Showing posts with label On Japan. Show all posts
Showing posts with label On Japan. Show all posts

Sunday, February 9, 2014

หลังเวที แฟนพันธุ์แท้ ประเทศญี่ปุ่น

จริงๆอยากเขียนเรื่องนี้ไวกว่านี้นะครับ ว่าเป็นไงมาไง ถึงได้ไปแข่ง แฟนพันธุ์แท้ แต่แบบ รอออนแอร์ก่อนค่อยเขียนดีกว่า ได้ฟีลดี แต่พอออนแอร์ ดันไม่มีเวลาล่ะทีนี้ เลยเลทมาเป็นวันเลย

S__11182084

คือ ใครที่ตามผมมาเรื่อยก็คงจะรู้ว่า เออ ผมก็บ้าประเทศญี่ปุ่นในระดับนึงล่ะ เขียนหนังสือออกมาสองเล่ม มีเมียญี่ปุ่น รับสื่อญี่ปุ่นตลอด ทำงานกับคนญี่ปุ่น จนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปล่ะ พอเห็นว่ารายการ แฟนพันธุ์แท้ รับสมัครหัวข้อ ประเทศญี่ปุ่น ก็เลยคิดว่า เอาวะ ลองดู ไม่มีอะไรต้องเสียนี่หว่า (จริงๆเคยอยากจะแข่งถ้ามีหัวข้อ เซนต์เซย่า อีวานเกเลี่ยน แล้วก็ โจโจนะ โอตาคุบรรลัย) เลยส่งโปรไฟล์ไปสมัครกับทีมงาน ไม่กี่วันก็มีโทรศัพท์มาเรียกตัวไปสัมภาษณ์ที่เวิร์คพอยต์ ก็แท่ดแท่ดแท่ด ขับรถไปสตูเค้า ซึ่งอยู่ไกลมากๆๆ แต่ก็ดีที่

Wednesday, December 28, 2011

มาเนคิเนโกะ 招き猫 แมวนางกวัก

IMG_0285

หลายๆท่าน เวลาไปร้านอาหารญี่ปุ่น คงจะเคยเห็นตุ๊กตาเจ้าแมวน้อย ทำท่ากวักมือ คอยเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน อีกมือหนึ่งก็ถือเงินไว้ ซึ่ง ต่อให้ไม่รู้วัฒนธรรมญี่ปุ่นเลย ก็คงเดาออกว่า เจ้าแมวน้อยนี่ มีหน้าที่เรียกลูกค้าเข้าร้าน เหมือนนางกวักของบ้านเรา จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกว่า แมวนางกวัก

Wednesday, December 7, 2011

แสงไฟ ความมืด ความเหงา โตเกียว และกรุงเทพ

ช่วงนี้ ความสุขอย่างหนึงของผมคือ การขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจไปตามท้องถนนในกรุงเทพตอนกลางคืน 3ce085f29d874bb096f9b730f3c0fc47_7ซึ่งก็ไม่ใช่มอเตอร์ไซค์หรููอะไรหรอกครับ แค่ GTO มือสองที่เอามาแต่งแบบเรโทรให้คล้ายกับ Z400 ที่ผมชื่นชอบนั่นเองครับ ซึ่งที่ผมโปรดปรานการซิ่งตอนกลางคืน ไม่ใช่เพราะว่าอยากทำตัวแวนต์หรืออะไร แต่เป็นเพราะว่า อากาศที่เย็นสบาย ถนนที่โล่ง และความสุขของการขับรถมอเตอร์ไซค์ใต้แสงไฟนีออนที่หลงไหลเพราะเพลง Motorcycle Emptiness ที่กรอกหูตัวเองมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เพราะมันมีความเหงาแฝงอยู่ในความมืดที่ๆแสงไฟส่องไปไม่ถึงอยู่เสมอ

และการซิ่งตอนกลางคืนกลับทำให้ผมนึกถึงอดีตสมัยอยู่ที่ญี่ปุ่นได้อย่างน่าประหลาดใจ ทั้งๆที่ผมไม่เคยซิ่งมอเตอร์ไซค์ตอนอยู่ที่นั่นเลยแท้ๆ อาจจะเป็นเพราะว่าตอนที่อยู่ที่นั่น ผมปั่นจักยานบ่อยมาก และบางครั้งก็ปั่นเป็นระยะทางไปกลับเกิน 10 กิโล เพื่อที่จะไปหาแฟนเท่านั้นเอง แต่บรรยากาศของการฝ่ายสายลมท่ามกลางแสงไฟตอนกลางคืน คือความสุขที่ผมหลงไหลมาก

Saturday, November 26, 2011

สู้ต่อไป ลูเชียส

Technorati Tags: ,

IMG_resize_resize

กลับมาแนะนำการ์ตูนอีก แต่งานนี้ ไม่ใช่งานที่ผมแปลเองครับ (แต่ก็เกือบได้แปล บก.โยนมาให้ แต่ไม่เอา เพราะขี้เกียจค้นคว้าข้อมูล 55 นักแปลที่โคตรขี้เกียจจริงๆ) เรื่อง “สู้ต่อไป ลูเชียส” ที่เป็นการ์ตูนที่กำลังโด่งดังในญี่ปุ่นตอนนี้

ดูจากปก กับชื่อเรื่องแล้ว คงงง ว่ามันจะเกี่ยวกับอะไร จริงๆแล้วชื่อเรื่องญี่ปุ่นคือ テルマエ・ロマエ หรือ Thermae Romae ซึ่ง Thermae ก็คือโรงอาบน้ำในอาณาจักรโรมันนั่นเอง แต่ทำไม รูปปั้นโรมันบนปกถึงได้ถือกาละมังแบบญี่ปุ่นล่ะ

ตัวละครเอกของเรื่องนี้คือ ลูเชียส วิศวกรที่มีแนวคิดเฉพาะของตัวเองในยุคโรมันสมัยพระเจ้าฮาดริอานุส เขากำลังถึงช่วงตกต่ำเพราะว่าคนที่ว่าจ้างไม่ชอบงานสไตล์เรโทรของเขาที่ย้อนเทรนด์กลับไป 100 ปี ระหว่างที่เขาปวดหัวว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี เขาก็เข้าไปอาบน้ำในโรงอาบน้ำ และก็เจอโพรงลึกลับ ที่ทำให้จู่ๆ เขาก็หลุดมาในโรงอาบน้ำแบบญี่ปุ่น หรือ เซ็นโต ในยุคปัจจุบัน ซึ่งเขาเองคิดว่าเป็นโรงอาบน้ำของเหล่าทาสจากประเทศ “ไร้ดั้ง” เป็นพวกป่าเถื่อน แต่ลูเชียสก็ต้องตกใจว่าทำไม “ทาส” ถึงได้มีพัฒนาการเรื่องการอาบน้ำที่เด็ดดวงขนาดนี้ จนเขาได้แต่ตะลึงกับสิ่งต่างๆรอบๆตัว กระทั้งนมรสผลไม้ที่ได้ดื่มหลังจากแช่น้ำมาหมาดๆ แต่เมื่อเขาหมดสติ เขาก็กลับมายังยุคของเขา เขาก็นำเอาความรู้ที่ไ้ดจากญี่ปุ่น มาพัฒนา (ลอกนั่นล่ะ) โรงอาบน้ำรูปแบบใหม่สำหรับชาวโรมัน ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก จนทำให้เขากลายเป็นวิศวกรชื่อดัง และเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางบนเส้นทางวิศวกรโรงอาบน้ำที่จะทำให้เขาได้เจอกับการเดินทางข้ามมิติมาเจอกับพัฒนาการอันล้ำเลิศของประเทศบ้าแช่น้ำร้อนอย่างญี่ปุ่น

อย่างที่เล่ามา แม้กจะดูจริงจัง แต่จริงๆแล้วเรื่องนี้เป็นการ์ตูนแก๊กผลงานของ ยามาซากิมาริ ที่กำลังโด่งดังในตอนนี้ เพราะนอกจากความฮาแบบลึกๆจากความเปิ่นของลูเชียสที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรแล้ว ยังเป็นความภูมิใจเล็กๆของชาวญี่ปุ่น ที่โรมันยังต้องมาเลียนแบบเลยนะ (ฮา) แถมยังแหวกแนวแบบสุดๆด้วยสิ จนตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในมังงะสำหรับผู้ใหญ่ ที่ขายดีติดแผงที่ญี่ปุ่น และถึงกับกลายเป็นภาพยนต์ฉบับคนแสดง ที่ได้ อาเบะ ฮิโรชิ ดาราเจ้าบทบาท (เราเคยเห็นเขาในเรื่อง ช๊อคโกแลต นั่นล่ะครับ) มารับบทเป็น ลูเชียส อีกด้วย ไปกันใหญ่ล่ะครับ เรื่องนี้ ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นพึ่งออกมา 3  เล่ม ของไทยเรา ออกมาเล่มนึงแล้ว ลองหามาอ่านกันดูครับ ไม่เสียหลายแน่นอน

Saturday, October 1, 2011

Korea Invasion กิมจิราวีปลาดิบ

Technorati Tags: ,,,,,

เมื่อปีก่อน ผมก็เขียนเรื่องวงการเพลงเกาหลีบุกไทยมาแล้ว และแย๊บไปที่ญี่ปุ่นนิดนึง แต่ตอนนี้ ผมคงจะต้องขอเขียนถึงวงการบันเทิงญี่ปุ่น กับกระแสเกาหลีหน่อยล่ะครับ เพราะว่า หลังๆมานี่ สถานการณ์เข้มข้นเสียจริงๆครับ

dbsk262

อย่างที่ผมเคยเขียนไปแล้วว่า กระแส ฮันริว (ฮัน คือ อักษรจีนที่หมายถึงเกาหลี ส่วนริวหมายถึงกระแส) เริ่มต้นในตอนที่เรื่อง Winter Sonata ละครรักเกาหลีเข้าไปครองดวงใจของป้าๆชาวญี่ปุ่น เพราะมันทำให้เพ้อไปถึงความรักอันแสนบริสุทธิ์ได้ และรอยยิ้มพิมพ์ใจของแป ยอง จุน ก็ทำให้ป้าทั้งหลาย แทบละลายไปเลยทีเดียว หลังจากนั้น ความเข้มข้นของ แด จัง กึม (ที่ญี่ปุ่นเรียก จองกึม) ก็เป็นที่นิยมไปทั่วญี่ปุ่นอีกรอบ แต่ว่า เรื่องเพลงน่ะ ตามมาทีหลังครับ

Thursday, September 1, 2011

มื้อนี้ที่ไม่ลืมเลือน

Technorati Tags: ,

ชีวิตนี้ คุณเคยกินอาหารแล้วประทับใจแบบสุดๆ จนแทบจะขึ้นสวรรค์ น้ำหูน้ำตาไหลพรากๆแบบในการ์ตูนญี่ปุ่นบ้างมั้ยครับ ผมว่า ถ้าเป็นคนทีชอบกิน ไม่ว่าใครก็คงเคยล่ะครับ ยกเว้นแต่จะเป็นคนลิ้นด้าน ไม่ได้สนใจเรื่องรสชาติอาหาร หรือเป็นคนที่ขาดความสุนทรีย์เป็นอย่างยิ่งครับ

ตัวผมเอง ก็พิศมั ยการกินมาโดยตลอด แม้ตอนเด็กๆจะเรื่องมาก ไม่กินนู่นกินนี่ แต่พอโตมา ก็กลายเป็นพวกชอบหาของอร่อยๆกิน โดยไม่ยอมพลาดโอกาสดีๆแม้แต่น้อยครับ และในชีวิตที่ผ่านมา ก็หากินนู่นกินนี่ เจอที่อร่อยๆมาก็ไม่น้อย แต่เอาเขาจริงๆ การเจออาหารที่อร่อยแบบเทพๆ กระทั่งชวนน้ำหูน้ำตาไหลนี่ มันมีเงื่อนไขเยอะเหมือนกันนะครับ ไม่ใช่แค่ตัวอาหารอย่างเดียวครับ มันยังมีเรื่องของจังหวะเวลา สถานที่ คนที่ทานด้วย สารพัดอย่างมารวมกันครับ

Wednesday, June 15, 2011

ส้วม ส้วม ส้วม แห่งญี่ปุ่น Part II

จากตอนที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงเรื่องส้วมแบบญี่ปุ่นไปในระดับหนึ่ง ครั้งนี้ จะมาพูดกันเรื่องความไฮเทคของส้วมญี่ปุ่น และกำเนิดความไฮเทคเหล่านั้นครับ

สิ่งไฮเทคแรกๆที่คนต่างชาติจะได้เจอในห้องน้ำที่ญี่ปุ่นคือ ฝารองนั่งอุ่นๆ ที่ทำใว้เพื่อฤดูหนาวของญี่ปุ่น ช่วยได้มากครับ เพราะเวลาปวดๆแล้วไปเจอฝารองนั่งเย็นเฉียบนี่ เล่นเอาปล่อยไม่ออกเหมือนกันนะครับ กล้ามเนื้อมันเกร็งครับ

จาก awallens.wordpress.comแต่ที่เป็นประเด็นร้อนของกลุ่มชาวต่างชาติในญี่ปุ่นคือ ส้วมที่มีที่ฉีดน้ำล้างก้น หรือที่เรียกว่า Washlet(ワッシュレット) นั่นเองครับ บางคนคงจะนึกว่าไม่แปลกอะไร บ้านเราก็มี แต่ของญี่ปุ่นเขาต่างออกไปตรงที่ มันอยู่ในฝารองนั่งเลยครับ และเป็นระบบแบบอัตโนมัติ ไม่ได้เป็นที่ฉีดแบบบ้านเรา ไม่ต้องเลอะมือครับ

เดิมที่ ญี่ปุ่นก็ใช้กระดาษเป็นหลักแบบบ้านเรานี่ล่ะครับ สำหรับระบบการใช้น้ำล้างแบบอัตโนมัติ จริงก็มาจากทางตะวันตก แต่บริษัทญี่ปุ่นอย่าง TOTO เขาก็จริงจัง พยายามทำของตัวเองให้ได้ ประกอบกับการขยายตัวของที่พักอาศัย และวิกฤตน้ำมันในปี 1978 พวกเขาก็พยายามสร้างของที่ช่วยประหยัดเพื่อสิ่งแวดล้อมครับ

ตอนสร้างทีแรก ไอ้ระบบฉีดน้ำนี่ ยังไม่เท่าไหร่ครับ เริ่มทำทีแรกสุด ปัญหาที่พวกเขาเจอคือ ตำแหน่งของ รูทวารหนัก นั่นเองครับ ใครมันจะไปคิดมาก่อนล่ะครับว่าตำแหน่งตรงกันรึเปล่า พวกเขาเลยเลือกใช้วิธี วัดตำแหน่งรูทวารของพนักงานในบริษัทครับ ไม่ว่าจะเป็นชาย หรือหญิง แต่ไม่ต้องงงนะครับ พวกเขาไม่ได้ไปแหกขาใครแล้วเอาสายวัดไปวัดหรอกครับ (ลาออกกันหมดพอดี) แต่พวกเขาเอาลวดขึงผ่านกลางฝารองนั่ง แล้วให้พนักงานแต่ละคนเอากระดาษแปะตรงตำแหน่งของรูทวารตัวเองไว้ครับ พอวัดทั้งบริษัท 300 คน ก็ได้ข้อสรุปว่า ประมาณ 27-28 เซนติเมตรจากหน้าโถครับ (ละเอียดจริง) แล้วก็คำนวณว่าองศาฉีดน้ำที่จะสบายคือ 43 องศา พวกเขายังคิดไปถึงเรื่องของอุณหภูมิของฝารองนั่ง ที่กะให้เท่าระดับผิวคนที่ 38 องศา เรียกได้ว่า เก็บทุกเม็ดตาม Japanese Standard จริงๆครับ

พอสำเร็จ พวกเขาก็ออกวางขาย โดยตั้งชื่อให้ว่า Washlet ซึ่งย่อจาก Wash Toilet นั่นเองครับ ผลงานของพวกเขาออกวางขายในปี 1980 และเริ่มเป็นที่นิยมด้วยการอาศัยโฆษณาทีวีที่เอาดาราสาวมาโปรโมตแบบน่ารัก ลบภาพลักษณ์ของห้องน้ำที่สกปรกออกไปได้ครับ และจากนั้น ระบบ Washlet ก็เริ่มแพร่หลายในญี่ปุ่น มาตลอด จนปัจจุบันแทบจะเป็นของตายสำหรับคนที่สร้างบ้านใหม่เลยครับ

แต่แน่นอนครับว่า ถ้าพวกเขาไม่พัฒนา ก็คงแข่งขันในตลาดไม่ได้ครับ พวกเขาคิดได้ว่า นอกจากจะฉีดน้ำล้างก้นแล้ว สาวๆก็ควรจะมีอุปกรณ์ล้างน้องสาวของตัวเองด้วย ไหนๆก็จะฉีดน้ำแล้ว ก็เพิ่มฟังชั่นมันอีกหน่อยสิ ทำให้เกิดไอเดียเรื่องของการเพิ่ม Bidet (ビデหรือบิเดต์) ที่เคยเป็นอุปกรณ์ของสาวๆตะวันตก คราวนี้พวกเขาจะพัฒนาขึ้นมาสำหรับคนญี่ปุ่นครับ จากที่เห็นในภาพข้างล่างครับ ว่าจะมีปุ่มที่เขียนว่า Front เป็นรูปผู้หญิง นั่นล่ะครับคือบิเดต์ ที่พอกดแล้วก็จะหัวฉีดก็จะยืดออกมาฉีดน้ำตรงน้องส่าวพอดีครับ

ปุ่มควบคุม

 ประเด็นคือ เมื่อตอนที่หาตำแหน่งของรูทวารหนัก ก็ลำบากซะขนาดนั้นแล้วพอจะหาตำแหน่ง น้องสาว พวกเขาจะหาตำแหน่งยังไง เนื่องจากวิศวกรในทีมก็มีแต่ชายล้วน ซึ่งวิธีการที่พวกเขาเลือกใช้คือ พวกเขาเลือกวัดระยะห่างระหว่างน้องสาว กับรูทวารเอา แต่ไม่รู้อะไรดลใจพวกเขา ให้ไม่เลือกอาศัยความร่วมมือจากพนักงานสาวๆในบริษัท (หรือว่าขอแล้วแต่ไม่ยอมก็ไม่ทราบ) พวกเขาเลือกใช้วิธี ทำวิจัยด้วยการไปเที่ยวอะโกโก้ เพื่อดูแล้วกะค่าเฉลี่ยของระยะห่างของสองจุดยุทธศาสตร์ ซึ่งท่าทางจะเป็นงานวิจัยที่ลำบากเอามากๆ เพราะบรรดาทีมงานทุกคนต่างแวะเวียนกันไปอะโกโก้หลายต่อหลายครั้ง กลับบ้านดึกดื่นค่ำมืด จนได้ค่าเฉลี่ยของระยะห่างดังกล่าวมาจนได้ (เปลืองค่าดริงค์ เอ๊ย เปลืองค่าวิจัยมากๆ) และในที่สุดก็สามารถเพิ่มฟังชั่นบิเดต์ให้กับวอชเล็ตได้สำเร็จ สร้างความสบายให้กับคุณผุ้หญิงทุกท่านมาจนถึงทุกวันนี้ครับ

ครั้งหน้า จะเป็นครั้งสุดท้าย จะขอพูดเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆของห้องน้ำญี่ปุ่น และประสบการณ์ตรงส่วนตัวครับ

(อ้างอิงจากหนังสือ マンガで読む「ロングセラー商品」誕生物語4)

Tuesday, June 14, 2011

เจ้าบ้านประกาศหานักเขียนการ์ตูนรุ่นใหม่ เพื่อเข้าพักในอพาร์ตเมนต์แห่งตำนานการ์ตูน

หนึ่งในห้องในอพาร์ตเมนต์ในตำนาน

เจ้าของอพาร์ตเมนต์ในเขตโทชิม่า โตเกียว วางแผนประกาศหาผู้เช่าในอาพาร์ตเมนต์ที่เคยเป็นที่พักของเหล่านักเขียนการ์ตูนในตำนาน

ทางเจ้าของอาพาร์ตเมนต์ได้รับการช่วยเหลือจากสำนักงานเขต ในการปลุกบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรด้วยการเชื้อเชิญนักเขียนการ์ตูนรุ่นใหม่เข้ามาพัก

อพาร์ตเมนต์อายุ 52 ปีแห่งนี้ ชื่อ ชิอุนโซ อยู่ใกล้กับสถานที่ที่เคยเป็นอพาร์ตเมนต์ โทคิวะโซ ในตำนานซึ่งเป็นแหล่งพักพิงที่ยอดนักเขียนการ์ตุนชื่อดังมารวมตัวกันอยู่ในยุคปี 1950 สมัยที่ยังไม่มีชื่อเสียง

ซึ่งอดีตผู้เคยพักอยู่ก็คือ เทตซึกะ โอซามุุ (ผลงาน เจ้าหนูปรมณู วิหกเพลิง แบล๊คแจ๊ค) อะบิโคะ โมะโท และ ฟุจิดมโต้ ฮิโรชิ ซึ่งต่อมาจะร่วมงานกันเป็น ฟุจิโกะ ฟุจิโกะ (ผลงาน โดราเอมอน ผีน้อยคิวทาโร่ นินจาฮัตโตริ) และ อิชิโนะโมริ โชทาโร่ (ผลงาน ไอ้มดแดง โกเรนเจอร์)

โครงการนี้รวมไปถึงสตูดิโอสองห้องบนชั้นสองของอพาร์ตเมนต์ ที่ อาคาซึคะ (ผลงาน เทนไซบากะบอง) เคยเช่าไว้เป็นสตูดิโอทำงานระหว่างที่อาศัยที่โทคิวะโซ

ทางผุ้ดูแลโครงการจะจ่ายเงินครึ่งหนึ่งของค่าเช่า 40,000 เยน ต่อเดือน ซึ่งพวกเขาหวังว่าจะสร้าง โทคิวะโซ แห่งที่สอง เพื่อสร้างนักเขียนการ์ตูนรุ่นใหม่

ห้องที่อาคาซึคะเคยใช้ทำงานมีขนาด 40.5 เสื่อ (ประมาณ 7 ตารางเมตร) และต้องใช้ห้องน้ำร่วมกัน แต่เมื่อได้รับการบูรระแล้ว ห้องมีขนาด 6-8.5 เสื่อ และมีห้องน้ำ ห้องครัวในตัว อยางไรก็ตาม ทางเจ้าของอพาร์ตเมนต์ยังคงรักษากำแพงดิน และเสาไม้ไว้เพื่อบรรยากาศแบบดั้งเดิม

หนึ่งในเจ้าของไอเดียของโครงการนี้คือ โคอิเดะ มิคิโอะ ชายอายุ 53 ปี เจ้าของร้านนาฬิกาในเขตนี้ ซึ่งเขาเป็นแฟนการ์ตูนพันธุ์แท้และนำโครงการนี้ไปเสนอสำนักงานเขต

“ผมอยากจะคืนชีพให้กับสังคมของวัฒนธรรมการ์ตูน ที่ๆนักเขียนการ์ตูนรุ่นใหม่สามารถเรียนรู้ได้จากกันและกันและทำงานได้เต็มที่” เขากล่าว

โครงการรับผู้มีสิทธิ์สมัครที่เปนชาย อายุค้น 20 ปี เท่านั้น ซึ่งทางคณะกรรมการจะพิจารณาจากผลงานและการสัมภาษณ์อีกรอบหนึ่ง นักเขียนที่สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้จากบล๊อกของ โทคิวะโซ โดริ (http://blog.goo.ne.jp/tokiwaso-street/) และยื่นสมัครได้ภายในวันที่ 20 มิถุนายน 2011

แปลจาก เว็บข่าวอาซาฮี (http://www.asahi.com/english/TKY201106130080.html) วันที่ 14 มิถุนายน 2011

แฉนักเที่ยวญี่ปุ่นเกิดอาการ"ปารีส ซินโดรม"ถูกส่งกลับปท.-ช๊อกรับไม่ได้เมืองหลวงน้ำหอมไม่ศิวิไลซ์

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ว่า สถานทูตญี่ปุ่นต้องส่งนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นหลายสิบรายกลับประเทศทันที ภายหลังเกิดช็อกรับไม่ได้กับสภาพกรุงปารีสไม่ได้ศิวิไลซ์สวยงามเหมือนอย่าง ที่รับรู้หรือคาดคิด โดยจิตแพทย์ญี่ปุ่นได้ขนานนามว่า อาการดังกล่าวว่าเป็นอาการ"ปารีส ซินโดรม"และโดยเฉลี่ยจะมีชาวญี่ปุ่นมากกว่า 12 รายต่อปี ตกเป็นเหยื่อของอาการดังกล่าว เนื่องจากคาดหวังสูงกับการเดินทางมาท่องเที่ยวต่างชาติครั้งแรก 13080266121308026864l

นอกจากนี้ สถานทูตญี่ปุ่นยังต้องติดโทรศัพท์สายด่วน 24 ชม.สำหรับชาวญี่ปุ่นที่มีอาการช๊อกทางจิตใจ และเพื่อช่วยเหลือหาโรงพยาบาลที่เหมาะสมสำหรับบุคคลที่ต้องการเข้ารับการแก้ ปัญหา อย่างไรก็ตาม จิตแพทย์ญี่ปุ่นระบุว่า การเยียวยาถาวรเดียวก็คือต้องกลับประเทศและไม่หวนกลับมากรุงปารีสอีก

รายงานระบุว่า นักท่องเที่ยวจำนวนมากต่างวาดฝันถึงกรุงปารีสอย่างโรแมนติค เหมือนที่เห็นอย่างในภาพยนตร์ เช่น ความสวยงามของผู้หญิง,วัฒนธรรมที่สูงส่ง และศิลปะในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ ทว่า ความเป็นจริงกลับเป็นสิ่งที่ชวนให้ช๊อก โดยนักท่องเที่ยวจะต้องเผชิญกับแท๊กซี่ที่หยาบคาย,บริการกรุงปารีสที่ชอบ ตะโกนใส่ลูกค้าที่ไม่สามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้อาจเป็นเรื่องตลกสำหรับชาวตะวันตกที่เห็นว่าปารีสมี วัฒนธรรมที่แตกต่างจากบ้านเกิดพวกเขา แต่สำหรับญี่ปุ่นซึ่งเป็นคนสุภาพและเป็นสังคมที่ช่วยเหลือซึ่งแทยไม่เคย ตะโกนด้วยความโกรธ การประสบพบเมืองเช่นนี้ทำให้กลายเป็นฝันร้ายของพวกเขา ทั้งนี้ ประเมินว่า มีชาวญี่ปุ่นนับล้านคนเดินทางไปฝรั่งเศสในทุก ๆ ปี

(จาก www.matichon.co.th วันที่ 14 มิถุนายน 2554)

Monday, June 13, 2011

ส้วม ส้วม ส้วม แห่งญี่ปุ่น Part I

เรื่องหนึ่งที่จำเป็นต่อชีวิตมนุษย์เอามากๆนอกไปจากการกิน และนอนแล้ว คือ การขับถ่าย แน่ๆครับ ส่วนหนึ่งของชีวิตผมเลยอุทิศให้กับการขับถ่ายเพิ่อสร้างความสุขให้กับชีวิตอย่างเต็มที่ และสำหรับประเทศที่รักความไฮเทคและความสะดวกสบายอย่างญี่ปุ่นแล้ว มีเหรอครับที่ส้วมพวกเขาจะธรรมดาได้

แต่เดิม ส้วมญี่ปุ่น ก็ไม่ต่างจากส้วมแบบคลาสสิก นั่งยองๆ ของบ้านเราเท่าไหร่หรอกครับ เพียงแต่ ดีไซน์และการใช้งานจะต่างกันหน่อย ส้วมแบบนี้เรียกว่าแบบ Washiki (和式)หรือ แบบญี่ปุ่น นั่นเองครับ มาดูตัวอย่างกัน

1396355667_k-wc-befor01

อย่างที่เห็นนะครับ จะคล้ายๆบ้านเรา แต่เอ๊ะ แปลกๆจัง ทำไมตรงด้านหลังมันกระดกมาขนาดนั้น แล้วนั่งไปจะไม่ติดเหรอ เปล่าครับ จริงๆแล้ว มันสลับกับบ้านเราครับ ของเขา จะหันหน้าไปทางท่อคอห่านครับ  ดูได้จากภาพข้างล่างนี้ครับ

 how to use japanese toilet

คือ นั่งหันตามภาพครับ แล้ว คุณก็ปล่อยตามสะดวกครับ เจ้าเรือดำน้ำสีเหลือของคุณก็จะไปกองอยู่ที่พื้นที่ที่เป็นแอ่งที่ตรงกับเป้าที่ท่านเล็งไว้นั่นล่ะครับ ซึ่งเนื่องจากมันเป็นแอ่ง ท่านก็จะสบายไปตรงที่มันก็จะมีน้ำรองรับเรือดำน้ำของท่านไว้ ไม่ให้ติดเป็นคราบเลอะ แต่เนื่องจากมันแค่ลอยปริ่มๆ กลิ่นมันเลยออกมาหึ่งเหมือนเดิม สิ่งที่ท่านควรทำคือ เอื้อมมือไปกดชักโครกมันซะ (จริงๆเดี๋ยวนี้มันกด นะ ไม่ได้ ชัก สายเหมือนแต่ก่อน น่าจะหาคำใหม่ได้แล้ว) ซึ่งที่ไฮโซหน่อยก็จะเป็นเซนเซอร์ให้เอามือไปโบกไหวๆเอา (บางทีก้าวไปเฉียดก็ชักโครกแล้ว ฮ่วย) ซึ่งน้ำก็จะไหลออกมาจากท่อด้านหลัง  พัดเอาเรือดำน้ำของท่านออกจากท่าไปโดยสวัสดิภาพ (ระวัง น้ำจะแรงจนกระเซ็นออกมา) หลังจากนั้น คุณค่อยนั่งชิลต่ออีกหน่อย เช็ดเชิดให้มันเรียบร้อย ก่อนจะทิ้งลงไปในนั่นแหละครับ แล้วเมื่อมั่นใจว่าเคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการชักโครกรอบสุดท้ายให้มันเรียบร้อยไปซะ

อย่างที่เห็นครับว่า จริงๆ มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรนัก เพราะเราเองก็มาจากวัฒนธรรมแบบนั่งยองๆเหมือนกัน จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่มันเป็นปัญหากับชาวตะวันตกที่ไม่คุ้นเอามากๆครับ ถึงได้มีคำเตือนอย่างในภาพ ว่าระวังจะตกลงไป และในคู่มือนำเที่ยวญี่ปุ่น ก็มักจะมีเรื่องนี้รวมอยู่ด้วยเสมอครับ ถือได้ว่าเป็นเรื่องน่าพรั่นพรึงสำหรับชาวต่างชาติไม่เบา

และแน่นอนครับว่า ส้วมญี่ปุ่นไม่ได้มีแบบนี้แบบเดียวแน่ๆ ยังมีแบบที่ใช้กันไปทั่วโลก นั่นคือแบบนั่ง นั่นเองครับ แต่ลงว่าเป็นประเทศญี่ปุ่น มีเหรอครับที่ท่านจะทำแบบธรรมดากัน ไม่ได้ครับ เสีย มันต้องเพิ่มลูกเล่นกันหน่อย ดังนั้น รอบหน้า ผมจะมาจัดเต็มเรื่องของส้วมแบบไฮเทคสารพัแบบของญี่ปุ่น เอาตั้งแต่จุดกำเนิดเลยทีเดียวครับ แล้วเจอกันครั้งหน้าครับ

Thursday, June 9, 2011

#quakebook

หนังสือการกศลเพื่อญี่ปุ่น ที่รวบรวมทวีตเกี่ยวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น จนกลายมาเป็น essay เล่มนึงครับ มีฉบับ Kindle ให้โหลดมาอ่านฟรีด้วย ลองดูได้ที่ http://www.quakebook.org/

#quakebook featuring Scala & Kolacny Brothers and Kings of Leon from Quakebook on Vimeo.

Friday, February 6, 2009

Tokyo Metro Manner

Technorati Tags: ,,

tokyometro_manner

Again, found this in www.japantoday.com and I can’t agree more. Seeing young brats doing something like that in any train is so damn annoying and I want to kick them all in the groins. Some punks even think they are cool doing that, man, you are just s.o.b. who has no respect to elders. It seems like the goo Japanese Spirit (which I like) is lost when it comes to train/subway. Just look around and do the right things, brats.

Japan’s unpopular men and women boycott love

Technorati Tags:

By Patrick W Galbraith

 

With Valentine’s Day just around the corner, many of us anticipate romance — or at least some “giri” chocolate. But not a certain breed of Internet-dwelling Japanese. They call themselves “himote,” or “the unpopular,” and they’re seeking asylum from the tyranny of love.

“Himote” perceive a gender bias in Japanese society — a bias against men. They reject the idea that guys must slave to accumulate capital and win women, and that romance is necessary for a fulfilled existence. With love on the back burner and time and energy to burn, these outsiders say they are happier, and smarter, than the average man.

The typical “himote” is an intelligent sort who is painfully shy and has difficulty communicating, and so spends a lot of time online. There are male and female “himote,” called “mo-otoko” and “mo-jo,” respectively.

A popular outlet for them is 2channel, Japan’s largest anonymous BBS site, but autonomous communities are on the rise. The Himote Army on Mixi, for instance, has 1,659 registered members, all of whom have passed a test to authenticate their “himote-ness.”

In November, “himote” got a networking site of their very own: Himote SNS. In its very first month, the community attracted 15,000 members, running the gamut from self-identified “human waste” and male virgins to “home security guards” (that is, unemployed layabouts). Eighty-eight percent of users are between the ages of 20 and 40, and four out of five are male. Another 10% describe themselves as “mo-jo,” and the rest are “nekama,” or virtual drag queens. The rules of engagement: if you get a girlfriend, you are banned; members can only talk about “himote” topics; comments by “riajyuu,” or those “satisfied in real life,” are not allowed.

“The site was originally founded so that the people who spend Christmas alone writing on 2channel could help one another get through it,” says Hiroyuki “Ega-chan” Egami, the founder of Himote SNS. “It is a place to go get companionship when you need it.”

Egami, a salaryman by day who operates as many as 100 websites as a hobby, is a self-proclaimed “himote” who is more interested in chitchat than pillow talk. He organizes regular offline meetings, like the Himote Conference in December which drew some 200 people to Loft/Plus One in Shinjuku. At the event, “shaberibeta,” or those with difficulty speaking, were given their own special zone, and paper bags were passed out at the entrance for those who were too embarrassed to show their faces. Of course, couples and anyone looking too smug were turned away at the door. Egami elicited cheers when he took the stage and said, “’Riajyuu,’ drop dead!”

With Valentine’s Day approaching, the group stands resolute. Their meeting, “Can I make 100 friends? Drenched in Loneliness Valentine’s Special!” will be held at Loft/Plus One just after midnight on Feb 13, in the opening hours of Valentine’s Day. Egami is hoping 200 people will attend to help ring in the holiday. The price of commiserating is 2,000 yen, but women get in free (no minors of either sex allowed). The online sister event, “Valentine’s Day Crush,” will take place on Oshaberi TV later that evening from 9-10 p.m.

Despite his extreme approach, Egami says he’s only against romance in the real world insofar as it limits the potential for personal realization. “’Himote’ is a culture, it is an ideology,” he insists. “It’s about being satisfied with who we are before we go looking for partners. If we do that, we realize we don’t need them to be happy. ‘Himote’ camaraderie grows from that understanding.”

For more information (in Japanese), see the Himote SNS at http://motetai.egachan.net or Hiroyuki Egami’s blog at http://tinyurl.com/egami-blog. Oshaberi TV can be accessed at www.oshaberitv.com.

This story originally appeared in Metropolis magazine (www.metropolis.co.jp).

Found this intersting article in www.japantoday.com (actual link is in the post before). Just wonder how Valentine is sucha bad day for some people. I think it sucks if you have to look for any one to spend Valentine day or Chrismas Day. It is just a media hype, people, be yourself, just do not be to desperate, that is just pathetic. And the people in the group mentioned above, they are just hypocrites, because they do not charge women but charge men to join the meeting, shame on you.

Tuesday, February 3, 2009

Tokyo Banana Pie

Technorati Tags:

DSC00165 先週末は説明会があったから、昨日は結構色々な日本にある日本語学校さんが来てた。いつもどおり優しくいろんなお土産をくださいました。その中、上の東京バナナパイはマジたまんない。よく買ったうなぎパイも美味しいが、このバナナの香りは最高です。ダイエットしてなければ全部食っちゃいます。今度日本に行く時は絶対買って帰ってきます。ってか、東京とバナナはどんな関係かな。バナナの木は一本も見たことないな。

เมื่อวานนี้มีแขกเป็นโรงเรียนญี่ปุ่นมาเยี่ยมซะหลายโรงเรียน และแน่นอนว่าตามประเพณีญี่ปุ่น ต้องมีของติดไม้ติดมือมาเสมอ และงานนี้ก็ไม่พลาดครับ กรุณามีของติดไม้ติดมือมาเหมือนทุกครั้ง และที่งวดนี้ประทับใจสุดๆคือ ไอ้เจ้า Tokyo Banana Pie ที่เห็นนี่แหละครับ อร่อยโคตร จริงๆแล้วมันคือพายกรอบๆที่มีกลิ่นกล้วยนี่เอง แต่ว่ามันผสมได้ลงตัวพอดี ทำให้อร่อยได้อย่างเหลือใจเลยจริงๆครับ ไปญี่ปุ่นครั้งหน้า ซื้อกลับมาแน่นอนคร้าบบบ (ว่าแต่ โตเกียวมันเกี่ยวอะไรกับกล้วยหว่า ไม่เคยเห็นซักต้นน้า)

Wednesday, January 14, 2009

NEWS: Porn industry enjoys good sales despite recession

Technorati Tags: ,

This news from www.japantoday.com just made me laugh.

At the end of December, there was a gathering of young sexy girls at the Tokyo International Forum in Yurakucho. Just as many other companies were having year-end parties, this, too, was a year-end party held by a company that produces porn movies.

Insiders say the porn industry is enjoying steady growth despite the economic downturn.

“Prizes for bingo games at the party included travel tickets abroad. A cooking demonstration featuring tuna worth a few million yen was also held. Some top porn actresses, who are affiliated with the company, were given bonuses from half a million to 1 million yen. Everybody enjoyed the party,” said one attendee.

Another guest at the party said, “I have never seen such a lavish party. It’s so conspicuous, considering everybody else is cutting back on entertainment because of the recession.”

Some people might imagine that a porn producer throws a racy party, but that wasn’t the case, said the guest. “I was expecting something sexy, but it wasn’t like that at all. Rather, it was more entertaining with singers.”

Porn industry workers say the company, which invited 800 guests to the party, had its best year ever in terms of sales, thanks to its roster of popular porn actresses. No matter how bad the economy gets, there will always be a demand for their products, they say. (Translated by Taro Fujimoto)

So it Means that no matter horrible economic, we are still horny. Well, it is human nature.

Friday, October 10, 2008

Long Stay in Chiang Mai

Technorati Tags: ,

เมื่อคืน ได้ดู รายการของทางช่องเก้า เกี่ยวกับการที่ชาวญี่ปุ่นสุงอายุ มาอาศัยอยู่ในเมืองไทยแบบลองสเตย์(ประเภทวีซ่าคนเกษียณอายุแล้ว) ทำให้รู้สึกดีที่ชาวญี่ปุ่น เลือกมาใช้ชีวิตบั้นปลายในเมืองไทยเพราะว่าเป็นประเทศที่น่าอยู่

ตอนนี้ ตัวเลขอย่างเป็นทางการของชาวญี่ปุ่นที่อยู่ที่เชียงใหม่ มีประมาณ 2,000 - 3,000 คน แต่จริงๆแล้ว ก็คงมีเยอะกว่านั้นแน่นอนครับ ผู้สูงอายุทั้งหลาย ส่วนใหญ่เลือกมาที่ไทย เพราะว่า ค่าครองชีพที่นี่ถูกกว่าที่ญี่ปุ่นมาก คนญี่ปุ่นที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ จะมีค่าใช้จ่ายราวๆ 50,000 -60,000 บาท ต่อเดือน แต่ถ้ายังอยู่ที่ญี่ปุ่น ก็จะตกอยู่ที่ ประมาณ 120,000 - 130,000 บาทต่อเดือน จะเห็นได้ว่า ถ้ายังอยู่ที่ญี่ปุ่น เงินบำนาญ ที่ได้รับจากทางการก็ไม่พออยู่แน่นอนครับ (ระบบบำนาญญี่ปุ่นไม่เหมือนไทยนะครับ ไม่ว่าจะทำงานราชการหรือเอกชน ทุกคนจะถูกหักเงินเข้าหลวง และได้รับคือเมื่อเกษียณอายุ) ดังนั้น หลายๆคนจึงเลือกที่จะย้ายไปอยู่ที่ประเทศอื่น ซึ่งนอกจากประเทศไทยแล้ว ก็ยังมีบราซิล หรือ ฮาวาย ที่มีคนเชื้อสายญี่ปุ่นอยู่เยอะเหมือนกัน แต่หลายๆคนก็บอกว่า ไทยดีที่สุด เพราะคนไทยปฏิบัติต่อคนต่างชาติดี

หลายๆคนก็ใช้เวลาว่างไปกับการเล่นกอลฟ์ บางคน ก็ตั้งชมรมถ่ายภาพ และมีกระทั่งชมรมผลิตเครื่องประดับ ซึ่งแต่ละปี จะมีการเอาออกมาขาย และมอบรายได้ให้กับมูลนิธิต่างๆต่อไป ก็ถือว่ามาทำประโยชน์ ด้านการใช้ชีวิตก็ไม่ลำบาก เพราะว่ามีร้านค้าต่างๆคอยรองรับอยู่แล้ว โรงพยาบาลก็มีบริการเป็นภาษาญี่ปุ่นเหมือนกัน เรียกได้ว่าอยู่ได้อย่างสบายใจเลยครับ ยิ่งบางคนเริ่มต้นเรียนภาษาไทยตามโรงเรียนต่างๆ ทำให้สามารถสื่อสารกับคนไทยได้ ยิ่งสบายกว่าเดิมเลย

น่าประทับใจนะครับ ที่เค้าเลือกที่่จะมาอยู่บ้านเรา และรักเมืองไทยของเรา ถ้าเค้ามาในฐานะแขกที่ดีแบบนี้ เราคนไทยเองก็ควรจะต้อนรับเขาในฐานะเจ้าบ้านที่ดีเช่นกันนะครับ

 

 

Thursday, October 9, 2008

チェンマイロングステー

Technorati Tags:
Technorati Tags: ,

今テレビ見ているけど。なんか、チェンマイでロングステーしている日本の老人たちについて。今は何千人もいるし。大体夫婦で来てる場合も多いけど、一人で来てる場合もそもそもある。こっちの生活は月5-6万バーツくらいかかるけど、日本にいたら、月12万バーツかかるから、タイがいいと言っている。まぁ、確かに二人の年金だったら問題ないね。

やはり日本人にとってバンコクよりチェンマイの方がいいよな。空気はだいぶ汚くなってきたらしいけど、バンコクと比べるとやっぱ全然平気だね。天気も涼しいし。タイ人(特に北部の人たち)もまだ優しいから、なんとか昔の日本の感じがするかな。みんな年金で生活送っているから、結構暇でいろんなことをしている。ゴルフをやってる人も多いけど、小物を作って、集まって売って、儲けたお金を寄付している。無駄な生活ではないな。欧米人のロングステーとは全く違うと思う。

上に書いてある通り、二人で来ている場合は多いから変な問題はあまりない。でも欧米人のロングステーは大体おっさん一人で来て、タイ人の女の人と結婚して、家を買うケースが多い。それで、外国人は土地持ってはいけないから(コンドミニアムは大丈夫だけど)、みんなは奥さんを戸主にしている。それが詐欺だね。お金がなくなったら他のタイの男の方に行って、欧米人の旦那はもう意味ない。結局負け犬として自分の国に戻る。それはまだいいかも。奥さん喧嘩して殺されるイギリス人もいたし。

なんか、日本人のロングステーを書こうとしてたけど、なんか、欧米人のケースになっちゃったな。まいいか。今日はこれで。