสาวๆในงานระทวยกันไปหมดครับ และปิดท้ายงานแถลงข่าวนี้ได้อย่างสุดแสนสนุกจริงๆครับ

03

Monday, October 4, 2010

Chief – Modern Rituals

Technorati Tags: ,

chief-modernrituals

งานเพลงของสี่หนุ่มจากแคลิฟอร์เนีย ที่ข้ามฟากไปเรียนที่นิวยอร์ก และได้ไปเซ็นสัญญากับค่ายสุดเท่อย่าง Domino Records ที่อังกฤษ และจากส่วนผสมเบื้องต้น ทำให้เราได้วงดนตรีที่จับเอาส่วนดีของทั้งสามที่มาสมกันจนกลายออกมาเป็นงานโฟลค์ร๊อคชั้นเยี่ยม

งานของพวกเขาผสมเอาเสียงกีตาร์แบบวงรุ่นพี่อย่าง The Beach Boys หรือ กระทั่ง My Morning Jacket เมื่อบวกกับ เสียงร้องของนักร้องทั้งสอง ที่ อีวาน โคกา จะยานคางคล้ายกับ Richard Ashcroft และ แดนนี่ ฟูจิคาวะ ออกจะหนักไปทางวง Doves ของฝั่งอังกฤษ ผสมเข้ากับซาวนด์แบบวงจากอังกฤษอย่าง Coldplay หรือ Travis จนได้งานเพลงที่ฟังได้สบายๆ และติดหูจนเราสามารถฮัมเพลงตามได้สบายๆ แต่ละเพลงทั้งไพเราะและงดงามจริงๆครับ

ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Breaking Walls ช่างงดงามไร้ที่ติด ทั้งเสียงร้อง และเสียงกีตาร์ที่คลอไปตลอดเพลง และตัวเพลงยังมีกลิ่นแบบคันทรี่อเมริกา ชนิดที่ทำให้เราอยากหารถ Corvette เก่าๆไปขับข้ามรัฐทางตอนใต้ของอเมริกาไประหว่างฟังเพลงนี้เลยครับ ส่วน In the Valleys ก็โชยกลิ่นของ The Verve ออกมาจางๆครับ You Tell Me ก็มีบรรยากาศคล้ายงานชั้นดีของ Elbow ในขณะที่ Summer's Day และ Nothing's Wrong ก็เป็นเพลงที่เร็วและสดใสเหมือนหน้าร้านในแคลิฟอร์เนียครับ

อัลบั้ม Modern Rituals ของวงหน้าใหม่ Chief แม้จะได้อิทธิพลมาจากศิลปินหลายราย แต่พวกเขาก็สามารถสร้างเสียงที่เป็นตัวของตัวเองออกมาได้อย่างดี และเป็นงานที่โชว์ฝีมือของวงหน้าใหม่ที่จัดจ้านเอาเรื่องครับ

Underworld – Barking

Technorati Tags: ,

underworld-barking การกลับมาอีกครั้งของวงโปรเกรซซีฟเฮาส์วงโปรดของผมที่เคยเขียนถึงไปเมื่อตอนเข้ามารับหน้าที่นี้ใหม่ๆเมื่อสามปีก่อน และเป็นงานชุดที่สามของวงตั้งแต่กลับมาเป็นวงคู่หูอีกครั้งหลังจากการจากไปของ ดาเรน เอเมอร์สัน (แยกวงครับ ไม่ได้ตาย) และทุกครั้งพวกเขาก็ทำดนตรีเต้นรำในแบบที่พวกเขาถนัดได้เสมอ และสิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับเพลงของวงนี้มากคือ มัน Timeless หรือ อกาลิโก มากๆครับ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี เมื่อเอาออกมาฟังก็ไม่มีการตกยุค เชย หรือล้าสมัยเลยครับ งานหลายๆชิ้นยังเป็นงานมาสเตอร์พีซที่ฟังได้ไม่มีเบื่อครับ ไม่ว่าจะเป็น Born Slippy (NUXX) เพลงขวัญใจของเด็กแนวยุคบุกเบิก Jumbo ที่โคตรมหึมาสมชื่อ King of Snakes ที่เร็วปานรถไฟเหาะ และ Two Months Off เป็นกระแสคลื่นแห่งความสุขที่ถาโถมมาอย่างไม่หยุดหย่อน

และการกลับมาครั้งนี้ พวกเขาก็ยังพกมาตราฐานความยอดเยี่ยมของพวกเขามาด้วยครับ แต่ละเพลงยังคงเป็นเพลงเต้นชั้นยอดแบบที่แสดงให้เห็นถึงความเก๋าเกมของพวกเขาได้เป็นอย่างดีเลย แต่ที่มาแปลกกว่างานเก่าๆคือ งานชิ้นนี้ พวกเขาเลือกที่จะร่วมงานกับโปรดิวเซอร์หลากหลาย ทำให้งานเพลงแต่ละชิ้นมีกลิ่นที่แตกต่างกันออกไปตามโปรดิวเซอร์ที่โปรดิวซ์งานให้พวกเขา และเพลงที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนคือ Scribble ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มนี้ ที่กลายเป็นงานเพลง Drum and Bass ตามแบบที่ High Contrast โปรดิวเซอร์ของเพลงถนัด เล่นเอาแฟนขาประจำอย่างผมงงไปเหมือนกันครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรังเกียจอะไร กลับเป็นโอกาสดีที่จะให้วงทดลองกับแนวเพลงใหม่ๆ แถมผมเองก็ชอบเพลง Drum and Bass อยู่แล้วเหมือนกัน เลยกลายเป็นความสุขแบบใหม่ที่ทำให้รู้สึกดีไม่เบาเหมือนกันครับ

ส่วนซิงเกิ้ลที่สอง Always Loved A Film ก็เป็นเพลงเฮาส์แบบที่เบาลงมาหน่อย เพลงที่น่าจะสมกับเป็น Underworld ที่สุดคงเป็น Bird 1 ที่เต็มไปด้วยความลึกในแบบโปรเกรซซีฟเฮาส์แบบที่พวกเขาถนัด กับเสียงร้องที่เหมือนบ่นของคาร์ ไฮด์ และเสียงซินธิไซเซอร์ที่โจมตีเข้ามาเป็นระยะ พะยี่ห้อ Underworld มาเต็มๆเลยครับ ส่วนเพลงอื่นๆในอัลบั้มอย่าง Diamond Jigsaw ก็เป็นเลเยอร์ทับซ้อนของเสียงเพลงที่แสนอลังการ Between Stars ก็ทำให้นึกถึง Little Boots ได้หน่อย แต่เพลงที่น่าทึ่งที่สุดคือ Louisiana ที่เป็นเพลงช้าๆ เน้นที่เสียงร้องของคาร์ล ไฮด์ แบบที่พวกเขาไม่ค่อยได้ทำนัก

Barking เป็นงานที่แปลกใหม่ และรีแลกซ์มากขึ้นกว่าเดิม ถ้า Two Months Off คือ Multiple Orgasm แล้ว Barking ก็คือการนั่งจิบคอคเทลในคลับข้างชายหาดดูแสงอาทิตย์ยามพลบค่ำครับ