Saturday, June 27, 2009

Progress of Music Scene: ความก้าวหน้าของวงการดนตรี

Technorati Tags:

หลังจากที่เขียนแนะนำวงดนตรีมาหลายต่อหลายวงเป็นเวลาเกือบสองปีแล้ว ในที่สุด ผมก็ได้เขียนสิ่งที่ได้วางแผนมานานแล้ว นั่นก็คือ ความเป็นไปในแวดวงดนตรี เพราะว่า โลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน กระแสใหม่ๆที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ บางทีมันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว จึงอยากจะใช้หน้านี้บันทึกมันไว้ก่อนที่มันจะถูกลืมไปกับกระแสอื่นๆอีก แต่ที่แน่นนอนคือ ผมจะพยายามเขียนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคของผม เพราะผมคงไม่สามารถบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะเกิดได้ดีเท่าคนในยุคนั้นเอง เลยขอแต่ส่วนที่ตัวเองถนัดดีกว่าครับ

ถึงผมจะเป็นเด็กที่เกิดและโตในต่างจังหวัด แต่ว่าด้วยความสนใจในดนตรีตั้งแต่เด็กทำให้ความทรงจำเรื่องดนตรีค่อนข้างจะแจ่มชัดมาก ซึ่งผมเองก็โตมากับยุคของไมเคิล แจ๊คสัน และมาดอนนา ซึ่งมานั่งคิดดูอีกที ยุคนั้นดนตรีต่างประเทศแรงมากถึงขนาดได้ออกทีวีธรรมดาด้วย และที่จำได้ดีสุดคือเพลง We are the World ที่เป็นกองทุนช่วยเหลือเด็กในเอธิโอเปีย (ตอนนั้นโรงเรียนอนุบาลคริสต์ของผมเรี่ยรายอาหารไปบริจาคด้วย) แต่หลังจากนั้นดนตรีสากลก็เงียบไปพักใหญ่ ไม่ค่อยมีให้ได้ดูทางทีวี จนตอนเข้าม.ต้น มีรายการ Smile TV ที่จะเปิดมิวสิควิดีโอต่างประเทศให้ดูทุกอาทิตย์ ทำให้ผมได้โอกาสรู้จักวงอย่าง Guns N’ Roses หรือ Bon Jovi และหลังจากนั้นก็เริ่มหานิตยสารมาอ่าน ตั้งแต่ Music Express ยัน Generation Terrorist

แม้หลังจากนั้นจะเริ่มเป็นยุคเฟื่องฟูโคตรๆของวงการเพลงสากลด้วยกระแสอัลเทอร์เนทีฟ และวงเล็กๆหลากหลายก็แห่กันมาเมืองไทยในยุคฟองสบู่ฟูฟอด แต่ฝันกลางแดดก็กลายไปพร้อมๆกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้วงการเพลงก็ส่งผลกระทบจนซบเซาไปด้วย

แต่ในตอนนั้น ก็เกิดสิ่งหนึ่งที่จะเข้ามาเปลี่ยนวงการเพลงไปตลอดกาล นั่นคือไยแมงมุมไฟฟ้า อินเตอร์เน็ต นั่นเอง ก่อนหน้านั้น เส้นทางในการค้นวงดนตรีใหม่ๆนั้นมีแค่นิตยสาร หรือรายการทีวีเท่านั้น แต่อินเตอร์เน็ตได้ทำให้โอกาสในการเข้าถึงศิลปินเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ บางคนยังล้ำสมัย (ในยุคนั้น) ด้วยการเอาเพลงตัวอย่างหรือคลิปตัวอย่างไปขึ้นเว็บตัวเองไว้ด้วย และโลกก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

นอกจากอินเตอร์เน็ตแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าวงการดนตรีอีกอย่างหนึ่งคือ MP3 นั่นเอง ในยุคที่อินเตอร์เน็ตยังไม่เร็วนัก เราจะเห็นร้านขายแผ่น MP3 เริ่มผุดขึ้นมาเต็มห้าง 1000Tip จนเป็นจุดกำเนิดของแผ่นผีดูดเลือดไป และการมาของเน็ตความเร็วสูงทำให้การแลกเปลี่ยนเพลงบนเน็ตแรงขึ้นมาก แม้หลายเจ้าจะโดนฟ้องไปเช่นคดีโคตรดังของ Napster แต่ก็ยังมีศิลปินหัวก้าวหน้าบางรายเช่น Kinesis ที่สนับสนุนการแชร์เพลง เพราะไม่เห็นด้วยกับการเอาเปรียบของค่ายเพลงด้วยประโยคเด็ดว่า ยอมให้แฟนฟังเพลงฟรี ดีกว่าไม่มีใครได้ฟังดนตรีของตนเองเลย
873-nap


และเมื่อค่ายApple ออก iPod มาวางขาย แม้จะยังไม่ได้รับความนิยมในช่วงแรก แต่ในที่สุดมันก็ครองโลกและ MP3 ก็กลายเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ทำให้ศิลปินและร้านค้าต้องเริ่มขายเพลงในรูปแบบดาวน์โหลดด้วย

แล้วก็เกิดสิ่งที่เปลี่ยนโฉมหน้าวงการเพลงไปอย่างกู่ไม่กลับอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ MySpace เว็บไซต์ที่ศิลปินมาสมัครสมาชิกแล้วสร้างหน้าเว็บของตัวเอง โดยสามารถใส่เพลงหรือคลิปตัวอย่างได้ฟรีๆ และยังมีกระดานตอบโต้ของแฟนๆอีกด้วย ทำให้วงหน้าใหม่มีช่องทางออกไปสู่แฟนเพลงได้ง่ายดายขึ้น วงหน้าใหม่อย่าง Arctic Monkeys ก็สามารถดังระเบิดได้จากไซต์นี้ ถึงขนาดค่ายเพลงต้องออกตามล่าตัวเลยทีเดียว และราคาคอมพิวเตอร์ที่ถูกลง ทำให้การทำดนตรีง่ายขึ้นมากจนเกิดศิลปินเต็มไปหมด นอกจากนี้ยังมี Lilly Allen ที่ดังจากการปากหมาด่าชาวบ้านในบล็อกของตัวเองไปเรื่อย หรือ The Others สนิทกับแฟนเพลงมากถึงขนาดมีเบอร์มือถืออยู่ในเว็บให้แฟนเข้าถึงได้ตลอด จนเปลี่ยนจากยุคศิลปินจอมหยิ่ง มาเป็นยุคที่ศิลปินต้องสัมพันธ์กับแฟนเพลงอย่างเต็มที่ และก็เปลี่ยนจากที่แฟนเพลงเป็นผู้รับสารอย่างเดียว เป็นการที่ทั้งแฟนและศิลปินได้มีส่วนร่วมกันมากขึ้น

BandStock

จนล่าสุด นอกจากแค่ออกความคิดเห็นของตนเองแล้ว แฟนเพลงยังมีโอกาสลงทุนในศิลปินที่ตัวเองชอบอีกด้วย เพราะ www.bandstocks.com/ ทำให้คนทั่วไปสามารถลงทุนจ่ายเงินให้ศิลปินทำอัลบั้มออกมาได้ เหมือนเป็นการซื้อหุ้นเลยทีเดียว และเมื่ออัลบั้มขายได้ ก็ได้ปันผลไปด้วย ด้วยวิธีนี้ ศิลปินที่ไม่มีเงินแต่มีฝีมือจะได้สร้างผลงานตามที่ตัวเองต้องการได้ง่ายขึ้น เท่าที่ดูตอนนี้ที่ดังสุดในไซต์นี้คือ อัลบั้มใหม่ the Bachelor ของ Patrick Wolf ที่ยอดเยี่ยมอย่างไร้ที่ติ และศิลปินที่กำลังเปิดรับเงินทุนอยู่ตอนนี้อย่าง Dark Young Hearts ก็สามารถรวบรวมเงินได้ถึง 3หมื่นกว่าปอนด์เลยทีเดียว เป็นก้าวย่างที่น่าสนใจและแปลกใหม่อย่างคาดไม่ถึงของวงการเพลงจริงๆ จนทำให้ผมสงสัยว่า ต่อจากนี้มันจะมีอะไรมาให้ทึ่งกว่านี้อีกมั้ย แต่ตอนนี้ใครอยากลงหุ้นก็เชิญเลยครับ

ปล. ก่อนเขียนงานชิ้นนี้ ได้รับข่าวเศร้าเกี่ยวกับ Michael Jackson ที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ แม้ว่าหลังๆเขาจะเป็น Wacko Jacko ไป แต่ว่า เราคงไม่มีวันลืมความเป็นสุดยอดนักเอนเตอร์เทนของเขาไปได้ ขอไว้อาลัย ณ ที่นี้ด้วย

Tuesday, June 23, 2009

ไปเที่ยวจันทบุรีมา

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีโอกาสได้ไปสะเอะเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง หลังจากที่ไม่ได้ไปมานาน พอเพื่อนโป๊ะชวน ก็ตกลงไปทันที (ใจง่าย) และหลังจากเคลียร์งานเรียบร้อยแล้ว เราก็ตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพื่อแหกขี้ตาขับรถไปจันทบุรี โดยที่ไม่รู้ว่าจะต้องไปพักที่ไหน จะไปไหนบ้าง เพราะคนอื่นจัดให้หมด แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร ไปเลยไม่ต้องคิด

ทั้งทริปมีสมาชิก 12 คน โดยเราเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เป็นพนักงานของรอยเตอร์เหมือนชาวบ้านเค้า แต่ก็ไม่เป็นไร ไปด้วยรถตู้คันนึง กะแคมรี่ที่รักของเราอีกคัน และหลังจากขับรถตลอดช่วงเช้า เราก็ถึงที่พักและไปดูโลมาที่โอเอซิส ซี เวิลด์ ก่อนเลย

IMG_3694
จริงๆแล้ว เราเคยมาดูโลมาที่นี่สมัยตั้งแต่มันพึ่งเปิด จำได้ว่า ยังบ้านนอกมากๆ แล้วก็บ่อใหญ่กว่านี้ หลายปีผ่านไป เปลี่ยนบ่อ แต่คนดูก็ยังน้อยจนน่าเป็นห่วง ทั้งๆที่โชว์ก็สนุกดี แต่อาจจะเป็นเพราะมีแต่โชว์อย่างเดียวมันก็น่าเบื่อไปหน่อย แต่ขอชมจริงๆที่ใจรักทำโชว์แบบนี้มาตลอด

 

IMG_3703
โชว์ขี่โลมาสองตัว เจ๋งดี แต่จังหวะที่ถ่ายได้เหมือนพี่แกจะล้มหัวคว่ำแล้ว

IMG_3707
เสร็จแล้วก็ไปเดินดูป่าโกงกางที่ คุ้งกระเบน ทำให้ได้รู้ว่า คนที่นี่เรียกพะยูนว่า หมูดุด มิน่า เห็นป้ายหมูดุด เต็มไปหมด มีกระทั่ง ก๋วยเตี๋ยวหมูดุด (คงไม่ได้กินพะยูนหรอกนะ)

 

IMG_3714


เก๊กหล่อเล่นซักรูป

 

IMG_3723


กะเพื่อนโป๊ะ และอ้อม ที่เดินทางด้วยกันตลอดทริป

 

IMG_3730


ในที่สุดก็ได้ลงเล่นน้ำทะเล แต่ว่าเพราะเป็นช่วงลมแรง น้ำเลยมีทรายปนเยอะ ไม่ค่อยสวย แถมเสือกคันอีก หาดก็ตื้นสมชื่อ ว่ายตั้งนานกว่าจะเจอที่ลึก แต่เพื่อนๆที่ไปด้วยกัน บอกว่าจะคลืนดูดไปนอกฝั่ง เกือบตาย เลยพยายามเลี่ยงดีกว่า เสียว ไม่ได้ฟิตเหมือนเมื่อก่อน เดี๋ยวตายพอดี เล่นได้ซักหน่อยเลยเลิกเลย

IMG_3732


บรรยากาศทะเลงามๆยามเย็น ก่อนที่จะไปสวาปามของทะเล และเล่นไพ่เล่นเกมก่อนนอน ขอบคุณเพื่อนโป๊ะที่สนับสนุน Green Label ถ้าไม่ขับรถป่านนี้เมาอ้วกสามรอบแล้ว ฮึ่ม

IMG_3751


ตื่นแต่เช้า มายัดทานอีกรอบ แล้วค่อยไปเดินเล่น เจอรูปูขนาดเล็ก เยอะมากๆ แล้วปูก็ตัวเล็กจริงๆ น่าจะเล็กกว่าแมงมุมตามบ้านอีก นี่อ้อมจับมาได้ตัวนึง นี่ขนาดว่าตัวใหญ่แล้วนะ เล็กโคตรๆ

IMG_3762


เสร็จแล้ว จะไปเล่นน้ำที่น้ำตกพลิ้วกัน เพื่อนบอกว่า ปลาเยอะมาก แต่ทุกคนไม่ได้คิดอะไร จนไปถึง เจอปลาเข้าไป ไม่มีใครลง นอกจากเพื่อนคนที่พูด กะเราเอง ที่ทำใจหลายรอบกว่าจะลงได้ แต่อย่างว่า ไหนๆก็ไหนๆวะ ยังกะเล่น Fear Factor ปลาแม่งมาล้อมเกือบตลอด ไม่ได้กลัวคนเลย

IMG_3765 
ถ้าภาพตะกี้ดูไม่เยอะ ต้องภาพนี้เลย เยอะโคตร กะลังโดนไล่งับหัวนมอยู่ ไม่ใช่ถั่วฝักยาวนะโว้ย

IMG_3775 
ถ้าสงสัยว่าปลาอะไร ก็นี่เลย มีพิษอีกตะหาก ถ้าไม่มีคงโดนกินหมดแล้ว จับง่ายสุดๆ แต่พอไปค้นเพิ่ม เห็นบอกว่าเสี่ยงต่อการสูญพันธ์เหมือนกิน

IMG_3792
แต่พอมาดูรูปนี้ บอกได้คำเดียวว่า กูไม่เชื่อหรอกว่าจะสูญพันธ์ หอกเถอะ เล่นเอาปลาอื่นไม่มีที่อยู่เลย ดำพรืดไปหมด น่ากลัวจริงๆ

หลังจากที่เล่นกับปลาเสร็จ ก็ไปกินข้าวในตัวเมือง และกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ ทริปสั้นๆ คืนเดียว แต่สนุกดี เพลินๆ เดี๋ยวมีโอกาสต้องหาทางไปอีก แต่คงไม่ไปเล่นกะปลาแล้วล่ะว่ะ ครั้งเดียวพอ

34 foreign trainees in Japan died in FY 2008 of suspected overwork › Japan Today: Japan News and Discussion

34 foreign trainees in Japan died in FY 2008 of suspected overwork › Japan Today: Japan News and Discussion

Posted using ShareThis

Friday, June 19, 2009

Green Day: ข้าจะครองโลกด้วยกีตาร์

Technorati Tags: ,

ในช่วงที่ผ่านๆมา หลังจากยุ่งไปกับงานประจำอยู่พักใหญ่ ผมก็ได้รับซีดีแผ่นหนึ่งโดยไม่คาดคิด นั่นก็คือ อัลบั้มใหม่ของ Green Day ซึ่งที่บอกว่าไม่คาดคิดเพราะว่า ไม่ทันได้ตามข่าวเลยว่าวงนี้จะออกอัลบั้มใหม่ จนวันที่มันมากองที่โต๊ะทำงานผมนี่แหละครับ

จะว่าไป ชีวิตการฟังเพลงของผมก็เกี่ยวกับวงๆนี้ไม่น้อย เพราะว่าเป็นวงแรกๆที่เริ่มฟังหลังจากที่หันเหจากวงแฮร์แบนด์มา ซึ่งที่ได้ฟังก็เพราะเพื่อนมันแนะนำเหลือเกินตอนไปทัศนศึกษา ปี 94 ตอนแวะกรุงเทพเลยตบอัลบั้ม Dookie ซะ ซึ่ง ไม่เสียแรงแนะนำครับ เพราะว่ามันมันสะใจวัยรุ่นม. 4 ในตอนนั้นเหลือเกิน เพลงดังๆไม่ว่าจะเป็น She, Long view หรือ Welcome to the Paradise นั้น เราฮัมตามได้เกือบหมด (ยังร้องไม่ได้ครับ) และไม่ต้องพูดถึง Basket Case และ When I Come Around ที่เป็นเพลงชาติของวัยรุ่นตอนนั้นไปแล้ว และมันก็เป็นการจุดกระแสวงพังค์ให้กลับมาดังอีกแล้ว พร้อมๆกับที่บ้านเรากะลังเฟื่องดนตรี Alternative พอดี Green Day เลยดังระเบิดไปทั่วบ้านทั่วเมือง จนไม่มีใครลืมหน้า Billy Joe Armstrong (บิลลี่ กีตาร์ ร้องนำ) Mike Dirnt (ไมค์ เบส) และ Tre Cool (เทร กลอง) ไปได้ และพวกเขาก็ได้รับเชิญมาแสดงในเมืองไทยด้วย และทำให้เกิดตำนานรองเท้าบินใส่วงไทยที่เป็นวงเปิด (ละชื่อไว้เพราะไม่อยากมีเรื่อง) นอกจากจะทำให้เกิดวงพังค์ในไทยมากมาย พวกเขายังใจดีให้บางวงยืมทำนองมาด้วย (ฮา)

EarlyGreenDay 

แม้พวกเขาจะโดนสบประมาทว่า แค่วงเล่นสามคอร์ด ไม่มีฝีมือ แต่พวกเขาก็ไม่สนพวกเจ้าฝีมือ และทำดนตรีของเขาไป แม้อัลบั้มที่ 2 อย่าง Isomniac จะทำยอดขายไม่ดีเท่าเก่า เพราะว่าอัลบั้มมันมืดกว่าชุดที่แล้วมาก ทำให้คนเริ่มสมน้ำหน้า และยิ่งเมื่อ Nimrod อัลบั้มที่สามออกมา ยอดขายมันก็ยังน่าผิดหวังเหมือนเดิม แม้จะมีเพลงดังอย่าง Good Riddance (Time of your Life) ที่เป็นเพลงดังให้พอได้ชื่นใจบ้าง

แต่พออัลบั้มต่อมา Warning ไม่ได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์คู่บุญ พวกเขาก็เหมือนกับจะจมลึกลงไปอีก เมื่อมันทำยอดขายได้น่าผิดหวัง เพลงที่พอเป็นที่จดจำก็อย่าง Minority เท่านั้น จนถึงตอนนี้ผู้คนแทบจะกาชื่อพวกเขาออกไปจากสาระบบแล้ว

แต่ใครจะไปคิดครับ ว่าพวกเขาจะกลับมาได้อย่างงดงาม และยิ่งใหญ่เสียด้วย และเรื่องนี้มันเกิดจากความโชคดีในความโชคร้าย เมื่องานเพลงชุดใหม่ที่พวกเขาอัดไว้ถูกขโมยไป (ช่วงนั้นฮิตครับ U2 กะ the Streets ก็โดน) แทนที่จะอัดใหม่อีกรอบ พวกเขาบอก ช่างแม่ง แล้วตัดสินใจทำอัลบั้มร๊อคโอเปร่าตามอย่าง the Who ซึ่งมันก็กลายเป็นคอนเซ็ปท์อัลบั้มที่ชื่อ American Idiot ในปี 2004

green-day

พวกเขาเบิกโรงด้วยการออกซิงเกิ้ลชี่อเดียวกับวงออกมาชิมลางก่อน และมันก็กลายเป็นเพลงฮิตถล่มทลายไปทั่วโลก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะมันเป็นชื่อเพลงที่เสียดสีประเทศอเมริกาในยุคของบุชได้เป็นอย่างดี และมันอยู่ในช่วงก่อนการเลือกตั้งพอดีด้วย และเมื่ออัลบั้มเต็มออกวางขาย มันก็ทำยอดขายได้อย่างงดงามจริงๆ เพราะนอกจากยอดขายถล่มทลายแล้ว ตัวอัลบั้มเองก็ยอดเยี่ยมสมกับที่คนแห่กันไปซื้อ แม้บางเพลงในอัลบั้มจะทำให้คนคิดว่ามันเป็นอัลบั้มเกี่ยวกับ 9/11 แต่จริงๆแล้วมันเกี่ยวกับความรักและความดิบในตัวคนๆนึงมากกว่า แต่ไม่ว่ายังไง America Idiot คืออัลบั้มที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

greenday_titp05_10 

นอกจากนี้แล้ว การออกทัวร์เพื่อสนับสนุนอัลบั้มนี้ยังโดนเด่นอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาเปลี่ยนคอนเสิร์ตให้เป็นประสบการอย่างอลังการที่คนดูที่โชคดีจะได้ขึ้นมาเล่นกีตาร์บนเวทีและรับกีตาร์นั้นกลับบ้านอีกด้วย ไม่รักก็บ้าแล้ว หลังจากนั้น พวกเขาก็แอบไปออกงาน The Saints Are Coming to Town ร่วมกับ U2 เหมือนกับเป็นการยืนยันสถานะยักษ์ใหญ่ของวงอีกด้วย หลังจากนั้น พวกเขาแอบออกอัลบั้มแนว Rock and Roll ชื่อ Stop Drop and Roll ภายใต้ชื่อวงแฝง Foxboro Hot Tubs ที่มีเพลงสนุกๆอย่างMother Mary และ The Pedestrian ซึ่งถ้าตั้งใจฟัง ยังไงก็แยกออกว่าเป็น Green Day แน่ๆ แม้แนวจะไม่เหมือนกัน ซึ่งก่อนหน้า American Idiot พวกเขาก็เคยออกอัลบั้มในนามวง The Network โดยไม่ยอมรับว่าเป็นพวกตัวเอง แล้วยังบอกอีกว่าเกลียดขี้หน้าวงนี้มาก

และปีนี้ พวกเขากลับมาพร้อมกับอัลบั้มใหม่ 21st Century Breakdown ที่ได้ Butch Vig มาช่วยดูแลให้ และเกินความคาดหมายครับ อัลบั้มใหม่ที่ตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่เราเชื่อถือหรือยึดมั่นในยุคนี้ และโจมตีไปที่ขี้กองใหญ่ที่บุชทิ้งไว้ กลายเป็นอัลบั้มที่โคตรทรงพลัง จนเล่นเอา American Idiot เป็นเหมือนกับวอร์มอัพไปเลย ทุกเพลงเต็มไปด้วยความงดงามและพลังที่แน่นอยู่ทุกตัวโน๊ต แม้จะยังยึดมั่นอยู่กับแนวพังค์ ดนตรีพวกเขาพัฒนาไปมากและมันอลังการถึงขนาดต่อให้เล่นในสามเวมบลีย์ติดกัน ก็ไม่มีพลังตกแน่ จนบอกได้ง่ายๆครับว่า วิ่งไปที่แผงแล้วควักเงินซื้อเถอะครับ คุ้มทุกบาทแน่ๆ เพราะขนาดตอนนี้ผมยังไม่กล้ายกตัวอย่างซักเพลง เพราะมันเด่นไม่แพ้กันเลยครับ

Wednesday, June 17, 2009

I am thrilled

Technorati Tags: ,

I have to write this in a rush because I am so thrilled by new Patrick Wolf at the moment.

It is just brilliant. I don't know how to explain.

This year, I was amazed by White Lies and the Horrors, but Patrick Wolf just raised the bar.

It is on my iPod now and I just can't stop the tears in my eyes. I guess I am really obsessed with music and it is my reaction when I listen to really good music, oh. It is my own little empire, my own sanctuary. When I put it on, the rest of the world just disappear and I will be in my own sacred place.

Thank Gods in any religion, any holy existence that gave music to us.

Sunday, June 14, 2009

Samurai underwear proving soft touch for female gift-givers › Japan Today: Japan News and Discussion

Samurai underwear proving soft touch for female gift-givers › Japan Today: Japan News and Discussion

Posted using ShareThis

Noisettes: ปฏิวัติเพื่ออนาคตที่ดีกว่า

Technorati Tags: ,

ชีวิตคนเรา ถ้าหลายๆสิ่งที่ทำๆอยู่มันไม่เวิร์ค ทำไปแล้วรู้สึกไม่ดี อึดอัด ก็ควรจะต้องเปลี่ยนแนวทางใหม่ๆบ้าง บางทีอะไรมันอาจจะเวิร์คกว่าแต่ก่อนก็ได้ สำหรับนักดนตรีแล้ว บางที แม้แนวดนตรีที่ทำอยู่ อาจจะน่าสนใจดีอยู่ แต่ถ้าหากมันไม่ดัง ไม่เวิร์ค บางทีการเลือกเปลี่ยนแนวทางดนตรีของตัวเองก็อาจจะนำความสำเร็จมาให้กับตนเองก็ได้ ลองคิดดูว่า ถ้าวันนั้น Bob Dylan ไม่หยิบกีตาร์ไฟฟ้ามาเล่น เค้าอาจจะเป็นแค่นักดนตรีโฟล์คที่เลือนหายไปตามกระแสอีกคนหนึ่งก็ได้ หรือถ้า Deep Purple ไม่เจอ Hard Rock ก็อาจจะปิดตำนานของวงด้วยการเป็นวง Psychedelic ดาดๆก็ได้ และเราก็จะไม่ทีเพลง Smoke on the Water ให้เล่นใน Guitar Heroes และอีกวงหนึ่งที่ทำการปฏิวัติตนเอง (ไม่ใช่แบบทหารในบางประเทศนะ) แล้วประสบความสำเร็จคือ Noisettes

Noisettes460

Noisettes จุติบนผิวโลกในปี 2003 ด้วยการรวมตัวกันของ Shingai Shoniwa (ชิงอี ร้องนำ เบส) นักร้องสาวผิวสีเชื้อสายซิมบับเวสุดห้าวที่โด่งดังจากการแต่งหน้าทำผมหลุดโลก และ Dan Smith (แดน) มือกีตาร์ที่ร่วมวง Sonarfly ด้วยกัน และแยกตัวออกมาตั้งวงของตนเอง จนได้ไปเจอกับ Jamie Morrison (เจมี่ กลอง) วง Noisettes จึงถือกำเนิดอย่างเป็นทางการ

แต่ถึงแม้จะตั้งวงในปี 2003 ซึ่งเป็นยุค Post-Strokes ที่วงการาจอินดี้หลายต่อหลายวงออกมาสร้างชื่อเสียง แต่สำหรับพวกเขาแล้ว เส้นทางแห่งความสำเร็จยังอยู่อีกห่างไกล พวกเขาเริ่มอัดเพลงในปี 2004 จนออกมาเป็นอีพีขนาดสี่เพลงที่ชื่อ The Three Moods of the Noisettes ซึ่งออกวางขายในปี 2005 ผ่านค่ายอินดี้ แม้จะไม่ดังมาก แต่อย่างน้อย มันก็ไปเข้าหูของวงรุ่นพี่อย่าง Muse, Babyshambles และ Bloc Party จนได้พึ่งใบบุญให้หอบไปร่วมทัวร์สร้างชื่อด้วย และโชคดีที่ EP นั้นไปเข้าหูแมวมองจากค่าย Universal ทำให้พวกเขาได้เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการในปี 2006

800px-Shingai_Shoniwa_performing_in_Atlanta
พวกเขาพยายามสร้างงานเพลงเพื่อที่จะเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับวงการอินดี้ร๊อคที่ถูกปกครองโดยผู้ชายอยู่ และแน่นอนว่าอาวุธที่พวกเขาจะใช้ทำลายความคิดนั้นคือ Shingai สาวห้าวของวงนั่นเอง และในที่สุด What’s the Time Mr. Wolf? อัลบั้มแรกของพวกเขาก็ได้โอกาสลืมตามาดูโลกในปี 2007


แทบไม่น่าเชื่อว่า What’s the Time Mr. Wolf? คือผลงานของวงหน้าใหม่ เพราะว่ามันเต็มไปด้วยความเก๋าในทุกตัวโน๊ตที่เราได้ยิน มันคืออัลบั้มการาจร๊อคที่ก๋ากั๋น จัดจ้านราวกับต้มยำกุ้งรดเด็ด บวกเขากับการเหยาะเอาเครื่องปรุงอย่างดนตรีโซล บลูส์ และแจ๊ซคลุ้งควันบุหรี่อันเข้มข้นเข้าไป ทำให้มันออกมาเป็นอาหารจานเผ็ดสะใจสำหรับกกหูของเราเสมอ


แต่ละเพลงในอัลบั้มโดดเด่นเป็นตัวของตัวเองตั้งแต่เพลงแรกอย่าง Don’t Give Up ที่ขึ้นต้นมาในจังหวะกระตุกๆแบบเพลงสวิงแจ๊ซก่อนที่จะตัดไปเป็นเสียงสับกีตาร์อันป่าเถื่อน ส่วน Sister Rosetta (Capture The Spirit) ก็เหมือนกับการให้ Billie Holiday มาดูเอ็ท กับ White Stripes อย่างเมามัน เป็นการผสมผสานเสียงนักร้องสาวผิวดำที่แหบห้าวเข้ากับเสียงกีตาร์ที่แตกพร่าได้อย่างลงตัวแบบไม่น่าเชื่อ ในขณะที่เพลงอย่าง Bridge to Canada ก็ทำให้เรานึกไปถึงวงรุ่นพี่อย่าง Elastica ได้อย่างน่าประหลาดใจ ส่วน Cannot Even (Break Free) ก็ให้โอกาส Shingai ได้โชว์เสียงเต็มที่ แต่เพลงที่เด่นที่สุดในอัลบั้มคงต้องเป็น Scratch Your Name ที่มันเต็มไปด้วยความห้าวดิบสด มันสะใจ จากท่อนริฟฟ์ที่ดุเดือด และเสียงร้องแสนกร้าว จนกลายเป็นเพลงโปรดของเราทันที


noisettes 
แต่ถึงแม้อัลบั้มจะได้รับคำชมเป็นอย่างมาก และพวกเขาก็ได้โอกาสออกทัวร์ไปกับวงดังๆ แต่พวกเขาก็ยังเป็นที่รู้จักในแวดวงอินดี้เท่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้และพยายามผลิตผลงานออกมาอีก


จนปีนี้ อัลบั้มชุดที่สองที่มีชื่อสุดเท่ว่า Wild Young Hearts ก็ได้ออกมาให้เราได้ลิ้มรสพวกเขาอีกครั้ง และเมื่อฟังแค่เพลงแรก Sometimes เราก็สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงได้ทันที เพราะมันคืองานที่นุ่มนวลกว่าเดิมเยอะ และเมื่อฟังทั้งหมด มันก็ชัดเจนว่าจากอิทธิพลของดนตรีการาจ พวกเขาหันไปหาความเป็นดนตรีโซลและบลูส์มากขึ้นโดยผสมดนตรีดิสโก้เข้าไปด้วย ทำให้งานเพลงทั้งอัลบั้มเบาลงอย่างชัดเจน โดยที่เพลงที่ยังมันเหมือนเก่าบ้างก็ยังพอมีอย่าง Beat of My Heart ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ส่วนเพลง Wild Young Hearts ก็ได้เปียโนมาผสมกับจังหวะแบบเพลงป๊อปยุคเก่าได้อย่างลงตัว 24 Hours ก็เหมือนกับการให้ Marcy Gray ไปร้องนำให้กับวง new wave ต้นยุค ’80 และเพลงเด่นสุดคือ Don’t Upset The Rhythm ที่กลายเป็นเพลงดิสโก้พังค์คล้ายกับ the Gossip ทำให้ภาพลักษณ์ของวงการาจหายไปโดยพลัน และกลายเป็นวง


แม้จะช๊อคแฟนเก่า แต่การเปลี่ยนแนวเพลงแบบสุดโต่งแบบนี้กลับกลายเป็นผลดีในแง่ที่พวกเขากลายเป็นวงดังไปในทันทีที่ Don’t Upset The Rhythm ทะยานขึ้นชาร์ตอย่างงดงาม บางที เวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบกับพวกเขาว่าการตัดสินใจครั้งนี้ถูกหรือไม่

The Horrors: เสียงจากหลุมศพ

Technorati Tags: ,

ช่วงสองสามปีที่ผ่านมี มีกระแสดนตรีที่เป็นที่นิยมเกิดขึ้นหลายแนว ไม่ว่าจะเป็น Nu-Rave หรือ Emo (ไม่นับกระแสเกาหลีฟีเวอร์ที่ผมขอนับว่าเป็นการล้างสมอง เพราะไปไหนก็หนีไอ้เพลงบางเพลงไม่เคยพ้น) และอีกแนวหนึ่งที่ช่วงหลังเริ่มลามมาถึงบ้านเราแล้ว นั่นก็คือ Goth นั่นเอง

Style: "dc_horr_colour_SWITCH"

จริงแล้ว Goth มีหลายต่อหลายประเภทมาก แต่ที่เป็นที่นิยมในช่วงหลังคือดนตรีร๊อคที่เอาบรรยากาศน่าสยดสอง โชกเลือด แบบแวมไพร์หรือซอมบี้มาผสมผสานในเพลง วงที่โคตรดังจากแนวนี้คือ My Chemical Romance ที่พวกเขาทำตัวเป็นผีดูดเลือดมาตั้งแต่ชุดแรก ก่อนจะกลายมาเป็นพาเหรดจากนรกในชุดล่าสุด หรือวงที่เน้นแต่งดำกับเนื้อเพลงชวนแหวะอย่าง 80’s Matchbox B-Line Disaster (ส่วน Evanessence นั้นน่าสยองเพราะเสียงร้องบาดหูของนักร้องนำอ้วนๆกับแร๊ปห่วยๆมากกว่า) และวงก๊อธที่จากอังกฤษที่ทำให้กระแสนี้โด่งดังไปทั่วประเทศของพวกเขาเองคือ The Horrors นั่นเอง

The Horrors เกิดขึ้นเมื่อ เหล่าเด็กหนุ่มที่คลั่งไคล้เพลงการาจย้อนยุคกับ แผ่นเสียงหลุดโลกมารวมตัวกัน พวกเขาประกอบด้วย Faris Rotter (ฟาริส ร้องนำ ชื่อจริง Farris Badwan) Joshua Third (โจชัว กีตาร์ ชื่อจริง Joshua Hayward) Tom Furse (เบส และซินธิไซเซอร์ ชื่อจริง Tom Cowan) Spider Webb (สไปเดอร์เวบบ์ คีย์บอร์ด เบส ชื่อจริง Rhys Webb) และ Coffin Joe (โจ กลอง ชื่อจริง Joseph Spurgeon) พวกเขาเริ่มเล่นดนตรีใน Junkclub ที่ตั้งขึ้นโดย Spiperwebb และเพื่อน

F_200702_February23e_19899a 

และหลังจากที่เริ่มเล่นสดจนเป็นที่รู้จัก พวกเขาก็ได้ออกซิงเกิ้ลแรกคือ Sheena is a Parasite ที่แม้จะเป็นเพลงสั้นๆไม่ถึงสองนาที แต่มันก็มันเป็นเพลงการาจที่สะใจ และโรคจิตสมกับภาพลักษณ์ของวง เพราะพวกเขาคือ เด็กหนุ่มที่ชอบแต่ชุดสีดำฟิตเปรี๊ยะบนร่างกายที่ผอมเหมือนกับผีตายซาก หัวกระเซิงเหมือนศาสตราจารย์โรคจิต และผิวขาวซีดเหมือนผีดูดเลือด และจากทั้งความน่าสนใจ และภาพลักษณ์ของวง ทำให้พวกเขาไปเตะตาของนิตยสาร NME และได้ลงในหน้าแนะนำวงหน้าใหม่ทันที และภาพที่พวกเขาเลือกลงคือ ภาพของสมาชิกทั้งวงยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเหมือนป่าช้า และถือมีดซึ่งเปล่งแสงสะท้อนออกมา กลายเป็นภาพคลาสสิกและพวกเขาก็กลายเป็นจุดสนใจทันที

หลังจากออกผลงานต่อมา พวกเขาก็ได้ขึ้นหน้าปก NME และได้ไปออกทัวร์กับวงรุ่นราวคราวเดียวกันอย่าง The Automatic, The View และ Mumm-Ra ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง จนกระแส Goth กลับมาเริ่มเป็นระบาดไปทั่วอังกฤษ


TheHorrors-LaZonaRosa-AustinTX-16Mar2007-1


และหลังจากที่ปล่อยให้รอคอยมานาน พวกเขาก็ปล่อย Strange House ผลงานชิ้นแรกในปี 2007 ออกมาเขย่าวงการ ตั้งแต่ปกยันดนตรี มันคือความน่าสยอง ลึกลับ วังเวง และคลุ้มคลั่งอย่างเต็มสูบ ตั้งแต่เพลงเปิด Jack The Ripper ที่เป็นการคัฟเวอร์เพลงเก่า มันช้าๆอืดๆด้วยเสียงเบสบวมๆ แต่บรรยากาศของเพลงนั้นชวนขนลุกจริงๆ เพลงดังอย่าง She is a New Thing ก็เหมือนการปลุกวิญญาณซอมบี้ทั้งป่าช้าขึ้นมา ส่วน Draw Japan ก็โรคจิตได้สมใจทั้งเสียงร้อง และเสียงออร์แกนหลอนประสาน แต่ที่เด็ดสุดคือ Count in Five ที่เป็นเพลง psycho-billy ที่มันสะใจทุกครั้งที่ได้ยิน อัลบั้มนี้คือความสวยงามบนความสยองไม่ต่างอะไรกับโปสเตอร์หนังสยองขวัญยุค Ed Wood

นอกจากอัลบั้มสุดเขย่าขวัญแล้ว ลีลาในการแสดงสดก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้พวกเขาโด่งดัง เพราะนอกจากบรรยากาศแบบป่าช้าแล้ว บางครั้งพวกเขายังปิดไฟทั้งเวทีและใช้ Strobe light เป็นระยะๆ สร้างบรรยากาศหลอนชวนอาเจียนได้สมใจ

TheHorrorsVIRGINPIC1

หลังจากโด่งดังไปทั่วเกาะ พวกเขาก็กลับไปเก็บตัวเงียบเพื่อเตรียมงานชุดใหม่ และกลับมาพร้อมกับ Primary Colours ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของพวกเขา เพราะจากความสยองขวัญแบบหนังเกรดบียุคเก่า พวกเขากลับโอบรับเอาอิทธิพลของดนตรี Psychedelic มาแทน จนจากดนตรีร๊อคหลอนประสาท งานชุดนี้กลายเป็นหอคอยแห่งเลเยอร์ของเสียงที่ซ้อนทับกัน เหมือนกับการขยำ My Bloody Valentine, Jesus and the Mary Chains, Psychedelic Furs และ เสียงซินธิ์หลอนๆเข้าด้วยกัน เพลงอย่าง Who Can Say นั้นชวนเราขนลุกเมื่อตอนที่ Faris พูดว่า When I told her I didn’t love her any more… she cried ทำเราขนลุกทุกครั้ง ส่วน Primary Colours น่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีสีสันมากที่สุดในชีวิตนักดนตรีของพวกเขาแล้ว Mirror’s Image ก็ทำให้เรานึกถึง Psychedelic Furs ได้ทันที Scarlet Fields ก็ช่างล่องลอยแบบลึกลับ

ทุกเพลงใน Primary Colours ยอดเยี่ยมจนหาที่ติไม่ได้ พวกเขาไม่ได้เป็นแค่ poster boys ของวงการเพลงอีกต่อไป ด้วย Primary Colours พวกเขาได้พิสูจน์ว่าพวกเขาคือ ของจริง และ Primary Colours ก็เตรียมเป็นหนึ่งในอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปีแล้ว