Monday, December 24, 2012

Cee Lo Green รับคริสมาส

Technorati Tags: ,

จะเข้าช่วงปลายปีแบบนี้แล้ว นอกจากงานส่งท้ายปีเก่าขึ้นปีใหม่ที่เป็นธรรมเนียมแล้ว อีกเทศกาลที่เป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศพุทธบริสุทธ์แบบไทยแลนด์บ้านเราก็คือเทศกาลคริสมาสครับ หึหึ ทุกวันนี้ยังงงอยู่เลยว่า เกี่ยวอะไรกันบ้างเนี่ย แต่เอาเถอะครับ งานสนุกงานไหน พี่ไทยเอาหมด ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะฉลองเทศกาลฮานุคาห์ของชาวยิวหรือควอนซ่าของชาวผิวสีอีกด้วยอีกด้วย

Sticky-Cee-Los-Magic-Moment-Feature

สำหรับชาติที่มีศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลักแล้ว ไม่แปลกอะไรที่เมื่อเข้าช่วงเทศกาลแล้วบรรยากาศของการเฉลิมฉลองมันจะยิ่งใหญ่จริงๆ อากาศหนาวๆ คนไม่อยากทำงานกันแล้ว อยากแต่จะฉลอง อยู่กับครอบครัว คนที่รัก เป็นบรรยากาศที่เยี่ยมไม่เบานะครับ และที่ขาดไม่ได้สำหรับช่วงเทศกาลแบบนี้คือการออกซิงเกิ้ลหรืออัลบั้มเพลงคริสมาสโดยศิลปินหลายราย ที่ออกมาเพื่อฉลอง (และโกยเงิน) ในช่วงเทศกาลเช่นนี้ และ Cee Lo Green ก็เป็นอีกหนึ่งที่ไม่พลาดในครั้งนี้ครับ

Monday, December 17, 2012

The XX การผสมผสานระหว่างช่องว่างและเสียงดนตรี

Technorati Tags: ,

หลังจากผ่านวัยรุ่น ที่ชอบอะไรที่มันเยอะๆ เต็มที่ จัดเต็ม ไม่ว่าอะไรก็ต้องเยอะไว้ก่อน เหมือนอย่างเพลง ก็ต้องหนักๆ แน่นๆ ลูกเล่นเยอะๆ ลีลาหวือหวาเต็มที่ แต่พอโตมา ค่อยๆลดทอนลง อะไรที่ไม่จำเป็นก็ตัดออกไป จนกลายเป็นว่า การฟังเพลงที่มินิมอล เล่นกับความเรียบง่าย แต่มีลีลา รู้สึกว่ามันทำได้ยากแต่มีเสน่ห์กว่าด้วยซ้ำ ซึ่งอีกวงหนึ่งที่ทำเพลงแนวมินิมอลออกมาได้อย่างน่าฟังมากๆคือ The XX นั่นเอง

bandet_the_xx_679371a

The XX เริ่มต้นในปี 2008 ขณะที่สมาชิกวงยังอยู่ในโรงเรียนมัธยม Elliot ในอังกฤษ พวกเขาคือ Romy Madley Croft (โรมี่ ร้องนำ กีตาร์) , Oliver Sim (โอลิเวอร์ ร้องนำ เบส) , Baria Qureshi (บาเรีย คีย์บอร์ด กีตาร์) และ Jamie Smith (เจมี่ คีย์บอร์ด โปรแกรมมิ่ง) ซึ่งโรงเรียนพวกเขาคือโรงเรียนเดียวกับที่ผลิต Hot Chip และ Four Tet ซึ่งก็ทำเพลงแนวที่ใกล้เคียงกัน แต่พวกเขาบอกว่า มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับอิทธิพลในการทำเพลงของวงเลยแม้แต่น้อย พวกเขาอ้างว่าอิทธิพลแนวเพลงของพวกเขานั้นหลากหลายมาก ตั้งแต่เพลง R&B อย่าง Rihanna หรือ Aaliyah ไปจนถึงตำนานเพลงอินดี้อย่าง The Pixies และ The Cure เพลงของพวกเขา มีจุดเด่นที่การร้องประสานกันของชายหญิง Oliver และ Romy ที่น้ำเสียงเย็นราบเรียบ นิ่มๆ ไม่ได้กรีดร้องพยายามแสดงอะไรนักหนา บวกกับทำนองเพลงอินดี้ที่ราบเรียบแบบไม่ได้แต่งเติมเสริมแต่งอะไรให้รุงรัง แต่ว่าแต่ละตัวโน๊ตกลับเรียบเรียงออกมาได้ดี จนถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเสียจริง

Monday, December 10, 2012

Led Zeppelin ในโรงหนัง

Technorati Tags: ,

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังจากทำงานส่วนตัวเสร็จ ผมก็มุ่งหน้าไปยัง Esplanade เพราะได้รับบัตรเชิญให้เข้าชมบันทึกการแสดงสดของวงดนตรีระดับตำนานที่กลับมารวมตัวกันเพื่อแสดงสดครั้งงเดียวตั้งแต่พวกเขายุบวงมาตั้งแต่ปี 1980 ซึ่งงานคอนเสิร์ตระดับตำนานนี้ แม้จะเป็นบันทึกการแสดงสดที่มาดูในโรงหนัง แต่คงมันสะใจกว่าดูในบ้านตัวเองล่ะครับ (แถมไม่ต้องเกรงใจคนข้างบ้านด้วย)

Led-Zeppelin

กล่าวย้อนไปถึง Led Zeppelin เผื่อคนรุ่นใหม่หน่อย พวกเขาคือวงร๊อคที่ได้รับอิทธิพลจากแนวเพลงบลูส์ และกลายเป็นหนึ่งในวงที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลไปแล้ว พวกเขาประกอบด้วย Robert Plant (โรเบิร์ต ร้องนำ) Jimmy Page (จิมมี่ กีตาร์) John Paul Jones (จอห์น เบส คีย์บอร์ด) และ John Bonham (จอห์น กลอง) ที่ทั้งสี่คนถือเป็นเทพของสิ่งที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่จริงๆ แม้ผมจะไม่ใช่สาวกฮาร์ดคอร์ แต่ก็มีแผ่นของวงเก็บไว้หลายแผ่นเหมือนกัน แต่ละเพลงทำออกมาได้อย่างลงตัวคลาสสิกมากๆ แม้จะผ่านไปหลายสิบปี บทเพลงดังๆของพวกเขาก็ไม่เคยอ่อนแรงลงเลย ไม่ว่าจะเป็น Whole Lotta Love, Misty Mountain Hop, Kashmir, Rock and Roll, Immigrant Song และเพลงระดับคลาสสิกในใจหลายๆคนอย่าง Stairway to Heaven และเพลงโปรดที่ผมชอบเปิดดังๆในรถอย่าง Trampled Under Foot และ Achilles Last Stand กับเพลงช้าหวานๆอย่าง All My Love

Monday, November 19, 2012

The Datsuns ฮาร์ดร๊อคยังไม่ตาย

Technorati Tags: ,

เผลอแป๊บเดียว ก็จะหมดปี 2012 แล้ว เวลามันผ่านไปเร็วนะครับ นึกอีกที นี่ก็ครบสิบปีที่ผมเริ่มไปเรียนที่ญี่ปุ่นล่ะ และบอกตรงๆว่าดีใจมากที่ไปเรียนที่ญี่ปุ่นในช่วงนั้น เพราะเป็นช่วงที่วงการดนตรีเบ่งบานและน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ ตั้งแต่การจุติของ The Strokes การกลับมาของวงการาจพังค์ ซึ่งมีวงเท่ๆแห่กันมาเต็มไปหมด โดยเฉพาะวง The สารพัดสารพัน ทำให้ได้เสพดนตรีจากสองฟากฝั่งแอตแลนติคอย่างเพลิดเพลิน โดยเฉพาะคอนเสิร์ต ที่ได้วนไปตามไลฟ์เฮาส์เล็กๆเพื่อดูวงที่มาแรงเป็นประจำ และหนึ่งในวงที่ได้ดูแล้วประทับใจไม่เสื่อมคลายคือ The Datsuns วงฮาร์ดร๊อคจากนิวซีแลนด์นั่นเอง

The_Datsuns_M310994_credit_Rickard_Eriksson

The Datsuns เริ่มตั้งต้นในปี 1995 โดยสมาชิกสามคนแรกคือ Rudolf de Borst (รูดอล์ฟ หรือ ดอล์ฟ ร้องนำ เบส) Phil Somervell (กีตาร์) และ Matt Osment (แมท กลอง) ในชื่อวง Trinket ในเมืองเคมบริดจ์ นิวซีแลนด์ ก่อนจะได้ Chris Livingstone (คริส กีตาร์) มาร่วมวงต่อมา ซึ่งพวกเขาก็ชนะการประกวดวงดนตรีท้องถิ่น ก่อนจะเปลี่ยนชื่อวงเป็น The Datsuns จากยี่ห้อรถยนต์ที่เลิกกิจการไปแล้ว (หลายคนคงเกิดทันนะ) และพวกเขาก็ยืนหยัดเล่นเพลงฮาร์ดร๊อคคลาสสิกแบบที่ผสมระหว่างเสียงร้องแหลมสูงจังหวะที่เร็วกระชาก ริฟฟ์กีตาร์แน่นๆ และลีดกีตาร์สวยๆ ซึ่งเป็นแนวเพลงที่ถูกยุคปลาย ’90 หมางเมินเอาได้ง่ายๆ (ก็คนมัวแต่เห่อnu-metal) แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ และยึดมั่นกับแนวทางที่พวกเขาชื่นชอบ

Saturday, November 10, 2012

Wolf Children กับโรงหนังที่กำลังจะกลายเป็นอดีต

ในที่สุดผมก็ได้มีวันหยุดแบบสองวันติดเสียที หลังจากวุ่นกับเรื่องงานมาหลายเสาร์อาทิตย์ และปรากฏว่า จังหวะเหมาะกับที่อนิเมะเรื่องที่อยากดู เข้าฉายในเมืองไทยพอดี เลยพยายามขนขวาย ดั้นด้นไปถึงสยาม ที่ปกติไม่ค่อยได้ไปเท่าไหร่นัก เพื่อที่จะไปดูหนังเรื่องนี้ที่โรงหนังลิโด้โดยเฉพาะเลยทีเดียว
c7f2ba98
อนิเมะ (ผมเลือกใช้คำนี้ แยกไปจากการ์ตูน และอนิเมชั่น) เรื่องที่ว่าคือ Wolf Children คู่จี้ด ชีวิตมหัศจรรย์ หรือชื่อญี่ปุ่นคือ OOKAMI KODOMO NO AME TO YUKI ที่พึ่งเข้าฉายไปที่ญี่ปุ่นเมื่อกลางปีที่ผ่านมานั่นเอง ซึ่งเป็นงานอนิเมะที่ผมค่อนข้างจะคาดหวังไว้เยอะ เพราะทีมผู้กำกับ และผู้ออกแบบตัวละครคือทีมเดียวกับที่ทำเรื่อง Summer Wars อนิเมะชื่อดังเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง (และผมเป็นคนแปลฉบับมังงะด้วยครับ) เมื่อพวกเขากลับมา และทาง M Pictures เอามาฉายในโรง ก็ไม่ควรพลาดครับ เพราะการดูหนังในโรงมันได้บรรยากาศกว่าการดูที่บ้านเยอะ (แต่ต้องทนกับคนไร้มารยาททั้ง โทรศัพท์ คุยกัน เตะเบาะ สารพัดหน่อยนะ)

Monday, October 29, 2012

Bradley Wiggins: The Rebirth of British Cool

Technorati Tags: ,

มานั่งนึกย้อนดูช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่าวงการดนตรีอังกฤษเริ่มจะซบเซาลง ซึ่งก็เป็นวัฎจักรปกติ ที่หลังช่วงบูม ก็เข้าสู่ช่วงซบเซา เหมือนหลังจากที่ยุคบริตป๊อป+คูลบริทาเนีย วงการเพลงอังกฤษก็ซบเซาหงอยเหงาอยู่หลายปี ก่อนที่จะมี The Strokes มาจุดกระแสวงการเพลงทั่วโลก และอังกฤษก็มาบูมกับ the Libertines และวงสารพัดสารพันก็เรียงหน้ากันออกมาก ไม่ว่าจะเป็น Franz Ferdinand, Arctic Monkeys หรือ Muse ที่ออกมาก่อนแต่ก็ติดกระแสด้วยงานเพลงชุดที่สามได้

bradley-wiggins_2284602b

แต่มาดูตอนนี้ มีกี่วงที่เลื่อนสถานะเป็นวงขนาดยักษ์ได้เหมือนกับรุ่นที่ผ่านมาบ้างครับ น้อยมาก วงที่ครองวงการตอนนี้เป็นวงจากช่วงบูมเกือบทั้งหมด ส่วนวงรุ่นใหม่ๆ ก็เก็บแฟนได้เรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้อัพเกรดสถานะซะที ไม่ตื่นตาตื่นใจเหมือนเคย ส่วนวงการฟุตบอล ผลการแข่งขันของทีมชาติก็ไม่กระเตื้องเสียที ส่วนเศรษฐกิจ ก็ซบเซา การแบ่งแยกชนชั้นทางเศรษฐกิจมากขึ้น จนเกิดเป็นการประท้วงทั่วประเทศที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อน ด้วยหลายสาเหตุ ทำให้ความ เท่ หรือ Cool แบบอังกฤษเสื่อมถอยลง ก่อนที่งานโอลิมปิก ที่ลอนดอนจะเริ่ม ภาพลักษณ์ของอังกฤษก็ช่างหงอยเหงา ดีที่มีอีเวนต์ใหญ่อย่าง The Royal Wedding กับงานฉลองการครองบัลลังค์ของราชินี ที่ช่วยให้สังคมได้ฮือฮา แต่ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ลอนดอนโอลิมปิกจะเริ่มต้น ชาวอังกฤษก็ได้ฉลองชัยให้กับความสำเร็จของชาวอังกฤษคนหนึ่ง (และทีมหนึ่ง) กับการคว้าแชมป์การแข่งขันจักรยานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด Tour De France เป็นครั้งแรกของชาวอังกฤษ และส่งให้ภาพลักษณ์ความ Cool แบบอังกฤษโดดเด่นขึ้นมาได้อีกครั้ง

Monday, October 22, 2012

Muse จากที่เคยเป็นแค่โคลน

Technorati Tags: ,

วงดนตรีหลายวงเริ่มต้นจากการเลียนแบบวงที่พวกเขาชอบ ทำให้หลายครั้งถูกมองว่าเป็นแค่โคลนของวงที่ดังมาก่อน ซึ่งบางวงก็จบแค่ตรงนั้น แต่หลายวงก็พัฒนาตนเองขึ้นมา จนฉีกตัวออกมาสร้างผลงานเพลงที่เป็นตัวของตัวเองได้ ซึ่ง Muse ก็เป็นหนึ่งในวงที่ก้าวออกมาได้อย่างงดงามครับ

muse2

Muse เริ่มต้นขึ้นในช่วงที่พวกเขาเป็นนักศึกษาอยู่ Matt Bellamy (แมต ร้องนำ กีตาร์) ถูกเลือกเข้าร่วมวงของ Dominic Howard (โดมินิค กลอง) และพวกเขาก็วานให้ Chris Wolstenholme (คริส) ให้หันมาเล่นเบสให้แทน จนกลายเป็นวง Muse พวกเขาเข้าประกวด Battle of Bands และชนะเลิศทั้งๆที่ทุบเครื่องดนตรีประชด พวกเขาจึงมุ่งมั่นกับดนตรีและทิ้งทั้งมหาวิทยาลัยและบ้านเกิดของพวกเขา

Monday, October 15, 2012

PSY กังนัม เกาหลี ญี่ปุ่น ดินแดน และ K-Pop

Technorati Tags: ,,

พาดหัวได้เวิ่นเว้อมาก เรื่องของเรื่องคือ สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมพึ่งไปทำภารกิจที่ประเทศญี่ปุ่นมา (แม้ว่าจะถูกแคนเซิลกลางอากาศ แต่ยังดีที่ไม่ได้ออกค่าใช้จ่ายเอง ไม่งั้น บานครับ) หลังจากอยู่ที่ญี่ปุ่นแบบว่างๆเกือบสัปดาห์ ไปเดินดูนู่นดูนี่สารพัดที่ พอกลับมานึกอีกที กลายเป็นว่า ตลอดเวลาที่อยู่ญี่ปุ่น ผมไม่ได้ฟังเพลงดังโคตรๆในบ้านเรา อย่าง กังนัมสไตล์ ของพ่อหนุ่ม PSY (ระดับรายการข่าวในพระราชสำนักยังเอาไปเป็นเพลงประกอบข่าว) ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกดี เพราะอยู่ไทยนี่ ได้ยินแทบจะระดับวันละสามมื้อหลังอาหารเลยทีเดียว

PSY-GANGNAM-STYLE-1

PSY (ไซ) หรือ ปาร์ค แจซัง คือชายหนุ่มแรปเปอร์หนุ่มชาวเกาหลีใต้อายุ 34 ปี ที่อยู่ในวงการเพลงเกาหลีมาเป็นเวลา 10 ขวบปี และตลอดเวลาเขาก็สร้างประเด็นให้กับวงการเพลงเกาหลีเสมอ และในการกลับมาในปีนี้ของเขา ด้วยเพลง Gangnam Style กลายเป็นว่าเพลงดังกล่าวฉุดให้เขาดังแบบหยุดไม่อยู่จริงๆ ถึงกับเป็นปรากฎการณ์ระดับโลกไปเลยทีเดียว

Monday, August 27, 2012

Conor Maynard ใครว่าเขาคือบีเบอร์

Technorati Tags: ,

ในวัยสามสิบต้นๆ ผมเห็นเด็กรุ่นใหม่ตอนนี้แล้วแอบอิจฉานะ โอกาสที่เค้าจะประสบความสำเร็จในวงการเพลงมันมีมากขึ้นมาก (ไม่ได้หมายความว่าง่ายขึ้นนะ) เพราะเทคโนโลยีในการทำเพลงก็ถูกลง มีพื้นที่ให้แสดงออกได้มากขึ้น คุณอาจจะมีไอแพดซักเครื่อง ก็นั่งทำเพลงได้ เอามือถืออัดวิดีโอ เอาคลิปขึ้น YouTube แล้วแชร์ให้คนอื่นดูผ่าน Facebook หรือ Twitter ถ้าโชคดี คลิปนั้นดังแบบไวรัล คุณก็อาจจะกลายเป็นสตาร์คนใหม่ก็ได้

conor-maynard-3-1340017778-custom-0

วงดนตรีรุ่นแรกๆที่โดรงดังมากจากโลกไซเบอร์ ก็คงจะเป็น Arctic Monkeys ที่กลายเป็นวงดังตั้งแต่ยังไม่มีสัญญากับค่ายเพลง ส่วนศิลปินเดี่ยวที่อาศัยไมโครบล๊อกในการสร้างกระแสได้เรื่อยๆคือ Lily Allen และที่ดังจาก YouTube จนกลายมาเป็นซูปเปอร์สตาร์ในตอนนี้คือ ไอ้หนูบีเวอร์ Justin Bieber นั่นเอง ส่วนในบ้านเรา คงต้องยกให้กับ บี้ เดอะ สกา กับ น้องก้อง ที่ได้งานบันเทิงเป็นระยะๆ แต่เอาที่ประสบความสำเร็จในวงการเพลงเต็มตัวคงยังหาไม่เจอครับ และในตอนนี้ ในอังกฤษก็มีศิลปินหนุ่มน้อยหน้าใหม่ ที่โด่งดังขึ้นมาได้ด้วยคลิปใน YouTube จนเขาถูกเรียกขานว่าเป็น Bieber ฉบับอังกฤษเลยทีเดียว เขาคือ Conor Maynard

Monday, August 20, 2012

Regina Spektor จากรัซเซียสู่นิวยอร์ค

Technorati Tags: ,

ในขณะที่บ้านเรา มักจะชอบพูดถึงความเป็นไทย และชอบกดวัฒนธรรมอื่นอยู่เสมอ จนเล่นเอาเป็นห่วงว่าจะปรับตัวทัน AEC รึเปล่า แต่ในเมืองร้อยพ่อพันธุ์แม่อย่างนิวยอร์ค ศูนย์กลางของโลก เชื้อชาติกลายเป็นเรื่องรองไปเลย เพราะมันคือหม้อต้มยำของชาติพันธุ์จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอให้พยายาม คุณก็ประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกับศิลปินหญิงของเรา ที่เกิดในรัซเซียแท้ๆ แต่มาโตที่นิวยอร์คและประสบความสำเร็จเป็นส่วนหนึ่งของเมืองนี้ได้เป็นอย่างดี เธอคือ Regina Spektor

af55362c91173cbf5a84a63b3ff9e7b7

Regina Spektor เกิดในครอบครัวชาวยิวในโซเวียต (สมัยนั้นยังเป็นโซเวียตครับ) ซึ่งเธอเติบโตขึ้นมาพร้อมกับเรียนวิชาเปียโนด้วยเปียโนขนาดเล็กที่ได้รับจากปู่ของเธอ ในขณะเดียวกันเธอก็ได้รับอิทธิพลจากเพลงทางตะวันตกอย่างเช่น The Beatles และ Queen ผ่านทางพ่อของเธออีกด้วย ซึ่งดนตรีดังกล่าวถือเป็นของหายากในโซเวียตยุคนั้นแน่นอนครับ และเมื่อเข้าสู่ช่วงที่มีการเคลื่อนไหวเปเรสทรอยก้า โดยการนำของมิคาเอล กอร์บาชอฟ ซึ่งเปิดโอกาสให้ชาวรัสเซียอพยพไปต่างประเทศได้ ครอบครัวของเธอก็ไม่พลโอกาสที่จะอพยพออกจากประเทศ เมื่อเธออายุได้เพียง 9 ขวบ เพราะว่าแม้จะเป็นชาวรัสเซีย แต่ชนเชื้อสายยิวก็มักจะถูกดูแคลนจากชาวรัสเซียทั่วไปเสมอ การออกจากประเทศจึงเป็นทางออกที่ดี

Monday, July 30, 2012

Vinly, CDs, Mixtapes ความทรงจำกับสิ่งที่จับต้องได้

Technorati Tags:

ตามที่เกริ่นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ว่าผมอยากจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับความทรงจำเกี่ยวกับการเดินไปเลือกซื้อหาแผ่นซีดี ไม่ใช่แบบทุกวันนี้ที่แค่คลิกสองคลิก เราก็สามารถโหลดมาได้แล้ว จะว่าผมเป็นคนแก่ตกยุคหรืออะไรก็ว่าได้ครับ แต่ผมก็ยังมีความสุขกับสิ่งที่จับต้องได้อยู่นะครับ

38aa0b84c5f311e1be6a12313820455d_6

จริงๆแล้วนอกจากบทความของคุณอาทิตย์ใน Esquire ปกเวสลีย์ สไนเดอร์ ที่ทำให้ผมต้องฉุกคิดแล้ว มีเหตุการณ์อีกสองสามอย่างที่ทำให้ผมกลับมาหาสิ่งเก่าๆที่จับต้องได้ แทนที่จะเป็นแค่ไฟล์ในคอมเท่านั้น

Monday, July 23, 2012

Zulu Winter น้องใหม่จากลอนดอน

Technorati Tags: ,

จริงๆแล้ว สัปดาห์นี้ บอกตรงๆว่า มีสองเรื่องที่ผมอยากเขียนมากกว่าเรื่องดนตรีก็คือ 1. เรื่องกีฬาเกี่ยวกับการประกาศเลิกเล่นของ เลดลีย์ คิง กองหลังของทีมสเปอร์ ทีมรักของผม ซึ่งอยากจะเขียนเกี่ยวกับนักฟุตบอลประเภท One Man One Club ซึ่งนับวันก็ยิ่งหาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลัวว่าจะเป็นการสรรเสิญเลดลีย์มากเกินไปตามประสาแฟน (ฮา) กับอีกเรื่อง 2. คือ เรื่องภาพยนต์ The Dark Knight Rises ที่พึ่งไปดูมาเมื่อคืนนี้ (ศุกร์ที่ 20) ด้วยความตื่นเต้นตามประสาแฟนการ์ตูนที่ชอบแบทแมนมาตั้งแต่เด็ก แต่มานึกอีกที เขียนไปก็กลัวเผลอสปอยล์ไป แถมจะชมจนเวอร์เกินเพราะความเป็นแฟนนี่ล่ะ 3. การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการฟังเพลง จากแผ่นมาเป็นไฟล์ เพราะได้อ่านคอลัมน์ของอาจารย์นอกตำราของผมอย่างคุณอาทิตย์ พรหมประสิทธิ์ใน Esquire ซึ่งรู้สึกอย่างเดียวกันจริงๆ แต่ก็จะเป็นการก๊อบไอเดียไป (ฮา) เลยขอกลับมาเรื่องดนตรีเหมือนเดิมดีกว่า เพราะก็มีเรื่องน่าสนอย่างวงน้องใหม่จากลอนดอนที่ชื่อ Zulu Winter

Zulu-Winter

ที่บอกว่าน้องใหม่ เพราะว่าพวกเขา Zulu Winter พึ่งฟอร์มวงเมื่อต้นปีที่แล้วเอง ใช้เวลาแค่ปีกว่าๆก็ได้ออกผลงานอัลบั้มเต็มแล้ว ถือว่ารุ่งขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วจริงๆ Zulu Winter คือวงของเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็ก โดยสมาชิกคือ Will Daunt (วิล ร้องนำ) Iain Lock (เอียน? เกิดมาพึ่งเคยเจอ เบส) Henry Walton (เฮนรี่ กีตาร์) Dom Millard (ดอม คีย์บอร์ด) และ Guy Henderson (กาย กลอง) เริ่มเล่นดนตรีด้วยกันตั้งแต่อายุ 15ก่อนออกแยกย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยตามทางใครทางมัน และทำงานเพลงอื่นไปด้วย แต่สุดท้าย พวกเขาก็กลับมารวมตัวกันในลอนดอนในช่วงต้นปีที่แล้วเพื่อทำงานเพลงร่วมกันอีกครั้ง เพราะมันคือสิ่งเดียวที่พวกเขามีความสุขในการทำมัน โดยเรียกตัวเองว่า Zulu Winter

Sunday, July 1, 2012

Sam Sparro เจาะเวลาหาอดีต

Technorati Tags: ,

จั่วหัวขึ้นมาก นึกถึงเมื่อวานซืน (วันที่ 27 มิถุนายน 2012) ที่มีมีมในเน็ตว่า เป็นวันที่มาร์ตี้ แมคฟลาย เจาะเวลามาอนาคต ในเรื่อง เจาะเวลาหาอดีต (เจาะไปเจาะมา) แต่จริงๆ คือ มันต้องเป็นปี 2015 เพราะว่ามันคือ 30 ปี จากปี 1985 พูดนอกเรื่องซะนาน จริงๆที่อยากพูดถึงคือ ในการวนลูปของดนตรี เราก็มักจะได้ฟังดนตรีใหม่ๆที่ได้รับอิทิพลจากดนตรีในอดีตเสมอ และในที่สุด ดนตรียุค 80 ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในยุคปี 2000 เป็นต้นมา ทั้งที่แต่ก่อนหลายคนมองว่ามีแต่เพลงไร้แก่นสาร ทำเพลงป๊อปตลาดราคาถูกอย่างเดียว แต่เมื่อกลับไปค้นเอาเพชรจากยุคนั้นมา หลายคนก็เริ่มเข้าใจว่า ดนตรียุคนั้นมีความพยายามสร้าง Perfect Pop อย่างล้นเหลือ จนจังหวะจากวันนั้นเมื่อนำมาทำซ้ำใหม่ในทุกวันนี้ก็ยังฟังไม่เชย และอยู่เหนือกาลเวลามาก เป็นเหตุให้วงในอดีคอย่าง Duran Duran ก็ได้รับการยอมรับเสียที (พร้อมๆกับสูทสีขาวที่ The Strokes นำมาทำให้เท่อีกรอบ) และอีกหนึ่งศิลปินที่ทำเพลงโดยได้รับอิทธิพลจากยุค 80 มาเต็มๆอีกคนหนึ่งคือ Sam Sparro

 Sam-Sparro1

Sam Sparro ชื่อจริงคือ Samuel Frankland Falson เกิดในออสเตรเลียในครอบครัวนักดนตรี ก่อนที่ครอบครัวเขาจะย้ายมาอยู่ที่ ลอส แองเจลิส ซึ่งพ่อของเขาที่เป็นนักร้องกอสเปลก็ได้ส่งเสริมให้เขาร่วมร้องเพลงกอสเปลด้วยตั้งแต่อายุ 14 จนให้ทำให้ศิลปินที่ไปโบสถ์เดียวกันอย่าง Chaka Khan ชื่นชมในเสียงของเขา และก็ยังป็นช่วงที่เขาเริ่มต้นหัดเล่นคีย์บอร์ดและลองทำเพลงของตัวเอง แต่เพื่อประสบการณืชีวิตเขาก็ได้ตัดสินใจออกเดินทางกลับไปยังซิดนีย์ด้วยตัวเอง โดยไปอาศัยกับตายายตั้งแต่อายุ 16 และทำงานด้าน PR ไปด้วย

Saturday, June 30, 2012

รีวิวหนังบ้าง: The Amazing Spider-Man

Technorati Tags:

เข้าวันแรก ก็ไปดูตั้งแต่วันแรกเลยครับ สำหรับเรื่อง The Amazing Spider-Man หนังรีบุทของแฟรนไชส์ไอ้แมงมุง ที่จัดการตบแต่งหน้าตาใหม่ เพิ่มคำว่า The Amazing เข้าไป (จริงๆก็เป็นหัวหนังสือแรกสุดนะ) ตัวสแดงใหม่หมด ด้วยสาเหตุที่ว่า สตูดิโอไม่เห็นด้วยกับผู้กำกับแซม ไรมี่ ที่จะทำภาค 4 ต่อจากเดิม โดยใช้ตัวร้ายเป็นวัลเจอร์ เพราะว่าเป็นตัวร้ายที่ไม่ดัง (ก็จริงนะ จริงๆตัวร้ายสไปเดอร์แมน นอกจากอีตระกูลกอบลินแล้ว ก็ไม่โดดเด่นนะ) เลยคว่ำกระดาน ทำใหม่เลย จะได้สดใหม่ปิ๊งๆ เพราะว่าตอนนี้เป็นช่วงโกยของหนังฮีโร่ จะเอาของเก่ามาขาย คนก็อาจจะเบื่อได้

the-amazing-spider-man-new-poster

เอาความรู้สึกในการดูก่อนเลยคือ ภาคใหม่นี้ ดูเอนเตอร์เทนใช้ได้เลย คนที่ไม่เคยดุไอ้แมงมุมมาก่อน คงดูได้สนุก แต่ถ้าเป็นแฟนบอย อาจจะไม่ถูกใจบ้าง เพราะว่า รู้หมดแล้ว เลยอยากให้เรื่องเดินเร็วๆ แต่ถือว่าเหมาะสำหรับตลาดโดยทั่วไป ปัญหาหลักของแง่การขาย คือ หนังถุกแซนวิชด้วยหนังฮีโร่สองเรื่องที่คนรอคอยมานานกว่าเยอะคือ The Avengers และ Dark Knight Rises ทำให้ไอ้แมงมุมของเราออกจะโดนข่มไป เพราะว่าจุดเด่นน้อยกว่าสองเรื่องอย่างเห็นได้ชัด จุดขายก็ไม่มีอะไรใหม่ เพราะว่าการห้อยโหนไปทั่วเมืองนิวยอร์กแทบไม่ต่างอะไรกับหนังเมื่อสิบปีก่อน จึงขาด Wow Factor อย่างแรง แต่เนื้อเรื่องก็ทำได้น่าสนดีตรงที่ เล่นกับปมเรื่องของพ่อแม่ของปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ หรือไอ้แมงมุมนั่นเอง ถือเป็นจุดต่างจากภาคก่อน แต่คำถามคือ มันน่าสนขนาดนั้นรึเปล่า

Monday, June 25, 2012

Maxïmo Park เสียงอีสาน

Technorati Tags: ,

เวลาพูดถึงเพลงฝั่งอังกฤษ หลายคนก็มักจะมองว่า ถ้าไม่มาจากเมืองแมนเชสเตอร์ อย่างสาย แมดเชสเตอร์หรือรุ่นหลังอย่างOasis ก็ต้องพวกลอนดอนอย่างหนุ่มๆ Blur (เป็นน้าแล้ว) หรือ Suede และศิลปินฮิปฮอปทั้งหลาย ไม่ก็ไปรากเหง้าอย่างลิเวอร์พูลที่มี The Beatles หรือรุ่นหลังอย่าง The Coral แต่พอมองไปทางอีสานของอังกฤษ กลับไม่ค่อยมีวงสร้างชื่อ ขนาดเมืองใหญ่ของอีสานอย่างนิวคาสเซิลก็ถือว่าเงียบ (อาจเป็นเพราะเป็นเมืองอุตสหากรรมซะมากกว่า เลยไม่โดดเด่น) แต่ในที่สุด ก็มีวงลูกหม้อนิวคาสเซิลที่สามารถสร้างชื่อในวงการอินดี้ได้เสียที พวกเขาคือ Maxïmo Park

Maximo-Park-Photo-March-2012

Maxïmo Park เริ่มต้นโดยสมาชิกตั้งต้นฟอร์มวงกันคือ Duncan Lloyd (ดันแคน กีตาร์) Archie Tiku (อาร์ชี่ เบส) Lucas Wooller (ลูคัส คีย์บอร์ด) Tom English (ทอม กลอง) ฟอร์มวงกัน แล้วแฟนของทอมก็แนะนำให้ดึงตัว Paul Smith (พอล ร้องนำ) เข้ามาทำหน้าที่ร้องนำ และพวกเขาก็ดึงเอาพอลเข้าวงทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าเขาร้องเพลงได้รึเปล่า แต่เลือกเพราะเห็นความบ้าพลังในตัวเขา จึงกลายมาเป็นวง Maxïmo Park ที่ตั้งชื่อตามสวนสาธารณะในไมอามี่ ที่เป็นจุดรวมตัวของชาวคิวบาหัวคอมมิวนิสต์

Sunday, June 24, 2012

fun. อินดี้ป๊อปผงาด

Technorati Tags: ,

ในอเมริกา การที่เพลงจากวงร๊อคจะติดอันดับหนึ่งชาร์ต Billboard Hot 100 นั้นเป็นเรื่องที่ยากเอาเรื่อง ยิ่งวงแนวนอกกระแสหลักยิ่งเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก แต่วงดนตรีหน้าใหม่อย่าง fun. กลับพาผลงานของพวกเขาขึ้นไปยืนบนบนบัลลังก์อันดับหนึ่งได้อย่างสง่างาม สร้างประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งให้กับวงการดนตรี และให้ความหวังว่า อย่างน้อยชาร์ตก็ไม่ได้ถูกปกครองด้วยศิลปินไร้สมองที่ทำเพลงด้วย Auto-tuneเป็นหลัก

fun-021712-double

fun. (ของแท้ต้องตัวเล็กหมดและมีจุด) เกิดขึ้นเมื่อ วงอินดี้ร๊อค The Format แยกตัวลงในปี 2008 Nate Reuss หัวหน้าวง (เนท ร้องนำ) จึงหันไปจับมือกับ Andrew Dost (แอนดริว สารพัดเครื่องดนตรี) จากวง Anathallo ซึ่งเคยออกทัวร์ร่วมกับ The Format ในฐานะนักดนตรีเสริม และ Jack Antonoff จากวง Steel Train ซึ่งทั้งสามคนต่างชื่นชอบในเพลงป๊อปแบบคลาสสิกเหมือนกัน จนร่วมกันตั้งเป็นวง fun. โดยมีฐานอยู่ที่ New Jerseyและพวกเขาออกเดโมแรก Benson Hedges ซึ่งได้เปิดให้โหลดฟรีใน Spin นิตยสารเพลงหัวก้าวหน้าของอเมริกา ก่อนที่จะไปดัง Steven McDonald อดีตโปรดิวเซอร์ของ the Format มาร่วมงานด้วย ซึ่งตัว Steven เองก็ตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานโปรเจ็คท์เพลงคลาสสิกป๊อปที่แหวกไปจากวงรุ่นราวคราวเดียวกันนี้

Monday, June 18, 2012

The Hives: ร๊อคบ้าพลัง

Technorati Tags: ,

วงดนตรีหลายวง แม้จะเริ่มต้นด้วยความเป็นวงสุดซ่า แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็สุญเสียความซ่าของวงไป และเปลี่ยนเป็นวงวัยกลางคนที่ทำเพลงที่จืดชืดและอ่อนพลังลง แต่บางวง แม้เวลาผ่านไปหลายปี ก็ไม่เคยสูญเสียความซาบซ่า (ไม่ใช่โซดา) แต่กลับยังคงความแสบไว้ได้เหมือนเดิม โดยพาะอย่างยิ่งเวลาเล่นสด หนึ่งในศิลปินที่คงความซ่ามาได้ตลอดเวลาหลายสิบปีคือ Iggy Pop บรรพบุรุษแห่งวงการเพลงพังค์ที่ถ้าเป็นเมืองไทยก็ควรได้รางวัลศิลปินแห่งชาติไปแล้ว และอีกวงหนึ่งคือวงรุ่นหลายที่ถูกนำไปเทียบกับปู่อิกกี้บ่อยๆ และพวกเขาก็ผ่านการทำเพลงมาสิบกว่าปีแล้ว แต่การกลับมาครั้งล่าสุดของพวกเขาก็ยังคงความแสบซ่าเหมือนเดิม พวกเขาคือ The Hives

The_Hives_4

The Hives คือวงการาจพังค์ของเหล่าเด็กหนุ่มจากสวีเดน ดินแดนที่เวลาพูดถึงดนตรีจากประเทศนี้ ถ้าไม่เป็นสวีดิชป๊อปหวานใส ก็คงเป็นเพลงเมทัลสายโหดหินสไตล์ไวกิ้งไปเลย แต่พวกเขากลับทำเพลงต่างไปจากคนอื่นๆ

Sunday, June 10, 2012

The Cribs พลังสามศรีพี่น้อง

Technorati Tags: ,

ในวงการดนตรี มีวงดนตรีไม่น้อยที่เริ่มต้นจากพี่น้องท้องเดียวกัน ตั้งแต่วงดังในอดีตอย่าง Carpenters หรือ The Osmonds จนถึงรุ่นหลังๆอย่างวงสองศรีพี่น้องที่รักกันสุดๆอย่างไอ้คิ้วหนา เลียม และ โนเอล กัลลาเกอร์ แห่ง โอเอซิส ซึ่งรักกันมากจนต้องแตกวงเพราะสองคนนี้แท้ๆ แล้ววันนี้ ก็มีวงพี่น้องอีกวงหนึ่ง ที่เป็นวงพี่น้องเพียวๆเลย เพราะว่า สมาชิกทั้ง 3 คนของวง (ก่อนจะมีคนแปลกหน้าเข้ามา) เป็นพี่น้องท้องเดียวกันหมด สมกับชื่อวงที่ชื่อว่า The Cribs (เปลเด็กทารก)

the-cribs-interview

สำหรับวง The Cribs การตั้งวงไม่เหมือนวงอื่นที่ไปเจอกันตามที่นู่นที่นี่แน่ๆ เพราะพวกเขาคือพี่น้องท้องเดียวกันจากยอร์คเชียร์ เริ่มเล่นดนตรีมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ จนสร้างสตูดิโอส่วนตัวของตัวเองตามประสาวัยรุ่น สมาชิกทั้งสามคือ สองฝาแฝด Ryan Jarman (ไรอัน กีตาร์ ร้องนำ) Gary Jarman (แกรี่ เบส ร้องนำ) และน้องชาย Ross Jarman (รอส กลอง) พวกเขาได้เริ่มต้นสร้างงานเพลง และในช่วงที่ The Strokes กำลังโด่งดังจากอัลบั้มแรกของพวกเขา กระแสดนตรี Garage Revival กำลังบูม และเป็นยุคที่ดนตรีดิบๆของคนหนุ่มกลับมาเบ่งบานอีกครั้ง แน่นอนว่าในอังกฤษเองก็พยายามค้นหาวงที่จะมาเป็น The Strokes ของพวกเขา

Monday, May 28, 2012

Marina and the Diamonds อีกหนึ่งดาวรุ่งสาว

Technorati Tags:

ช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา น่าจะเป็นยุครุ่งเรืองของศิลปินหญิงทางเกาะอังกฤษเลยก็ว่าได้ ในขณะที่ฝั่งอเมริกาแข่งกันทำเพลงป๊อปแถมพฤติกรรมหลุดโลกอย่าง Lady Gaga, Kathy Perry หรือ Nicki Minaj แต่ฝั่งอังกฤษกับทยอยส่งศิลปินหญิงที่เป็นนักร้องนักแต่งเพลงด้วยตัวเองออกมางัด ซึ่งที่เราเห็นประสบความสำเร็จก็มีหลายรายอย่างรุ่นบุกเบิกอย่าง Amy Winehouse หรือ Adele ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงแล้วก็ยังมี Florence+the Machine, Lily Allen, Kate Nash, Little Boots หรือ Ellie Goulding ที่โด่งดังไม่แพ้กัน และอีกหนึ่งศิลปินที่พลาดไม่ได้ที่จะต้องกล่าวถึงคือ Marina and the Diamonds

marina_and_the_diamonds_press_picture_012

Marina and the Diamonds หรือ Marina Diamandis เป็นสาวชาวเวลส์ลูกผสมกรีกที่เติบโตมาในเวลส์ หลังจากที่เธอพบความสนใจในดนตรีของตัวเอง และใช้เวลาไปกับการย้ายวิทยาลัยด้านดนตรีถึง 4 ครั้ง จนสุดท้ายเธอก็ตัดสินใจเลิกเรียนและมุ่งเอาดีกับงานเพลง โดยพยายามไปออดิชั่นกับค่ายเพลงและละครเพลงต่างๆด้วย จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจทำงานเพลงในแบบของตัวเอง โดยตั้งชื่อในวงการให้กับตัวเองว่า Marina and the Diamonds ซึ่งหมายความว่า เธอได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเธอแล้ว

Monday, May 14, 2012

Adam “MCA” Yauch จากไปไวกว่าที่ควร

Technorati Tags: ,,,

สัปดาห์ที่ผ่านมา มีความตายที่ทำให้ผมต้องตกใจอยู่สองกรณี กรณีคือความตายของคนแก่คนหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมเลย แต่บางอย่างทำให้ผมรู้ศึกเศร้าและสลดใจจนทำอะไรไม่ถูกไปนานเหมือนกัน ส่วนอีกความตาย ก็มาแบบผมไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน เพราะแทบไม่รู้มาก่อนเลยว่า ผู้ที่เสียชีวิตไปเขาป่วยด้วยโรคมะเร็งอย่างหนักขนาดนี้มาก่อน จู่ๆก็ได้ข่าวแล้วก็เล่นเอาอึ้งไปเลยเพราะไม่ได้ระแคะระคายอะไรมาก่อน ผู้ที่จากไปคนนั้นคือ Adam Yauch หรือ MCA แห่ง Beatie Boys วงฮิพฮอพผิวขาวผู้บุกเบิกพื้นที่ให้กับชาวผิวขาวสู่วงการนี้

Adam-Yauch-Singing-900-6001-600x400

ผมคงขอกล่าวประวัติรวมๆของ Beastie Boys ไปเลยดีกว่า เพราะว่าน่าจะได้น้ำได้เนื้อกว่าของสมาชิกคนเดียว พวกเขาเริ่มก่อตั้งวงเมื่อปี 1979 ตั้งแต่ยังอายุน้อยๆอยู่ โดยเริ่มต้นด้วยการเป็นวงพังค์ในนิวยอร์ก ก่อนที่จะทำเพลงฮิพฮอพ Cooky Puss ออกมาเอาฮา แต่กลับกลายเป็นเพลงฮิตในหมู่คนชอบเพลงฮิพฮอพ

Sunday, May 6, 2012

N’Shukugawa Boys เปรี้ยวจ๋าแดนปลาดิบ

Technorati Tags: ,

ญี่ปุ่น นอกจากจะเป็นประเทศที่ผมไปใช้ชีวิตอยู่ช่วงหนึ่ง และหลงไหลในความน่าสนใจของมันแล้ว ดนตรีของญี่ปุ่นก็มีความหลากหลายมากกว่าที่คิด แม้ว่าเวลาดูทีวี จะเจอแต่วงไอดอลเต็มไปหมด แต่ก็ยังมีหนุ่มสาวที่พร้อมจะทำเพลงตามความต้องการของตัวเองโดยไม่ได้สนใจใคร จนถ้าเราพยายามค้นหา หรือตามดูไลฟ์เล็กๆแล้ว จะเจอวงน่าสนใจเต็มไปหมด และวงที่เอามาแนะนำในวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวงที่น่าสนใจและแหวกแนวเอามากๆ คือ N’Shukugawa Boys วงที่แสนเปรี้ยวจากประเทศญี่ปุ่นวงนี้ พอได้ฟังครั้งแรกผมก็เหมือนโดนหมัดฮุคเข้าไปที่แก้มซ้ายเต็มๆจนหลงพวกเขาแบบสุดๆ เพราะความแปลกเฉพาะตัวของพวกเขา เล่นเอาเคลิ้มไปเลย เลยต้องค้นหาข้อมูลของวงเพิ่มขึ้นครับ

main

N'夙川BOYS หรือ N’Shukugawa Boys (อ่านว่า อึ้น ชุคุกาว่า บอยส์) คือวงอินดี้ ที่ก่อตั้งในจังหวัด เฮียโกะ ประเทศญี่ปุ่น (ที่ตั้งเมืองโกเบ เมืองเนื้ออร่อยนั่นเองครับ) โดยสมาชิกก็คือ สองหนุ่มจากวง King Brothers นั่นคือ มายะ เลิฟ (กีตาร์ ร้องนำ กลอง) และ ชินโนะสุเกะ บอยส์ (กลอง กีตาร์) แยกออกมาทำไซด์โปรเจคต์ร่วมกับ ลินดา ดาดา (กีตาร์ ร้องนำ กลอง) นางแบบสาวระดับท็อป ในปี 2007 โดยได้รับการดูแลจาก มาซาฮิดะ ซาคุมะ โปรดิวเซอร์ที่ทำเพลงพังค์ร็อคจากยุค 80 ทำให้ซาวด์ของพวกเขาใกล้เคียงกับวงพังค์ระดับตำนานของญี่ปุ่นอย่าง The Blue Hearts (เสริมหน่อยว่า แนวเพลงของวงพังค์ญี่ปุ่น ออกจะต่างไปจากของต้นฉบับทางฝั่งอังกฤษ เพราะแม้จะเน้นความดิบเล่น3คอร์ดเหมือนกัน แต่เพลงพังค์ของญี่ปุ่น เนื้อหามักจะหนักไปทางชีวิตวัยรุ่นเสียมากกว่าการต่อต้านสังคม)

Monday, April 30, 2012

Goldie Lookin Chain ฮิพฮอพฮาฮา

Technorati Tags: ,

ช่วงหลังๆ เห็นวงฮิพฮอพเอาฮาอย่าง LMFAO ดังเป็นพลุแตกจากเพลงเพี้ยนๆ เอาสาระไม่ได้ กับพฤติกรรมเอาฮาแล้ว ทีแรกผมก็มองว่าทั้งสองคนไม่ได้มีสาระอะไรเลย แต่พอมามองอีกที เออ นะ มันก็เป็นวงเน้นตลก ไม่ได้เน้นดนตรี หรือเอาสาระอะไรนัก ก็เลยไม่ได้ถือสาอะไร ถือฟังและดูเอาตลกซะมากกว่า (แต่จริงๆมุขมันออกจะทื่อแบบตีหัวเข้าบ้านไปหน่อย ไม่ใช่แนวผมครับ) พอมานึกอีกที ก็นึกถึงวงฮิพฮอพเอาฮาจากเวลส์ที่ผมชอบเอามากๆ นั่นก็คือ Goldie Lookin Chain เห็นหายไปนาน เลยไปค้นดูว่าตอนนี้กำลังทำอะไรกันอยู่ กลายเป็นว่า ยังทำงานเพลงอยู่ แม้จะไม่ได้ดังระดับชาติเหมือนเดิม มาดูกันดีกว่าว่า พวกเขาแสบกันยังไงบ้าง

goldie-lookin-chain

Goldie Lookin Chain เกิดขึ้นจากการนั่งเขี่ยเครื่องแซมเปิ้ลของ P.Xain เล่นไปมา เพื่อนก็มาสมทบกัน ทำเรื่องไร้สาระ และเริ่มทำเพลงเอาฮากันไป โดยสองคนที่ตามมาเพิ่มคือ Eggsy และ Adam Houssein ก่อนที่คนที่เหลืออย่าง 2Hats, Maggot, Billy Webb, Mystikal และ Mike Balls รวมกันเป็นทีม 8 คน พวกเขาเรียกตัวเองว่า Goldie Lookin Chain เพื่อเสียดสีวัฒนธรรมฮิพฮอพที่แต่ละคนชอบโชว์สร้อยทอง แต่ของพวกเขา มันเป็นแค่ สร้อยที่ดูเหมือนทอง เท่านั้นเอง และนั่นก็บ่งบอกถึงแนวทางของพวกเขาได้เป็นอย่างดี เพราะพวกเขานั่นเสียดสีแนวทางของเพลงฮิพฮอพได้อย่างเมามัน ทั้งการแต่งตัว ที่ดูเหมือนกับศิลปินฮิพฮอพหลงมาจากยุค ’80 ด้วยเสื้อแทรคสูทราคาถูก สร้อยทองปลอมเส้นโต บางทีก็เสื้อแบบเชยหลงยุค ที่สำคัญ ทั้งหมดเป็นผู้ชายผิวขาวที่เหมือนกับพึ่งหลุดออกมาจากผับราคาถูกในเวลส์ ไม่ได้มีมาดให้เหมือนศิลปินฮิพฮอพเลยแม้แต่น้อย ยิ่ง Mystikal นี่ยิ่งดูเหมือนกับขุนศึกไวกิ้งซะด้วยซ้ำ

Monday, April 23, 2012

Coachella 2012 with Tupac เทคโนโลยีช่วยรียูเนี่ยน

Technorati Tags: ,

ในอเมริกา เทศกาลดนตรีที่คนทั้งหลายรอคอยคงเป็น Coachella Valley Music and Arts Festival แห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ในสายตาผม อาจจะเรียกได้ว่าเป็น Glastonbury ของฝั่งลุงแซมก็ว่าได้ เพราะเท่าที่ติดตามข่าวมาหลายปี ศิลปินที่ขึ้นแสดงออกจะอยู่ในกลุ่มที่เรียกได้ว่า ไม่ตลาดจ๋า สามารถเรียกได้ว่า มักจะหาศิลปินที่น่าสนใจขึ้นเวทีเสมอ อย่างของปีนี้ ศิลปินที่ขึ้นเป็นศิลปินหลักในวันที่ 2 ก็เป็นศิลปินที่มาแรงอย่าง The Black Keys ที่ผมเสนอไปไม่นานมานี้ นอกจากนี้ การถ่ายทอดสดผ่านสตรีมทาง Youtube ทำให้แฟนเพลงที่อยู่อีกซีกโลกอย่างพวกเราสามารถชมการแสดงสดๆได้อย่างเพลิดเพลิน เทคโนโลยีกับโลกาภิวัตน์มันก็ดีแบบนี้ล่ะครับ

142964659

และตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มต้นเทศกาลในปี 1999 (เว้นปี 2000 ไปปีนึง) สิ่งหนึ่งที่เป็นที่สนใจในวงการเพลงเสมอคือ การปรากฎตัวของวงที่เคยแยกวงไปแล้ว หรือการรียูเนี่ยน แบบรวมกันเฉพาะกิจนั่นเอง ซึ่งแต่ละปี ก็จะมีเซอไพรซ์ให้เราได้ตื่นเต้นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการรวมตัวการกันของตำนานร๊อคอย่าง Faith No More ในปี 2010 โคตรเหง้าพังค์อย่าง Iggy Pop and the Stooges ในปี 2003 หรือเจ้าพ่อแห่งกำแพงเสียงอย่าง My Bloody Valentine ในปี 2009 ซึ่งแต่ละครั้งคนดูก็ได้ฮือฮาเสมอ (ผมเสียดายที่ไม่สามารถรวมการกลับมาของ Death From Above 1979 เมื่อปีที่แล้วเข้าไปด้วยได้ เพราะแม้จะเล่นได้อย่างแซ่บเวอร์แค่ไหน พวกเขากลับมารวมตัวกันอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่แค่แสดงครั้งเดียวจบ)

และในปีนี้ การรียูเนี่ยนที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการเพลงมากที่สุดคือ การปรากฎตัวบนเวที ของแรปเปอร์ในตำนานผู้ล่วงลับอย่าง Tupac ระหว่างการแสดงของ Snoop Dogg และ Dr. Dre ที่จัดว่าเป็นไฮไลต์ของงาน และเซอไพรซ์ครั้งนี้ก็เล่นเบียดเอาข่าวอื่นที่เกี่ยวกับ Coachella ตกขอบไปเลยทีเดียว

แต่ก่อนอื่น สำหรับแฟนเพลงรุ่นใหม่ คงต้องขออธิบายก่อนว่า Tupac คือใคร Tupac หรือชื่อเต็มคือ Tupac Amaru Shakur คือแรปเปอร์ที่เกิดในนิวยอร์ก แต่ไปสร้างชื่อที่ฝั่งอีสต์โคสต์ทางแคลิฟอร์เนียแทน ซึ่งตลอดช่วงเวลาสั้นๆ6ปีในวงการเพลงของเขา เขาได้สร้างเพลงฮิตและผลงานมากมายที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินฮิพฮอพรุ่นหลัง และกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ของวงการเพลงฮิพฮอพไป โดยร่วมงานกับโปรดิวเซอร์มือทองอย่าง Dr. Dre และเพื่อนอย่าง Snoop Dogg และนอกจากวงการเพลงแล้ว เขายังแสดงภาพยนต์อีกด้วย

แต่ถึงแม้เขาจะมีเพลงที่โดดเด่นประดับวงการเพลงไว้มากแค่ไหน (ทุกวันนี้ผมก็ยังมันกับเพลง California Love ของเขาได้เสมอ) แต่เขาก็ร่วมสร้างวัฒนธรรมแกงสเตอร์ในวงการเพลงไว้อย่างที่เรียกว่าเปลี่ยนแปลงโลกของฮิพฮอพได้เลย ยุค 90 กลายเป็นยุคทองของเหล่าศิลปินฮิพฮอพที่เราแทบจะแยกไม่ออกว่าพวกเขาคือศิลปินหรืออันธพาลกันแน่

และ Tupac ก็เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างแรปเปอร์ฝั่งอีสต์โคสต์และเวสต์โคสต์ พวกเขาสร้างเอกลักษณ์การใช้ความรุนแรงอย่างชัดเจนและมีการปะทะกันอยู่เรื่อยๆ ไม่นับการโต้เถียงกันผ่านสื่ออีกนับไม่ถ้วน เรียกง่ายๆว่า ความดุเดือดในยุคนั้น เมื่อเอาศิลปินฮิพฮอพยุคนี้ไปเทียบ ศิลปินยุคนี้คงเป็นเหมือนแค่เด็กเกรียนเท่านั้นเอง

และคู่กรณีที่วิวาทกับเขามาตลอดคือ Notorious B.I.G. เจ้าพ่อฝั่งตะวันออก (ก่อน Jay-Z เสียอีก) และความขัดแย้งมันพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนมีการข่มขู่จะเอาชีวิตกันเลยทีเดียว และในปี 1996 หลังจากชมการแข่งขันชกมวยในลาสเวกัสจบลง รถของเขาที่นั่งไปกับเพื่อนศิลปิน Suge Knights ก็ถูกกระหน่ำยิง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเพราะการวิวาทของทีมงานของเขากับแก๊งท้องถิ่น แต่บางกระแสก็ว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับ Notorious B.I.G. ด้วยก็ได้ แม้จะโดนกระสุนไปหลายนัด แต่เขาก็ไม่เสียชีวิตในทันที แต่ไปเสียชีวิตจากอาการเลือดตกในหลังจากรับการรักษาในโรงพยาบาลได้หลายวัน กลายเป็นตำนานไร้ชีวิตของชาวฮิพฮอพไปในปี 1996 ทิ้งผลงานไว้ให้เป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลังได้ศึกษา

และในระหว่างการแสดงของ Dr. Dre และ Snoop Dogg ใน Coachella ปีนี้ เมื่อไฟมืดลง ร่างของ Tupac ก็ค่อยๆเลื่อนขึ้นมาบนเวทีท่ามกลางเสียงฮือฮาของแฟนเพลง เขาก็ทักทายทั้งเพื่อนและแฟนเพลง เล่นเอาเฮกันทั้งหมด ก่อนที่จะเริ่มแร๊พในเพลง Hail Mary และ Gansta Party ร่วมกับ Snoop Dogg อย่างเมามันราวกับมีชีวิตอยู่ ก่อนที่จะมีแสงวาบและหายตัวไปพร้อมกับแสงนั้น

tupac-snoop-dogg-coachella

แต่เพียงเท่านั้น ก็เป็นการแสดงที่เล่นเอาพาดหัวข่าวไปทั้งหมด ถึงขนาดที่ศิลปินคนอื่นอย่าง Patrick Carney จาก The Black Keys ยังแอบแซวว่า จอห์น ฟอกเกอร์ตี้ ที่มาร่วมแสดงน่ะ เป็นตัวจริงนะ ไม่ใช่โฮโลแกรม

แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว Tupac ที่เราได้เห็นบนเวที ไม่ใช่โฮโลแกรมครับ ไม่เหมือนกันที่น้องฟิล์มบ้านเราเคยจัดแสดงโดยใช้โฮโลแกรมฉายไปบนควัน แต่เป็นเทคนิคที่เรียกว่า Pepper’s Ghost ซึ่งเก่าแก่ไม่น้อย เป็นการฉายภาพลงไปบนพื้นผิวสะท้อน และ ให้ภาพสะท้อนขึ้นมาบนฉากรับกึ่งโปร่งแสง ซึ่งปัจจุบันใช้ Mylar ทำมุมเอียง 45 องศา จึงได้ภาพเหมือนจริง กึ่งโปร่งแสง และศิลปินคนอื่นก็สามารถเข้าใกล้ได้ แม้จะไม่ใช่ของใหม่ และศิลปินดิจิตอลอย่าง Hatsune Miku ก็เคยใช้เทคนิคนี้แสดงคอนเสิร์ตมาแล้ว แต่ต้องยอมรับว่างานนี้ ทำออกมาได้เนี้ยบมากๆ และแม้จะแสดงแค่สั้นราว 5 นาที แต่พวกเขาก็ต้องใช้เงินไปถึง 400,000 เหรียญเลยทีเดียว แต่ก็ทำออกมาได้สมใจแฟนเพลงครับ

จริงๆแล้ว งาน Coachella ปีนี้ มีการแสดงดีๆไม่น้อย และการรียูเนี่ยนของวงในตำนานอย่าง At The Drive-In ที่ออกงานเทพชุดเดียวแล้วแยกวง หรือ ตำนานของ Brit Pop อย่าง Pulp ก็น่าสนใจไม่น้อย แต่ทั้งหมด ก็โดนเทคโนโลยี ที่นำเอา Tupac กลับมาจากความตาย กลบข่าวซะเงียบหมดเลยครับ

Monday, April 16, 2012

กัมพูชา ในวันที่เปลี่ยนไป

Technorati Tags: ,
จั่วหัวแบบนี้ แน่นอนครับว่า ครั้งนี้ นอกเรื่องอีกแล้ว เรื่องของเรื่องคือ เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้ไปที่กัมพูชาเพื่อถ่ายทำรายการ ASEAN Journey ซึ่งจะแนะนำประเทศต่างๆในอาเซียน โดยจะออกอากาศเวลา 21.00 น. ทางช่อง NBT ทุกวันอาทิตย์ครับ เมื่อวานออกเทปแรกที่ถ่ายที่ลาวไปแล้ว (พื้นที่โฆษณา) และก็ไปกัมพูชาเพื่อถ่ายทำรายการ เลยอยากเอาประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังครับ
P1020490-1
ผมไปกัมพูชาครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อน โดยไปแต่ที่เสียมราฐ เพื่อไปดูนครวัดเท่านั้น ครั้งนี้ เลยเป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นเมืองหลวงอย่างพนมเปญและเมืองท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่สีหนุวิลล์ เล่นเอาตื่นเต้นก่อนเดินทางไม่น้อยครับ สายการบินบางกอกแอร์พาเราเดินทางจากกรุงเทพถึงสนามบินพนมเปญในเวลาแค่ชั่วโมงนิดๆ พอเดินในสนามบิน ก็จัดว่าไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ออกแบบได้น่าสนครับ ทำแบบโล่งๆแบบบ้านทางเอเชีย ทำให้รู้สึกเย็นสบาย และออกเดินทางจากสนามบินมานานก็ถึงตัวเมืองโดยใช้ถนนที่น่าจะดีที่สุดแล้ว เนื่องจากเป็นถนนตรงจากสนามบินสู่ทำเนียบรัฐบาลและสำนักนายกฯเลย ซึ่งอาคารทั้งสองใหม่และออกแบบได้โดดเด่นน่าตื่นตามากครับ ยิ่งพึ่งเสร็จงานประชุม ASEAN หมาดๆ จึงยังเหลือการตกแต่งต่างๆอยู่

Monday, April 9, 2012

The Maccabees ก้าวผ่านงานชุดที่สาม

Technorati Tags: ,

ในวงการเพลง การทำอัลบั้มที่ 3 ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นอัลบั้มที่ทำยากที่สุด เพราะโดยมากแล้ว อัลบั้มแรก มักจะแสดงถึงความสดใหม่ งานชุดที่สอง คือการแสดงการเติบโตขึ้นมา แต่งานชุดที่สาม เป็นคำถามหนักมากว่าจะเอาอะไรมาขายคนฟัง ซึ่งหลายวงก็ล้มหายตายจากไปก่อนที่จะได้ออกงานชุดที่สามเสียด้วยซ้ำ หลายวงก็ประคองตัวมาได้ บางวงก็กลายเป็นเทพด้วยงานชุดที่สาม (ตัวอย่างเช่น Radiohead กับ OK Computer) โดยเฉพาะสำหรับวงอินดี้ที่มาง่ายไปง่าย การผ่านงานชุดที่สามได้ถือเป็นหลักชัยที่ดี และอีกวงหนึ่งที่ผ่านมันมาได้อย่างงดงามคือ The Maccabees

themaccabees

The Maccabees เริ่มต้นด้วยการร่วมแจมกันของเพื่อนร่วมโรงเรียนในลอนดอนใต้ Orlando Weeks (ออแลนโด ร้องนำ) และ Robert Dylan Thomas (โรเบิร์ต กลอง) แม้พวกเขาจะแต่งเพลงกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นจริงเป็นจังนัก จนเมื่อได้ Hugo White (ฮิวโก กีตาร์) มาร่วมวง จึงค่อยเริ่มทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกัน และได้ตัว Felix White (เฟลิกซ์ กีตาร์) น้องของฮิวโกมาร่วมวงพร้อมกับ Rupert Jarvis (รูเพิร์ต เบส) จึงเป็นการเริ่มค้นงานอย่างจริงจัง

Monday, April 2, 2012

Earth Wind & Fire: Live in Bangkok

Technorati Tags: ,

คอนเสิร์ตดีๆ บางทีก็มาแบบไม่รู้ตัวเหมือนกัน เผลอๆ ก็มีวงระดับโลกมาแสดงให้เราได้ชม นั่นก็คือ Earth Wind & Fire วงระดับตำนาน ที่ผมไม่อยากระบุว่าเล่นเพลงแนวอะไร เพราะเพลงของพวกเขาผสมผสานแนวเพลงหลากหลายเหลือเกิน ทั้ง R&B แจ็ซ ดิสโก ฟังค์ จนการระบุว่าพวกเขาเล่นเพลงแนวอะไรไปเลยอาจจะเป็นการเสียมารยาทกับเจตนารมณ์ของวงที่ต้องการก้าวข้ามผ่านเส้นกันของแนวเพลงให้ได้

DSC_0257

ส่วนตัวผมเอง คงเรียกตัวว่าเป็นแฟนเพลงของ EWF ไม่ได้ เพราะไม่ได้ฟังแบบเจาะลึกมากนัก แต่ก็ฟังเพลงของวงมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เพราะตอนนั้นกระเสเพลงเฮาส์มาแรง และเพลง September ของวงก็จัดว่าเป็นเพลงที่ถูกนำมารีมิกซ์กลายเป็นเพลงฮิตอีกรอบ ยิ่งพอได้ฟังเพลงของวง ทำให้ทึ่งกับความสามารถแบบครบเครื่องและลูกเล่นที่แพรวพราวของพวกเขา กับเสียงร้องแบบไร้เทียมทานของ Philip Bailey ที่เป็นเจ้าของเสียงหลบที่สูงแต่ช่างน่าหลงไหล นอกจากเพลงดังอย่าง Boogie Wonderland กับ Let’s Groove แล้ว เพลงที่ผมคิดว่าสมบูรณ์แบบอย่างไร้เทียมทานที่สุดของพวกเขาคือ Fantasy ที่เรียบเรียงออกมาได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ

Sunday, April 1, 2012

Life with Bicycle ชิวีตกับสองล้อแรงขา

Technorati Tags:

ช่วงที่ผ่านมา ผมติดการ์ตูนเรื่องนึงเอามากๆ คือ โอตาคุน่องเหล็ก ที่เพื่อนในสำนักพิมพ์แนะนำให้อ่านตลอด แต่ผมก็เบะปากใส่ เพราะติดว่า ไม่มีการ์ตูนจักรยานเรื่องไหนจะสู้เรื่อง สิงห์นักปั่น ไปได้ เพราะว่าเรื่องนั้นอ่านทีไร ก็ประทับใจ และเล่นเอาเหนื่อยทุกครั้ง

IMG_003

แต่พอเริ่มคิดจะกลับมาปั่นจักรยานอีกครั้ง เลยลองไปหาเรื่อง โอตาคุน่องเหล็ก มาอ่านเพื่อปลุกแรงใจตัวเองหน่อย กลายเป็นว่า สนุกกว่าที่คิดแถมมีทริคเล็กทริคน้อย แนะนำคนปั่นจักรยานได้เป็นอย่างดี กลายเป็นการ์ตูนอีกเรื่องที่ติดงอมแงมเลย และทำให้ได้รู้ว้า ความสุขของการปั่นจักรยานมันอยู่คู่ตัวผมมาตลอดจริงๆ

Sunday, March 25, 2012

The Black Keys กาลเวลาพิสูจน์บลูส์

Technorati Tags: ,

หลังจากการระเบิดของเทรนด์ Garage Revival และการดังเป็นพลุแตกของ the White Stripes ก็ได้มีวงหลายวงที่กลับไปหาความดิบกร้านของดนตรี และตั้งวงโดยไม่ได้สนใจว่าจะต้องเป็นกลองกีตาร์เบสแบบเดิม แต่กลับใช้เครื่องดนตรีเพียงสองชิ้น เช่นกีตาร์และกลอง หรือ เบสและกลอง โดยวงประเภทดังกล่าวที่คลานตาม The White Stripes มาก็เช่น Whirlwind Heat, Two Gallant, Death From Above 1979 และอีกวงที่พลาดไม่ได้คือ The Black Keys วงสองชิ้นที่กร้านด้วยกลิ่นบลูส์

The-Black-Keys-Promo

The Black Keys คือการรวมตัวของสองเพื่อนจากวัยเด็ก Dan Auerbach (แดน กีตาร์ ร้องนำ) และ Patrick Carney (แพทริค กลอง) ทั้งสองโตมาจากละแวกบ้านเดียวในโอไฮโอ สหรัฐ ตั้งแต่เล็ก และเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน แม้จะเป็นเพื่อนกัน แต่ทั้งสองคนกลับเป็นเหมือนคนล่ะขั้ว แดนเป็นกัปตันทีมบอลโรงเรียน ขณะที่แพทริคกลับเป็นเด็กเงียบๆสันโดษ ทั้งสองเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่ก็ลาออกทั้งคู่

Monday, March 19, 2012

Skrillex แรงฉุดไม่อยู่

Technorati Tags: ,

ในตอนนี้ถ้าจะถามว่าดีเจหรือศิลปินเพลงเต้นรำคนไหนมาแรงที่สุด คำตอบที่ได้คงหนีไม่พ้น Skirllex เจ้าของรางวัลแกรมมี่ในปีที่ผ่านมา เพราะนอกจากรางวัลการันตีความสำเร็จแล้ว เขายังเป็นดีเจที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในเวลานี้ ด้วยผลงานเพลง และการไปรีมิกซ์ให้ศิลปินอื่น รวมไปถึงการเป็นที่ถกเถียงถึงความเจ๋งในหมู่นักฟังเพลง จนไม่แปลกอะไรที่จะบอกว่าเขาเป็นดีเจที่มาแรงที่สุดในตอนนี้จริงๆ

Skirllex หรือชื่อจริงคือ Sonny John Moore (ซอนนี่) เติบโตขึ้นมาโดยย้ายไปย้ายมาระหว่างเมืองต่างๆในแคลิฟอร์เนีย งานเพลงแรกๆที่เขาได้เป็นเจ้าของคือ The Fat of The Land ของ The Prodigy และ Come to Daddy ของ Aphex Twins ซึ่งทั้งสองก็เป็นศิลปินเพลงเต้นรำที่โดดเด่นทั้งคู่ และเขาก็สนุกกับการฟังเพลงในคลับตั้งแต่ยังอายุน้อย

skrilex

แต่ว่าเส้นทางดนตรีของเขากลับมีจุดเริ่มต้นที่แปลกมาก เพราะแทนที่จะเริ่มต้นกับเพลงเต้นรำตามความสนใจของเขา เขากลับไปขอร่วมวงเล่นกีตาร์ให้กับวง From First to Last วงร๊อคจากแคลิฟอร์เนียเช่นกัน ก่อนที่เขาจะถูกสลับให้ไป เป็นนักร้องนำแทน เขาอยู่กับวงตั้งแต่ปี 2004 ทั้งที่อายุแค่ 16 แต่ต่อมา เขาก็มีปัญหาทางด้านเส้นเสียง จนต้องถอนตัวจากทัวร์บ่อยๆ แม้เขาจะได้รับการผ่าตัดรักษาจนหาย แต่เขาก็ตัดสินใจลาออกจากวงอย่างเป็นทางการในปี 2007 เพื่อทำงานเดี่ยว

Monday, March 12, 2012

L’Arc~en~Ciel: Live in Bangkok สายรุ้งพาดผ่านไทย

Technorati Tags: ,

หลังจากรอมานานแสนนาน ในที่สุด วงญี่ปุ่นที่ผมรักเหลือหลายอย่าง L’Arc~en~Ciel ก็ได้มาเล่นคอนเสิร์ตที่เมืองไทยเสียที หลังจากเป็นแฟนวงนี้ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาหนุ่มเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนไปเรียนที่ญี่ปุ่น ก็ดันเป็นช่วงที่พักวง เลยไม่ได้ดูคอนเสิร์ตแม้แต่ครั้งเดียว แต่ในที่สุด พวกเขาก็ได้มาเปิดคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบที่เมืองไทยเต็มรูปแบบเสียที สมใจแฟนๆที่รอกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งในวันแถลงข่าว พวกเขาก็พูดถึงการมาเยือนเมืองไทยครั้งก่อนด้วย แม้จะไม่ได้เล่นคอนเสิร์ต แต่ครั้งนี้ พวกเขาบอกว่าจะเล่นกันเต็มที่เลย

DSC_4068

ในวันจริง พอผมไปถึงฮอลล์ตอน6โมง ก็มีแฟนเพลงมารอกันเพียบแล้ว และตำแหน่งทาง BEC เทโรจัดตั๋วให้นักข่าว คือโซนหน้าสุดที่เป็นโซนยืน ซึ่งแทนที่ผู้จัดจะปล่อยให้แย่งกันตามมีตามเกิด ก็ได้เตรียมการจัดคิวไว้ ให้คนมาก่อนได้เข้าก่อน ถือว่าแฟร์และมีระเบียบดีครับ ขอชมตรงนี้เลยจริงๆ พอเข้าไปก็ไปยืนตามที่ตัวเองจะหาได้

Monday, March 5, 2012

Air นิยามแห่งความละมุน

Technorati Tags: ,

ในช่วงต่อยุค 90 สู่ยุค 00 เป็นช่วงเบ่งบานของดนตรีเต้นรำอย่างแท้จริง หลังจากการผุดขึ้นมาของวงอีเล็กโทรนิก้าผงาดไปทั่ววงการ ในขณะเดียวกัน Daft Punk ก็ได้จุดกระแสดนตรี French House ให้โด่งดังไปทั่ว จนทำให้ปารีสกลายเป็นเมืองสัญลักษณ์แห่งดนตรีที่เซ็กซี่ชวนบดขยี้กันอย่างเร่าร้อนด้วยเพลงที่นำเอาดิสโก้และฟังค์มาหยอดความชิคแบบฝรั่งเศส แต่ก็มีอยู่วงหนึ่งที่แหวกแนว สร้างสรรเพลงที่เรียบง่าย ฟังสบาย แต่ยังมีความเก๋แบบย้อนยุค พวกเขาคือ AIR

AIR คือวงของสองหนุ่มปารีเซียง Nicolas Goudin (นิโคลาส) และ Jean-Benoit Dunckel (ฌอน) ซึ่งทั้งสองคนก็เคยร่วมงานกันในวงชื่อ Orange ด้วยกันมาก่อน โดยสมาชิกคนอื่นในวงต่อมาก็กลายเป็นศิลปินมีชื่อเสียงกันอีกหลายราย ไม่ว่าจะเป็น Alex Gopher หรือ Etienne de Crecy แต่จากนั้น นิโคลาส ก็เริ่มทำงานเพลงคนเดียว อย่างเช่นงาน Modular Mix ได้ Etienne de Crecy มาโปรดิวซ์ให้ แต่ท้ายที่สุด เขาก็ร่วมงานกับ ฌอน และตั้งวง Air ในปี 1995

AirPR140111

แม้ว่า ชื่อของวง Air จะฟังดีแล้ว เบาโหวง และ ละมุนละมัย แต่จริงๆแล้ว Air มาจากคำย่อของ Amour, Imagination, Reve หรือ Love, Imagination, Dream ในภาษาอังกฤษนั่นเอง

Monday, February 27, 2012

The Big Pink อีกหนึ่งสมาชิก 4AD

Technorati Tags: ,

ตราแผ่นเสียง 4AD คือ ตราแผ่นเสียงที่ทำให้ผมต้องทึ่งตลอดมา ด้วยความที่พวกเขาเลือกออกผลงานเพลงที่เปี่ยมคุณภาพอยู่เสมอ จนกลายเป็นเหมือนเครื่องรับประกันคุณภาพมาตลอดเกือบ 20 ปีที่ผมรู้จักตราแผ่นเสียงนี้ และวงที่จะแนะนำในวันนี้ ก็เป็นอีกวงหนึ่งที่เป็นผลผลิตจากตราแผ่นเสียงสุดเท่แห่งนี้ พวกเขาคือ The Big Pink

The Big Pink ถือกำเนิดจากการร่วมงานกันของสองนักดนตรีหนุ่มจากลอนดอน คือ Robbie Furze (ร็อบบี้ ร้องนำ กีตาร์) อดีตมือกีตาร์ของ Panic DHH และ Alec Empire อดีตวง Atari Teenage Riot ส่วน Mike Cordell (ไมค์ โปรแกรมมิ่ง คีย์บอร์ด) ลูกชายของโปรดิวเซอร์อย่าง Denny Cordell เขาเป็นเจ้าของค่ายเพลง Merok Records ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกวิชาวงอย่าง Klaxons และ Crystal Castles และถนนสายดนตรีของทั้งสองคนก็ได้มาบรรจบกัน ในปี 2007 และตั้งชื่อวงว่า The Big Pink ซึ่งนำมาจากชื่ออัลบั้มของวง The Band

frontstage-the-big-pink

พวกเขาเริ่มทำเพลงด้วยกันและทดลองกับเสียงสารพัด และได้เพื่อนักดนตรีมาร่วมงานด้วย จนสามารถออกซิงเกิ้ลแรกที่ชื่อว่า Too Young To Love ผ่านตราแผ่นเสียง House Anxiety ในปีถัดมาแบบจำนวนจำกัดแค่ 500 แผ่นเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะไปกระตุ้นความสนใจของบรรดาสื่อและค่ายเพลง เพราะความเท่ของมัน Too Young To Love เป็นเพลงที่เรียกได้ว่า โครมครามเอามากๆ นอกจากเสียงกีตาร์แบบนอยส์ที่อบอวลคละคุ้งไปทั่วทั้งเพลงจนทำให้เรานึกถึง My Bloody Valentine แล้ว จังหวะของเพลงยังเป็นเหมือนกับการย่อยสลายดนตรีอินดัสเทรียลมาก กลายเป็นงานเพลงที่โครมครามแต่กลับมีบรรยากาศหลอนอยู่ในที และจากความโดดเด่นนี้ ทำให้พวกเขาถูก 4AD ดึงเข้าไปร่วมงานทันที และต่อจากนั้นก็เป็นรางวัล Philip Hall Radar Award ปี 2009 ซึ่งทางนิตยสาร NME จะมอบให้กับวงหน้าใหม่ที่น่าสนใจที่สุดในแต่ละปี

Monday, February 20, 2012

Whitney Houston กับงานแกรมมี่

สองข่าวใหญ่ที่มาแบบติดๆกันในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับวงการบันเทิง คงไม่แคล้วข่าวการเสียชีวิตของ Whitney Houston นักร้องหญิงระดับดิวาชื่อดังของวงการ ที่เรียกว่าเป็นการจากไปก่อนวัยอันควรก็ว่าได้ และที่ตามติดกันมาคือ ข่าวการประกาศรางวัล Grammy ของอเมริกา

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Whitney ถูกพบในสภาพเสียชีวิตในอ่างน้ำในโรงแรม เบเวอลีย์ฮิลตัน ที่เธอมาพักเพื่อเตรียมร่วมงานเลี้ยงก่อนงานแกรมมี่ แม้ทีมแพทย์จะพยายามกู้ชีพเธอเป็นเวลาถึง 30 นาที แต่ก็ไม่เป็นผลอะไร เธอถูกประกาศว่าเสียชีวิตอย่างเป็นทางการในที่เกิดเหตุ การตรวจสอบสภาพศพ ไม่พบร่องรอยการใช้ยาเสพติด คาดว่าเธอหมดสติก่อนที่จะลื่นล้มในห้องอาบน้ำ ปิดชีวิตนักร้องเสียงดีในวัย 48 ปี

whitney-houston-s-funeral-best-moments-videos.img

นักร้องผู้จากไปก่อนวัยอันควร เธอคือนักร้องที่สร้างชื่อจากเสียงร้องระดับเมซโซ โซปราโนที่ทรงพลังของเธอ และมีผลงานที่โด่งดังทั้งในด้านการแสดงควบคู่ไปกับงานเพลง นั่นคือ The Bodyguard ที่เธอทั้งร้องทั้งแสดงเอง กลายเป็นผลงานระดับเพชรบนยอดมงกุฎในชีวิตศิลปินของเธอ จากชีวิตที่ดิ้นรน เป็นนักร้องประกอบให้กับศิลปินคนอื่น จนไปเข้าสายตาค่ายเพลง ด้วยเสียงที่ได้เป็นดังพรสวรรค์ที่บอกว่าเธอเกิดมาเพื่อร้องเพลง แม้ตอนเปิดตัวจะไม่แรง แต่เธอก็สามารถรุ่งเรืองสู่ความสำเร็จได้อย่างงดงามในยุค ’80 จนกระทั่งได้เป็นตัวแทนในการร้องเพลงธีมโอลิมปิคปี 1998 ที่กรุงโซล และอย่างที่กล่าวไว้คือ งานเพลงและการแสดงภาพยนต์เรื่อง The Bodyguard ที่ดังถล่มทลาย

Monday, February 13, 2012

SOPA and ACTA จุดเริ่มต้นของการล่มสลายของอินเตอร์เน็ต

Technorati Tags: ,,

หลังปีใหม่ไม่นาน ผมก็ต้องขอออกนอกเรื่องเลย แต่ก็ไม่ถือว่านอกมาก เพราะว่าเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวพันกันกับวงการเพลงเหมือนกัน นั่นก็คือเรื่อง SOPA หรือ Stop Online Piracy Act หรือ ร่างรัฐบัญญัติหยุดยั้งการละเมิดลิขสิทธ์ออนไลน์

ทำไมผมต้องเขียนเรื่องนี้ ทั้งๆที่ไม่ใช่แนวถนัด ก็เป็นเพราะว่า จากนี้ไป โลกของการใช้งานอินเตอร์เน็ตจะเปลี่ยนไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนถ้าหากร่างนี้ผ่านการเห็นชอบโดยสภาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งร่างดังกล่าวถูกเสนอโดยส.ส. ลามาร์ สมิธ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งอำนาจของมันคือ

internet-memes-scumbag-senator

“ร่างรัฐบัญญัติดังกล่าวจักให้อำนาจกระทรวงยุติธรรม (Department of Justice) และผู้ถือลิขสิทธิ์ ร้องขอให้ศาลสั่งปราบปรามบรรดาเว็บไซต์ที่ถูกกล่าวหาว่าจัดให้มีหรือส่งเสริมการละเมิดลิขสิทธิ์, สั่งห้ามบรรดาเครือข่ายโฆษณาออนไลน์หรือเครือข่ายช่วยรับชำระหนี้ออนไลน์ เป็นต้นว่า เพย์แพล (PayPal) คบค้าหากินกับเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์, สั่งห้ามโปรแกรมค้นหา (search engine) เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์เหล่านั้น และสั่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตให้สะกัดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์เช่นว่า ร่างรัฐบัญญัตินี้ยังกำหนดให้การเข้าถึงโดยมิได้รับอนุญาตซึ่งข้อมูลละเมิด ลิขสิทธิ์เป็นความผิดอาญาอุกฉกรรจ์ ทั้งยังให้ถือว่า การใด ๆ ที่บรรดาผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตกระทำไปเพื่อต่อต้านเว็บไซต์ละเมิด ลิขสิทธิ์ ไม่เป็นความผิดและไม่อยู่ในความรับผิดทุกประการ แต่ให้ผู้ถือลิขสิทธิ์ที่เจตนาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่า เว็บไซต์ใดมีส่วนละเมิดลิขสิทธิ์ ต้องรับผิดทางแพ่งต่อเว็บไซต์นั้น” ซึ่งสรุปง่ายๆคือ เว็บไหนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดลิขสิทธ์ ก็สามารถถูกปิดได้โดยง่ายกว่าเดิมมาก และตัวร่างนี้เองเปิดกว้างให้ตีความให้เข้าข่ายการละเมิดได้ง่ายมาก

Monday, February 6, 2012

Ed Sheeran

Technorati Tags: ,

วงการเพลงอินดี้อังกฤษในช่วงปีที่ผ่าน กระแสแนวเพลง Folk Revival กำลังเป็นที่นิยม โดยที่ศิลปินอย่าง Mumford and Sons หรือ Laura Marling ก็หยิบเอาเพลงโฟลค์แบบอังกฤษมาผสมผสานกับแนวดนตรีอื่นและสร้างเสียงใหม่ๆขึ้นมา และอีกคนหนึ่งที่ผสมผสานเพลงโฟลค์เข้ากับเพลงแนวอื่นได้อนย่างน่าสนใจคือหนุ่มน้อยศิลปินหน้าใหม่ไฟแรงแห่งเกาะอังกฤษ Ed Sheeran

ไอ้หนุ่มผมแดงคนนี้ เกิดที่ฮาลิแฟกซ์ แต่ไปโตที่ซัฟฟโลค์ในตะวันออกของอังกฤษ นอกจากจะเริ่มเล่นดนตรีแต่เล็กแล้ว เขาก็ได้รับอิทธิพลจากครอบครัวที่สนใจในการฟังเพลงเป็นอย่างมาก กระทั่งพาเขาไปดู Damian Rice ตั้งแต่เขายังเล็กๆ

Ed Sheeran PNG

และด้วยความสนใจในดนตรี ทำให้เขาเริ่มแต่งเพลงเอง และออก EP แรกตั้งแต่อายุแค่ 14 ชื่อ The Orange EP และตามด้วยอัลบั้มเต็มอีกสองอัลบั้มตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 18 แต่ก็ด้วยความมุ่งมั่นในดนตรีของเขา ทำให้เขาตัดสินใจย้ายมาอยู่ลอนดอนและเล่นดนตรีตามที่ตัวเองต้องการแม้จะมีคนดูเพียงแค่ไม่กี่คนก็ตามที หลังจากนั้นเขาก็พยายามออก EP ซึ่งแนวเพลงของเขาก็เป็นการผสมเพลงโฟลค์กับเพลงฮิปฮอปและ Grime ที่เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นอังกฤษ (จะว่าคล้ายกับ Plan B ยุคแรกหน่อยๆก็ว่าได้) ทำให้เขาได้ไปออกทัวร์ร่วมกับศิลปินฮิปฮอปผิวขาวอย่าง Just Jack และด้วยความขยันโพสวิดีโอของเขา ทำให้ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงของเอลตัน จอห์น และ ไปร่วมทัวร์กับศิลปินฮิปฮอปที่ดังกว่าเดิมอย่าง Example หลังจากไปผจญภัยในอเมริกา งานเพลงของเขาบน Youtube ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นบวกกับแรงเชียร์แบบปากต่อปากจากเซเล็บมั้งหลายเช่น ริโอ เฟอร์ดินานด์ ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเดิม และในช่วงนั้นเขาก็ได้ออก EP เพิ่มอีก ซึ่งถ้าได้ลองฟัง ก็จะได้สังผัสถึงแนวเพลงที่ผสมผสานเสียกีตาร์โปร่งเข้ากับจังหวะโจ๊ะๆสนุกๆเป็นอย่างดี บวกเขากับเสียงร้องที่บางครั้งก็นุ่มนวล บางครั้งก็เร่งเร้า จนกลายเป็นสเน่ห์ของตัวเขาไป