Tuesday, August 16, 2011

Friendly Fires ปลุกสัญชาติญาณการแดนซ์

Technorati Tags: ,

ผมเคยพูดมาหลายครั้งแล้วว่า ทุกวันนี้ เส้นที่กันแบ่งระหว่างแนวเพลงต่างๆมันเริ่มบางลงเรื่อยๆ แต่ละวงเริ่มข้ามขอบเขตของแนวเพลงตัวเองไปหาแรงบันดาลใจจากแนวเพลงอื่นๆ ทำให้เราได้แนวเพลงที่หลากหลายที่ถือกำเนิดจากแนวเพลงที่มีมาแต่เดิมแล้ว จนเราแทบแยกแยะแนวเพลงไม่ออก และ Friendly Fires ก็เป็นอีกวงที่จัดแนวเพลงลำบากเหลือเกินครับ

Friendly Fires

Friendly Fires คือวงที่มาจาก St. Albans ประเทศอังกฤษ ประกอบด้วย Ed Macfarlane (เอ็ด หรือ EdMac ร้องนำ และคีย์บอร์ด) Edd Gibson (เอ็ด กีตาร์) และ Jack Savidge (แจ๊ค กลอง) ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาเริ่มต้นจากการทำวง Post Hardcore ชื่อ First Day Black เมื่ออายุ 14 ปี ก่อนจะยุบไปตอนเข้ามหาวิทยาลัย ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย EdMac ได้ออกงานเพลงของตัวเองอีกด้วย และเมื่อเรียนจบ พวกเขาก็รวมตัวตั้งวงดนตรีอีกรอบ โดยมีอิทธิพลจาก เพลงเต้นรำ ทำนองแบบวงชูเกซ ผสมเพลงป๊อป โดยพวกเขายกให้ค่ายเพลงมินิมอลเทคโน Kompakt จากเยอรมัน Prince และ Cark Craig เป็นแรงบันดาลใจหลัก และพวกเขาเรียกตัวเองว่า Friendly Fires จากชื่อเพลงของพวกเขาเอง

พวกเขาเริ่มเป็นที่จับตามองในปี 2006 จากการแสดงที่น่าตื่นตา และได้ออก EP แรกที่ชื่อ Photobooth ผ่านค่ายอินดี้ People in The Sky ในปลายปี 2006 และตามด้วย Cross The Line ในช่วงหน้าร้อนปี 2007 และยังเป็นวงแรกที่ได้ออกรายการ Transmission ทาง Channel 4 โดยที่ยังไม่มีสังกัดด้วยซ้ำ

ความดังของพวกเขา ทำให้ค่ายอินดี้ชื่อดัง Moshi Moshi จับพวกเขาไปออกซิงเกิ้ลที่ 3 ชื่อ Paris ในช่วงปลายปี 2007 และมันกลายเป็นความสำเร็จที่งดงาม พวกเขาได้รับคำชมเป็นอย่างมากจากสื่อ และกลายเป็นเพลงฮิต ส่งให้พวกเขาได้โอกาสไปเล่นเปิดให้กับวงดังอย่าง Interpol ก่อนที่จะถูกค่ายเพลงอินดี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกค่ายหนึ่งในอังกฤษอย่าง XL ดึงตัวไปเป็นศิลปินในค่าย

FriendlyFires-02-big

เมื่อมีค่ายมาโอบอุ้ม พวกเขาก็เริ่มต้นทำงานอย่างเต็มที่ โดยระหว่างนั้นก็ได้ไปทัวร์กับ Noise Tour ที่จัดขึ้นโดยนิตยสารทรงอิทธิพลอย่าง NME อีกด้วย ระหว่างที่ทำงานเพลง ซิงเกิ้ลเก่าของพวกเขาอย่าง On Board ก็ถูกนำไปใช้ประกอบโฆษณา WiiFit ด้วย และงานอัลบั้มเต็ม ที่ใช้ชื่อเดียวกับวงก็ออกมาในช่วงปลายปี 2008 โดยมี On Board และ Paris เป็นซิงเกิ้ลนำร่อง และมีซิงเกิ้ลที่ 3 ชื่อ Jump In The Pool ผลงานการโปรดิวซ์ของพ่อมดอินดี้ Paul Epworth เป็นเพลงแรกของพวกเขาที่ติดชาร์ต Top 100 ซึ่งมันก็เป็นเพลงที่มากับจังหวะโจ๊ะๆ เบสไลน์ที่เบียบเข้ามาเป็นระยะบวกกับเสียงร้องที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่อเหมือนกับการได้กระโดดเข้าใส่สระว่ายน้ำกลางฤดูร้อนจริงๆ

ซิงเกิ้ลต่อมาอย่าง Skeleton Boy ก็เริ่มต้นด้วยเสียงแบบเทคโนย้อนยุคก่อนจะเบรคด้วยกีตาร์แตกๆ กลายเป็นเพลงที่ชวนเราโยกย้ายร่างกายตามแบบไม่หยุดจริงๆ เพลงที่ไม่ใช่ซิงเกิ้ลอย่าง In The Hospital ก็คืกการผสมกันอย่างลงตัวของจังหวะเพลงฟังค์กับกีตาร์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆครับ นอกจากนี้ เพลงอื่นๆอย่าง White Diamonds ก็มันไม่แพ้กัน ส่วน Strobe ก็กลายเป็นงานมินิมอลเทคโนยุคใหม่ไปเลยครับ

Friendly Fires กลายเป็นงานเพลงที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์มากๆ เพราะมันคืองานที่ชวนให้คนปลุกสัญชาติญาณการแดนซ์ออกมาแบบไม่ต้องเกรงใจมนุษย์คนอื่นเลย ราวกับพวกเขารู้วิธีอัดความสนุกเข้าไปในงานเพลงทั้งอัลบั้ม

ในปี 2009 พวกเขาออกอัลบั้มนี้อีกครั้งโดยมีEP แถมที่มีเพลงที่ยอดเยี่ยมอย่าง Kiss Of Life ที่เป็นเหมือนความสดชื่นที่ได้รับจากจูบที่ริมทะเลยามเย็นจริงๆ และความสำเร็จเหล่านี้ก็ส่งให้พวกเขาได้เข้าชิงรางวัล Mercury เลยทีเดียว

friendly-fires

และในปีนี้ พวกเขาก็กลับมาด้วยอัลบั้มชุดที่สอง Pala ที่บอกตรงๆว่า มันคืองานเพลงที่ต้องติดหนึ่งในอัลบั้มยอดเยี่ยมของปีนี้จริงๆครับ ประสบการณ์สอนให้พวกเขาแตกฉานในเรื่องการปลุกเร้าอารมณ์ความสนุกในตัวมนุษย์จริงๆ แต่ละเพลงคือส่วนผสมของจังหวะเพลงเต้นรำ กีตาร์เพลงร๊อคและความติดหูของเพลงป๊อปได้อย่างลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

ตั้งแต่เพลงแรก Live Those Days Tonight ที่เหมือนกับบอกให้เราเต้นรำแบบไม่ต้องสนวันพรุ่งนี้อีกต่อไป (ลองหา MV นี้ดูครับ) ส่วนซิงเกิ้ลที่สองอย่าง Hawaiian Air ก็คือการอัดเอาความสดชื่นของฮาวายลงมาอยู่ในเพลงที่ยาว 4.16 นาที ชวนให้เราปลดปล่อยทุกสิ่งออกไปจากตัวจริงๆ ว่าที่ซิงเกิ้ลต่อไป Hurting ก็เป็นเพลงป๊อปฟังสบาย เพลงเด่นเพลงอื่นในอัลบั้มก็อย่าง 3 เพลงติด Show Me Lights ที่ชวนให้เราสนุกกับจังหวะที่แสนติดหู True Love ที่มีท่อนเบสแสนเร้าใจ ส่วน Pull Me Back To Earth ก็เหมือนการระเบิดความสุขออกมาจากทุกอณูพร้อมๆกัน ถ้าจะให้สรุปคือ Pala คืองานเพลงที่เข้าใจสัญชาติญาณความสนุกของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี และพน้อมจะดึงทุกชีวิตลงไปที่แดนซ์ฟลอร์ครับ

อากาศร้อนๆแบบนี้ ไม่ลองหางานชิ้นนี้ไปฟังที่ทะเลดูเหรอครับ ผมลองดูแล้วและบอกได้คำเดียวว่า เข้ากันจริงๆครับ

No comments: