Saturday, November 28, 2009

TV on the Radio: ส่วนผสมที่ลงตัว

Technorati Tags: ,

ในยุคปี 2000 ที่ผ่านมา วงดนตรีหลายวงเกิดขึ้นมาบนโลก สร้างผลงานที่โด่งดังไปทั่วทั้งวงการ แต่กลับต้องเจอเสียงโห่เมื่อออกผลงานชุดต่อมา ทำให้อายุในวงการนั้นแสนสั้นเหลือเกิน (ถ้ามีโอกาสจะเขียนถึงวงพวกนี้แบบละเอียดอีกครับ) ในทางกลับกัน วงดนตรีหลายวงที่ประสบความสำเร็จพอประมาณ มีแนวทางที่ชัดเจน ไม่ได้อิงกระแส มีฐานแฟนแน่น ได้รับคำชมเรื่อยๆจากนักวิจารณ์ วงพวกนี้มักจะอยู่ได้นานครับ และอีกวงที่มีผลงานมาแล้ว 3 อัลบั้ม แต่ยังได้รับคำชมมาตลอดก็คือ TV on the Radio นั่นเองครับ

no_bigger_than_720_540

TV on the Radio เกิดขึ้นเมื่อ Dave Sitek (เดฟ กีตาร์ คีย์บอร์ด ลูป) ย้ายไปอยู่ตึกเดียวกันกับ Tunde Adebimpe (ไม่กล้าอ่านครับ ร้องนำ) ต่างคนต่างทำเพลงของตัวเอง แต่ไปๆมาๆ พวกเขาพบว่าเพลงของแต่ละคนมันไปกันได้ จึงเริ่มอัดเสียงด้วยกับโดยดึงเอาน้องชายของเดฟมาช่วยเล่นกลองให้ จนได้อัดผลงานยุคแรก ซึ่งก็คือ OK Calculator ในปี 2002 ที่ชื่ออัลบั้มเป็นการล้อ OK Computer เบาๆ มันเป็นงานที่ค่อนข้างจะหลุดโลก โดยจะหนักไปทางเสียงสังเคราห์เอาซะมากกว่าที่จะเป็นงานที่มีกีตาร์เป็นส่วนประกอบหลักเหมือนในปัจจุบัน และค่อนข้างจะต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากในการฟัง

ต่อมาพวกเขาออก Young Liars EP ในปี 2003 ซึ่งเป็น EP ที่สร้างชื่อเสียงให้พวกเขาเป็นที่รู้จักในแวดวงดนตรีอินดี้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะได้นักดนตราแรงอย่าง Nick Zinner และ Brian Chase ของ Yeah Yeah Yeahs มาร่วมงานด้วย มันคือการจับดนตรีหลากแนวตั้งแต่ Post-Rock, Electronica กระทั่ง Doo Wop เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว และกลายเป็นเสียงเฉพาะของพวกเขาเอง มันมีเพลงเด่นคือ Staring at the Sun ที่นอกจากเสียงร้องอันยอดเยี่ยมของ Tunde จะโดดเด่นเป็นอย่างมากแล้ว เสียงหลอนๆที่ดำเนินไปตลอดทั้งเพลงนั้น ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าเครื่องจักรกำลังถ่ายทอดลมปราณไปมาระหว่างหูสองข้างของเรา แล้วพวกเขาก็กลายเป็นที่สนใจไปโดยพลัน

จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเพิ่มสมาชิก โดย Kyp Malone (คิพ กีตาร์) Jaleel Bunton (จาลีล กลอง) และ Gerad Smith (เจอร์ราด เบส) เข้ามาเป็นสมาชิกจนครบวง และเริ่มผลิตผลงานอัลบั้มเต็ม

จนมันออกผลมาเป็นอัลบั้มแรกของวง 5 คน ที่ชื่อว่า Desperate Youth, Blood Thirsty Babes ในปี 2004 ที่ต้องทำให้เราทึ่ง เพราะว่ามันยอดเยี่ยมยิ่งกว่า EP ที่ออกมาก่อนหน้านี้ โดยมันเฉียบคม และมืดหม่นยิ่งกว่าเดิม นอกจากจะเอาเพลงสุดเด่นอย่าง Staring at the Sun มาใส่ไว้แล้ว เพลงเปิดอัลบั้มอย่าง Wrong Way ก็เยี่ยมอย่างไม่หย่อนกัน โดยเสียงเครื่องเป่าและเสียงลูปหลอนๆตลอดเพลงนั้นปั่นหัวสมองเราได้เป็นอย่างดีจริงๆ ส่วนบีทอีเล็กโทรนิกส์ทมิฬในเพลง King Eternal ก็เหมือนกับหลุดมาจากหนังวิทยาศาสตร์ยุค 80 ไม่ผิด ส่วนเพลง Ambulance ก็ใช้การร้องแบบ Doo Wop ประกอบไปเกือบทั้งเพลง โดยเสียงร้องของ Tunde ทำให้มันโดดเด่นเหลือเกิน ยังไม่นับ Wear Me Out ที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันอีก 

tv-790346

DYBTB เป็นความสำเร็จในวงการเพลงอย่างงดงาม จากนั้นพวกเขาก็ออกทัวร์กับวงอย่าง The Faint และ Pixies อย่างไม่หยุดหย่อน แต่ก็ยังเจียดเวลาออกเพลง Dry Drunk Emperor เพลงโจมตีรัฐบาลบุชมาให้ดาวน์โหลดฟรีบนได้

ในปี 2006 วพกเขากลับมากับอัลบั้ม Return to Cookie Mountain ที่เป็นการก้าวไปข้างหน้าอย่างชัดเจนจริงๆ แค่เพลงเปิดอัลบั้ม I was a Lover ที่ผสมจังหวะฮิปฮอปเข้ากับเสียงกีตาร์ได้อย่างลงตัวก็ทำให้เราทึ่งแล้ว Hours ก็เป็นเพลงจังหวะเร็วขึ้นมา ก่อนจะได้เสียงร้องมาทำให้มันสมบูรณ์แบบ ส่วน A Method ยังมีกลิ่น Doo Wop อยู่ก็เยี่ยมไม่แพ้กัน Blues From Down Here ที่ผสมนู่นนี่ได้อย่างลงตัว แต่เพลงที่เด่นสุดสำหรับผมคงเป็น Wolf Like Me ที่น่าจะเป็นเพลงที่ร๊อคที่สุดของพวกเขาแล้ว มันสะใจมากครับ อัลบั้มนี้ยังดึงเอาเพื่อนนักดนตรีหลากหลายมาร่วมงานอีกด้วย โดยที่ดังและเก๋าสุดคงเป็น David Bowie ล่ะครับ และมันก็ได้รับคำชมมากมายถึงกับได้เป็นอัลบั้มแห่งปีของนิตยสาร Spin เลยทีเดียว 

199234130_ca2d751b12  

และในปี 2008 พวกเขาก็กลับมาได้อย่างงดงามอีกครั้งกับ Dear Science ที่ขยายขอบเขตงานของพวกเขาออกไปกว่าเดิมอีก โดยอัลบั้มนี้ เสียงร้องของ Tunde และ Kyp โดดเด่นขึ้นมามาก The Golden Age ก็เป็นเพลงฟังค์จากอวกาศที่ยอดเยี่ยม ในขณะที่ Red Dress แม้จะคล้ายกันบีททมิฬยังตามมาหลอกหลอนเราอยู่ (แอบเหมือนหมอลำเล็กๆ) และมันก็ยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน Crying ก็มีเสียงร้องที่แสนงดงามบนจังหวะเพลงฟังค์แสนติดหู เช่นเดียวกับ Halfway Home เพลงเปิดอัลบั้ม แล้วปิดอัลบั้มด้วยเพลง Lover’s Day ที่ทั้งอลังการและทะเยอทยาน และ Dear Science ก็เป็นอัลบั้มที่สำคัญอีกอัลบั้มหนึ่งของวงที่มีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่าง TV on the Radio

น่าเสียดายที่แม้จะได้รับความนิยมจากทั้งแฟนๆและนักวิจารณ์ และประสบความสำเร็จมาเรื่อยๆ แต่พวกเขากลับเลือกพักวงชั่วคราวเพื่อทำงานของใครของมัน คงต้องร้องเพลงรออัลบั้มต่อไปก่อนล่ะครับ

Monday, November 16, 2009

Black Rebel Motorcycle Club: บุรุษในชุดหนังดำ

อาทิตย์ที่แล้ว ผมเขียนเกี่ยวกับนักดนตรีที่หลงใหลในสีดำ และเปลี่ยนแนวดนตรีของตนเองมาได้อย่างน่าทึ่ง จึงๆแล้ว ไม่เพียงแต่ในฝั่งอังกฤษเท่านั้น ฝั่งอเมริกาก็มีวงดนตรีที่คล้ายกันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเรื่องคลั่งสีดำ และการเปลี่ยนขั้ว เอ๊ย แนวดนตรี นั่นคือวง Black Rebel Motorcycle Club นั่นเอง

20_Treffpunkt_BRMC

Black Rebel Motorcycle Club กำเนิดในเมือง ซาน ฟรานซิสโก เมื่อ Robert Been (โรเบิร์ต เบส ร้องนำ) และ Peter Hayes (พีเตอร์ กีตาร์ ร้องนำ) พบกันในโรงเรียนมัธยมในปี 1995 และสนิทกันได้เพราะความชอบในวงดนตรีฝั่งอังกฤษอย่าง Stone Roses, Ride, The Jesus and Mary Chain และ My Bloody Valentine ทำให้สนิทกันอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ร่วมงานกัน โดยต่างฝ่ายต่างก็มีวงของตัวเอง และสลับกันไปดูอีกฝ่ายเล่นสดเสมอ แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระจากวงที่สังกัดอยู่ ก็ตัดสินใจตั้งวงของตัวเองขึ้นมาในปี 1998 โดยได้ Nick Jago (นิค) หนุ่มอังกฤษที่ย้ายตามครอบครัวมาอยู่ที่อเมริกา มาเล่นกลองให้ และเรียกตัวเองว่า The Elements ก่อนจะพบว่ามีวงอื่นที่ใช้ชื่อนี้ไปแล้ว จึงเปลี่ยนเป็น Black Rebel Motorcycle Club แทน ซึ่งชื่อนี้มาจากแก๊งซิ่ง (ไม่แว๊น) ในหนังเรื่อง The Wild One ของ Marlon Brando ซึ่งมีเอกลักษณ์เป็นชุดหนังสีดำ ซึ่งทางวงก็โอบรับเอาภาพลักษณ์นั้นมาเช่นกัน

พอเริ่มวงได้ซักพัก พวกเขาก็ออกงานเดโมในวงจำกัดออกมา ซึ่งโชคดีที่มันไปเข้าหูดีเจของคลื่นดัง ทำให้พวกเขาได้รับการเชียร์ และกลายเป็นวงไร้สังกัดที่มาแรงเอามากๆ ถึงขนาดดังข้ามไปเกาะอังกฤษจน Noel Gallagher ชมว่าเป็นวงโปรดที่สุดของเขาในตอนนี้ และอยากเซ็นเข้าสังกัด แต่สุดท้าย ค่าย Virgin Records ก็ได้ลายเซ็นของพวกเขาไป

พวกเขาออกทัวร์ฝึกฝีมือกับ The Dandy Warhol ซักพัก จึงเริ่มอัดเพลงของตัวเอง จนกลายมาเป็นอัลบั้มแรก B.R.M.C. ในปี 2001 ที่สุดเท่ห์ด้วยความดิบกร้าวของดนตรีการาจ และความห้าวของฮาร์ดร๊อค หลายเพลงที่ถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลนั้นมันเท่ห์เหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น Spread Your Love ที่มีจังหวะอันหนักหน่วง Red Eyes and Tears ที่มีเสียงกีตาร์อันโดดเด่นเหลือเกิน ส่วน Love Burns ที่ช้าลงมาหน่อยก็มีบรรยากาศอึมครึมเหมือนบาร์ที่เต็มไปด้วยสิงห์ขี้ยา เพลงเด่นที่สุดน่าจะเป็น Whatever Happened to My Rock'n'Roll (Punk Song) ที่รวดเร็วชวนเราใส่ชุดหนังควบมอเตอร์ไซค์ไปตามถนนเลยทีเดียว

6e9bc864 

นอกจาก B.R.M.C. จะเป็นอัลบั้มที่ดีแล้ว มันยังออกมาได้ถูกเวลา เพราะว่ามันมาพร้อมกับยุค Garage Revival ที่นำโดย The Strokes แม้ B.R.M.C. จะไม่ได้โด่งดังมากเท่า แต่พวกเขาก็มีฐานแฟนที่แน่นเอาการ และกลายเป็นวงน้องใหม่อนาคตไกลเลยทีเดียว



แต่ความสำเร็จก็มาพร้อมกับอันตราย Nick เกิดติดยาอย่างหนักจนเริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอย ที่ชัดเจนคือ ตอนที่เขายืนเงียบ 9 นาที บนเวที NME Awards ตอนได้รับรางวัลกลายเป็นหัวข้อสนทนาทันที แม้อัลบั้มที่สอง Take Them On, On Your Own ในปี 2003 จะเป็นงานที่ยอดเยี่ยมกว่าอัลบั้มแรกด้วยเพลงเด่นๆอย่าง Six Barrel Shotgun หรือ We're All In Love และยังมีเพลงโจมตีรัฐบาลอย่าง US Government แต่อาการของ Nick กลับกลายเป็นเรื่องน่าสนใจกว่า จนปัญหาต่างๆรุมเร้าถึงขนาดต้นสังกัดเลือกที่จะเฉดหัวพวกเขาทิ้ง



พวกเขากลับมาในปี 2005 กับอัลบั้ม Howl ที่ Nick แทบไม่มีส่วนร่วมเลย และทำให้มันเปลี่ยนจากร๊อคเป็นอัลบั้มที่คลุ้งกลิ่น บลูส์ โฟลค์ และกอสเปล ไปแทน แม้หลายคนจะมองว่าวงเติบโตขึ้น แต่หลายเสียงก็บอกว่าพวกเขาหลงทางแล้ว

2221945814_947598025b

แต่พวกเขาก็เลือกเดินทางเดิม แต่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วยอัลบั้มที่ 4 Baby 81 ที่ได้ Nick กลับมาร่วมงาน มันคืออัลบั้มที่ร๊อคที่สุดของพวกเขา และยังคงความสดได้เป็นอย่างดี ซิงเกิ้ลอย่าง Weapon of Choice นั้นก็เจ๋งเหลือเกิน ส่วน All You Do is Talk ทำให้เรานึกถึง Wake Me Up When September Ends ได้เลย ส่วนเพลงโปรดของผมคือ Need Some Air เป็นการาจร๊อคดิบๆเร็วๆที่มีท่อนฮุคติดหูเหลือเกิน เรียกได้ว่า พวกเขากลับมาคืนฟอร์มได้อย่างงดงามจริงๆ

แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ยังสร้างความประหลาดใจขึ้นอีก หลังจาก Nick ตัดสินใจลาออกจากวงอย่างเป็นทางการ พวกเขาตัดสินใจออกอัลบั้มชื่อ The Effects of 333 ในปี 2008 ในรูปแบบดาวน์โหลดอย่างเดียวผ่านค่ายเพลงของพวกเขาเอง และมันก็เป็นงานที่ถ้าไม่บอกว่าเป็นงานของ BMRC ก็คงไม่มีใครรู้เลย เพราะมันคืองานNoise ที่เป็นเพลงบรรเลงล้วนๆ มันเต็มไปด้วยเสียงสังเคราะห์หลอนๆเหมือนกับโลกหลังยุคจักรกลพิฆาตใน Terminator เสียงกีตาร์ที่เคยโดดเด่นกลับเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น ใครจะเชื่อว่าพวกเขากล้าขนาดนี้ล่ะครับ

B.R.M.C.-(Black-Rebel-Motorcycle-Club)-3-big

แต่ดูเหมือนว่า มันจะเป็นแค่การทดลองเท่านั้น ตอนนี้ พวกเขากำลังอัดเสียงอัลบั้มใหม่อยู่ ซึ่งน่าจะกลับมาเป็นร๊อคเหมือนเดิม ยังไงก็รอฟังเพลงใหม่ในซาวนด์แทร๊คหนังเรื่อง New Moon ที่เขาไปร่วมทำก่อนก็ได้ครับ

Wednesday, November 11, 2009

Editors: ก้าวใหม่ในโลกสีเทา

Technorati Tags: ,

เมื่อตอนต้นปี ผมได้เสนอวงที่ทำดนตรีอันหม่นหมองอย่าง White Lies ให้ได้รู้จักกันมาแล้ว ช่วงปลายปี ก็เป็นเวลาที่รุ่นพี่ที่ทำเพลงแนวเดียวกันกับพวกเขาได้ออกมาครองใจแฟนๆด้วยความมืดหม่นแสนเศร้าอีกครั้ง รุ่นพี่วงที่ว่าคือ Editors นั่นเองครับ

Editors คือการรวมตัวกันของนักศึกษาด้านเทคโนโลยีดนตรีของมหาวิทยาลัย Staffordshire โดยใช้ชื่อแรกว่า Pilot ก่อนจะเปลี่ยนเป็น The Pride, Snowfield และเริ่มออกผลงานในระดับอินดี้ ก่อนสุดท้ายจะมาลงตัวที่ Editors (ใช้อะไรคิดในการตั้งแต่ละชื่อกันนี่) โดยไลน์อัพคือ Tom Smith (ทอม ร้องนำ กีตาร์) Chirs Urbanowicz (คริส กีตาร์ ซินธ์) Russell Leetch (รัซเซล เบส) และ Ed Lay (เอ็ด กลอง)
editors_12 

หลังจากจบจากมหาวิทยาลัย พวกเขาทำงานพิเศษเลี้ยงตัวเองไปพลางๆเพื่อทำงานเพลง จนได้เพลง Bullets ที่พวกเขาส่งออกไปยังสารพัดค่ายเพลง จนค่าย Kitchenware ก็ได้ลายเซ็นพวกเขาไป และตอนนั้นเองที่พวกเขาเปลี่ยนชื่อวงเป็น Editors

และก็เป็นเพลง Bullets นั่นเอง ที่กลายเป็นซิงเกิ้ลแรกของพวกเขาซึ่งออกวางขายในปี 2005 ซึ่งซิงเกิ้ลเพลงกีตาร์ร๊อคเรียบๆแต่เปี่ยมไปด้วยพลังนี้ก็ได้ทำให้ชื่อของพวกเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น มันคือการอัดพลังของคนหนุ่มเข้าไปในเพลงอย่างเต็มสูบจริงๆ

พวกเขาออกซิงเกิ้ลที่สอง Munich และมันก็กลายเป็นเพลงดังติดชาร์ตทันที พวกเขาได้รับโอกาสเซ็นสัญญากับค่ายโซนี่ และขายตั๋วทัวร์ในอังกฤษหมดเกลี้ยง Munich คืออีกเพลงที่จริงจังเหลือเกิน เสียงร้องของทอม ทำให้เรานึกไปถึง Ian Curtis ได้ทันทีจริงๆ ยิ่งส่วนของดนตรีที่เร็วขึ้นบวกกับเสียงกีตาร์ที่แทรกมาเป็นจังหวะ จึงอดกลัวไม่ได้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นวงโคลนนิ่งของ Joy Division ไป โดยอีกกระแสหนึ่งก็ว่าพวกเขาขโมย Interpol มา แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า Munich นั้นเป็นเพลงที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

ed44 

ในที่สุด อัลบั้มแรก The Back Room ก็ออกวางขายในปี 2005 นั่นเอง และมันก็เป็นอัลบั้มที่ได้ทั้งเงินทั้งกล่องคู่กันไป และทำให้เราโล่งใจได้ว่าพวกเขาไม่ใช่แค่โคลนของวงรุ่นพี่ แม้จะได้อิทธิพลมา แต่พวกเขาก็มีลายเซ็นของพวกเขาเองด้วยการทำเพลงร๊อคบนจังหวะที่เร็วจนเกือบเป็นเพลงเต้นรำ กับบรรยากาศความหม่นหมองในเพลงในแบบของพวกเขา อีกตัวอย่างที่ชัดเจนคือซิงเกิ้ลต่อมาอย่าง Blood ที่จังหวะสับแบบไม่หยุดทั้งเพลง เช่นเดียวกับเพลงโปรดของผม Fingers in the Factories ที่กล่าวถึงชีวิตคนงานได้อย่างถึงใจ บวกกับท่อนฮุคที่โคตรติดหูในแบบเดียวกับเพลง Sunday Bloody Sunday ทำให้ได้ใจแฟนๆไปเต็ม อีกซิงเกิ้ลอย่าง All Sparks ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ในขณะเพลงช้าอย่าง Fall ที่เกี่ยวกับคนรักที่ตายในอุบัติเหตุก็เรียกน้ำตาจากเราได้เสมอ

The Back Room คือความสำเร็จอย่างงดงามของพวกเขา มันคือหนึ่งในอัลบั้มเปิดตัวที่ยอดเยี่ยมของยุค 2000 นี้เลยทีเดียว นอกจากจะได้ชิงรางวัล Mercury แล้ว พวกเขายังได้เล่นในเทศกาลดนตรีดังๆเกือบทุกที่อีกด้วย เรียกได้ว่าพวกเขาแจ้งเกิดได้อย่างโดเด่นเหลือเกิน

editors3

หลังสั่งสมประสบการณ์ พวกเขากลับมาในปี 2007ด้วยซิงเกิ้ล Smokers outside the Hospital Doors เพลงร๊อคหม่นๆเกี่ยวกับความตายอีกแล้ว แต่โทนของเพลงนั้น ไม่เร็วเหมือนเก่า แต่กลับออกไปทางอลังการมากกว่า ซึ่งก็จะกลายเป็นโทนของดนตรีในอัลบั้มที่สอง An End Has A Start ที่แม้จะมีเพลงเร็วเหมือนเก่าอย่าง Bones อยู่บ้าง แต่โดยรวมมันก็เป็นอัลบั้มที่หม่นกว่าเดิม แต่ก็อลังการกว่าเดิมด้วย เพลงอย่าง The Weight of The World และ Spiders เป็นข้อพิสูจน์เป็นอย่างดี แม้มันจะไม่ร๊อคเหมือนเก่าแต่มันก็ชนะใจแฟนวงกว้าง จนขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งทันทีที่วางขาย

editors1

และสำหรับการกลับมาในปีนี้ พวกเขาเลือกเปลี่ยนแนวเพลงหันไปหาเสียงสังเคราะห์มากขึ้น จนออกมาเป็นอัลบั้ม In This Light And On This Evening ที่สุดยอดจริงๆ เพราะแม้แนวเพลงจะเปลี่ยน เสียงกีตาร์ถูกแทนด้วยเสียงซินธ์ แต่ความยอดเยี่ยมของมันไม่ได้ลดน้อยลงเลย มันเป็นเหมือนการนัดหมายกับ The Horrors มาทำเพลงแนวเดียวกัน และมันก็เจ๋งทั้งคู่จริง ซิงเกิ้ลอย่าง Papillon ก็อบอวลไปด้วยเสียงสังเคราะห์ ส่วน Bricks And Mortar ก็เหมือนกับ Whole New Way ของ The Horrors จนเลือกไม่ถูกว่าใครเข๋งกว่ากัน มันคือ Kraftwerkในวันที่มีน้ำตาดีๆนี่เอง ส่วน Eat Raw Meat = Blood Drool ก็มีบีตขนาดมหึมาจริงๆ ส่วน You Don't Know Love ก็ยังมีความเกรี้ยวกราดอยู่ในตัวมันเช่นกันแม้ว่าจะเป็นเพลงเต้นรำไปแล้ว

โดยรวมแล้ว อัลบั้มที่สามนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ห้าวหาญจริงๆ เรายังไม่อาจฟันธงได้ว่ามันเป็นก้าวที่ถูกหรือผิด เพราะถึงมันจะยอดเยี่ยมแต่ก็เสี่ยงต่อการสูญเสียแฟนเพลงเก่า แต่เราก็ต้องชมความกล้าหาญของพวกเขาที่กล้าทิ้งทุกอย่างเพื่อสิ่งใหม่ๆ ทำให้เราได้รู้ว่า พวกเขามีค่าที่จะติดตามผลงานของพวกเขาต่อไป


Thursday, November 5, 2009

Super Furry Animals สัตว์ขนดกจากเวลส์

Technorati Tags: ,

นั่งตบยุงไปมา พึ่งรู้สึกตัวว่าจะอายุสามสิบในอีกแค่ไม่กี่วันแล้ว ทำให้นั่งย้อนอดีตได้เพลินๆ จนนึกถึงหลายวงว่าที่เคยตาม ก็มีทั้งล้มหายตายจากไป ขนาด OASIS ยังแตกวง Blur กลับมารวมตัวกัน บางวงก็อยู่ทนทานนานปี ผ่านยุครุ่งเรืองของ Brit Pop แล้ว ก็ยังทำเพลงขายได้เหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร และวงหนึ่งที่โคตรทนทานนานปี ก็คือ Super Furry Animals จากประเทศเวลส์นั่นเอง

Super Furry Animals เกิดขึ้นในเวลส์ช่วงต้นยุค 90’ จากการรวมตัวกันของนักดนตรีเทคโน ซึ่งสมาชิกคือ Gruff Rhys (ร้องนำ กีตาร์) Huw Bunford (กีตาร์) Guto Pryce (เบส) Cian Ciaran (อุปกรณ์อีเลกโทรนิกส์ทั้งหลาย) และ Dafydd Ieuan (กลอง) ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมไม่ใส่คำอ่านไทย เพราะผมอ่านชื่อคนเวลส์ไม่ออกครับ พวกเขาเริ่มเขียนเพลงของตัวเอง พวกเขาตั้งชื่อวงว่า Super Furry Animals ตามเสื้อยืดทำมือของพี่สาวของ Gruff พวกเขากลายเป็นหนึ่งในความหวังของวงร๊อคจากเวลส์ตาม Manic Street Preachers, Catatonia และวงที่แนวคล้ายๆกันอย่าง Gorky’s Zygotic Myci พวกเขาไปแสดงที่อังกฤษและไปเข้าตาของ Alan McGee บอสของค่ายอินดี้โคตรเท่ห์อย่าง Creation ที่ตอนนั้นกะลังดังกับ OASIS

super_furry_animals1

พวกเขาเริ่มออกซิงเกิ้ลกับค่าย Creation โดยเพลงแรกคือ Hometown Unicorn เพลงป๊อปหลอนๆก็เริ่มทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จัก เพลงต่อมา God! Show Me Magic เพลงป๊อปร๊อคเปรี้ยวๆ แหวกๆกับ MV เพี้ยนๆแกล้งเชย ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักมาถึงเมืองไทย และพวกเขาก็ได้ออกอัลบั้มแรก Fuzzy Logic ในปี 1996 ที่เป็นการผสมผสานดนตรีป๊อป ร๊อค โฟลค์ เทคโน กับบรรยากาศหลุดโลกเข้าด้วยกัน จนพวกเขาโดดเด่นออกมาจากวงรุ่นเดียวกันมาก ทั้งอัลบั้มเต็มไปด้วยเพลงเจ๋งๆ ที่มาพร้อมหมัดเด็ดอย่างท่อนฮุคติดหู ซิงเกิ้ลอย่าง Something 4 the Weekend ก็แสนสนุก และ If You Don’t Want Me to Destroy You ก็งามแบบเหงาๆ ส่วน Mario Man ก็ทำให้นึกถึง Blur ได้เลย ที่ผมชอบมากคือ เพลงสุดท้าย For Now and Ever ที่ออกอลังการซักหน่อย จากอัลบั้มนี้ ทำให้พวกเขาดังในวงการเพลงขึ้นมาทันที

SFA ยังสร้างตำนานต่อด้วยการออกซิงเกิ้ล The Man Don’t Give A Fuck ที่มีคำว่า fuck ห้าสิบครั้ง จนแทบเป็นตำนาน รวมทั้งปกรูปนักบอลชูสองนิ้วแบบกลับหลัง (ไปถามเพื่อนอังกฤษเองว่าแปลว่าอะไร) แม้จะโดนแบน แต่มันก็กลายเป็นเพลงคลาสสิกในหมู่แฟนๆทันที

พวกเขาออกอัลบั้มที่สอง Radiator ในปีถัดมา ถึงแม้มันจะมีเพลงสนุกๆอย่าง The International Language of Screamingแต่ต้นสังกัดในไทยก็ตัดสินใจไม่ทำเทป อดไปครับ ทั้งๆที่มันได้รับคำชมมากกว่า Fuzzy Logic ซะอีก

และเหตุการณ์เดียวกันก็เกิดกับ Guerilla อัลบั้มถัดมาในปี 1999 ที่ทำให้พวกเขาดังไปทั่วเกาะอังกฤษ เพราะเพลงเด่นๆอย่าง Do or Die และ Northern Lites รวมถึงเพลงช้าอย่าง Fire In My Heart แต่บ้านเราก็ไม่มีขายครับ (ฟองสบู่แตกไปแล้ว) แน่นอนว่ารวมไปถึงอัลบั้ม MWNG อัลบั้มภาษาเวลส์ (ฟังรู้เรื่องยังไม่ขาย ใครจะขายที่ฟังไม่รู้เรื่องวะ)

superfurryanimals02

จนอัลบั้มที่ 4 Rings Around The World ที่ก็เกือบจะประสบชะตากรรมเดียวกัน แต่โชคดีที่ดีเจไทยไปติดใจเพลง Juxtaposed With U เลยเอามาเปิดบ่อยๆ ตนกลายเป็นเพลงดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง ขนาดคนที่ไม่เคยรู้จักวงนี้ ก็ยังมาฟัง เพราะมันคือเพลงเบาๆที่ฮิตกันในช่วงนั้นพอดี SFA เลยได้ขายในไทยอีกทีครับ

พวกเขาออกอัลบั้ม Phantom Power ที่เป็นงานแนวทดลองออกมา ตามด้วย Love Craft ที่สุขุมขึ้น ก่อนจะย้ายไปค่าย Rough Trade และออกอัลบั้ม Hey Venus! ที่ได้รับทั้งเงินและคำชมเป็นอย่างมาก

จนปีนี้ พวกเขาก็ได้มาออกอัลบั้มที่ 9 Dark Days/Light Years ที่ได้รับคำชมอย่างมากเช่นเคย มันเป็นอัลบั้มที่ให้ความสำคัญกับจังหวะมาก รวมไปถึงจังหวะแปลกๆ หลุดโลก และแทบไม่มีเพลงช้าเลย Crazy Naked Girl ก็เหมือน Motown ในแบบของพวกเขา Moped Eyes ก็ออกกลิ่นฟังกี้นิดๆ The Very Best Of Neil Diamond และ Inaugural Trams ก็ชวนโยกตามเหลือเกิน สำหรับคนที่ต้องการเพลงแบบ JWU ก็ลอง Helium Hearts ที่แม้จะเร็วกว่าหน่อย แต่ก็มีกลิ่นคล้ายกันมากเหลือเกิน ในขณะที่ White Socks / Flip Flops และ Where Do You Wanna Go? ก็เป็นเพลงออกเซิร์ฟๆ ชวนเราวิ่งไปตามชายหาดเหลือเกิน Cardiff In The Sun ก็หลอนได้ใจ ส่วน Inconvenience ก็เป็นเพลงร๊อคมันๆ สรุปง่ายๆว่า Dark Days/Light Years คืองานที่ทำให้เรารู้ว่าขอบเขตของพวกเขานั้นช่างกว้างไกลเหลือเกิน

หายากครับ วงที่อยู่ในวงการมานานแล้วยังคงความสดขนาดนี้ แถมได้ความเก๋าเข้ามาเพิ่ม เรียกง่ายๆว่า คงฉุดไม่อยู่ล่ะครับ ขอแนะนำให้ลองไปหามาฟังกันเถอะครับ เพราะ Platinum เอามาขายแล้วเด้อ