Monday, April 25, 2011

Tiger Translate 2011 มันกลางฤดูร้อน

และแล้ว หน้าร้อนก็เวียนวนกลับมาอีกที และมันก็ร้อนได้ใจเหลือเกินจริงๆครับ เล่นเอาตับแล่บเลยทีเดียว ทั้งๆที่ไม่กี่สัปดาห์ก่อนยังหนาวอยู่เลย และสิ่งที่มาพร้อมกับหน้าร้อนคือ คลิปสีลม เอ๊ย งาน Tiger Translate ที่ผมได้ยินแว่วๆว่า We Are Scientists หนึ่งในวงที่ติด Top 30 ของผมปีที่แล้วจะมาเล่น แต่ก็ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ จนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา จึงทราบว่า จะเล่นวันศุกร์ที่ 22 เมษายนแล้ว และผมก็ต้องไปสัมภาษณ์วงด้วย เล่นเอาเตรียมตัวแทบไม่ทันเลยครับIMG_8317_resize

และในวันศุกร์ผมก็พยายามเบียดตารางงานของตัวเอง ไปสัมภาษณ์ We Are Scientists ซึ่ง พวกก็มาครบทั้งสามคน รวมถึงสมาชิกใหม่อย่าง Andy Burrows อดีตมือกลองของ Razorlight ด้วย ซึ่งเป็นที่รู้กันดีกว่า พวกเขามันจะเล่นมุขตอนสัมภาษณ์เสมอ ทำให้ต้องพยายามในการจับใจความเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ก็สนุกดีครับ พวกเขาเป็นกันเองมากๆ และมาอยู่เมืองไทยแล้วถึง 3 วัน และกะจะไปเที่ยวภูเก็ตต่อ พวกเขาพูดถึงหลายเรื่องครับ ทั้งโปรเจ็คต์งานเพลงใหม่ที่ชื่อว่า Sprinkler ที่น่าจะเสร็จในปีนี้ และออกวางขายในปีหน้า ส่วนคำถามเดียวที่ผมได้ถามคือ การเป็นวง Trans-Atlantic ซึ่งพวกเขาบอกว่าก็สนุกดี มีโอกาสไปมาหาสู่กันเพื่อเที่ยวเล่นกันโดยอ้างว่าไปทำงานเพลงได้ (เยี่ยมจริงๆ)

พวกเขาหยอดมุขมาตลอดครับ ตอนที่มีคำถามว่า กลิ่นของวงเขาเป็นอย่างไร ก็ตอบว่า อืม กลิ่นเหมือนเบียร์ไทเกอร์ แหม่ ตอบมาได้

พอตกเย็น ผมก็ไปที่งาน โดยที่ผมติดธุระอยู่เลยเข้างานไปช้าหน่อย เลยพลาดฟังงานของวงรุ่นใหม่อย่าง Plot กับ Jida ไปเสีย แต่ทางทีมงานของงานก็ช่วยดูแลนักข่าวเป็นอย่างดีครับ ประทับใจมากๆ ครับ

ตัวงาน ก็ออกแบบมาได้ดีครับ ปีนี้ เน้นไปที่เรื่องโซเชียลเน็ตเวิร์ค ทำให้มีการล้อเล่นกับโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ค แบบที่เจ้าของงานเรียกว่า Digital Prank ไม่ว่าจะเป็นโลโก้งานที่เล่นกับ Like ของ Facebook ขายเบียร์เป็นกิ๊กกะไบต์ มีจุดให้เช็คอิน จอบนเวทีเลียนแบบจอคอม แถมมีส่งข้อความขึ้นจอแบบ SMS รายการข่าวได้อีก ก็ถือว่าไอเดียเข้าท่ามากครับ

ตอนผมเข้างาน Modern Dog ก็ขึ้นเล่นแล้วครับ แล้วก็ยังโชว์ความเก๋าเกมเป็นอย่างดี เอาคนดูอยู่จริงๆครับ สนุกกันมาก พวกเขาก็เล่นเพลงดังสารพัดของพวกเขา โดยเฉพาะ ติ๋ม ที่มันมากๆครับ ผมถือโอกาสเดินรอบงาน ก็คล้ายปีก่อน มีโชว์ศิลปะ ขายเสื้อยืด (แต่ไม่เจอเสื้อวง) กับโชว์จักรยาน (ไม่รู้มีมาทำไม) ก็ทำออกมาได้ไม่เลวครับ

พอ MD ลาโรง ก็มีดี ดีเจหมวดแวน กับ มิตร์ แชมป์บีตบ๊อกซ์มากโชว์ เอาสนุกได้ครับ เหมือนกับคั่นเลาก่อนที่ Paradox จะขึ้นเวที ซึ่งนี่ก็เก๋าอีกวงครับ ยิ่งได้แรงหนุนจากการทำเพลงหนังวัยรุ่น ทำให้คนรอดูพวกเขาเยอะเหมือนกัน และก็ออกมาแบบบ้าๆบอๆ ฮาๆ เหมือนเดิม ก็ยังเป็นอีกวงไทยที่ผมชอบดูเหมือนเดิมครับ มีฮาตลอด เรียกเสียงกรี้ดจากรอบๆได้ไม่น้อยเหมือนกัน215521_10150565841075177_732505176_18271597_3443992_n

พอ Paradox ลาโรง ผมก็รีบย้ายตัวไปหน้าเวทีด้านข้าง เพื่อเตรียมรับ We Are Scientist และพอพวกเขาออกมา ก็มันกันสุดๆจริงครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่ไม่อาจเรียบเรียงลำดับเพลงได้ เพราะไม่มี Set List มาให้ แล้วก็สนุกเกินกว่าจะหาปากกาออกมาจดครับ เพราะเป็นที่ทราบกันว่าเพลงของ WAS นั้น มันช่างโจ๊ะชวนโยกแบบไม่หยุดเสียเหลือเกิน พวกเขาขนเอาเพลงดังๆมาปรนเปรอแฟนเพลงแบบไม่ยั้งเลยทีเดียวครับ ตั้งแต่ Rules Don't Stop, I don’t Bite Nobody Move, Nobody Get Hurt, This Scene Is Dead, Chick Lit, Nice Guys, Pittsburg แต่ละเพลงก็มันจนเล่นเอาแฟนเพลงโยกกันแบบไม่หยุดเลยทีเดียวเลยครับ แถมจอด้านหลังก็เล่นกันสนุกเชียวครับ ตอนเล่นเพลงดัง Great Escape ก็มีไอเดีย ตัดต่อคลิปหนังแขกแล้วเอาเนื้อเพลงใส่เป็นซับข้างล่าง ฮาดี (แถมเปิดผิดไปรอบนึงก่อนหน้านั้นอีก) แล้วก็ตามด้วยเพลงโคตรโปรดของผม Jack and Ginger ที่เหมือนฝันที่ได้ดูครับ จอด้านหลังก็ล้อ Google Translate เปลี่ยนเป็น Tiger Translate แล้วแปลเนื้อเพลงตามตลอด ฮาดีครับ โชว์ของพวกเขามันสนุกจริงๆ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการที่ Keith เอาขาไมค์มาตั้งที่ข้างล่างหน้าคนดู มันแบบลืมไม่ลงจริงๆครับ เหงื่อผมซ่กเลยทีเดียว216006_10150565837990177_732505176_18271561_1247694_n

พอ และงานก็ปิดท้ายด้วยวง มหาจำเริญ วงอีเล็คโทรนิกส์ของไทยที่ เล่นสดได้มันมาก และครั้งนี้ สาวนักร้องนำของวงมาในมาดกุมารทองเลยทีเดียวครับ แถมท่าทางจะผ่านไปหลายขวดแล้ว ดูได้ที่เลย เพลงของพวกเขาก็เหมาะกับการเล่นกับเวทีใหญ่เหมือนกันครับ สนุกจริงๆ เสียที่เสียงนักร้องไม่ดังเท่าไหร่ ต่อมาก็มีแขกรับเชิญคือคุณจีน อดีต Futon ขึ้นมาร้อง โดยต้องบอกว่า เจ๊แกแรวง จริงๆ เจ๊ออกมาร้องเพลง Music ของมาดอนนา แล้วก็กลับไปอย่างเริ่ดๆครับ แล้วมหาจำเริญก็มันต่อ โดยที่มีแขกรับเชิญชวนงงอย่างคุณ Suharit เปลือยท่อนบนไม่ต่างกับคลิปสีลมขึ้นมาบนเวทีด้วยครับ งงแต่มัน ก่อนจะปิดท้ายด้วยเพลง Voodoo People ของ The Prodigy ปิดท้ายงานได้อย่างมันจริงๆครับIMG_8415_resize

ก็เป็นอีกปีที่ผมประทับใจงาน Tiger Translate จัดงานได้ประทับใจมากๆครับ หวังว่าครั้งต่อไปจะเตรียมวงดีๆ และเบียร์อร่อยๆไว้อีกนะครับ

Friday, April 8, 2011

Twin Shadow – Forget

Technorati Tags: ,,

twin-shadow-forget

เป็นอัลบั้มที่ข้อมูลน้อยนิดนึง (ไม่แน่ใจว่าผมทำ bio หาย หรือเขาไม่ได้ส่งมาด้วย ลืม) แต่แค่ตรา 4ADบนปก ก็ทำให้ผมสนใจที่จะฟังแล้วครับ เลยต้องหาข้อมูลหน่อย ปรากฎว่าเป็นงานเปิดตัวของศิลปินขาวโดมินิกันที่โตในฟลอริดา โดยมี Chris Taylor จาก Grizzly Bear มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ ส่วนตัวเพลง เพลงแรกที่ฟัง Tyrant Destroyed คืองานที่มีบรรยากาศหม่นหมองและชวนนึกไปถึง Grizzly Bear เพราะความวังเวง และเสียงร้องแบบ croon ที่คล้ายกัน แต่พอเพลงที่สอง When We're Dancing แม้เสียงร้องจะยังคล้ายเดิม แต่กลับกลายเป็นเพลงที่ผ่อนคลาย ฟังสบาย เหมือนนั่งจิบค๊อคเทลริมสระ พอฟังทั้งอัลบั้มก็ถึงบางอ้อ Forget คืองานเพลงที่ได้รับอิทธิพลจากเพลงป๊อปยุค 80 มากจริงๆครับ อย่าง I Can't Wait ที่ยอดเยี่ยมแบบไร้ที่ติด ทั้งจังหวะ เสียงคีย์บอร์ด และกีตาร์ที่ไล่เรียง ชวนเราวิ่งออกไปแหกปากและเต้นตามที่ปาร์ตี้ริมหาดเหลือเกิน Shooting Holes เองก็เป็นดิสโกฉบับย่อมๆคล้ายกับ Tether Beat ส่วน At My Heels ก็คือการกลับมาของเพลงนิวเวฟอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับ Slow ที่งดงามเสียเหลือเกินครับ ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยเพลงช้าอย่าง Forget ที่เรียบเรียงได้แสนงดงาม

Forget คือการจับเอาความงดงามของยุค 80 ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น งานกราฟฟิคสีพาสเทล เกม 8 บิต ค๊อคเทลปาร์ตี้ ผมรากไทร รถเปิดประทุน และ Miami Vice แล้วนำมาทำใหม่ผ่านดนตรีของยุคปัจจุบัน ทำให้ได้งานเพลงป๊อปที่เจิดจรัสที่สุดอีกชิ้นหนึ่งครับ

Funeral for a Friend – Welcome Home Armageddon

งานอัลบั้มเต็มชุดแรกของวงรักของผมหลังจากสับเปลี่ยนสมาชิกใหม่ โดยที่ Gareth กับ Darran ออกจากวงไป และได้ Gavin Burrough (เกวิน กีตาร์) และ Richard Boucher (ริชาร์ด เบส) มารับหน้าที่แทน หลังจากพวกเขาทิ้งแนวเพลงของตัวเองในชุดที่สาม Tales Don’t Tell Themselves และกลับมาสู่ราก Hardcore ในขุด Memory of Humanity หลังจากนั้น พวกเขาออก EP ชื่อ The Young And Defenceless แบบจำกัด ที่เป็นการบอกให้แฟนรู้ว่า เตรียมเจอจัดหนัก เพราะพวกเขากลับมาทำเพลงหนักหน่วงพร้อมเมโลดี้เพราะๆแบบที่เราคิดถึงมานาน ทั้งยังให้ Ryan กลับมาสำรอกอีกหลังจากเงียบไปนาน และทำให้ความหวังของแฟนๆพุ่งสูงเสียดฟ้าครับ

welcome-home-armageddon-funeral-for-a-friend

และเมื่ออัลบั้มนี้ที่รอคอยออกมา ก็ไม่ทำให้แฟนๆผิดหวังครับ ผมเองยังไม่เห็นที่แผง แต่คิดว่า Warner คงไม่พลาดทำอัลบั้มนี้หรอกครับ เพราะออกจะดังขนาดนี้ แต่ตัวผมรอไม่ไหว ไป pledge ไว้กับวงแต่แรกแล้ว เลยได้มาก่อนครับ (เหลือรอปกพร้อมลายเซ็นและเสื้อวง) Welcome Home Armageddon คือการเดินไปข้างหน้าของวงโดยที่หันกลับไปมองด้านหลังด้วย พวกเขาสามารถนำความเกรี้ยวกราดระดับถล่มโลกในแบบชุดแรกมาให้เราได้สัมผัสอีกครั้ง และครั้งนี้พ่วงมาด้วยเมโลดี้ที่ได้รับการไล่เรียงอย่างยอดเยี่ยมและงดงามจับใจเสียจริงๆครับ

เพลงที่ห้อยมาจาก EP ก่อนอย่าง Sixteen เป็นตัวอย่างที่ดีครับ มันไล่เรียงทำนองได้อย่างงดงาม แถมยังติดหู เหมือนเอางานชุด 3 มาทำให้หนักขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แถมเนื้อเพลงเกี่ยวกับวัยเด็กนี่ไม่เลวเลยครับ (แนะนำให้ดู MV) ส่วนอีกเพลงคือ Damned If You Do, Dead If You Don't ที่มาแบบฮาร์ดคอร์แท้ๆเลย อัดรัวตรั่บๆๆๆ (ไม่ได้กินตับใคร) เช่นเดียวกับ Old Hymns ที่รัวถล่มเริ่มเพลง โดยได้รับการเปิดตัวโดยการไล่เลียงทำนองในเพลง This Side of Brightness ที่ทำได้อย่างงดงาม Man Alive ก็ทำให้นึกถึงอัลบั้มแรกจนน้ำตาแทบไหลเลยทีเดียวครับ เช่นเดียวกับ Spinning Over the Island ที่ได้เสียงไรอันมาแหกปาก เล่นเอาคิดถึงยุค Between Order and Model เลยทีเดียวก่อนที่จะคลี่คลายเป็นเพลงเนี้ยบๆในช่วงท้าย สองเพลงที่จะว่าใกล้เคียงบัลลาดได้คือ Medicated ที่โซโล่กีตาร์ไล่ไปกับเพลงได้อย่างเพราะพริ้ง กับ Owls (Are Watching) ที่อลังการไม่แพ้กัน (อีกรอบครับ โซโล่โคตรเพราะ) ส่วน Aftertaste และ Welcome Home Armageddon ก็เป็นเพลงเมทัลที่รวดเร็ว สับไม่ยั้ง พร้อมทั้งกีตาร์ที่เล่นตามจังหวะได้อย่างไร้ที่ติ

Welcome Home Armageddon คืออัลบั้มที่คิดว่าแฟนของ FFAF ทั้งหลายจะอยากได้ฟัง เพราะมันจับเอาความยอดเยี่ยมของพวกเขาในแต่ละยุคออกมาผสมผสานได้เป็นอย่างดี และยังได้เห็นพัฒนาการหลายๆด้าน ทั้งเทคนิค ทักษะการเรียบเรียง รวมไปถึงคุณภาพการร้องของ Matt ด้วยครับ ให้ 10/10 เลยทีเดียว

Monday, April 4, 2011

Panic! At The Disco – Vices & Virtues

งานเพลงชุดที่สามของเด็กหนุ่มที่ผมเคยเขียนถึงพวกเขาไปแล้วหลังจากที่เขาออกงานชุดที่สอง Pretty. Odd ใหม่ๆ การกลับมาครั้งนี้ พวกเขาเปลี่ยนสภาพกลายเป็นวงดูโอไปเสียนี่ เพราะว่า Ryan Ross และ Jon Walker ออกจากวงไปเพราะว่าเมื่อเริ่มเติบโต ทิศทางและแนวเพลงก็เริ่มแตกต่างไป ทำให้วงเหลือแค่ Brandon Urie (ร้องนำ และเล่นสารพัดเครื่อง) กับ Spencer Smith (กลอง) และเป็นครั้งแรกที่พวกเขาทำเพลงโดยแบรนดอนรับหน้าที่แต่งเพลงหลักแทน Ryan Ross

vicesvirtues_95779

ผลที่ออกมาคือ อัลบั้ม Vices & Virtues ที่มีบรรยากาศของงานชุดแรกและชุดที่สองผสมกันครับ ถ้าฟังงานสองชุดก่อนหน้านี้จะเห็นความแตกต่างเป็นอย่างมาก (แค่ชุดแรก ครึ่งแรกกับครึ่งหลังก็ต่างกันมากแล้วครับ) แต่พวกเขาก็เอามาผสมได้ลงตัวทั้ง บาโรค เรโทรป๊อป ยิปซี อีเล็คโทรนิกส์ และพังค์ ทำให้แฟนเพลงได้สนุกกันครับ ตัวอย่างที่ชัดคือ Let’s Kill Tonight ที่มีทั้งเสียงเอฟเฟคต์ปนไปกับบรรยากาศอลังการที่ทรงพลังอย่างโครมครามครับ ซิงเกิ้ลแรกอย่าง The Ballad Of Mona Lisa ก็ฟู่ฟ่าอลังการไม่เบาเลยทีเดียวครับ บวกกับเครื่องแต่งตัว ทำให้ได้ผลลัพท์ระดับ Supercool เลยทีเดียว อีกเพลงที่ผมชอบมากๆคือ Memories ที่ไล่เรียงโทนเพลงได้อย่างยอดเยี่ยมครับ เช่นเดียวกับ Trade Mistakes ที่อลังการระดับกองทัพโรมันกำลังกรีฑาทัพเลยทีเดียว ส่วน Sarah Smiles ก็ออกไปคล้ายกับชุดก่อนบวกบรรยากาศยิปซีหน่อยๆ ส่วนเพลงช้าอย่าง Always ก็ทำออกมาได้ดีเหมือนกันครับ ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยเพลงที่ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันได้อย่างอลังการ Nearly Witches (Ever Since We Met...) ที่แอบนึกถึง Queens ขึ้นมาเลยครับ

Vices & Virtues คืองานที่ไม่ทำให้แฟนของวงผิดหวังแน่นอนครับ และยังจะสามารถหาแฟนใหม่ได้เพิ่มอีกแน่ครับ

Green Day – Awesome as FxxK

เมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว ผมมีประสบการณ์ที่ดีมากๆกับคอนเสิร์ต Green Day ที่จัดขึ้นที่เมืองไทย เพราะว่า นอกจากจะได้ฟังเพลงมันๆ สนุกๆหลายต่อหลายเพลง และโยกจนเหงื่อซกแล้ว พวกเขายังเอนเตอร์เทนคนดูได้อย่างยอดเยี่ยมมาก มีกิมมิคเจ๋งๆตลอดงาน จนเปรยกับแฟนว่า ถ้ามีดีวีดีบันทึกคอนเสิร์ตนี่ รับรองว่าซื้อแน่ และความต้องการนั้นก็เป็นความจริง แม้จะช้าไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็ดีครับGreen Day - Awesome As Fuck 2011 Album Cover

Awesome as Fxxk (แหม่ ไม่อยากเซ็นเซอร์เลย) คืองานที่บันทึกการแสดงสดในทัวร์ 21st Century Breakdown ของทางวงที่ไปเล่นทั่วโลก โดยพวกเขาเลือกเพลงเด่นๆที่เล่นตามที่ต่างๆมาอยู่ในอัลบั้ม ทำให้เราได้สัมผัสกับบรรยากาศของแฟนๆจากทั่วโลก ตั้งแต่ไซตามะในญี่ปุ่น ยันมอนทรีลในแคนาดาครับ ซึ่งฟังไป ก็พยายามนึกถึงบรรยากาศที่เคยสัมผัส แล้วก็โยกคนเดียว เพลินดีเหมือนกัน

แต่ทีเด็ดยังไม่หมดครับ มีดีวีดีแสดงสดติดมาด้วยครับ ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่นครับ เล่นเอาผมงงหน่อยว่า ทำไมเลือกญี่ปุ่น ตอน Bullet in the Bible พวกเขาก็เลือกคอนเสิร์ตที่อังกฤษแทนที่จะเป็นอเมริกา ทำให้หลายคนดูแคลนว่า เพราะพวกเสียแฟนขวาจัดในอเมริกาไปเยอะ เพราะเล่นด่าบุชซะขนาดนั้น ทำให้คนอเมริกันก็คงไม่อยากด่าคนในชาติว่า American Idiot มาก แต่ครั้งนี้ พวกเขาเลือกที่ญี่ปุ่น ซึ่งพอดูๆไป คงเป็นเพราะว่า พวกเขาคงต้องการเล่นกับคนที่ใช้ภาษาไม่เหมือนกันบ้าง และบรรยากาศที่ออกมาก็คล้ายๆกับที่ไทยครับ คือแม้จะไม่ได้ร้องตามแบบเก็บทุกเม็ด แต่แฟนก็มีอารมณ์ร่วม และมันกับเพลงอย่างเต็มที่ครับ

แต่ถึงจะเป็นทัวร์เดียวกัน แต่รูปแบบจะต่างกันหน่อยครับ เพราะที่ไทย จะอาศัยฉากหลังบอกชัดว่า จะเป็นองค์ไหน 21st Century Breakdown หรือ America Idiot หรืองานเพลงก่อนหน้านั้น ที่ครั้งนี้ที่ญี่ปุ่น ออกจะเป็นคละๆกันไปซะมากกว่าครับ ไม่ได้แบ่งชัดเจน หรือเล่าเรื่องเหมือนที่ไทย แต่ก็จับบรรยากาศความสนุกบนเวทีมาได้อย่างยอดเยี่ยมครับ ทั้งการแสดงที่เปี่ยมไปด้วยพลัง การพาแฟนเพลงขึ้นไปร้องบนเวที พลุไฟ เอฟเฟคต์ มันทุกเม็ด แถมยังมีคัทของแฟนเพลงที่วิ่งแข่งกันไปจองพื้นที่ เขียนโปสเตอร์ให้วง ดูแล้วสนุกครับ รายชื่อเพลงก็เป็นเพลงดังๆเกือบทั้งหมด อาจจะขาดบางเพลงไปบ้าง (American Idiot และ Wake Me Up When September Ends) แต่ก็มีเพลงที่ไม่ได้เล่นที่ไทยเหมือนกันอย่าง Viva La Gloria (ที่ผมอยากฟังเหลือเกิน) กับ My Generation คัฟเวอร์ The Who แต่โดยรวมแล้ว ก็ได้บรรยากาศดีจริงๆครับ ขนาดที่ฟัง 21 Guns แล้ว น้ำตาแทบคลอครับ