Wednesday, October 19, 2011

จาก “FWD Mail” สู่ “กดแชร์” และ “รีทวีต” เทคโนโลยีเปลี่ยนไปแต่การใช้งานไม่เคยเปลี่ยนแปลง

จริงๆแล้ว ถ้าใครตามอ่านบล๊อกนี้มาตลอด ก็คงจะเข้าใจว่า นี่เป็นบล๊อกเกี่ยวกับดนตรีเป็นหลัก เพราะเป็นการรวมงานเขียนของผมที่ลงในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ฮบับวันจันทรฺ์ แต่นานๆที ก็คงต้องเขียนเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องบ้าง เพราะว่า ถ้าไม่ คงไม่ไหวเหมือนกันครับ
ในยุคสมัยที่การใช้อินเตอร์เน็ตเริ่มตั้งไข่ในบ้านเรา สิ่งแรกๆที่ทุกคนเห่อที่จะมีคือ อีเมล ของตนเอง ซึ่งผมเองเมื่อยังเป็นละอ่อนในมหาวิทยาลัย ก็สมัครเมลไว้ใช้กับเขาเหมือนกัน แต่ในตอนนั้น ไม่ได้ใช้ทำอะไรมากนัก เพราะว่า ยังไม่ได้มีการสื่อสารผ่านทางเมลอะไรนัก และ เมลบ๊อกซ์ของฟรีเมลอย่าง Hotmail ตอนนั้น ยังแค่ 2 เม็ก ย้ำ 2 เม็ก นะครับ เด็กรุ่นนี้คงคิดแทบไม่ออก เพราะว่า ทำอะไรแทบไม่ได้เลย จริงๆ ถ้าส่งแต่เมลเท็กซ์น่ะ มันไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ แต่เมื่อกระแสเมลลูกโซ๋ หรือ Forward Mail เริ่มแพร่กระจาย มันก็ทำให้เรามีความจำเป็นต้องพยายามลบเมลบ่อยๆ ไม่งั้นเมลจะเต็ม และเด้งไป ถึงขนาดที่ เจ้าแม่เมลลูกโซ่ชื่อดังในตอนนั้นอย่าง ลูกแก้ว ยังมีสโลแกนว่า ล้างเมลบ๊อกซ์ให้ดี เพราะว่า เราจะระเบิดเมลบ๊อกซ์ของคุณแล้ว
แม้ในช่วงแรก เนื้อหาที่ส่งเวียนกันไปมา ฮาๆบ้าง ภาพโป๊บ้าง แต่เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเริ่มมีความแตกแยกทางความคิด ผมก็มักจะได้รับเมลจากเมืองไทยเสมอๆ (ตอนนั้นยังเรียนอยู่ญี่ปุ่นครับ) ซึ่งเนื้อหาก็โจมตีพี่หน้าเหลี่ยมอันเป็นที่รักยิ่งของหลายๆท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเลวเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องจาบจ้วง ผมเองก็งงว่า ไปเอามาจากไหนกันวะ เยอะขนาดนั้น ออกมาเป็นชุดยังกับพงศาวดาร มาไม่เบื่อ แต่สุดท่ายคือ ไม่เคยเจอต้นตอ แบบนี้ จะเรียกว่า บัตรสนเท่ออนไลน์ก็ได้ครับ
พอยุค Social Media บูมมากๆ (ผมขอนับยุค Facbook ที่เริ่มประมาณช่วงปี 2552 นะครับ เพราะตัวก่อนหน้าอย่าง Hi5 หรือ MySpace ยังไม่มีศักษภาพด้านการแชร์สารพัดพอ) คนไทยเริ่มใข้ Facebook เยอะขึ้นมาก จนแทบเดือดในช่วงเหตุการณ์ พฤษภาคม 2553 รวมไปถึง Twitter ที่โด่งดังได้เพราะพี่เหลี่ยมอีกนั่นล่ะครับ (หรือไม่จริง)
ทั้งสองตัวมีฟังชั่นที่คล้ายกันอยู่คือ การแชร์ในเฟซบุ๊ค และการ รีทวีตในทวิตเตอร์ ที่สามารถแบ่งปันข้อมูลทีเราอยากแบ่งได้อย่างรวดเร็ว และ แท่นแท้น Forward Mail หายไปเลยครับ กลายเป็นกดแชร์ และรทวีตกันอย่างสะดวกสบาย จนเรียกได้ว่า แทบไม่ต้องใช้สมองกัน ใช้ไขสันหลังในการแบ่งปัน ไม่ต้องคิดหาที่มาของสิ่งที่เราแบ่งปัน จนกลายเป็นเรื่องราวปัญหาที่ผมอยากเอามาเขียนในรอบนี้
กรณีที่ 1 พระราชดำรัสของในหลวงเรื่อง ปล่อยให้น้ำท่วมสวนจิตลดา

"ถ้าน้ำเข้าพระนคร ให้น้ำผ่านวังสวนจิตรไปเลย อย่ากั้นให้ผ่านไปเลย"
เป็นข้อความที่เป็นที่ฮือฮา และปลาบปลื่ม ของชนชาวไทยทัังหลายในโลกไซเบอร์ และถูกส่งต่อเป็นอย่างมาก กระทั่งคนดัง ก็ยังรีทวีตกันไปต่อ แต่ผมเอง รู้สึกแปลกใจที่ว่า ข้อความดังกล่าว ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีบริบท ไม่มีในข่าวในพระราชสำนัก จนงงว่า มากจากไหน จนในที่สุด ความจริงขั้นแรก ก็กระจ่างว่า
สุดท้าย ก็กลายเป็น “พระราชดำรัสปลอม” กุขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มีที่มาที่ไป และครั้งนี้ ผมตกใจมากที่ สำนักพระราชวังถึงต้องออกมาปฏิเสธอย่างเป็นทางการ แสดงให้เห็นได้เลยว่า ทางวังเองก็ลำบากใจเช่นกัน ผมขอบอกตรงๆครับว่า การกระทำเช่นนี้ เป็นการดึงฟ้าต่ำอย่างแท้จริง แม้คุณจะบอกว่า ทำด้วยความรัก แต่สิ่งที่คุณทำ มันยิ่งทำให้ระคายเคืองเบื้องสูงขึ้นไปอีก ซึงบางแท่านถึงแสดงความเห็นว่า ในยุคสมูบรณาญาสิทธิราช หากคุณอ้างคำพูดของกษัตริย์ขึ้นมาลอยๆ โดยมิได้เป็นความจริง คุณสามารถถูกประหารชีวิตได้ด้วยซ้ำ (โดยคุณ @tumbler_p) ซึ่งเมื่อคิดจริงๆแล้ว ก็เป็นไปได้ เพราะการกระทำเช่นนี้ เราไม่อาจบอกเจตนาที่แน่ชัดได้ว่า คิดอะไรอยู่ ใครคิดจะแชร์ ก็คิดให้ดีก่อนเถิดครับ
กรณีที่ 2 สมเด็จพระเทพทรงออกช่วยประชาขนที่ประสบภัยอย่างเงียบๆ

เรื่องนี้ ผมหากระทู้ต้นตอไม่ได้ จึงต้องขออาศัยความจำเป็นหลัก โดยที่ เรื่องที่เกิดมีรายละเอียดประมาณนี้ครับ
75759
“สมเด็จพระเทพทรงออกช่วยประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมเป็นการส่วนตัว จึงมิได้เป็นข่าว แม้กระทั่งข่าวในพระราชสำนัก”

ซึ่ง ก็เป็นภาพและข้อความที่ได้รับการแชร์วนไปมาไม่น้อย ซึ่ง ผมเองก็คิดว่า ไม่แปลกอะไร เพราะเรามักจะได้อ่านเรื่องราวของท่านในลักษณะนี้อยู่เสมอ (เช่นใน Fwd Mail ที่ส่งกันไปมาหลายครับ) และครั้งนี้ ก็เป็นอีกครั้ง ที่ท่านทรงภารกิจเป็นการส่วนพระองค์ แต่ที่ผมงงคือ แล้วผุ้ที่เอามาแชร์ ทราบได้อย่างไร และ ทำไมถึงมีภาพ

เรื่องราวมาถึงบางอ้อ เมื่อ ภาพที่ว่า มากจากที่นี้เองครับ

พระเทพโปรดเกล้าฯ พระราชทานพันธุ์ข้าว แจกจ่ายให้เกษตรกร

จริงๆแล้วเป็นภาพข่าวจากปีก่อน ที่ท่านทรงพระราชทานพันธุ์ข้าว กลายเป็นว่า ภาพกับเนื้อหา เป็นคนล่ะเรื่องไป ลดความน่าเชื่อถือของข้อมูลไปครึ่งหนึ่ง และยิ่งไม่มีข่าวอย่างเป็นทางการ เราเองก็ไม่สามารถบอกอะไรได้เลย กลายเป็นอีกครั้งที่ เราแชร์ข้อมูลที่ไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้  หวังว่า ครั้งนี้ คงจะไม่ไประคายเคืองเบื้องสูง ถึงกับสำนักพระราชวังต้องออกมาแถลงข่าวอีกนะครับ

กรณีที่ 3 กรณียิ่งลักษณ์ขี้เมา

กรณีนี้ เป็นอีกด้านหนึ่งของโลกออนไลน์ครับ จะว่าเป็นด่านมืดก็ว่าได้ โดยต้นตอมาจาก ภาพๆนี้ครับ
1_426459421

โดยมีการบรรยายประกอบว่า นี่คือภาพนายกยิ่งลักษณ์ ยกเหล้ากรอกปากสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัย และด่าสาดเสียเทเสีย

จริงๆแล้ว ถ้าเป็นเรื่องในอดีต ผมว่า มันไม่ใช่เรื่องอะไรเลยนะครับ ประธานธิปดีอเมริกาอย่างโอบาม่ายังยอมรับว่าพี้กัญชาสมัยเรียนเลย คนครับ อายุน้อย ทำอะไรก็มีโอกาสพลาด แต่ ประเด็นมันไม่ใช่ตรงนั้นครับ

นี่คือตัวอย่างของ Hate Speech โจมตีเรื่องส่วนตัวของบุุคคลสาธารณะ โดยใช่วิธีการใดก็ได้ที่จะสร้างความน่ารังเกียจให้เกิดกับบุคคลดังกล่าว และอีกประเด็นคือ นี่คือ นายกยิ่งลักษณ์ในอดีตหรือไม่

คำตอบคือ ไม่ และที่มาคือ ลิงค์นี้ครับ คลิก มันคือภาพจากเว็บรวมภาพสาวฟิลิปปินส์ ซึ่งหยิบมาภาพเดียวที่ดูคล้ายนายก (ดูที่เหลือสิครับ เหมือนมั้ย) และเอามาโจมตี ทั้งๆที่ไม่ใช่เจ้าตัวเลยแท้ๆ นี่คือตัวอย่างของการใช้วิธีสกปรกสาดเสียเทเสียบุคคล โดยไม่ได้คิดเลยว่า วิธีที่ตัวเองใช้นั้นคือ อวิชชา ที่สกปรกจริงๆ แน่นอครับว่า คนทำก็รู้ตัวอยู่แก่ใจว่า กำลังโกหกอยู่ แล้วคุณล่ะครับ จะร่วมขบวนคนโกหกไปกับพวกเขาหรือไม่

กรณีที่ 4 ทำเป็นหน้าเศร้า แต่ที่แท้ ก็ระรื่นเฮฮา


กรณีนี้ ก็กำลังมาแรงครับ โดยบอกว่า ดูนายกสิ ทำเป็นลุยงานหนัก แต่เอาเข้าจริงๆ ก็กระดี้กระด้า ไม่ได้มาสามัญสำนึก (ดูรูปประกอบ)

1968-33724

จริงๆแล้ว รูปนี้ ถ้าใช้สมองคิดซักหน่อย ไม่ได้ถูกบังตาโดยความเกลียดชัง จะสังเกตได้ว่า
1. พื้นที่่เป็นป่า ไม่น่าจะใช้พื้นที่ประสบภัยตอนนี้
2. ชุดที่ใส่ ไม่ใช่ชุดที่ใส่เป็นปกติในตอนรับตำแหน่ง แต่ดุคล้ายตอนหาเสียง
3. เวลาขึ้นฮ.สั่งงาน ปกติจะเป็นเครื่องขนาดใหญ่ ที่นั่งคุยแผนงานได้มากกว่าเครื่องขนาดเล็กที่ต้องนั่งติดเก้าอี้แบบนี้ 

ซึ่งพอเอาเข้าจริงๆ ค้นหาซักหน่อย ก็เจอครับ คลิก ว่าเป็นภาพตั้งแต่สมัยหาเสียง และไปถ่ายที่เชียงใหม่นู่นครับ แต่ชมรมคนเกลียดก็ด่ามันปากไปล่ะ

จาก 4 ตัวอย่างที่ผมยกมาให้เห็น ทำให้เข้าใจได้เลยว่า แม้เทคโนโลยีจะเปลี่ยนไป แต่ถ้าเราไม่เคยคิด ไม่เคยตรวจสอบ แชร์ หรือ รีทวีต แบบอัตโนมัติ ไม่ต่างจากการทำงานของกล้ามเนื้อแบบรีเฟลกซ์ ผ่านแต่สันหลัง ไม่ผ่านสมอง มันมีแต่จะทำให้เสียกับเสียครับ

จริงๆ เรื่องภาพนี่ เทคโนโลยีใหม่ของอากู๋ กูเกิ้ลอย่าง Search by Image ของ Google Image มันเทพมากนะครับ แค่ลากรูปที่เราอยากรู้ว่ามาจากไหน ไปใส่ใน Searchbox ก็เจอแล้ว ดังนั้น ลองหาดูเองมั่งก็ได้ครับ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของ “นักขุดรูปเก่า เล่านิทานลวง” ได้ครับ และที่สำคัญ

“โปรดมีสติและค้นหาความจริงก่อนแชร์หรือรีทวีต”
*ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากคุณ @jj_sathon จากเว็บ www.go6tv.com


ปล. ผู้เขียนใช้ Facebook ในการติดต่อกับเพื่อนเป็นหลัก ถ้าต้องการติดตาม ที่ twitter.com/souljackaz ดีกว่าครับ

Monday, October 17, 2011

Jack’s Mannequin เปียโนร๊อคเนียนๆ

Technorati Tags: ,

ยุคนี้จะหาวงร๊อคที่เน้นเปียโนเป็นหลักนี่ยากเอามากๆนะครับ แม้บางวงจะเล่นเปียโนประกอบไปบ้างอย่างโคลด์เพลย์ แต่ถ้าจะเอาแบบเน้นเปียโนเป็นหลักไปเลยอย่าง Ben Fold Five นี่ ก็ไม่ค่อยมีง่ายๆ อีกวงหนึ่งที่เป็นทำเพลงป๊อปแบบแท้ๆได้ยอดเยี่ยมอย่าง Catch ก็หายไปเรียบร้อยแล้ว แต่วงหนึ่งที่ผสมเสียงเปียโนเข้ากับเพลงร๊อคได้อย่างลงตัวจนกลายเป็นจุดเด่นของวงคือ Jack’s Mannequin

jacks

Jack’s Mannequin เดิมที่เป็นโปรเจ็คต์ชั่วคราวของ Andrew McMahon (แอนดริว ร้องนำ เปียโน) นักร้องของSomething Corporate วงพังค์จากย่าน Orange County ซึ่งตัว Andrew ได้แต่งเพลงขึ้นมาในระหว่างที่พักทัวร์ แต่เขารู้สึกว่า มันไม่เหมาะที่จะเป็นเพลงของ Something Corporate และเมื่อแยกห่างจากเพื่อร่วมวงมากกว่าเดิมกว่าเดิม เขาก็เริ่มแต่งเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวมากขึ้น จนมันแยกห่างจากงานเพลงของวงหลัก เขาชอบมันมากถึงกับลงทุนจ่ายเงินค่าโปรดัคชั่นในการอัดเพลงเองเป็นเงินถึง 40,000 เหรียญ แต่ก็คุ้มค่าเพราะมันทำให้เขาได้สัญญากับค่ายเพลง Mavericks

Monday, October 10, 2011

SBTRKT

Technorati Tags: ,

SBTRKT (อ่านว่า Subtract) คือโปรเจ็คต์เพลงเต้นรำของ Aaron Jerome ศิลปินและโปรดิวเซอร์จากเกาะอังกฤษที่เคยผ่านงานรีมิกซ์เพลงให้กับศิลปินหลากหลายราย เช่น M.I.A., Underworld, Mark Ronson และ Radiohead ก่อนที่จะหันมาทำผลงานเพลงของตัวเอง จริงๆแล้ว เขาแทบไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเท่าไรนัก และสวมหน้ากากชนพื้นเมืองเสมอ เพื่อให้คนสนใจกับดนตรีมากกว่าที่จะสนใจกับตัวตนของเขา และหลังจากหลายงานรีมิกซ์ และซิงเกิ้ลที่ทำให้เป็นที่สนใจ เขาก็ได้ออกอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับชื่อตัวเองเลย

SBTRKT-SBTRKT

Example

Technorati Tags: ,

หนึ่งในศิลปินเพลงเต้นรำอีกรายที่กำลังมาแรงในปีนี้ Example คือ Elliot Gleave ที่ชื่อย่อ E.G ที่หมายถึง ยกตัวอย่าง ในภาษาลาตินเป็นที่มาของชื่อ Example

example

Example เติบโตขึ้นมาในลอนดอนและเริ่มต้นแร๊พเนื่องจากความประทับใจในศิลปินแร๊พระดับตำนานอย่าง Wu-Tang Clan และ Snoop Dogg และเข้าแข่งแร๊พในท้องถิ่น และยังชนะประกวดกลอนโดย Royal Mail อีกด้วย พอเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็เริ่มทำงาน MC ก่อนะได้เจอกับ Rusher ที่จะกลายมาเป็นเพื่อนร่วมงานของเขาต่อไป

Sunday, October 2, 2011

ผมกับเมี้ยวหง่าว

Technorati Tags:

IMG

การ์ตูนเล่มใหม่ล่าสุดที่ผมแปลอีกเล่มครับ “ผมกับเมี้ยวหง่าว” หรือชื่อญี่ปุ่นคือ Ore to Nekonyan เป็นการ์ตูนสั้นๆ ตอนละหกเจ็ดหน้าก็จบ เป็นเรื่องของประสบการณ์การเลี้ยงแมวของนักเขียนการ์ตูน ซึ่งเมื่อเป็นประสบการณ์ตรง ก็ได้ความขำ และฮาไม่เบาครับ เพราะว่า บ้าพอกัน ทั้งคนทั้งแมว ฝ่ายคนก็บ้าแมวมาก แมวทำอะไรก็ไม่ผิด ส่วนแมว ก้เป็นแมวนั่นล่ะครับ เอาแต่ใจ ตามประสามัน ภาพออกจะดูเหมือนธรรมดาๆ แต่ก็เหมาะกับเรื่องสบายๆแบบนี้ล่ะครับ แมวดูเหมือนจะน่ารัก แต่ตอนมันทำตัวน่ากลัวก็ไม่เบานะ อ่านแล้วอยากเลี้ยงแมวขึ้นมาเหมือนกันล่ะครับ ตอนนี้พึ่งออกเล่มแรก ส่วนที่ญี่ปุ่นพึ่งออกได้สองเล่มครับ

Saturday, October 1, 2011

Korea Invasion กิมจิราวีปลาดิบ

Technorati Tags: ,,,,,

เมื่อปีก่อน ผมก็เขียนเรื่องวงการเพลงเกาหลีบุกไทยมาแล้ว และแย๊บไปที่ญี่ปุ่นนิดนึง แต่ตอนนี้ ผมคงจะต้องขอเขียนถึงวงการบันเทิงญี่ปุ่น กับกระแสเกาหลีหน่อยล่ะครับ เพราะว่า หลังๆมานี่ สถานการณ์เข้มข้นเสียจริงๆครับ

dbsk262

อย่างที่ผมเคยเขียนไปแล้วว่า กระแส ฮันริว (ฮัน คือ อักษรจีนที่หมายถึงเกาหลี ส่วนริวหมายถึงกระแส) เริ่มต้นในตอนที่เรื่อง Winter Sonata ละครรักเกาหลีเข้าไปครองดวงใจของป้าๆชาวญี่ปุ่น เพราะมันทำให้เพ้อไปถึงความรักอันแสนบริสุทธิ์ได้ และรอยยิ้มพิมพ์ใจของแป ยอง จุน ก็ทำให้ป้าทั้งหลาย แทบละลายไปเลยทีเดียว หลังจากนั้น ความเข้มข้นของ แด จัง กึม (ที่ญี่ปุ่นเรียก จองกึม) ก็เป็นที่นิยมไปทั่วญี่ปุ่นอีกรอบ แต่ว่า เรื่องเพลงน่ะ ตามมาทีหลังครับ