ชีวิตนี้ คุณเคยกินอาหารแล้วประทับใจแบบสุดๆ จนแทบจะขึ้นสวรรค์ น้ำหูน้ำตาไหลพรากๆแบบในการ์ตูนญี่ปุ่นบ้างมั้ยครับ ผมว่า ถ้าเป็นคนทีชอบกิน ไม่ว่าใครก็คงเคยล่ะครับ ยกเว้นแต่จะเป็นคนลิ้นด้าน ไม่ได้สนใจเรื่องรสชาติอาหาร หรือเป็นคนที่ขาดความสุนทรีย์เป็นอย่างยิ่งครับ
ตัวผมเอง ก็พิศมั ยการกินมาโดยตลอด แม้ตอนเด็กๆจะเรื่องมาก ไม่กินนู่นกินนี่ แต่พอโตมา ก็กลายเป็นพวกชอบหาของอร่อยๆกิน โดยไม่ยอมพลาดโอกาสดีๆแม้แต่น้อยครับ และในชีวิตที่ผ่านมา ก็หากินนู่นกินนี่ เจอที่อร่อยๆมาก็ไม่น้อย แต่เอาเขาจริงๆ การเจออาหารที่อร่อยแบบเทพๆ กระทั่งชวนน้ำหูน้ำตาไหลนี่ มันมีเงื่อนไขเยอะเหมือนกันนะครับ ไม่ใช่แค่ตัวอาหารอย่างเดียวครับ มันยังมีเรื่องของจังหวะเวลา สถานที่ คนที่ทานด้วย สารพัดอย่างมารวมกันครับ
ซึ่ง ไม่กี่วันก่อน ผมก็ได้เจออาหารที่ประทับใจมากๆในระดับที่เรียกได้ว่า เจอน๊อคลงไปกองกลางเวทีเลยทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าผมจะได้เจอความสมบูรณ์แบบของสถานการณ์ จนเรียกได้ว่า กลายเป็นอีกมื้อที่ผมไม่มีทางจะลืมไปตลอดชีวิตเลยทีเดียวครับ
เรื่องมันเริ่มต้นขึ้น ในวันที่ผมกับอาจารย์คนญี่ปุ่นที่สนิทกันอีกสองท่าน หามื้อเที่ยงกินกัน หลังจากขจบภารกิจที่ โรงเรียนการบินญี่ปุ่น ที่วิทยาเขคโนโตะ ซึ่ง เป็นพื้นที่ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองจนต้องขับรถออกหากินกัน ตัวผมเอง ก็พึ่งเสร็จจากภารกิจการพาคณาจารย์จากกระทรวงศึกษามาดูงานที่ญี่ปุ่น และความเหนื่อยตลอดอาทิตย์สะสมแบบเล่นเอาผมล้าเอาเรื่องเหมือนกัน เพราะปกติ ได้ทำงานแบบนี้ที่ไหนล่ะครับ
หลังจากงมหาร้านอยู่ระยะหนึ่ง ร้านที่ต้องการไป กลับปิด เราเลยลองเสี่ยงไปอีกร้านหนึ่ง ที่เป็นร้านของชาวบ้านแถวนั้น ซึ่งโชคดีที่เปิด ไม่อย่างนั้น เราคงต้องไปฝากท้องไว้กับร้านอาหารแฟรนไชส์ ซึ่งโดยนิสัยผมแล้ว เป็นตัวเลือกท้ายๆเลยทีเดียว เมื่อไปถึง สิ่งแรกที่ผมเจอคือ บ้านญี่ปุ่นแบบโบราณหลังใหญ่ ที่เปิดโล่งให้ลมผ่านสบาย เล่นเอาตกใจว่า นี่ร้านอาหารหรือบ้านคนกันแน่ เพราะเดินเข้าไป ก็ไม่ได้ตบแต่งอะไร มีแต่โต๊ะกับเก้าอี้ วางไว้ตามห้องแบบญี่ปุ่นย่อยๆ เหมือนกับเราเข้าไปเยี่ยมบ้านเพื่อนมากกว่า
แค่บรรยากาศตอนเริ่มแรก ก็น่าตื่นเต้นแล้ว แต่ที่ทำเอาผมประทับใจสุดๆคือ ที่นั่งที่เราได้ คือ ที่นั่งริมชานบ้าน หันหน้าออกไปเห็นทะเลนาข้าวยาวเหยียด สีเขียวรับหน้าร้อนของญี่ปุ่นก่อนไปสิ้นสุดที่แนวเขาที่โอบล้อมมันไว้ ภาพที่เห็น บวกกับสายลมเอื่อยๆ และเสียงจักจั่นร้องเป็นระยะ ทำให้รู้สึกเหมือนกับเราถูกธรรมชาติโอบล้อมไว้ และได้สัมผัสกับโอโซนและอากาศที่แสนสะอาด ชำระร่างกายเราให้สะอาดขึ้นจริงๆ
พอเรานั่ง ปรากฎว่าร้านไม่มีเมนูอื่น นอกจากเซ็ตอาหารประจำวัน ซึ่งวันนั้น ก็เป็นเซ็ตเท็มปุระ พูดง่ายๆคือ ไม่มีตัวเลือกอื่นล่ะ อาจารย์ที่มาด้วยเสียดายที่ไม่ได้กินข้าวหน้าเนื้อวัวท้องถิ่น แต่ก็ยังดีที่มีอะไรให้ทาน ที่สำคัญ ราคาเซ็ตล่ะ 800 เยนนี่ ถูกแบบที่หากินที่ร้านทั่วไปแทบไม่ได้ล่ะครับ (ราคาพอๆกับกินอาหารญี่ปุ่นในไทยเลยนะครับ)
หลังจากสั่งไป เราก็รอไป คุยกันไป นั่งรับลมเอื่อยๆ เย็นๆ โดยมีเสียงประกอบจากครัวที่เรามองเห็นทั้งหมดได้ ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ให้ความรู้สึกแบบมายโฮมจริงๆครับ ทำให้ แม้เราจะหิวกันเอาเรื่อง แต่กลับรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างสบายๆ ไม่ได้เป็นทุกข์เป็นร้อนอะไร จนเมื่ออาหารออกมาเท่านั้นล่ะครับ
สิ่งที่ออกมาวางตรงหน้าพวกเราคือ อาหารเซ็ตที่มี เท็มปุระ (ผักชุบแป้งทอด) เคียงมาด้วย กุ้งทอด เอบิไฟร (ทอดคนละแบบครับ) เน้นนะครับว่า กุ้งเคียงมา เพราะผักมาเป็นกองโตครับ และมะเขือม่วงย่างมิโซะ เห็นไอลอยออกมาพร้อมกลิ่นล่อน้ำลาย ผัดดอง แตงกวาปรุงรส ซุปมิโซะ และข้าวถ้วยหนึง ทั้งหมดมาพร้อมกันในเวลาที่ท้องเรากำลังว่างได้ที่เลยทีเดียวครับ
สิ่งแรกที่ผมทำตามทำเนียมการกินอาหารญี่ปุ่นคือ จิบซุปมิโซะก่อนเครับ และซุปมิโซะของที่นี่ ก็เป็นแบบใส รสชาติจะไม่จัดมาก ไม่เหมือนกับทางนาโกย่าถิ่นผมที่ใช้มิโซะแดง รถจะข้นกว่ามาก แต่ที่นี่ ใช้มิโซะขาว ทำให้รสเบาลง และมีกลิ่นของทะเลเจอมาด้วยครับ รสชาติออกมาได้เหมาะกับอาหาร เพราะจะได้ไม่ทำให้ลิ้นชาจนไม่ได้รสชาติอาหารที่อ่อนกว่าครับ
หลังจากนั้น ก็เริ่มบรรเลงเลยครับ อาหารเกือบทั้งหมด น่าจะเป็นอาหารในบริเวณที่เรากินนั่นล่ะครับ ข้าวก็จากนาตรงหน้า ผักต่างๆ ก็มาจากสวนเล็กๆ แถมมะเขือม่วง ก็โชว์ลูกโต สวยงามอยู่ที่หน้าเรานี่เองครับ คงจะมีแค่กุ้งทอดที่มาจากแหล่งที่ห่างออกไปหน่อย
แต่ คุณครับ รสชาติมันลงตัวเอามากๆครับ เป็นอาหารแบบบ้านๆแท้ๆ แต่รสมันกลมกล่อมลงตัวจริงๆครับ ผมทึ่งไปกับมะเขือม่วงเผา ที่เมื่อกินกับข้าวแล้ว ได้รสชาติกลมกล่อมลงตัวเหมือนกับฟังเพลงเดี่ยวเปียโนของนักเปียโนระดับเทพเลยครับ กลิ่นมันหอมกรุ่นขนาดนั้น มีรสเค็มหน่อยๆ กินกับข้าวญี่ปุ่นที่ติดรสหวานนิดๆ เพลินเลยครับ รสชาติมันไปด้วยกันได้ดีมากๆ เป็นเมนูง่ายๆ ที่เด่นด้วยความสดอร่อยของวัตถุดิบแท้ๆครับ ผักดองที่เคียงก็รสชาติลงตัว กลายเป็นอาหารมื้อที่รักษาสมดุลได้ดีมากๆส่วนเทมปุระ ก็ไม่ได้มาพร้อมกับน้ำจิ้มแบบปกติ แต่ใช้แค่เกลือชื่อดังของถิ่นวาจิม่าโรยไว้เฉยๆครับ และรสเค็มอ่อนๆก็ทำให้เรากินได้อย่างเพลิดเพลินจริงๆครับ ไม่ต้องจิ้มอะไรเพิ่มเลยครับ
ถ้าจะมีจุดที่น่าติดจุดเดียวคือ กุ้งทอด มันไม่เข้าหมวดหมู่ครับ เพราะน่าจะมาจากที่อื่น และเป็นเนื้อสัตว์ชนิดเดียวในมื้อนี้ แต่ก็หยวนๆไปครับ เป้นข้อด้อยนิดเดียวเท่านั้น ถ้าเทียบกับอาหารทั้งมื้อ และด้วยความหิวกำลังพอดี ผมก็สวาปามหมดภายในพริบตา และขอข้าวอร่อยๆเพิ่มอีกชามจนต้องบอกว่า ลืมเรื่องลดน้ำหนักไปเลยครับ
อย่างที่ผมบอกไว้ล่ะครับ อาหารมื้อที่ประทับใจได้ขนาดนี้ เงื่อนไขต่างๆมันต้องสมบูรณ์พอดีกันครับ และวันนั้น มันก็ลงตัวจริงๆ พอกินเสร็จ เราก็นั่งรับบมต่ออีกหน่อย ก่อนจะเดินไปดูมะเขือม่วงในแปลงเล็กๆข้างๆนั้น ได้เห็นของที่เรากินโตตรงหน้าเรานี่ก็ดีนะครับ (แต่ไม่ใช่หมูหรือวัวนะ) วันนั้น ผมชิลซะจนคลายเครียดหมดสมองเลยทีเดียวครับ ไม่ได้กินมื้อประทับใจขนาดนี้มานานมากๆแล้ว ขนาดกาแฟหลังมื้อเที่ยงที่กินประจำ ยังลากไปกินตอนเย็น เพราะว่า ไม่อยากให้มันไปปนกันในท้องเลยครับ เรียกได้ว่า เปรมจริงๆ กว่าจะเจอแบบนี้อีกที ไม่รู้เมื่อไหร่ หวังว่าจะได้เจอในเร็ววันนี้ครับ
No comments:
Post a Comment