Monday, June 28, 2010

Football and Music ดนตรีลูกหนัง

Technorati Tags: ,

อย่างที่ผมเขียนไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วล่ะครับว่า ช่วงนี้ไปไหนมาไหนก็เจอแต่เรื่องบอลโลก ทั้งแฟนพันธุ์แท้ แฟนพันธุ์ทาง ว่อนกันไปหมด วันๆไม่สนอะไรแล้วล่ะครับ นอกจากเรื่องบอลโลก ผมเองก็ตามประสาคนชอบฟุตบอลครับ ดูอยู่ตลอดเหมือนกัน ตอนเขียนนี่ก็นั่งดูญี่ปุ่นลงเตะกับเดนมาร์กอยู่พอดีครับ และอีกสิ่งหนึ่งที่หลอนพอๆกับฟุตบอลคือ เพลงฟุตบอลโลกครับ เพราะว่า ไม่ว่าจะเปิดไปช่องไหนก็จะเจอเพลง Waka Waka ของชากีร่าเกือบตลอด โดยส่วนตัว ผมไม่ได้เกลียดชากีร่าอะไรนะครับ แต่ฟังเข้ามากๆก็ไม่ไหวเหมือนกัน แล้วโดยส่วนตัว ผมรู้สึกว่ามันเสแสร้งไปหน่อย ที่เอาชากีร่า สาวอเมริกาใต้ มาร้องเพลงให้แอฟริกา ยิ่งเจอมากๆ ยิ่งเอียน เลยอยากเอาเรื่องเพลงฟุตบอลอื่นๆมาเล่าให้ฟังกันแทนครับ อาจจะหนักไปทางฝั่งอังกฤษซะหน่อยนะครับ

จริงๆแล้ว ฟุตบอลกับดนตรีนี่ก็เป็นเหมือนของคู่กันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ เพราะถ้าไม่มีดนตรี แฟนบอลก็คงแค่เฮ เฮ อย่างเดียว สโมสรในอังกฤษแต่ละสโมสรก็จะมีเพลงประจำของตัวเองเช่น You’ll Never Walk Alone ของลิเวอร์พูล หรือ Glory Glory Tottenham Hotspurs ของสเปอร์ทีมรักผม ที่แมนยูก๊อปมาเป็น Glory Glory Manchester United อีกทีครับ นั่นคือเพลงประจำสโมสร และเพลงฟุตบอลที่ได้รับการอัดเสียงเป็นครั้งแรกก็คือ เพลง Tip Top Tottenham Hotspurs ของทีมสเปอร์ส (อะแฮ่ม) เมื่อได้แชมป์ในปี 1961 ครับ แต่ว่าจริงๆแล้ว แฟนบอลก็มักจะมีเพลงแปลง เพลงด่า สารพัดสารพันเอาไว้ร้องในสนามอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่นเพลงการเอาเพลง Go West ของ Pet Shop Boys มาเปลี่ยนเนื้อเป็น Stand up if you hate ………… ไปเติมในช่องว่างตามสะดวกของท่านเองครับ ไม่ก็เพลงชมนักเตะทีมตัวเอง เพลงหนึ่งที่ถูกแปลงบ่อยมากคือ Monster ของ The Automatic ที่เอามาใช้เชียร์นักเตะตัวเองบ่อยมาก บางครั้ง สโมสรเองก็มีไอเดียเทพๆอย่างให้นักเตะตัวเองอัดเพลง ตัวอย่างที่มีชื่อเสีย(ง) คือ Anfield Rap ของลิเวอร์พูลนั่นเองครับ เพลงดีเลิศแค่ไหน ผมคงไม่ขอบรรยายครับ เดี๋ยวโดนแฟนหงส์ด่าเอา เอาเป็นว่า ไปหาดูตาม youtube เองแล้วก็ตัดสินเองล่ะกันครับ ประเด็นแบบนี้ ละเอียดอ่อนจริงๆครับ แต่เพลงฟุตบอลที่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของวงการเพลงฟุตบอลน่าจะเป็นเพลง World in Motion… ครับ

World in Motion… คือเพลงที่ New Order วงดังระดับตำนานแต่งขึ้นเพื่อเชียร์ทีมชาติอังกฤษ โดยพวกเขาได้รับคำสั่งจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ให้แต่งเพลงเชียร์ทีมชาติอังกฤษ สำหรับฟุตบอลโลกปี 1990 ที่อิตาลี โดยต้องไม่มีคำหยาบ หรือการเหยียดหยามคนอื่น ซึ่งน่าตลกตรงที่ New Order เองก็ไม่ได้เป็นแฟนบอลอะไรนักหนา แต่พวกเขาก็ต้องทำตามคำสั่ง และค่อยๆเริ่มแต่งเพลงโดยเลี่ยงความก้าวร้าว และพวกเขายังได้นักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษยุคนั้นมาร้องประสานด้วย ไม่ว่าจะเป็นพอล แกสคอยน์ คริส วอดเดิ้ล และที่ขาดไม่ได้คือ จอห์น บาร์น มาแร๊พอีกรอบหลังจาก Anfield Rap ครับ และเมื่อเปิดตัว มันก็ขึ้นถึงอันดับหนึ่งทันที และกลายเป็นเพลงฟุตบอลที่ได้รับความนิยมไปทั่ว สร้างทัศนคติดีๆให้กับวงการฟุตบอลได้เยอะมากทีเดียวครับ สำหรับคนอังกฤษแล้ว มันน่าจะเป็นเพลงฟุตบอลที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา อีกเพลงที่ไม่เลวก็คือ Three Lions เมื่อตอน Euro 96 ที่ได้ Lighting Seeds มาทำเพลงกับดาวตลก ก็ฟังได้เพลินดีครับ ส่วนฟุตบอลโลกครั้งนี้ พวกเขามี เพลงอย่างไม่เป็นทางการคือ Shout for England ของไอ้เด็กแสบ Dizzee Rascal มาเขย่าชาร์ตไปเรียบร้อยแล้วครับ

นอกจากเพลง World In Motion… แล้ว ฟุตบอลโลกปี 1990 ก็มอบเพลงสุดเด็ดชนิดไม่มีวันลืมอีกเพลงให้พวกเราครับ นั่นคือ Un’estate italiana หรือที่บานเรารู้จักกันในนาม To Be Number One นั่นเองครับ มันเป็นผลงานของทีมงานของ Giogio Moroder เจ้าพ่อเพลงอิเล็กโทรนิกส์ของอิตาลี ซึ่งเพลงๆนี้น่าจะเป็นเพลงฟุตบอลโลกที่คนรู้จักกันมากที่สุดอีเพลงหนึ่ง โดยเฉพาะในบ้านเราที่มีฟุตบอลโลกทีไรก็มักจะขุดมาใช้เสมอ (พอๆกับเพลงของ Vangelis กับการวิ่งแข่ง) แต่มันก็เป็นเพลงที่คลาสสิกเพลงหนึ่งเลยทีเดียวครับ ทั้งเนื้อหาที่ชวนให้ฮึกเหิม และดนตรีที่ไล่เรียงออกมาได้อย่างดีเหลือเกิน เรียกได้ว่า เก็บบรรยากาศของฟุตบอลได้เป็นอย่างดีครับ

อีกเพลงหนึ่งที่ผมว่าเด็ดไม่แพ้กันเลยคือ The Cup of Life ของไอ้หนุ่มริกกี้ มาร์ติน ที่ใช้เป็นเพลงอย่างเป็นทางการของฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศสครับ ซึ่งผมคิดว่าเป็นเพลงที่สื่อถึงความมัน และความเร้าใจของกีฬาฟุตบอลได้เป็นอย่างดีมากๆ ลองเปิดเพลงนี้ในสนามฟุตบอลสิครับ รับรองมันกระหึ่ม นอกจากนั้นก็ไม่ค่อยมีเพลงน่าจดจำแล้วครับ อย่าง Waka Waka ก็ออกบรรยากาศปรองดองสมานฉันท์ซะมากกว่า (สงสัยดู ศอฉ. มากไป) หลายเพลงก็ไม่มีใครสน อย่างเช่น Boom ของ Anastacia ตอนฟุตบอลโลกที่ญี่ปุ่นเกาหลี มีใครจำได้บ้างครับ

อีกเกร็ดหนึ่งเกี่ยวกับเพลงฟุตบอลโลกคือ เริ่มมีเพลงอย่างเป็นทางการ ครั้งแรกเมื่อฟุตบอลโลกปี 1966 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพครับ คือเพลง World Cup Willie (Where in this world are we going) โดย Lonnie Donegan ครับ ครั้งนั้น นอกจากมีเพลงเป็นครั้งแรกแล้ว ยังเป็นครั้งแรกที่มีตัวนำโชคด้วยครับ นั่นคือเจ้าสิงโตวิลลี่นั่นเอง เรียกได้ว่า คนอังกฤษนี่ก็หัวแหลมไม่เบานะครับ

เขียนมารับบรรยากาศฟุตบอลโลกซะเพลิน หวังว่าทุกท่านคงจะสนุกไปครับฟุตบอลโลกครั้งนี้นะครับ เขียนเสร็จพร้อมกับญี่ปุ่นเอาชนะเดนมาร์กพอดี ก็ต้องตามเชียร์กันต่อไปยาวๆครับ

Saturday, June 19, 2010

Bullet for My Valentine เมทัลสายพันธุ์ใหม่

ช่วงนี้ หันไปทางไหน ก็เจอแต่กระแสบอลโลกกับเพลงของ Shakira และ N’Kaan จนเล่นเอาเอือมได้เหมือนกันครับ ขนาดคนรอบตัวผมที่ไม่ได้สนใจฟุตบอลอะไรนัก ยังออกอาการกันเต็มที่ จนทำให้ผมเชื่อจริงๆว่าคนไทย เฮที่ไหน ไปที่นั่นจริงๆครับ จนเดี๋ยวครั้งหน้าจะขอทำเรื่องดนตรีกับฟุตบอลแล้วกันนะครับ แต่สัปดาห์นี้ ขอเอาเรื่องของอีกวงหนึ่งที่เป็นหัวหอกของ South Wales Metal นอกเหนือจาก Funeral for a Friend และ Lostprophets นั่นคือ Bullet for My Valentine

BFMV เริ่มต้นจากวงชื่อ Jeff Killed John ที่ Matt Tuck (แมตต์ กีตาร์ ร้องนำ) Michael Paget (ไมเคิล กีตาร์) Michael Thomas (ไมเคิล กลอง) และเพื่อนมือเบสตั้งขึ้นสมัยเรียนมหาวิทยาลัย โดยเริ่มจากการเล่นคัฟเวอร์วงดังๆ และทำเพลง นิว เมทัล ตามกระแสของโลกในตอนนั้น แต่เมื่อจะเรื่มเข้าห้องอัด มือเบสก็ขอลาออกจากวง และพวกเขาก็ได้ Jason James (เจสัน) มาเล่นเบสแทน และพวกเขาก็เปลี่ยนชื่อวงเป็น Bullet for My Valentine และเปลี่ยนแนวเพลงมาเป็น แทรชเมทัลที่เสริมเมโลดี้เข้าไปแทน และกลายเป็นดาวดวงใหม่ในวงการ South Wales Metal Scene

พวกเขาเป็นที่สนใจของค่ายเพลงต่างๆ กระทั้ง Roadrunner ยังต้องการลายเซ็นพวกเขา แต่ว่า พวกเขาก็เลือกเซ็นสัญญากับค่ายใหญ่อย่าง Sony แทน เนื่องจากมีอิสระในการสร้างสรรผลงานเพลงมากกว่า พวกเขาออกผลงานชิ้นแรกในชื่อเดียวกับวงเป็น EP ในปี 2004 และตามด้วย EP ที่สองที่ชื่อ Hand of Blood ที่ได้รับความเห็นแตกต่างกันไปจากนักวิจารณ์ อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นงานเพลงที่หนักหน่วง และเต็มไปด้วยเทคนิคลูกเล่นหลากหลาย แมมันจะไม่ได้แหวกจากวงอื่นๆมากนัก แต่ก็ถือได้ว่าเป็นงานที่น่าสนใจเอาเรื่องเลยทีเดียว โดยเฉพาะเพลง Hand of Blood ที่สับไม่ยั้งอย่างหนักหน่วง

พวกเขาไม่ได้เสียเวลาไร้สาระ โดยออกงานอัลบั้มเต็ม The Poison ในปี 2005 ตามมาโดยทันที และมันก็เป็นงานเพลงที่ทำให้พวกเขาเป็นที่สนใจทันที เพราะมันอัดแน่นไปด้วยเพลงเด็ดๆที่หนักหน่วงสะใจแน่นไปเกือบทั้งอัลบั้ม นอกจาก Hand of Blood ที่กล่าวไปแล้ว ยังมีเพลงเด่นเพลงอื่นอย่าง Tears Don’t Fall ที่มีกลิ่นไอของ Screamo ปนเข้ามา บวกกับการรัวสองกระเดื่องไม่ยั้ง ทำให้มันเป็นเพลงที่พร้อมจะเรียกเสียงแหกปากตามคอนเสิร์ตได้ดีจริงๆ อีกเพลงที่สับอย่างไม่ยั้งเช่นกันคือเพลง The Poison ที่ทั้งสับทั้งแหกปากได้อย่างเมามัน รวมไปถึงท่อนโซโล่กีตาร์ที่ทำให้นึกถึง ไลน์ของ KK Downing และ Glen Tipton ของ Judas Priest เลยทีเดียว อีกเพลงที่มีกลิ่นของ Screamo มาผสมคือ Suffocating Under The Words Of Sorrow (What Can I Do) และ All These Things I Hate (Revolve Around Me) ที่แหกปากได้อย่างเมามันจริงๆ จากความยอดเยี่ยมของอัลบั้มนี้ ทำให้พวกเขากลายเป็นวงเมทัลหน้าใหม่มาแรงทันที บวกกับแรงหนุนจากรุ่นพี่ที่ดังขึ้นมาก่อนอย่าง Funeral for a Friend ทำให้ชื่อเสียงของเขาแพร่หลายไปทั่วเกาะอังกฤษ และข้ามไปถึงฝั่งอเมริกาเลยทีเดียว (ก่อนที่จะแตกคอกันเนื่องจาก BFMV ไปดูถูก FFAF ว่ากระจอก ทั้งๆที่ FFAF ช่วยเหลือมาตลอด)20060701015110_bullet-for-my-valentine

และสองปีต่อมา พวกเขาก็ออกผลงานชุกที่สอง Scream Aim Fire ในปี 2007 มันเป็นงานที่พวกเขาบอกว่า เร็วขึ้น และหนักขึ้นกว่าเดิม ซึ่งก็ชัดเจนด้วยเพลงอย่าง Scream Aim Fire หรือเพลง Last to Know ที่สับๆๆๆ แบบไม่ยั้งเลยจริงๆ ส่วนเพลงอย่าง Hearts Burst Into Fire ก็มีไลน์กีตาร์สวยๆให้ได้เพลินไปกับมันในอารมรณ์คล้ายๆเพลงเมทัลยุคเก่าที่สามารถแหกปากตามได้ และ Scream Aim Fire ก็เป็นงานอีกชิ้นของ BFMV ที่สามารถทำยอดขายได้อย่างงดงาม ถึงขนาดข้ามฟากไปเข้าชาร์ตที่อเมริกาเลยทีเดียว

และหลังจากรอมานาน พวกเขาก็ได้ออกผลงานชุดที่ 3 ในปีนี้ นั่นคืออัลบั้มที่ชื่อว่า Fever ซึ่งก็ไม่ทำให้แฟนๆที่รอคอยผิดหวังเลย เพราะมันยังคงความหนักหน่วงสะใจไว้เหมือนเดิมครับ แค่ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Your Betrayal ที่ เริ่มต้นด้วยการสับอย่างไม่ยั้งก็รู้แล้วล่ะครับว่าอัลบั้มนี้มันจะสะใจแค่ไหน ส่วน ซิงเกิ้ลที่สองอย่าง The Last Fight ที่ทั้งรวดเร็วและงดงามก็ทำกลายเป็นเพลงโปรดของผมเลยครับ เพราะมันมีท่อนคอรัสที่ชวนแหกปากตามสุดๆ บวกกับไลน์ที่พลิ้วไหวของกีตาร์ ทำให้ปฏิเสธไม่ลงจริงๆครับ นอกจากนี้ เพลงอื่นๆในอัลบั้มยังหนักไม่แพ้กันเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น Pleasure and Pain, Alone หรือ Dignity และยังปิดท้ายอัลบั้มด้วยเพลง The Last Fight ฉบับอคูสติค คิดว่า ถ้าใครเป็นแฟนแนวเมทัล คงต้องหาวงนี้มาลองฟังหน่อยล่ะครัย เพราะเป็นการเอาเพลงเมทัลรุ่นเก่ามาพัฒนาได้อย่างน่าสนใจจริงๆครับ

Saturday, June 12, 2010

American Idiot: Green Day ฉบับละครเพลง

ตั้งแต่บ้านเรามีห้าง Esplanade เป็นต้นมา อานิสงค์ที่ใหญ่ยิ่งของห้างนี้ที่มีต่อวงการบันเทิงไทยคือ ที่นี่มีโรงละครระดับมาตราฐานที่ใหญ่เพียงพอที่จะรองรับละครเวทีระดับใหญ่ยักษ์ได้ ทำให้วงการการละครบ้านเราคึกคักขึ้นมาเยอะ รวมไปถึงละครเพลงบรอดเวย์ดังๆที่มาเล่นที่เมืองไทยด้วย ที่เขียนมาใช่ว่าผมจะได้ไปดูบ่อยนะครับ บอกตรงๆว่ายังไม่มีโอกาส ขนาดช่วยแปลเนื้อเพลงภาษาญี่ปุ่นให้เรื่อง ข้างหลังภาพ มาแล้ว ก็ยังไม่ได้ไปดูซะที แต่ที่เขียนถึงเพราะว่า มีละครบรอดเวย์เรื่องหนึ่ง ที่ผมอยากให้เอามาเล่นในเมืองไทยมาก เพราะพึ่งได้ฟังอัลบั้มเพลงจากละครเพลงเรื่องนี้หมาดๆ ละครเพลงที่ว่าคือ American Idiot ที่เอางานเพลงของ Green Day มาตีความใหม่ครับamerican_idiot_bway

แต่เดิม งาน American Idiot ของ Green Day ก็มีความเป็นงานเพลงร๊อคโอเปร่าที่ค่อนข้างสมบูรณ์อยู่แล้ว เนื่องจากมันเป็นอัลบั้มที่เล่าเรื่องของJesus of Suburbia วัยรุ่นอเมริกันที่ผิดหวังกับสังคมอเมริกันในยุคของบุชคนลูก และสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ กลายเป็น St. Jimmy พบรักกับสาวหัวขบถชื่อ Whatsername ก่อนที่จะบ้าคลั่งและกลับกลายเป็นคนๆเดิมและกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบแบบคนที่เติบโตขึ้น พูดตรงๆคือ มันคืองานเพลงที่วิจารณ์สังคมอเมริกันในนยุคของบุชหลังเหตุการณ์ 9/11 ผ่านสายตาของคนหนุ่มที่สับสนกับสังคมไม่ต่างอะไรกับยุคสงครามเวียดนาม

และด้วยเนื้อหาที่น่าสนใจของมันนี่เอง ทำให้มีคนสนใจจะเอาเนื้อเรื่องของอัลบั้มนี้ไปทำเป็นภาพยนต์ และทางวงเองก็อยากเห็นเหมือนกัน แต่สุดท้าย พวกเขาก็วุ่นกับการทำเพลงจนต้องระงับโครงการนี้ไปก่อน แต่แล้ว Michael Meyer ผู้กำกับละครเวทีก็เข้ามาติดต่อวงเพื่อเสนอโครงการละเครเวทีเรื่อง American Idiot ซึ่งทางวงก็เห็นด้วยและยังยอมให้ Michael Mayer เปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องตามที่เห็นสมควรได้ai-cast

และ Mayer ก็เลือกเปลี่ยนเนื้อเรื่อง โดยเพิ่มตัวเอกมาอีกสองคน กลายเป็นกลุ่มเพื่อนที่จะสร้างความลึกให้กับเนื้อเรื่องมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเรื่องย่อคือ Johnny, Will และ Tunny ชายหนุ่มอเมริกันอายุเกือบ 30 ในต่างจังหวัดที่วันๆใช้ชีวิตไม่มีแก่นสาร เอาแต่สุงสิงกันที่ร้านสะดวกซื้อ พวกเขาคิดเดินทางเข้าเมืองเพื่อหาอะไรให้กับชีวิต แต่ Will ไปไม่ได้เมื่อพบว่าแฟนท้อง Johnny และ Tunny เลยไปกันแค่สองคน แต่เมื่อเข้าเมือง Tunny เลือกสมัครเป็นทหารไปรบเพื่อชาติ ส่วน Johnny หลงรักหญิงสาวคนหนึ่ง แต่ไม่กล้าทำอะไร เขาเลยเลือกเกิดใหม่กลายเป็น St. Jimmy พังค์ผู้บ้าคลั่ง และเข้าไปจีบเธอ Tunny ขาขาดจากสงครามและพบรักกับนางพยาบาล แฟนของ Will หอบลูกหนีเขาเพราะปัญหาเรื่องเหล้าและยา ส่วน Whatsername คนรักของ Johnny ก็ขอให้เขาเลิกใช้ยาซะที เธอชี้ให้เห็นถึงจุดบกพร่องในตัวเขา และสุดท้าย เธอก็ทิ้งเขาไป Johnny เฝ้าฝันถึงวันที่ดีกว่า Tunny ต้องการกลับบ้านเกิด Will ต้องการสิ่งที่เขาเคยมีทั้งหมด (เขาพบว่าแฟนของเขากลายเป็นแฟนศิลปินไปแทน) ด้วยความต้องการทั้งหมด พวกเขากลับมาเจอกันที่ร้านสะดวกซื้อที่เคยสุงสิงกัน แฟนของ Will กลับมาเพื่อให้เขาและเพื่อนอีกสองคนได้เจอกับลูก Tunny แนะนำแฟนสาวพยาบาลให้เพื่อนได้รู้จัก ส่วน Johnny ก็ได้กลับมานั่งมองย้อนกลับไปในชีวิตของเขาเอง ในที่สุดเขาก็พบกับความสงบในใจด้วยการรักษาสมดุลระหว่างความรักและความโกรธในใจของเขา เขาเลือกที่จะลืม Whatsername แต่ไม่ลืมวันเวลาที่มีกับเธอ

นั่นแหละครับ เรื่องราวทั้งหมดของ American Idiot และที่น่าทึ่งคือ เรื่องราวทั้งหมด เล่าผ่านบทเพลงจากอัลบั้ม American Idiot โดยที่มี 5 เพลงจากอัลบั้มต่อมา 21st Century Breakdown ที่ทั้งวงและผู้กำกับลงความเห็นว่าสามารถเพิ่มมาเพื่อให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์แบบได้อีก (แน่นอนครับว่าไม่พลาดเพลงดังอย่าง Know Your Enemy และ 21 Guns แน่นอนครับ) และยังมีเพลงอย่าง Favorite Son กับ Too Much Too Soon ที่เป็นเพลง B-Sides มาก่อนด้วย แต่ที่เจ๋งสุดคือ มีเพลง When It’s Time ที่ Billy Joe Armstrong เคยแต่งตอนอายุ 19 เพื่อจีบสาวคนที่จะกลายมาเป็นภรรยาเขาในตอนนี้ และมันก็ได้รับการอัดเสียงเป็นครั้งแรกด้วยครับ นักแสดงทั้งหมดที่ร่วมแสดงสามารถร้องเพลงของ Green Day ออกมาได้เป็นอย่างดีครับ และหลายท่อนที่เป็นเสียงหญิงสาว เรียกได้ว่า ได้อีกบรรยากาศหนึ่งครับ โดยส่วนตัวแล้วผมมีความสุขกับการฟังอัลบั้มนี้เอาเรื่องเลยครับ ถ้าใครอยากลองฟังการตีความใหม่ๆของอัลบั้มนี้ ก็ลองหามาดูกันได้ครับ หวังว่าจะมีคนพาเอาเข้ามาแสดงในไทยบ้างนะครับ เพราะว่ามันน่าดูกว่าอีกหลายเรื่องที่เคยเข้ามาในบ้านเราจริงๆครับamerican-idiot-sf-2

ปิดท้ายนิดหน่อยว่า จริงๆแล้ว ถ้าศิลปินบ้านเราจะทำงานเพลงแบบนี้ ก็น่าจะทำได้นะครับ แค่ให้ตัวละครผ่านยุค 5-6 ปีที่ผ่านมาก็เป็นอัลบั้มนึงแล้วครับ จริงๆผมเองก็ยังมีไอเดียอยู่เหมือนกันครับ แต่ก็อย่างว่าครับ ทำเพลงป๊อปตลาดๆคงหาเงินได้เยอะกว่า คงไม่มีใครกล้าทำ หรือถ้าทำไม่ถูกใจรัฐบาล จู่ๆอาจจะได้ไปอยู่ในแผนผังของเค้าก็ได้ครับ (นั่งๆเขียนอยู่ยังลุ้นว่าจะโดนด้วยรึเปล่า (ฮา (ไม่ออก)))

Korea Fever ไข้เกาหลี

ช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมา นอกจากความวุ่นวายต่างๆแล้ว สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเยอะมากในบ้านเราคือ การเป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมของเกาหลีไปเรียบร้อยแล้ว ผมอาจจะพูดแรงไปนะครับ แต่ว่า จากที่เราเคยเห่ออเมริกา (ยุค ’80) เห่อญี่ปุ่น (ยุค ’90) และเกือบๆจะเห่อไต้หวัน แต่สุดท้ายแล้ว ต้องยกให้เกาหลีจริงๆครับ ที่เข้ามาครองใจเราคนไทยไปเกือบทุกคนจริงๆ ขนาดผมที่ผูกพันกับญี่ปุ่นมานาน ยังต้องเผลอใจไปกับเกาหลีบ้างเลยครับ (ก็ญี่ปุ่นยังบ้าเกาหลีเลยนี่ครับ)

จริงๆแล้ว แต่เดิม เรากับเกาหลีก็ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันนักหนา ภาพที่เราเห็นเกาหลีคือ ประเทศที่มีการประท้วงตลอด นักมวยกับคำตัดสินที่รับได้ยาก กับสินค้าเชยๆอย่าง Goldstar แต่เมื่อหลังจากฟื้นมาจากพิษธุรกิจ พวกเขาก็ค้นพบว่า สิ่งที่จะขายออกนอกประเทศได้อย่างยืนยงคือ วัฒนธรรม นั่นเอง ไม่ต่างจากอเมริกาที่ขายวัฒนธรรมแบบอเมริกาไปทั่วโลกมาแล้ว และหัวหอกแรกที่เข้ามาเจาะบ้านเราคือ ละครย้อนยุคชื่อ แด จัง กึม นั่นเองครับ

แด จัง กึม กลายเป็นปรากฏการที่ทำให้หลายประเทศคลั่งเกาหลีทันที ด้วยเนื้อเรื่องที่ยึดพื้นฐานความดีและอดทน (พจมาน?) และวัฒนธรรมใหม่ที่คนไม่เคยสัมผัสมาก่อน ทำให้วัฒนธรรมเกาหลีกลายเป็นที่สนใจไปทั่ว ที่ญี่ปุ่นเอง ก็ดังเช่นกัน เพียงแต่ที่ญี่ปุ่น ถูกรอยยิ้มพิมพ์ใจของท่านแป ยอง จุน (เรียกตามภาษาญี่ปุ่นว่าท่านยอง) จากละครรักน้ำเน่า แต่ยึดมั่นเรื่องรักแท้ ทำให้ป้าๆชาวญี่ปุ่นตกหลุมรักกันหมด มนต์ของเกาหลีเริ่มแพร่ออกไปทั่วsnsd-3

หลังจากนั้น ก็ตามที่ทราบกันครับว่า วัฒนธรรมเกาหลี เข้ามาครอบงำประเทศไทยเยอะมาก ตั้งแต่ละคร เพลง หนัง จนกระทั่งสินค้าต่างๆที่แต่ก่อนอ้างว่าผลิตจากอเมริกาหรือญี่ปุ่น ก็กลายเป็นเกาหลีไปแทน แบรนด์เชยอย่างโกลด์สตาร์ก็มาเป็น LG แข่งกับ Samsung ที่เน้นดีไซน์สวยงาม และราคาถูก จนผู้ผลิตญี่ปุ่นได้แต่มองตาละห้อย แล้วอะไรที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้ ทั้งที่แต่ก่อน เกาหลียังไม่มีศิลปินดังระดับนานาชาติ มีแต่รายการของทหารเชยๆ ญี่ปุ่นส่งไอดอลอย่าง Morning Musume ของตัวเองไปขายเกาหลีได้ (แต่ต้องแอบ เพราะก่อนหน้านี้ยังต่อต้านอยู่) แต่ตอนนี้ ขนาดญี่ปุ่นยังคลั่งนักร้องเกาหลีกันเลยครับ มันคงไม่ใช่หน้าตาเท่านั้นหรอกครับ

จากมุมมองที่เฝ้าสังเกตุการปรากฏการเกาหลีมาเรื่อยๆ ผมมองว่า สิ่งแรกสุดที่สำคัญคือ การสนับสนุนจากรัฐบาล ที่เล็งใช้ความบันเทิงในการเจาะตลาดนอก นอกจากศิลปินจะเป็นตัวชูโรงตามงานต่างๆแล้ว ทางรัฐบาลก็อาศัยความสำเร็จของสิ่งบันเทิงในการเปิดตลาดด้วย กลับมามองดูบ้านเราแล้ว เฮ้อ เพื่อนบ้านเราเอาละครเราไปดูตลอด แต่ก็ไม่ได้ใช้โอกาสนี้ทำอะไรเลยsuperjunior02

นอกจากนี้คือ พลังฮึดของคนเกาหลีครับ นักร้องเกาหลีต้องอยู่หอพักของค่ายด้วยกัน วันไหนไม่มีงานก็ซ้อมๆๆๆๆ จนหลับตามันยังเต้นกันได้ เพราะถ้าพลาดโดนตบ แบบนี้ เล่นจริงๆไม่มีพลาดหรอกครับ ดูอย่าง Wonder Girls สิครับ เป๊ะทุกช๊อต แต่บ้านเรา ขายได้เพลงสองเพลงก็เป็นเทวดาไปซะแล้ว แล้วจะเอาอะไรไปแข่งกับเค้าล่ะครับ ขนาดว่าเจ้าของค่ายเพลงใหญ่ในไทย ยังไปถือหุ้นในค่ายเพลงเกาหลี ซักวัน ถ้าแกเบื่อศิลปินไทย แล้วส่งเงินไปปั้นเกาหลีอย่างเดียว จะยุ่งกันหมดนะครับ

นอกจากนี้ คนเกาหลีต่างจากญี่ปุ่นตรง ศิลปินญี่ปุ่นมักจะพอใจที่ขายได้ในญี่ปุ่นเท่านั้น เลยไม่สนใจออกนอกประเทศ (ขนาดวง X Japan เราแทบไปกราบมัน มันยังไม่มาเลยครับ) แต่เกาหลี มองว่าตลาดอินเตอร์สิ ที่ขายได้เยอะ ดังนั้น อะไรเป็นงาน รับหมดครับ เราเลยได้เห็นนักร้องเกาหลีมาโชว์ตัวในไทยบ่อยมากๆ ได้เห็นตัวเป็นๆบ่อยขนาดนี้ ใครก็ชอบล่ะครับ ได้ใจตลาดติ่งหูบ้านเราไปมากครับ และศิลปินเกาหลียังพยายามฝึกภาษา และเจาะเข้าไปตลาดฮอลลีวู้ดตามฮ่องกงไปแล้วอย่าง เรน และ ลี บุน ฮุง แต่ญี่ปุ่น กลับแทบไม่มี จนคนเกาหลียังได้บทคนญี่ปุ่นไปเลยครับkara-lupin-4

แต่นอกจากการลงทุน และความบ้าพลังแล้ว ปัจจัยหนึ่งที่ผมสังเกตุเห็นในเพลงป๊อปเกาหลีคือ แม้มันจะเป็นเพลงป๊อปธรรมดาที่ไม่ได้ต่างจากเพลงบ้านเรามากนัก (บางเพลงก็ห่วยและเชยแบบไม่น่าให้อภัยซะด้วยซ้ำ) แต่สิ่งที่พวกเขาใส่ลงไปคือ องค์ประกอบที่จำเป็นของเพลงป๊อปครับ นั่นคือ ท่อนติดหูที่ร้องตามได้ง่ายๆ แบบที่คอยหยอดมาทีละนิดทีละหน่อย เอาง่ายๆเลย ตัวอย่างเช่นเพลง Nobody ที่ใครก็ร้องท่อนฮุคได้ แถมการตบมือแปะๆที่ชวนทำตามอีก เพลงดังๆอื่นๆเช่น Sorry หรือ Gee ที่ติดหูด้วยวลีที่แม้แต่เด็กก็จำได้ ขนาดเพลง Lupin ของ Kara ยังแอบมีท่อน อ๊าว แบบไมเคิล ได้คอยแหกปากตาม จริงๆ ลูกเล่นแบบนี้ Morning Musume ของญี่ปุ่นเคยเอามาใช้แล้ว แต่โปรดิวเซอร์คงลืม หลังๆเลยหายไป แต่มันได้ผลกับการทำเพลงป๊อปที่ขายได้ครับ จริงๆ บ้านเรา โฟร์มด ก็เคยทำได้กับเพลงชุดแรกๆมาแล้ว (เฮ้อเธอ กับ เลิฟๆ) ถ้าบ้านเราอยากจะเอามั่ง คงต้องศึกษาตรงนี้ให้ดีครับ ผมแทบจะเรียกว่าสารประกอบ X ของเพลงป๊อปเลยทีเดียว ขนาดผมที่ไม่ใช่แฟนเพลงเกาหลี ฟังครั้งเดียวยังฮัมตามได้เลยครับ

เห็นเกาหลีเค้ารุดหน้าไปขนาดนี้แล้ว อยากเห็นคนไทยเอาอย่างบ้างครับ เขาอาจจะไม่ได้ดีหมด แต่ถ้าเอาด้านดีของเขามาศึกษา และไม่อิจฉากันเอง เราก็ทำได้แน่ๆครับ ขอแค่อดทนและพยายามอย่างมีแผนการที่ชัดเจนเท่านั้น ถ้าเอาแค่เปลือกเค้ามา อย่างไรซะ มันก็ไม่ยืนยาวหรอกครับ