Saturday, October 31, 2009

Dizzee Rascal ไอ้เด็กแสบจากลอนดอน

Technorati Tags: ,

ในวงการบันเทิงทุกชาติก็มักจะมีนักร้องศิลปินที่โดนเรียกว่า เด็กมหัศจรรย์ อยู่เรื่อยๆ ในบ้านเราก็มีเหมือนกัน แต่จะมีซักกี่คนที่มันมหัศจรรย์ได้ด้วยตัวเอง ทำเพลงเอง ร้องเอง ไม่ใช่หุ่นกระบอกของค่ายเพลง แต่ที่อังกฤษ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งสร้างชื่อขึ้นมาด้วยตนเอง แม้จะมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่มันก็เป็นแรงผลักดันให้เขาพยายามจนประสบความสำเร็จได้ เขาคือไอ้เด็กแสบ Dizzee Rascal

dizzee2 

Dizzee Rascal หรือชื่อจริงคือ Dylan Kwabena Mills คือชาวอังกฤษผิวสีเชื้อสายกาน่าและไนจีเรีย เขาเติบโตมากับแม่เพราะว่าพ่อตายไปตั้งแต่ยังเด็ก ในช่วงเด็ก เขาย้ายโรงเรียนไปมาหลายแหล่ง เพราะเป็นตัวก่อปัญหาในโรงเรียน จนได้ฉายา Rascal (เด็กแสบ) แต่ว่าก่อนที่ชีวิตจะแหลกเหลว เขาก็ได้พบกับดนตรี และตั้งใจเข้าเรียนวิชาดนตรี นั่งทำเพลงบนเครื่องคอมของโรงเรียน และได้อาจารย์ที่มองเห็นแววมาสนับสนุนเขา (ถ้าเราสนับสนุนเด็กได้ถูกทาง เขาก็จะไปได้ดีเองล่ะครับ) ต่อมาแม่เขาก็ซื้อ Turntable ให้ และเขาก็ฝึกๆๆๆๆ เพื่อที่จะได้เก่งที่สุด

พออายุได้แค่ 16 เขาก็เริ่มเป็น DJ สมัครเล่น และเริ่มทำเพลงกับ Roll Deep Crew แนวเพลงของเขายืนพื้นที่ Hip-Hop เป็นหลักโดยผสมผสานทั้ง Garage, Reggae, Grime กระทั่ง Rock ลงไป เขาเริ่มออกซิงเกิ้ลแรก I Luv U ที่โปรดิวซ์เอง โดยเนื้อเพลงเกี่ยวกับปัญหาการท้องของวัยรุ่น (ในขณะที่บ้านเราเด็กอายุเท่ากันยังร้องแต่เพลงละเมอรัก) บนจังหวะที่เหมือนสร้างขึ้นบนคอมพิวเตอร์ราคาถูก แต่มันเจ๋งและกลายเป็นเพลงฮิตในระดับหนึ่ง
big1

เขาออกอัลบั้มเต็ม Boy In Da Corner ในปี 2003 โดยค่าย XL Records ซึ่งกลายเป็นอัลบั้มที่ถีบให้เขาดังอย่างมากในวงการเพลง และกลายเป็นศิลปินที่มาแรงๆสุดๆทั้งๆที่อายุแค่ 19 ปี มันเต็มไปด้วยเพลงที่จังหวะที่เฉียบขาด ผสมกับลีลาการแร๊พแบบเฉพาะตัวของเขา ทำให้มันได้รับคำชมเป็นอย่างมาก สารพัดเพลงเจ๋งๆในอัลบั้มทำให้เราหลงรักมันทันที ไม่ว่าจะเพลง I Luv U หรือเพลง Brand New Day ที่ใช้จังหวะแปลก ส่วน 2 Far ก็แร๊พอย่างรวดเร็วบนจังหวะที่ย่ำไปย่ำมาได้อย่างสนุก เพลง Round We Go ก็เหมือนกับเอาเพลง Flat Beat มาทำให้เป็น Hip-Hop ส่วน Just A Rascal ก็เอาเสียงกีตาร์ผสมกับเสียงร้องประสานแบบในโบสถ์มาแร๊พได้อย่างเมามัน แต่เพลงที่เด่นที่สุดชนิดแซงเพลงอื่นแบบไม่ทิ้งแถวคือ Fix Up, Look Sharp ที่โคตรติดหูตั้งแต่เขาตะโกน Oi! ขึ้นมาบนจังหวะโครมครามแบบช้างกระทืบโรง ก่อนที่จะตามด้วยท่อนฮุคที่ติดหูและเสียงร้องวู้ ทำให้เพลงนี้มันอยู่ในกบาลคนฟังได้ตั้งแต่ฟังครั้งแรกที่เดียว ให้ไป 5 ดาวสำหรับเพลงนี้ครับ

นอกจากอัลบั้มแรกจะทำให้เขายกสถานะกลายเป็นศิลปินแนวหน้าค่าตัวแพงแล้ว มันยังได้รางวัล Mercury อีกด้วย ทำให้เขาได้เป็นผู้ชนะรางวัลที่อายุน้อยที่สุดในวงการเลยทีเดียว ความสำเร็จประดังเข้ามาหาเขา แต่ก็มีด้านมืดเช่นกัน เขาถูกแทงที่ก้นหลังเล่นสด โดยเชื่อว่าเป็นผลจากการปีนเกลียวกับรุ่นพี่อย่าง So Solid Crew แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าใครคือคนร้ายกันแน่
dizzee_rascal

หลังจากเจียดเวลาไปแร๊พในเพลง Lucky Star ของ Basement Jaxx เขาก็กลับมากับอัลบั้มที่สอง Showtime ที่เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ล Stand Up Tall ที่ออกจะหนักไปทางเพลงเต้นรำโดยใช้เสียงประกอบเหมือนกับเกมแฟมิคอมยุคเก่า บวกกับการแร๊พอย่างรวดเร็วเป็นชุดเหมือนกระสุนปืนกลของเขา ทำให้มันโดดเด่นออกมาจริงๆส่วนตัวอัลบั้มก็ยังเยี่ยมไม่เปลี่ยนครับ เพลงโปรดของผมคือ Respect Me ที่มากับบีทบวมๆกับเสียงประกอบหลอนๆ

ปี 2007 เขาก็กลับมากับ Math and English ที่ครั้งนี้เขากลายเป็นหนุ่มเต็มตัว มันเป็นอัลบั้มที่เฉียบขาดยิ่งกว่าเดิม เพลงต่างๆเต็มไปด้วยพลังมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น Pussyole (Oldschool) ที่โคตรมันสะใจพร้อมลากเราลงฟลอร์ เช่นเดียวกับ Flex ที่ชวนเราแร๊พตามเหลือเกิน ส่วน Sirens ก็ชวนเรานึกถึงเพลงแร๊พรุ่นเก๋า ยังมีเพลง Temptation ที่ได้ Alex Turner จาก Arctic Monkeys มาร่วมงานด้วย และมันก็กลายเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จเหนืออัลบั้มก่อนๆของเขา


และปีนี้เขากลับมาอีกครั้ง เริ่มจากซิงเกิ้ลแรก Dance Wiv Me ที่ได้ Calvin Harris มาโปรดิวซ์ให้ และมันก็เป็นตามที่เขาให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนว่าเขาจะทิ้งซาวนด์ Grime เพื่อที่งานที่ตลาดขึ้น DWM คืองานเพลงเต้นรำที่ติดหูแบบสุดๆแบบที่ทุกคลับชอบ ตามมาด้วยซิงเกิ้ลที่สอง Bonkers ที่ได้ดีเจดัง Armand Van Helden มาร่วมงานด้วย และมันก็เป็นการร่วมงานที่ลงตัวเอามากๆ เพราะว่าต่างคนต่างเสริมความเด่นให้กัน จนขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งได้อย่างสวยงาม จนอัลบั้ม Tongue N’ Cheek มันได้พิสูจน์ว่าเขาทำงานออกมาตลาดมากขึ้นจริงๆ แม้หลายเพลงยังมีรากของ Grime อยู่บ้าง แต่มันก็ติดหุมากขึ้นกว่าเดิม นับว่าเป็นก้าวที่กล้าหาญจริงๆ ทุกเพลงชวนให้เราโยกไปกับมันอย่าสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็น Road Rage หรือ Dirtee Cash แต่ที่ติดหุสุดๆจริงๆ ต้องเป็น Holiday ที่พร้อมจะเติมฟลอร์เต้นรำของทุกเกาะอังกฤษได้อย่างง่ายดาย ทำให้ Tongue N’ Cheek เป็นอัลบั้มที่น่าสนใจที่สุดอีกอัลบั้มหนึ่งในปีนี้ไปแล้ว