Technorati Tags: Music,Utada Hikaru
จริงๆแล้ว แม้ผมจะเป็นศิษย์เก่าญี่ปุ่น และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมานาน ผมเองไม่ได้หลงไหลไปกับดนตรีญี่ปุ่นมากอะไรนักหนา จำนวนแผ่นที่มีก็น้อย ยิ่งศิลปินหญิงแล้ว ส่วนใหญ่ ผมจะมองเป็นแค่ตุ๊กตาของค่ายเพลง ที่พอไม่มีค่ายเพลง ก็ไร้ปัญญาหากินเองต่อไปซะมากกว่า แต่มีคนนึงที่เป็นข้อยกเว้นสำหรับผม นั่นคือ Utada Hikaru ที่ผมชื่อชมเป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องเสียงร้อง และความสามารถในการแต่งเพลงเอง จนเรียกได้ว่า สมกับที่ควรเรียกว่าศิลปินตัวจริง และที่คนญี่ปุ่นยกให้เธอเป็น Uta Hime หรือ เจ้าหญิงแห่งดนตรี เลยทีเดียวครับ (จริงๆแล้ว ผมเคยเขียนถึงเธอไว้แล้วถึงสองตอนล่ะครับ เลยไม่อยากจะเขียนซ้ำ ขอปูพื้นเรื่องหน่อยก็พอล่ะครับ)
แต่ก็เป็นที่น่าตกใจที่ ศิลปินที่มีคุณภาพขนาดนั้น กลับเลือกที่จะพักงานบันเทิงโดยไม่มีกำหนด โดยที่เธอประกาศผ่านทางทวิตเตอร์ของเธอ เมื่อเดือนสิงหาคมปีก่อน โดยที่เหตุผลคือ อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา กลับไปเป็นตัวของตัวเองบ้าง แต่เธอก็ได้บอกให้แฟนเพลงยกโทษให้ด้วย เธออาจจะออกเดินทางไปไกล และจะกลับมาในซักวันหนึ่ง ซึ่ง เธอบอกว่า ไม่อยากแก่ตัวลงไปเป็นป้าอายุ 50 ปี ที่ทำอะไรเองไม่เป็น อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีผู้จัดการส่วนตัว แล้วก็อยากไปทำงานการกุศลในต่างประเทศ
ในช่วงเดียวกัน ก็มีการประกาศอัลบั้มรวมเพลงอัลบั้มที่ 2 ของเธอ ซึ่งมี 5 เพลงใหม่ด้วย และตามด้วการประกาศแสดงคอนเสิร์ตเพื่อการสั่งลาของเธอ ชื่อ WILD LIFE ที่จัดขึ้นที่ โยโกฮาม่ามารีน่า ระหว่างวันที่ 8 และ 9 ธันวาคม ปีที่แล้ว ซึ่งก็กลายมาเป็นดีวีดีแผ่นที่จะมาพูดถึงในวันนี้ครับ สำหรับตัวผมเองที่ยอมรับว่าเป็นแฟนเพลงเหมือนกัน ก็ดีใจที่ได้ดู แต่ก็เสียดายที่จะไม่ได้ฟังงานใหม่ๆของเธอไประยะหนึ่งล่ะครับ
ดีวีดีแผ่นนี้เปิดด้วยงาน CG การผจญภัยของหมี (คาดว่าคนในฮอลล์คงได้ดูเหมือนกัน) ก่อนที่จะเวทีจะค่อยๆเปิดขึ้นมา ให้เห็นเธอยืนสง่าในชุดเดรสฟูฟ่องสีม่วงอ่อน บนแท่นยกพื้น ขับขานเพลง Goodbye Happiness เพลงใหม่ของเธอ ซึ่งยอมรับเลยครับว่าเป็นการเปิดตัวอย่างสง่างามจริงๆครับ อีกจุดที่ผมชอบคือ เธอกลับไปตัดผมสั้น ดูทะมัดทะแมงเหมือนเดิม และท่าทางจะลดน้ำหนักไปได้เยอะด้วยครับ หลังจากจบเพลง ก็ตามติดด้วยเพลงโปรดของผมอย่าง travelling ที่ฟังกี่ครั้งก็เพลินติดหูไม่เคยเปลี่ยนครับ และหลังจากจบเพลง ค่อยทักทายแฟนเพลงทุกๆท่านด้วย “บองชูว์” ไปทั่วครับ และค่อยกลับมากับเพลง Take 5 (ผมขอเปลี่ยนจากภาษาญี่ปุ่นเป็นอังกฤษหมดนะครับ) ตามด้วย Prisoner of Love เพลงประกอบละครดัง Last Friends แล้วค่อยเป็นเพลง COLORS อีกเพลงสร้างชื่อของเธอจากงานชุดที่ 3 ตามด้วยเพลง Letters ก่อนที่จะแนะนำเพลงต่อไปว่า เป็นเพลงที่ เธอแต่งเนื้อเอง แต่ทำนองเอามาจากเพลงของคนอื่น นั่นคือเพลง Hymne a l’amour ~Ai no Anthem ซึ่งมาจากเพลงเก่าของ Edith Piaf นั่นเองครับ (และเป็นหนึ่งในเพลงใหม่ของอุทาดะ)
ต่อมา เธอหันไปเล่นเปียโนไปพลาง ร้องเพลง Sakura Drops ที่ได้อเรนจ์ใหม่ให้เข้ากับเปียโน ก่อนจะมีคั่นเบรคสั้นๆด้วยเพลง Eclipse ที่เป็นการโชว์ฝีมือของวงดนตรีเต็มที่ ก่อนที่เธอจะกลับมากับเพลง Passion ในชุดสีแดงอ่อน ซึ่งความอลังการของเพลงนี้ มันเหมาะกับการเล่นในฮอลล์เสียจริงๆครับ แล้วก็ตามติดด้วยเพลงยุคเดียวกันอย่าง BLUE ก่อนที่จะตามด้วยเพลง Show Me Love (Not A Dream) และ Stay Gold
แล้วเธอก็เปลี่ยนโทนด้วยเพลง Boku Wa Kuma (ผมคือหมีน้อย) ที่เป็นเพลงเด็กที่เธอแต่งเป็นครั้งแรก น่ารักมากครับ แล้วค่อยตามติดด้วยสองเพลงดังอย่าง Automatic และ First Love จากงานชุดแรก แล้วตามด้วย Flavors Of Life เพลงแสนเศร้าในฉบับบัลลาด และ Beautiful World จากอัลบั้มเดียวกัน และเพลงอัพบีทอย่าง Hikari และปิดท้ายด้วยเพลงใหม่ Niji Iro Bus (Rainbow Bus) ที่เธอแต่งมาโดยหวังให้คนในโลกเข้าใจในความแตกต่างของกัน แล้วเธอจึงจากเวทีไป
แน่นอนครับว่าต้องมีอังคอร์ เธอกลับมาในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์สบายๆ และมานั่งดีดกีตาร์โปร่ง ในเพลง Across The Universe เพื่อเป็นเกียรติให้กับจอห์น เลนนอนที่เสียชีวิตในวันนั้น ก่อนจะร้องเพลงเข้าบรรยากาศคือ Can’t Wait Til Christmas เพลงแรกของเธอที่มีธีมเป็นเทศกาล ที่เธอโชว์พลังเสียงร้องไล่เรียงไปกับเสียงเปียโนนิ่มๆ แล้วจึงปิดท้ายอย่างเป็นทางการด้วยเพลง time will tell เพลงแรกที่เธอแต่งในชีวิตศิลปินครับ แล้วจึงค่อยๆลาเวทีไปท่ามกลางเสียงเชียร์ของแฟนเพลง
การแสดงสดครั้งนี้ นอกจากจากในฮอลล์แล้ว ยังถูกถ่ายทอดสดไปที่โรงหนัง 64 โรงทั่วประเทศ และยังสตรีมสดผ่าน USTREAM ทำยอดผู้ชมสูงสุดเป็นสถิติครับ เรียกได้ว่า ใครก็อยากชมครับ สำหรับเรา ก็สัมผัสจาก DVD ได้ครับ แถมยังมี แผ่นเบื้องหลังเสริมให้อีกครับ คุ้มและเพลินเลยครับ สำหรับแฟนๆ
No comments:
Post a Comment