Tuesday, November 30, 2010

Interview with the Charlatans

Technorati Tags: ,

ก่อนที่คอนเสิร์ตจะเล่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์วง The Charlatans ซึ่งเป็นครั้งแรกของผมในการสัมภาษณ์วงดนตรีจริงๆ และเนื่องจากผมเป็นแฟนของวงนี้มานาน มันจึงเหมือนการที่ได้คุยกับวงที่ชอบมากกว่าสัมภาษณ์อีกครับ

Q: หลายวงในยุค Brit-Pop มาเมืองไทย วงอย่าง Suede Shed Seven หรือกระทั่ง Mansun มาเพื่อสร้างฐานแฟนเพลง ซึ่งพวกเขาทำสำเร็จ ที่สงสัยคือ ทำไมคุณไม่มาช่วงนั้น แต่กลับเลือกมาตอนนี้

A: Martin มันขึ้นอยู่กับหลายอย่างครับ เช่น กับค่ายเพลง หรือเอเจนต์ จริงๆแล้ว การมาเมืองไทยอยู่ในแผนการของเรามาตลอด แต่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเราก็เริ่มจริงจังกับแผนการทัวร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น แต่ปกติแล้ว กับเอเชีย เราก็ไปญี่ปุ่นทุกครั้งที่มีอัลบั้มใหม่ออกครับ

Q: แล้วสนุกกับเมืองไทยไหมครับ

A: Tim พวกเราสนุกมาก มาได้ 3 วันแล้ว เราได้ไปไหนมาไหนหลายที่ แต่ก็อยากเห็นอีก บางทีก็ชอบความวุ่นวายในเมือง เพราะบางที มันก็เหมือนกับไม่มีกฎระเบียบอะไรเลย แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็มีความสงบอยู่เหมือนกันครับ

IMG_6921

Q: พวกคุณตั้งวงมาได้ 20 กว่าปีแล้ว หลายวงได้แยกกันไป แต่พวกคุณยังอยู่เหนียวแน่น อะไรทำให้พวกคุณอยู่กันได้นานขนาดนี้โดยไม่มีการพักงานหรือแยกวงเลย

A: Mark คิดว่าเป็นการทำเพลงครับ เวลาเราเบื่อ เราก็พยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ทำให้เราไม่รู้สึกว่า วงถึงทางตัน และรู้สึกสดชื่นตลอด เราจะได้ทดลองเรื่อยๆ

Tim ผมคิดว่าตอน Primal Scream และ Charlatans ออกมา MSP ออกมา สิ่งที่พวกเรามีเหมือนกันคือ พวกเรามีเป้าหมายชัดเจน แม้แนวเพลงจะแตกต่างกัน แต่ว่าพวกเราส่งผลกระทบต่อผู้คน และแชร์กลุ่มแฟนเพลงกัน

Q: ส่วนความสัมพันธ์ในวงล่ะครับ เหมือนพี่น้องกันเหรอ

A: Tim เราไม่ใช่คนที่รวมตัวอยู่กันแบบหลวมๆครับ พวกเราสนิทกันมาก

Q: พวกคุณทำเพลงหลากหลายแนวทาง ทั้งผสมร๊อคเข้ากับดนตรีเต้นรำ ดังนั้นคุณสามารถปรับตามยุคสมัยได้เสมอ อย่างการทำเพลงกับ The Chemical Brothers นั่นทำให้คุณอยู่ในวงการได้ยาวนานหรือเปล่าครับ

A: Tim ตอนพวกเราออกมาใหม่ๆ เราทำรีมิกซ์เยอะเหมือนกัน อย่าง The Chemical Brothers ก็มาจากพื้นเพเดียวกัน และเราก็ทำงานหลายอย่างด้วยกันมาก่อนเกือบ 5 ปี กว่าผมจะไปร้องให้พวกเขา และพวกเขาตอบแทนด้วยการมิกซ์เพลงให้ น่าจะเป็นเพราะดนตรีอีเล็กโทรนิกส์มันดังในช่วงนั้น เราก็เลยลองทดลองดู ไม่ใช่ว่าทำเพราะขายได้ เหมือนกับยุค Brit Pop ที่เราก็ผ่านมันมา พวกเรามาก่อนมัน และอยู่รอดหลังจากนั้นได้ มันก็มาแล้วไป พวกเราก็ไม่ได้วิ่งหามันนัก แต่ก็รับอิทธิพลมาเหมือนกัน

Q: ในความเห็นของพวกคุณ อะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างในช่วง 20 ปีที่คุณอยู่ในวงการมา

A: Martin วิธีที่ผู้คนเข้าถึงดนตรีครับ ก่อนหน้านี้ผุ้คนไปร้านแผ่นเสียง ซื้อซีดี แต่ตอนนี้ นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แทน

Q: อินเตอร์เน็ตได้ฆ่าวงการเพลงหรือไม่

A: Martin มันทั้งฆ่า และส่งเสริมไปพร้อมๆกันครับ การดาวน์โหลดเพลงส่งผลกระทบมาก ถ้าเพลงถูกดาวน์โหลดฟรี วงก็ตายแน่นอน

Q: การทำอัลบั้มเป็นไปได้ยากขึ้นหรือไม่ ในเมื่อผู้คนสนใจแต่จะฟังเป็นเพลงๆไป

A: Mark ผมคิดว่าคนยังเชื่อในคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มอยู่ และมันกำลังกลับมาครับ วงใหม่ๆหลายวงที่น่าสนใจ อย่าง The Horrors ก็ทำเพลงแบบเน้นโครงสร้างอัลบั้ม พวกเราอยากให้มีวงแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆครับ มากกว่าที่จะสนใจขายพลงไม่กี่เพลง

Q: คุณมาที่ไทย ที่มีปัญหาเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมาก คุณออกไปแล้วเห็นแผ่นเถื่อนมากมาย คุณคิดว่าอย่างไรบ้าง

A: Tim ผมก็คิดว่า มันช่วยอะไรไม่ได้ เหมือนกับอินเตอร์เน็ตล่ะครับ มันก็ต้องมีของแบบนี้อยู่แล้ว เหมือนกับแต่ก่อนที่คนบอกว่า การก๊อปปี้เทพเพลงจะทำลายดนตรี แต่ยุคสมัยมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆล่ะครับ เราไม่ได้เป็นห่วงอะไรมาก

Mark สิ่งที่คุณก๊อปปี้ไม่ได้คือ ประสบการณ์จากการแสดงสดครับ นั่นทำให้ปัจจุบัน วงหลายวงหันมาให้ความสำคัญกับการแสดงสดมาก เพราะว่า นั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถก๊อปปี้ หรือดาวน์โหลดผ่านอินเตอร์เน็ตได้ครับ

Q: คำถามสุดท้ายนะครับ พวกคุณคิดอย่างไรกับรีลลิตี้โชว์อย่าX-Factor (รายการประกวดร้องเพลงเหมือนกับ AF บ้านเราแต่ดังกว่ามากๆ)

A: Martin มันก็ทำตามเป้าหมายของมันนะครับ มันโชว์ให้เห็นว่าดนตรีป๊อปทำอะไรได้บ้าง มันเป็นแค่ความบันเทิงเท่านั้น แค่ทีวี

Tim ผมค่อนข้างสงสารคนที่ทำมันนะ เพราะว่ามันเหมือนกับของปลอมๆ พอๆกับ เฮโรอีนสังเคราะห์

Mark ผมไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่ากลัวอะไร เราคงไม่ต้องกลัวผู้ชนะการประกวดหรอกครับ

Martin ก็เหมือนกับคาราโอเกะนั่นแหละครับ วัยรุ่นชอบมัน ป้าๆยายๆชอบมัน ก็คงโอเค

Tim ผมเกลียดยายผมนะ ฮ่าๆ แต่พวกเรารักมันมากๆ (ประชด)

หลังจากสัมภาษณ์ ก็ได้คุยนอกรอบกับทางวงหน่อย ซึ่ง Tony ดูท่าทางจะสนใจกล้องผมมาก ชวนคุยซะยาวเลย จริงๆแล้ว ได้คุยเรื่องวง The Verve กับ Pete ด้วยครับ แต่เขาขอเป็นนอกรอบ เลยเว้นไว้ดีกว่า เดี๋ยวครั้งหน้า กลับมาเจอคอลัมน์แบบปกติแล้วครับ เล่น the Charlatans ซะ 3 ตอนติดเลย

ขอเนียนด้วย

Saturday, November 20, 2010

The Charlatans Live in BKK รอมานาน มันโคตรๆ

Technorati Tags: ,

หลังจากที่ผมเกริ่นไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วถึงการจะมาเปิดคอนเสิร์ตในไทยของวง The Charlatans ในที่สุด วันที่วงเล่นจริงๆก็มาถึงแล้วครับ และก็เป้นวันที่ผมและรวมถึงหลายๆคนรอคอยมานานอย่างแน่นอนครับ

เริ่มต้นความตื่นเต้นจากวันแถลงข่าว ที่ทางวงออกมาอย่างพร้อมหน้ากันในวันที่ 18 พย. ที่โรงแรมเรดิสัน ซึ่งแม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็เห็นได้ว่าวงค่อนข้างสนุกและตื่นเต้นกับการมาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ น่าเสียดายที่ Jon Brookes มือกลองของวงไม่สามารถเดินทางมาด้วย (ไม่ทราบสาเหตุครับ) แต่ทางวงก็ได้ Pete Salisbury มือกลองจาก The Verve มาเล่นให้แทนครับ วันต่อมา ผมได้สัมภาษณ์ทางวงด้วย เดี๋ยวถ้าแกะเทปเสร็จ และที่ผมอัดไว้ไม่มีปัญหา ก็คงจะได้อ่านกันสัปดาห์หน้าครับ

หลังจากงมหาทางไปนครินทร์เทียเตอร์ เพราะผมไม่เคยไปมาก่อน และฝ่ารถติดแบบโคตรๆกว่าชั่วโมงกว่า ก็มาเจอจนได้ เป็นฮอลล์ที่แปลกดีครับ เหมือนเป็นพื้นที่ไว้จัดคอนเสิร์ตชั่วคราว แต่ขนาดก็กำลังดี ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป คนเพียบครับ เท่าที่ดูก็มีต่างชาติเกือบ 70% ของคนที่เขามาดูครับ

วงแรกที่เริ่มเล่นก่อนคือวง The Standards วงลูกครึ่งไทยอังกฤษ (อังกฤษ 2 ไทย 3) ที่ผมได้ซีดีมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ฟัง ขึ้นมาเล่น น่าตกใจที่ แม้จะเป็นวงที่ตั้งในไทย แต่ผมว่าคุณภาพเข้าขั้นใช้ได้เลยทีเดียวกันครับ พวกเขาทำเพลงร๊อคผสมนิวเวฟที่โจ๊ะเอาเรื่อง เสียงคีย์บอร์ดช่วยให้วงนี้มีกลิ่นที่ต่างออกไปจากวงอื่นครับ ฟังดูอินเตอร์ใช้ได้เหมือนกัน น่าเสียดายที่ตลาดวงการเพลงไทยอาจจะยังไม่พร้อมสำหรับพวกเขาก็ได้ เพราะไม่น่าจะใช่แนวที่วัยรุ่นไทยชอบ แต่นักฟังเพลงน่าจะรักกันได้ไม่ยากครับ

IMG_6959

และวงต่อมาที่ขึ้นเล่นคือ Abuse The Youth ที่ผมเคยดูพวกเขามาก่อนแล้ว และยังเป็นวงที่เล่นดนตรีได้มันเหมือนเดิม จุดด้อยน่าจะเป็นนักร้องนำที่เสียงยังไม่โหดพอที่จะเล่นแนวแหกปาก บางที การร้องแบบวง Ash หรือ Weezer น่าจะเหมาะกับเขามากกว่าก็เป็นได้ และครั้งนี้ วงมีเซอร์ไพรซ์คือ พวกเขาเล่นเพลงที่เป็นภาษาไทยด้วยครับ คาดว่าน่าจะเป็นเพลง คืนสุดท้ายของแสงไฟ ซิงเกิ้ลล่าสุดของพวกเขา โดยรวมก็มันใช้ได้ครับ

IMG_7000

และหลังจากรอมานาน The Charlatans ก็ขึ้นเล่นซะทีครับ ผมได้โอกาสไปถ่ายรูปหน้าเวที เลยทำให้ได้รูปที่พอใช้ได้ แม้จะเป็นกล้องที่ไม่ได้ฉลาดมากอย่าง G9 พวกเขาเริ่มต้นด้วยเพลง Then ที่จากอัลบั้มใหม่ (ที่วางขายครั้งแรกในงานนี้ครับ) เพลงแรก แฟนอาจจะยังไม่คุ้น แต่เพลงอินโทรสอง Weirdo ขึ้นมาปุ๊บ แฟนรุ่นเก๋า (รวมทั้งผม) เฮกันหมดครับ เพราะมันคือหนึ่งในเพลงดังพวกเขาเลยทีเดียว และตามมาด้วยเพลง Can’t Get Out of Bed ที่แฟนเพลงสาวๆชอบกันเหลือเกิน เฮกันทั้งฮออล์ครับ

IMG_7024

ถึงตรงนี้ สิ่งหนึ่งที่ผมคิดคือ ทำไม Tim ดูเหมือน Ian Brown เอามากๆ ทั้งหน้าตา ทรงผม นี่ถ้าเปลี่ยนท่าควงไมค์ของทิม เป็นท่าลิงของ Ian คงเหมือนกันมากๆ เพลงต่อมาที่พวกเขาเล่นคือ Blackened Blue Eyes เพลงดังรุ่นเก่า ก่อนจะคั่นด้วย Smash The System เพลงใหม่ แล้วค่อยกลับมาที่ You’re So Pretty – We’re So Pretty กับ One to Another ที่แฟนพันธุ์แท้ร้องตามกันได้อย่างเพลิดเพลินครับ และอีกเพลงคือ My Beautiful Friend แล้วก็เป็นสามเพลงใหม่ครับ นั่นคือ Oh! Vanity จากชุดก่อน แล้วก็ My Foolish Pride และ Intimacy เล่นเอาแฟนเพลงงงๆเหมือนกัน แต่เมื่อ The Misbegotten กลับมา คนก็เฮกันอีกรอบครับ ดูเหมือนพวกเขาจัดลิสต์มาเอาใจแฟนจริงๆครับ

IMG_7169_resize

และบรรยากาศมาพีคสุดเมื่ออินโทรของเพลงสร้างชื่ออย่าง The Only One I Know ฮอลล์แทบแตกครับ แถวหน้าที่ผมอยู่ ทั้งเต้น ทั้งร้องตาม แล้วเซิร์ฟกันอย่างเมามัน ได้เหงื่อแล้วครับ และเมื่อพวกเขาตามมาด้วยเพลง North Country Boy คนก็ยิ่งโยกอย่างเมามันยิ่งกว่าเดิมครับ โคตรสนุก นี่แหละครับ ปรสบการณ์ที่ไม่สามารถดาวน์โหลดได้จากที่ไหน มันต้องมาเองครับ พวกเขาปิดท้ายด้วย This is the End จาก You Cross My Path ครับ

IMG_7160_resize

และพวกเขาก็กลับมาอีกครั้งในช่วงอังกอร์กับเพลง Love is Ending ที่เป็นเพลงใหม่เหมือนกัน และปิดท้ายด้วย Sproston Green เพลงเก่าจาก Some Friendly ที่ท้ายเพลง แจมกันอย่างเมามันจริงๆครับ เรียกเสียงเฮได้เยอะมากก่อนที่จะจบการแสดงที่ตรงนั้น

เรียกได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตที่โคตรมัน และคุ้มเงินมากๆครับ พวกเขาใส่กันแบบไม่มียั้งจริงๆ เล่นเอาวงรุ่นน้องน่าจะอายได้เลยครับ เสียดายที่ขาดเพลง Love is the Key ไป ไม่งั้นคงจะเติมได้เต็มจริงๆครับ แต่เท่านี้ ก็มันเหงื่อซกแล้วครับ หวังว่าปีหน้าจะมีโปรโมเตอร์ใจดี เอาของแบบนี้มาให้ได้เฮกันอีกนะครับ

Monday, November 15, 2010

The Charlatans: Live in Bangkok

Technorati Tags: ,

บางที ความสุขมันก็มาหาเราแบบไม่ทันตั้งตัวเหมือนกันนะครับ หลังจากที่ได้ไปดูคอนเสิร์ตของ Vampire Weekend หลังจากชีวิตแล้งคอนเสิร์ตมานาน ก่อนงานจะเลิก ก็มีคนแจกแผ่นพับเล็กๆ แต่เนื้อหาใหญ่คือ วง The Charlatans กำลังจะมาเล่นคอนเสิร์ตในไทย โอว ใครจะเชื่อว่าช่วงเวลาไม่นานแบบนี้ จะมีของดีมาให้ดูบ่อยขนาดนี้ นี่ผมอยู่ในช่วงปี 95-97 รึเปล่านี่ ที่วงต่างชาติวนมาเมืองไทยเป็นว่าเล่น

นักฟังเพลงรุ่นใหม่ อาจจะไม่ค่อยคุ้นกับวงนี้ แต่สำหรับรุ่นที่โตมากับยุค Brit-Pop อย่างผม The Charlatans คือหนึ่งในวงระดับเต้ยของวงการ เพราะว่า พวกเขายังอยู่ ยังยืนยงอยู่ในวงการเพลงมาถึงยี่สิบกว่าปีแล้วครับ เด็กบางคนยังไม่เกิดเลยครับ พวกเขามาก่อนยุค Brit-Pop เสียด้วยซ้ำ และเมื่อจบยุคนั้น พวกเขาก็ยังคงอยู่อย่างเหนียวแน่น ซึ่งวงที่ผมคิดว่าอยู่ทนนานแบบนี้ เหลือไม่กี่วงเองครับ เท่าที่นึกออกตอนนี้ก็มี Manic Street Preachers และ Primal Scream เท่านั้นเองครับ

CharlatansUK

The Charlatans เริ่มฟอร์มวงในช่วงปลายยุค ’80 โดยมีสมาชิกดั้งเดิมคือ Tim Burgess (ทิม ร้องนำ) Rob Collins (ร๊อบ คีย์บอร์ด) Martin Blunt (มาร์ติน เบส) John Baker (จอห์น กีตาร์) และ Jon Brookes (จอน กลอง) และเริ่มต้นจากการออกซิงเกิ้ลแรกที่ชื่อ Indian Rope ด้วยตัวเอง และมันก็กลายเป็นเพลงฮิตในแวดวงอินดี้ เพราะช่วงนั้น กระแสดนตรีแนว Baggy หรือ Madchester กำลังเป็นที่นิยมจากการเบิกทางของ The Stones Roses ทำให้พวกเขาก็กลายเป็นหนึ่งของกระแส Madchester ไปในทันที

หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้ค่ายเพลงอย่างเป็นทางการและเริ่มออกผลงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งซิงเกิ้ลแรกหลังจากเซ็นสัญญาคือ The Only One I Know เพลงที่เป็นเหมือนเพลงเด่นประจำวง ที่ถ้าพูดถึง The Charlatans ก็ต้องเพลง the Only One I Know เพราะมันคือเพลงสร้างชื่ออย่างเป็นทางการเนื่องจากมันทะยานไปติด Top 10 ของซิงเกิ้ลชาร์ตในอังกฤษเลยทีเดียว ซึ่งความสำเร็จนั้นก็ส่งผ่านไปยังอัลบั้มแรก Some Friendly ที่กลายเป็นงานเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

the_charlatans_1024x768

แม้ผลงานชุดต่อมาอย่าง Between 10th and 11th จะไม่ได้ทำยอดขายดีนัก แต่ซิงเกิ้ลดัง Weirdo ก็ทำให้พวกเขาไม่หายไปจากเรดาร์ แต่พวกเขาก็ต้องเจอปัญหาใหญ่ เมื่อ Rob ถูกจับกุม เพราะความซวยที่ดันไปขับรถให้เพื่อน โดยที่ไม่รู้ว่าเพื่อนจะไปปล้น เลยเจอข้อหาสมรู้ร่วมคิด และติดคุกไป 4 เดือน ก่อนจะกลับมาและออกอัลบั้ม Up to Our Hips ในปี 1994 และมี Can’t Get Out of Bed เป็นซิงเกิ้ลเด่น ก่อนที่จะกลับมาประสบความสำเร็จในวงกว้างกับอัลบั้มชื่อเดียวกับวงในปี 1995 ที่มีเพลง Just When You're Thinkin' Things Over เป็นเพลงดังในช่วงเดียวกับการเบ่งบานของดนตรี Brit-Pop และเทรนด์ Cool Britain

แต่ในขณะที่เหมือนอะไรกำลังจะไปได้ดี ข่าวร้ายก็มาเยือน เมื่อ Rob เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับ กลายเป็นเรื่องโศกเศร้าของทางวงไป แต่พวกเขาก็ยืนหยัดต่อ และออกอัลบั้มชั้นเยี่ยมอย่าง Tellin’ Story ในปี 1997 ที่มีเพลงดังอย่าง North Country Boy และ How High และพวกเขาก็รักษาคุณภาพงานของตัวเองมาได้ตลอดไม่ว่าจะเป็นอัลบั้ม Us and Us Only ในปี 1999 ที่มีเพลงเด่น Forever และตามด้วย Wonderland ในปี 2001 ที่มีเพลงเด่นมากๆอย่าง Love is the Key และเพลง You’re So Pretty – We’re So Pretty อีกด้วย

the-charlatans

พวกเขายังโชว์ความเก๋าเกมในอัลบั้ม Up at the Lake ในปี 2004 กับ Simpatico ในปี 2006 ที่มีเพลง Blackened Blue Eyes ก่อนจะออกผลงานชิ้นที่ 10 ชื่อ You Cross My Path ในปี 2008 กับค่ายอิสระอีกครั้ง และเป็นก้าวที่กล้าหาญมากครับ

และปีนี้ พวกเขาจะมาเล่นคอนเสิร์ตที่เมืองไทย พร้อมเปิดตัวผลงานล่าสุด Who We Touch ในวันเดียวกับคอนเสิร์ตเลยนะครับ แน่นอนว่ามีของขวัญพิเศษสำหรับแฟนที่ซื้อแผ่นในงานด้วยครับ สำหรับแฟนเพลงรุ่นเก่า ก็หวังว่าจะเจอกันในงานนะครับ ส่วนแฟนรุ่นใหม่ที่อยากทำความรู้จักวงรุ่นเก๋า ก็เชิญครับ ที่ Nakarin Theatre วันศุกร์ ที่ 19 เดือนนี้ครับ บัตรหาได้ที่ thaiticketmajor นะครับ บอกได้คำเดียวครับว่า พลาดไม่ได้จริงๆสำหรับแฟนเพลงทั้งหลาย ส่วนผมเองก็เอาแผ่นเก่าๆมาซ้อมไว้แล้วครับ แล้วเจอกันนะครับ

Monday, November 8, 2010

Toyota Classic: Ochstra Citta Di Firenze กับวิชามารยาท 101

Technorati Tags: ,

วันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผมพบตัวเองในเสื้อสูทตัวเต็มยศ รองเท้าหนังเงาแว้บ ยืนอยู่ที่หน้าศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะแปลกปลอมสำหรับตัวผมอยู่มาก สาเหตุที่ผมต้องทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคยคือ ผมกำลังจะได้ชมคอนเสิร์ตออเคสตราเป็นครั้งแรกในชีวิต ในงาน Toyota Classics ประจำปี 2010 ที่ได้วง Orchestra Citta Di Firenze วงออเครสตราชื่อดังจากนครฟลอเรนซ์ ที่รวมรวมนักดนตรีฝีมือดีเข้ามา เพื่อเล่นเพลงแชมเบอร์ หรือเพลงดังๆที่แต่งโดยผู้ประพันธ์ชาวอิตาลี

ทีแรก ผมเองก็ไม่ได้รู้ข่าวมาก่อน จนแฟนผมที่ทำงานที่โตโยต้ามาบอกว่า บริษัทจะจัดงานคอนเสิร์ตการกุศล ผมเลยตกลงใจไปดูทันที เพราะว่านอกจากได้ฟังเพลงคลาสสิกสดๆแล้ว ยังได้ทำการกุศลด้วย ราคาบัตรที่ซื้อก็ถือว่าถูกมาก ยิ่งถ้าไปเทียบกับวงเกาหลีหรือ AF แต่พอทราบทีหลังว่า สมเด็จพระเทพก็ทรงเสด็จในงานนี้ด้วย เลยเกร็งๆหน่อย เพราะไม่คุ้นกับงานระดับนี้ครับ001

พอถึงวันงาน ผมก็ยืนรอแฟนและเพื่อนอยู่หน้างานท่ามกลางคนญี่ปุ่นและคนไทยไฮโซทั้งหลาย เห็นว่างานปีนี้คนเยอะกว่าปีก่อน อาจจะเป็นเพราะว่ามีแขกรับเชิญอย่าง อ๊อฟ ปองศักดิ์ มาร่วมร้องเพลงด้วย เลยมีแฟนเพลงของอ๊อฟมาร่วมงานนี้ด้วย และพองานจะเริ่ม ก็ค่อยๆเดินเข้าไปในฮอลล์ครับ และสิ่งที่ทำให้ผมผงะคือ ผมแต่งตัวมาร่วมงานแบบเต็มยศ แต่คนอื่นๆที่อยู่ในชั้นเดียวกัน กลับมาแบบสบายๆมากๆ แถมยังมีกางเกงยีนส์ หรือรองเท้าแตะ เล่นเอาผมงงไปนิดหน่อย ว่าตัวเองเวอร์ไปรึเปล่า แต่ก็คิดได้ว่า แต่ดีไป ดีกว่าแต่งแย่ไปเสมอ ก็นั่งรอไป ฮอลล์ก็ดูดีครับ ท่าทางระบบเสียงจะโอเคเลย ต่างคนก็รอกันไป กดมือถือกันไป มีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ด้วย แทบไม่เห็นใครศึกษาโปรแกรมที่ได้รับแจกเลยครับ

หลังจากประกาศเตือน สิลปินก็เริ่มทะยอยเข้ามา คนก็เริ่มเก็บมือถือและเงียบ เฮียที่อ่านหนังสือพิมพ์ก็พับหนังสือพิมพ์เก็บแบบเสียงดังไม่เกรงใจใครอยู่ซะนาน เล่นเอารำคาญใช้ได้ น่าสงสารนักดนตรีครับ

งานเริ่มด้วยการที่วงเล่นเพลงพระราชนิพนธ์สองเพลงคือ เทวาพาคู่ฝัน และ อาทิตย์อับแสง โดยการควบคุมวงของ Lorenzo Castritota Skanderberg และตัวเพลงก็ได้รับการเรียบเรียงอย่างดี ถือว่าไพเราะมากครับ จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงการแสดงหลัก นั่นคือเริ่มต้นด้วยเพลง Ombra mai fu ของ Handel จากเรื่อง Serse ที่ได้นักร้องเสียงเทเนอร์ประจำวง Leonardo Melani มาขับขาน ซึ่งก็ออกมาน่าประทับใจมากครับ น้ำเสียงทรงพลังมากๆครับ ก่อนจะต่อด้วย เพลงบรรเลง Preludio (Act1) จาก La Traviata ที่บอกตามตรงว่า แม้ผมจะไม่ใช่แฟนเพลงคลาสสิก แต่ก็เคยผ่านหูเพลงเหล่านี้มาบ้าง แม้จะไม่รู้ชื่อเพลงครับ

และนักร้องก็กลับออกมาอีกรอบกับเพลง Tu Che M’ Hai Pres il Cour ของ Frank Lehar ก่อนที่จะส่งเวทีคืนให้กับเพลง Torna a Surriento ที่เป็นเพลงบรรเลงของ Ernesto de Curtis ที่คุ้นหูอีกเพลงครับ

มาจนถึงตอนนี้ ผมก็ได้ฟังเพลงอย่างเพลิดเพลิน แต่เริ่มตะหงิดเมื่อเห็นคนควักเอามือถือมากดเล่น จนสงสัยว่า หนีจากโรงหนัง ก็ยังมาเจอคนประเภทนี้ อยากจะบอกว่า ออกไปเถอะครับ เพราะคุณกำลังทำลายมารยาทของการฟังเพลงเป็นอย่างยิ่งครับ ถ้าอยากจะคุยแชตกันขนาดนั้นก็ออกไปข้างนอกเถอะครับ และเท่านั้นยังไม่พอ บางคนยังถ่ายรูปแบบเห็นๆครับ ทั้งๆที่ก็ชัดเจนแล้วว่ามีป้ายบอกเป็นภาษาไทยและอังกฤษชัดเจนว่า ห้ามถ่ายภาพขณะแสดง ไม่น่าจะโง่พออ่านไม่ออกกันนะครับ บอกตรงๆว่ารบกวนศิลปินมากๆครับ มารยาททรามมากๆ

กลับมาเรื่องการแสดง เพลงต่อมาคือ La tragenda ของ Puccini จากเรื่อง Le villi และตามมาด้วยเพลงดังอย่าง Granada ของ Augustin Lara ก่อนจะปิดท้ายช่วงแรกด้วยเพลง Funiculi-Funicula ของ Luigi Denza ที่คุ้นหูผมเป็นอย่างมาก เพราะมันถูกนำม่ใช้ประกอบโฆษณาเห่ยๆของคลินิคศัลกรรมในนาโกย่า เล่นเอาผมและแฟนกลั้นเสียงหัวเราะแทบไม่ไหว (ยังดีที่เงียบต่อได้) ก่อนจะไฟพักเบรกกัน

เมื่อกลับมา ศิลปินรับเชิญอย่างอ๊อฟก็ออกมาร้องเพลง ชีวิตลิขิตเอง ของพี่เบิร์ด ตามด้วยเพลง จุดอ่อนของฉันอยู่ที่หัวใจ ของเขาเอง ซึ่งจริงๆ อ๊อฟเป็นนักร้องที่เสียงดี และวงก็เล่นดี เพียงแต่ พอมาผสมกัน กลับกลายเป็นไปกันคนละทางอย่างน่าเสียดาย อาจจะเป็นเพราะการใช้ไมค์ ทำให้เสียงออกมาแปร่งไปก็ได้

และวงก็เข้าสู่การแสดงหลักด้วยเพลงยาก 3 เพลงคือ Le nozze di Figaro เพลงชื่อดังของอัจฉริยะ Mozart ที่วงเล่นได้อย่างแสนเพลิดเพลิน ตามด้วย La gazza ladra Sinfonia ของ gioacchino Rossini อีกเพลงที่บรรเลงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ก่อนจะปิดท้ายด้วยเพลงยาวมากๆอย่าง Giovanna d’Arco Sinfonia ที่แบ่งออกเป็นสามท่อน โดยช่วงกลางจะหม่นหมองหน่อยครับ และวงก็เล่นปิดได้อย่างสนุก ก่อนจะกลับมาอังคอร์กับอีกเพลง (ที่ผมไม่รู้จัก) เรียกเสียงตบมือได้เป็นอย่างดีจริงๆครับ

เสร็จงาน ผมออกมาอย่างประทับใจ แม้จะรำคาญคนมารยาทแย่ทั้งหลายที่ไม่เกรงใจคนอื่นเลยครับ แต่โดยรวมก็ยังถือว่าดีครับ ก็รอให้โตโยต้าจัดอีกทีปีหน้าล่ะครับ

Monday, November 1, 2010

Belle & Sebastian โคตรอินดี้

Technorati Tags: ,

วงดนตรีบางวง ผมอยากจะเอามาเขียน แต่ก็ยังหาโอกาสไม่ได้ เพราะว่าไม่มีวาระให้เขียนถึง จู่ๆจะเขียนเลย มันก็แปลกๆ ต้องรอให้ออกผลงานก่อน (ซึ่งบางวงก็ดันไม่รู้จักออกงานใหม่ซะที) และบางวงถึงผมจะอยากเขียน แต่ก็ไม่ค่อยกล้า เพราะว่า ถ้าวงนั้นยิ่งใหญ่ในระดับเป็น cult ไปเมื่อไหร่ หากผมพูดไม่ถูกใจ ก็คงโดนสาวกถล่มเอาได้ง่ายๆ (ขอคิดต่างบ้างสิวะ ไม่ต้องชม ไม่ต้องซึ้งอย่างเดียวได้มั้ย) แต่ครั้งนี้ ผมก็ได้โอกาสเขียนถึงวงโคตรอินดี้ของจริงอีกวงหนึ่ง โดยไม่ขอสนพวกสาวกล่ะครับ วงนั้นคือ Belle & Sebastian

800px-belle_and_sebastian_british_band

Belle & Sebastian (ขอย่อว่า BS ล่ะกัน) คือวงที่เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นวงดนตรีเหมือนวงอื่นๆนัก ในขณะที่วงอื่นตั้งวง เพื่ออยากทำเพลง อยากดัง แต่สองแกนนำ (ถ้าไม่ตั้งใจมาก จะเป็นแกนนอน รึเปล่า) ของวงอย่าง Stuart Murdoch และ Stuart David เริ่มทำงานเพลงเพื่อส่งงานอาจารย์อาจารย์ในวิชาการบริการจัดการดนตรี ซึ่งงานคือการส่งซิงเกิ้ลปีล่ะแผ่นให้กับค่ายเพลงของมหาวิทยาลัย และเมื่อค่ายเพลงของมหาวิทยาลัยประทับใจกับผลงานที่ออกมา ทำให้พวกเขาได้รับอนุญาตให้ออกอัลบั้มเต็มได้

และเมื่อโอกาสมาถึง Belle & Sebastian (ชื่อมีที่มาจากรายการทีวีที่ทำจากนิยายเด็กของฝรั่งเศสเกี่ยวกับเด็กและหมาตามชื่อ) พวกเขาก็ออกอัลบั้มแรก Tigermilk ในวงจำกัด แค่ 1000 แผ่น ในปี 1996 ในครั้งแรก และมันก็กลายเป็นผลงานที่ทำให้โลกภายนอกได้รู้จักพวกเขามากขึ้น มันเป็นงานเพลงอินดี้ป๊อป ฟังสบายๆ ชวนฝัน และมีเอกลักษณ์ของตนเองเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่า แหวกไปจากวงอื่นๆในตอนนั้น และปัจจุบัน แผ่นเสียงล๊อตนี้ก็ถูกเปลี่ยนมือกันในราคาถึง 400 ปอนด์ต่อแผ่น

และเมื่อพวกเขาได้รับคำชมขนาดนั้น Belle & Sebastian ก็เปลี่ยนสถานภาพจากวงชั่วคราว กลายเป็นศิลปินเต็มตัวไป และได้เซ็นสัญญากับค่าย Jeepster Records และออกวางขายผลงานชิ้นที่สองในปีเดียวกัน นั่นคือ If You’re Feeling Sinister และมันก็กลายเป็นงานระดับตำนานเมื่อสื่อพากันเทใจเชียร์งานชิ้นนี้อย่างออกนอกหน้า ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจครับ เพราะว่า งานชิ้นนี้มันระดับมาสเตอร์พีซจริงๆ เพลงแทบทุกเพลงในอัลบั้มสามารถตัดออกมาวางขายเป็นซิงเกิ้ลได้หมดครับ มันคือความงามแบบไร้ที่ติจริงๆ ถ้าใครอยาจะออกเดินทางท่อยุโรปด้วยการนั่งรถไฟ นี่คืออัลบั้มที่คุณอยากจะติดไว้ใน iPod ของคุณแน่นอนครับ

นอกจากนั้น พวกเขายังออก EP ชั้นเลิศออกมาอีกสามแผ่นคือ Dog on Wheels, Lazy Line Painter Jane และ 3.. 6.. 9 Seconds of Light ที่กลายเป็นงานคลาสสิกไปอีก ก่อนที่จะออกงานชิ้นที่สาม นั่นคือ The Boy with the Arab Strap ในปี 1998 ที่เป็นงานชิ้นแรกจริงๆของพวกเขาที่ผมได้ฟัง และทึ่งไปกับวงๆนี้ หลังจากได้อ่านเกี่ยวกับพวกเขามานาน และเป็นอีกครั้งที่ แม้เพลงจะไพเราะแบบน่ารัก ชื่ออัลบั้มเตือนให้เรานึกได้เสมอว่า พวกเขายังคงแอบใส่เรื่องเพศแบบแปลกๆ หรือรักร่วมเพศในผลงานของเขาเสมอ เป็นอีกครั้งที่พวกเขาทำงานเพลงชั้นเยี่ยมออกมาครับ

หลังจากงานชิ้นที่สาม ผมก็ได้รับอุปการะคุณจากอาจารย์และเพื่อนชาวอังกฤษของผม แบ่งปันงานใหม่ๆของ BS มาให้ผมฟังเสมอ เพราะเขาชอบฟังเพลง และเป็นอดีตนักเขียน และการที่จะหาคนคุยเรื่องวงพวกนี้ในเมืองอย่างขอนแก่นคงไม่ง่ายนัก

จากงานสามชิ้นแรก ทำให้พวกเขากลายเป็นวงอินดี้ระดับสถาบัน ที่มีแฟนอย่างเหนียวแน่น และทำเพลงออกมาเมื่อไหร่ ก็ขายได้เสมอ และยังรักษาคุณภาพของตนเองได้เป็นอย่างดี แม้จะเสียสมาชิกหลักไปสองคนอย่าง stuart David ที่ไปตั้งวง Looper และ Isobell Campbell ที่ไปเป็นศิลปินเดี่ยว และออกงานร่วมกับม Mark Lanegan แต่ Belle and Sebastian ก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ผ่านผลงานสารพัดที่พวกเขาขยันผลิตออกมาเสมอ

และในปีนี้ พวกเขาก็ไม่ได้ทำให้สาวกรอคอยนานนัก ด้วยการออกงานใหม่ Write about Love ที่ยังเป็นงานที่เต็มไปด้วยคุณภาพตามมาตราฐานของพวกเขาเป็นอย่างดี เพลงเด่นสารพัดอยู่เต็มอัลบั้ม ไม่ว่าจะเป็น Write About Love ที่ ร้องคู่ Carey Mulligan ที่เป็น งานออกจะโจ๊ะๆ ชวนยักย้านส่ายสะโพกหน่อย น่ารักดีครับ อีกเพลงหนึ่งที่คิดว่าน่าจะดังต่อไปคือ Little Lou, Ugly Jack, Prophet John ที่ได้เสียงหวานๆของ Norah Jones มาร่วมเจื้อยแจ้งด้วย คลาสสิกครับ นอกจากนี้ เพลงเปิดอัลบั้มอย่าง I Didn’t See It Coming ก็ช่างยอดเยี่ยม และงดงามเหลือเกินครับ เป็นอีกอัลบั้มที่ช่วยจรรโลงใจผมขณะเจอกับสภาพรถติดแบบไม่เคลื่อนตัวได้จริงๆครับ Write About Love คืองานที่แสดงหเห็นถึง คุณภาพ ฝีมือ และความเก๋าของวงที่อยู่ในวงการมาอย่างมั่นคงเป็นเวลาเกินทศวรรษจริงๆครับ