Friday, December 25, 2009

Muse อลังการคับโลก

Technorati Tags: ,

คนที่ตามอ่านคอลัมน์นี้คงจะจำได้ดีว่าเหตุการณ์เปลี่ยนสนามบินให้เป็นลานแจกไอติมและโรงแรมชั่วคราวเมื่อปลายปีที่แล้ว ทำให้ผมหัวเสียเป็นอย่างมาก เพราะอดดูวงดีๆ จริงๆแล้ว มันไม่ใช่ครั้งแรกหรอกครับ ก่อนหน้านั้น ช่วงเรามีวันเด็กกลางเดือนกันยายน ปัจจัยหลายๆอย่างทำให้มีข่าวลือว่าเทศกาลดนตรีร๊อคของค่ายน้ำเมาบ้านเราถูกระงับไป และสารพัดวงดีๆก็อดมาในคราวนั้น แต่จากนั้น วงๆหนึ่งที่ลือว่าอยู่ในลิสต์คราวก่อนก็บอกว่าจะมา แล้วก็หักอกเราดังโอ๊ยๆ นั่นคือ วง Muse เกาะอังกฤษนั่นเองครับ

Muse เริ่มต้นขึ้นในช่วงที่พวกเขาเป็นนักศึกษาอยู่ Matt Bellamy (แมต ร้องนำ กีตาร์) ถูกเลือกเข้าร่วมวงของ Dominic Howard (โดมินิค กลอง) และพวกเขาก็วานให้ Chris Wolstenholme (คริส) ให้หันมาเล่นเบสให้แทน จนกลายเป็นวง Muse พวกเขาเข้าประกวด Battle of Bands และชนะเลิศทั้งๆที่ทุบเครื่องดนตรีประชด พวกเขาจึงมุ่งมั่นกับดนตรีและทิ้งทั้งมหาวิทยาลัยและบ้านเกิดของพวกเขา

muse

พวกเขาเริ่มออกเล่นไปในหลายๆที่ และถูกแมวมองดึงตัวเขาสังกัด และ EP แผ่นที่สอง Muscle Museum ของเขาก็ได้ไปเตะหูของนักวิจารณ์ดังๆ ทำให้พวกเขาได้ฤกษ์ออกผลงานชุดแรก Showbiz ในปี 1999

Showbiz คือผลงานที่คลอดตั้งแต่พวกเขายังอายุน้อยอยู่มาก และแม้มันจะได้รับความนิยมเพราะเพลงเด่นๆอย่าง Muscle Museum, Uno และ Unintended ที่เป็นเพลงที่ติดหูเอาเรื่อง แต่นักวิจารณ์หลายรายมักจะมองข้าวพวกเขาเพราะว่ามันเหมือนกับร่างโคลนของ Radiohead ซะมากกว่า (และในยุคนั้นก็มีวงแบบนี้ไม่ใช่น้อยด้วย)

แม้จะเริ่มต้นได้ไม่งามนัก พวกเขาก็กลับมาสู้ต่อด้วยผลงานชุดที่สอง Origin of Symmetry ในปี 2001 ที่เป็นงานที่เติบโตขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก พวกเขาเพิ่มความหนักหน่วงของเสียงกีตาร์ ขยายชุดกลอง และเพิ่มเครื่องดนตรีอื่นเข้าไป ทำให้ซาวนด์ของพวกเขาแน่นขึ้นมาก และเป็นจุดเริ่มต้นของซาวนด์ในแบบของ Muse นั่นเอง เพลงอย่าง Bliss นั้นยิ่งใหญ่พอที่จะเติมเต็มสนามกีฬาได้ทันที ในขณะที่เพลง Feeling Good ก็มีเสียงเปียโนประกอบที่เด่นเหลือเกิน แต่เพลงที่เด่นที่สุดคงเป็นเพลง Plug In Baby เพลงหนักสะใจ ที่สาธยายความรักที่มีต่อกีตาร์ของแมตได้เป็นอย่างดี Muse สามารถสร้างความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างชัดเจน และได้เอาชนะใจทั้งแฟนเพลงและนักวิจารณ์ได้เป็นอย่างดีจากผลงานชุดนี้

muse2

ผลงานชิ้นที่สามในปี 2003 ชื่อ Absolution เปิดตัวที่อันดับหนึ่งและกลายเป็นงานที่ได้รับคำชมจากทั่วสารทิศ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะมันคืองานทีได้รับการกลั่นกรองมาอย่างดี ซาวนด์เฉพาะทางของ Muse นั้นยิ่งอลังการยิ่งกว่าเดิม แต่ละซิงเกิ้ลที่ถูกวางขายก็ทรงพลังเหลือเกินตั้งแต่ Time Is Running Out ที่มีท่อนฮุคเหมือนเตรียมไว้ให้ร้องตามในคอนเสิร์ตแท้ๆ หรือเพลง Stockholm Syndrome ที่เต็มไปด้วยรายละเอียด ความหนักหน่วง และความอลังการ Hysteria ก็มีท่อนเบสที่เด่นเหลือเกิน เช่นเดี่ยวกับการค่อยๆไล่เรียงความหนักหน่วงในเพลง Butterflies and Hurricanes ที่ทำได้อย่างไร้ที่ติ Absolution คืองานเพลงที่ทำให้ Muse กลายเป็น Superstar อย่างแท้จริง

นอกจากอัลบั้มที่เด่นแล้ว การแสดงสดของพวกเขาก็ได้รับคำชมเป็นอย่างมาก หนึ่งในไฮไลต์ของอาชีพของพวกเขาคือการเล่นสดในงาน Glastonbury ปี 2004 ที่เป็นการเล่นสดที่ดีที่สุดของพวกเขา และเป็นการยืนยันสถานะความยิ่งใหญ่ของเขาเป็นอย่างดี เมื่อจบงานพวกเขารู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์ แต่ก็ลงนรกในชั่วขณะต่อมา เพราะพ่อของโดมินิคที่มาดูด้วยเสียชีวิตจากโรคหัวใจ มันกลายเป็นสิ่งที่ช๊อคพวกเขาอย่างมาก แต่พวกเขาก็เลือกเดินต่อไป


ปี 2006 พวกเขาออกงาน Black Holes And Revelations อลังการไม่แพ้งานชุดเดิม มันเต็มไปด้วยเพลงทรงพลังอย่าง Super Massive Black Hole และ Knight of Cydonia ที่ออกแบบมาเพื่อเวทีใหญ่ๆอีกแล้ว ส่วน Starlight ก็เป็นเพลงที่เตรียมไว้เพื่อให้คนร้องและซึ้งตามจริงๆ และยังตามมาด้วยเพลง Invincible ที่ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน

Muse_Live_in_Iceland_03

พวกเขาออกบันทึกการแสดงสด HAARP ที่สนามเวมบลีย์ในปี 2008 และมันคืองานที่ตอกย้ำความยอดเยี่ยมในการแสดงสดของพวกเขาเป็นอย่างดีจริงๆ เพราะมันคือการแสดงสดที่เต็มไปด้วยกำลังจริงๆ และเทคนิคการถ่ายทำก็ยอดเยี่ยมจนบอกได้เต็มปากว่าคุ้มค่ากับการหามาดูครับ

และก่อนที่แฟนๆจะลืม พวกเขาก็กลับมากับงานชุดใหม่ The Resistance ในปีนี้ที่เป็นงานที่ยิ่งอลังการยิ่งกว่าเดิม มันคืองานที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นวงเพื่อการแสดงสดแค่ไหน แต่ละเพลงเน้นเพื่อให้แฟนร้องตามจริงๆ เพลงอย่าง United States of Eurasia ก็ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ส่วน Uprising ก็ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ยังมี Exogenesis: Symphony ที่ถูกแบ่งออกเป็นสามภาคด้วย มันคืองานที่รับเอาอิทธิพลของ Queen มาเต็มๆและเป็นอัลบั้มที่ยอดเยี่ยม น่าเสียดายที่พวกเขามองข้ามอารมณ์ของมนุษย์มากไปหน่อย

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม Muse เป็นวงที่น่าติดตาม และเป็นวงที่ผมอยากดูแบบสดๆมากที่สุดอีกวงหนึ่ง หวังว่าเราชาวไทยจะมีโอกาสได้ดูพวกเขาสักครั้งเถอะนะครับ


Thursday, December 24, 2009

Rage Against The X-Factor อำนาจของเน็ตเวิร์คสังคม

จั่วหัวมาแบบนี้ หลายคนคงงงว่ามันจะมาไม้ไหน หรือจะเปลี่ยนไปเขียนเกี่ยวกับโลกอินเตอร์เน็ตแล้ว จริงๆแล้วผมอยากจะเขียนเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อวงการดนตรี เพื่อเป็นการสรุปยุคปี ’00 ที่กำลังจะจบลงในไม่กี่วันนี้แล้ว แต่ว่าที่อยากจะเอาเรื่องนี้มาเขียนก่อน เพราะยังสะใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหมาดๆในเกาะอังกฤษ ที่เน็ตเวิร์คสังคมที่เลื่องชื่ออย่าง Facebook ได้ออกฤทธิ์ถึงขั้นทำให้พ่อมดแห่งวงการเพลงป๊อปต้องกระอักมาแล้ว

เรื่องเริ่มต้นจากรายการรีลลิตี้ (จริงๆต้อง รีอัลลิตี้) ชื่อดังในเกาะอังกฤษชื่อ The X-Factor ซึ่งมี Simon Cowell เป็นโปรดิวเซอร์มาตลอดและได้รับความนิยมในเกาะอังกฤษแบบมหาศาล ถึงขนาดว่าวันตัดสินรอบสุดท้ายมีแต่คนลุ้นกันทั่วประเทศ (อีกรายการหนึ่งของตานี่คือ Britain’s Got Talent ที่ได้ป้าเฉิ่ม Susan Boyle ทำให้ดังไปทั่วโลกมาแล้วไงครับ) คล้ายๆกับอีกสองรายการในบ้านเราที่ยึดเวลาค่ำของช่องเก้าบ้านเรามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนทำให้ผมสงสัยว่า เราไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้วเหรอ รูปแบบรายการจะต่างจากบ้านเราหน่อยคือ มีการแข่งขันหลายกลุ่มตามประเภท แล้วก็ค่อยคัดเอาผู้ชนะของกลุ่มที่ชนะอีกที และเป็นธรรมเนียมไปแล้วว่า ผู้ชนะจะได้ออกซิงเกิ้ลรับเทศกาลคริสมาส ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของเกาะอังกฤษ และกลายเป็นว่า ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา ผู้ชนะจากรายการนี้คว้าอันดับหนึ่งของยอดขายซิงเกิ้ลช่วงคริสมาสมาตลอด จากการโปรดิวซ์อย่างหัวใสของอีตา Simon นั่นเอง

Simon CowellSimon Cowell พ่อมดวงการเพลง


สำหรับคนทั่วไป ก็อาจจะเฉยๆ แต่สำหรับแฟนเพลงแล้ว มันหมายถึงวงการเพลงถูกครอบงำโดยอำนาจของสื่อและธุรกิจขนาดใหญ่มากกว่าที่จะเป็นคนที่รักดนตรีจริงๆ และเมื่อ Joe McElderry หนุ่มน้อยหน้าใสชนะในปีที่ 6 ของรายการ X-Factor และประกาศจะออกซิงเกิ้ลเพลง The Climb เพลงคัฟเวอร์ของ Miley Cyrus ก็ทำให้นักฟังเพลงสองสามีภรรยาชื่อ Jon และ Tracy Morter ทนไม่ไหวที่จะต้องเห็นเพลงแบบนี้คว้าที่หนึ่งอีก จึงเริ่มต้นแคมเปญ Killing in the Name เพื่อส่งเพลงตามชื่อแคมเปญของวง Rage against the Machine ที่ออกวางขายตั้งแต่ปี 1992 เพื่อคว้าที่หนึ่งแทน โดยการเริ่มต้นใน Facebook นั่นเอง

Joe McElderryสิงโต เอ๊ย Joe McElderry ผู้ชนะรายการ X-Factor ปีล่าสุด


ทำไมต้องเป็นเพลงนี้ ผมคิดว่า เพราะวง RATM มีชื่อเสียงโด่งดังมานานในเรื่องการต่อต้าน พวกเขามีวีรกรรมดังๆมาตลอด เช่น เผาธงชาติ ยืนแก้ผ้าประท้วงPMRC ต่อต้านบุช พวกเขาคือสัญลักษณ์ของการต่อต้าน และ Killing in the Name ยังมีวลีเด็ดคือ “Fuck you, I won’t do what you tell me” ที่บ่งบอกถึงการไม่ยอมแพ้ได้เป็นอย่างดี และเพลงนี้ก็ถูกเลือกมาเพื่อต่อต้านอุตสาหกรรมเพลงนั่นเอง

Rage Against The Machine 1

Rage Against The Machine “We Gotta Take The Power Back” 

หลังจากตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมาใน Facebook วันที่ 15 ธันวาคม BBC ก็รายงานว่ามีสมาชิกกลุ่มถึงกว่า 950,000 คน เรื่องนี้เริ่มกลายเป็นข่าวดังไปทั่ว และศิลปินหลากหลายต่างออกมาสนับสนุนแคมเปญนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัววง RATM เอง หรือ Sir Paul McCartney, Dave Grohl, The Prodigy และ Muse หรือกระทั่ง Steve Brookstein ผู้ชนะรายการ X-Factor คนแรกก็ด้วย ทุกคนต่างออกมาให้สัมภาษณ์สนับสนุนกันหมด ส่วนพ่องานก็บอกว่าจะเอารายได้ไปบริจาคให้กับมูลนิธิเพื่อคนไร้บ้าน

ฝ่ายเพลงป๊อป Simon Cowell ออกมาโจมตีแคมเปญดังกล่าวว่ามันดูถูกผู้อื่น และขี้ตืด ขณะที่ไอ้หนุ่ม Joe บอกว่าไม่รู้จักเพลงนี้มาก่อน แต่พอได้ฟังมัน เขาก็เกลียดมันและบอกว่ามันเป็นเพลงที่เลวร้ายเอามากๆ ต้องไม่ลืมว่า ต้นสังกัดใหญ่ของทั้ง RATM และ Joe ก็คือ Sony เหมือนกัน

เมื่อเสียงนกหวีดดัง แฟนของทั้งสองฝ่ายต่างแย่งกันดาวน์โหลดเพลงของศิลปินที่ตัวเองชอบ โดยที่ RATM ทำคะแนนนำมาตลอดโดยไม่ได้ทิ้งห่างมากนัก และ RATM ก็ออกมาประกาศว่าพวกเขาจะเล่นฟรีคอนเสิร์ตถ้าชนะในครั้งนี้ และไปเล่นเพลงดังกล่าวออก BBC โดยไม่ได้ตัดท่อนที่หยาบคายออกเลย หลายคนมองว่าเมื่อแผ่นซีดีของ Joe ออกวางขาย จะช่วยยอดขายได้มาก แต่สุดท้าย RATM ก็ครองที่หนึ่งไปโดยทำยอดขายทิ้งห่างถึง 50,000 แผ่น กลายเป็นซิงเกิ้ลช่วงคริส มาสเพลงแรกที่ได้ที่หนึ่งจากการดาวน์โหลดอย่างเดียว

Rage Against The Machine 2Rage Against The Machine ภารกิจเสร็จสมบูรณ์ 


ทันทีที่รู้ข่าว สามีภรรยา Morter ก็แทบไม่เชื่อหู พวกเขาดีใจมากและบอกว่า นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่เด็กของ Simon Cowell เท่านั้นที่จะได้ที่หนึ่ง และพวกเขาได้อันดับหนึ่งกลับมาแล้ว RATM เองก็ดีใจเป็นอย่างมากที่ความมุ่งมั่นสามารถเอาชนะอุตสาหกรรมเพลงป๊อปได้ ส่วน Simon Cowell ได้แต่บอกว่ารู้สึกเจ็บใจ แต่ก็ยังเป็นนักกีฬาที่ดี เขาโทรไปแสดงความยินดีกับสองสามีภรรยาและยังเสนองานให้ด้วย แต่ก็โดนปฏิเสธไป ส่วนหนุ่ม Joe ก็ออกมาแสดงความยินดีผ่าน Twitter เช่นกัน ปิดตำนานการแข่งขันที่สนุกและสะใจแฟนเพลงของยุค 2009 ไปได้อย่างงดงาม

ศึกครั้งนี้ทำให้เราได้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของวงการเพลงอย่างชัดเจน ทั้งเรื่องการดาวน์โหลด เพลงที่ออกมานานแล้วยังสามารถขึ้นอันดับหนึ่งได้ และอำนาจของเน็ตเวิร์คสังคม มันคือการที่เดวิดเอาชนะโกไลแอธได้อย่างงดงามจริงๆ และต่อไปคงมีอะไรสนุกๆอย่างนี้มาเรื่อยๆแน่ๆครับ

 

Friday, December 11, 2009

Slipknot: ยังจะหนักได้อีก

Technorati Tags: ,

ช่วงปลายปีแบบนี้ บ้านเราอากาศเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน เล่นเอาสงสัยว่ามันจะฤดูไหนกันแน่ และมักจะเป็นช่วงที่น่าเบื่อ เนื่องจากคนจะเริ่มนิ่งรอปีใหม่ ทำให้ธุรกิจค่อนข้างจะนิ่งตามไปด้วย แต่ก็พอจะมีของที่ทำให้สดชื่นขึ้นมาได้หน่อยคือ แผ่นของ Slipknot ที่ส่งมาที่สำนักงานของผม เลยได้โยกหัวรำลึกอดีตหน่อย 

slipknot-02

Slipknot กำเนิดขึ้นในที่ๆมีแต่ข้าวโพดอย่างรัฐ Iowa สหรัฐอเมริกา โดยตอนแรก สองแกนนำของวง Shawn Carahan (ชอว์น เครื่องเคาะ) และ Paul Gray (พอล เบส) ตั้งวงชื่อ Painface ขึ้นกับเพื่อน แล้วก็ได้ Joey Jordison (โจอี้ กลอง) ตามเข้ามาร่วมวง จนตอนที่ออกเดโมแรก พวกเขาเปลี่ยนชื่อเป็น Slipknot แทน ก็เริ่มทดลองเครื่องแบบที่จะกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาในภายหลัง เมื่อมือกีตาร์ลาออกไป พวกเขาได้ Craig Jones (เครก แซมเปิ้ล) มาแทน ก่อนที่จะย้ายไปเป็นมือแซมเปิ้ลแทนเมื่อวงได้ Mick Thomson (มิค กีตาร์) มาทำหน้าที่ขุนขวานแทน และออกผลงานใต้ดินชุดแรกชื่อ Mate. Feed. Kill. Repeat. และเริ่มตั้งหมายเลขประจำตัวและสวมชุดหมีและหน้ากากตั้งแต่บัดนั้น

ต่อมาพวกก็ดึง Corey Taylor (คอรีย์ ร้องนำ) เข้ามาแทนนักร้องเดิม ตามด้วย Sid Wilson (ซิด ดีเจ) และ Chris Fehn (คริส เครื่องเคาะ) เข้ามาเสริมความแกร่ง และโปรดิวเซอร์มือทองอย่างRoss Robinson ก็ถูกดึงมาช่วยงาน และเมื่อมือกีตาร์คนเก่าออกไป พวกเขาก็ได้ Jim Root (จิม กีตาร์) มาทำหน้าที่แทน และในที่สุด Slipknot 9 คนก็ลงตัวแล้ว

slipknot 

ในที่สุด พวกเขาก็ได้ฤกษ์ออกอัลบั้มเต็มชุดแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับชื่อวงในปี 1999 ซึ่งเป็นช่วงที่กระแส Nu-Metal กำลังพีค และ Slipknot ก็คือการเปิดตัวอย่างงดงามของพวกเขา มันคือความหนักหน่วงที่มาในรูปแบบดนตรี ทุกอย่างมันผสมออกมาได้อย่างลงตัว เสียงร้องสำรอก กีตาร์จากนรก เบสที่จูนสายต่ำ กลองถล่มแบบเดธเมทัล เครื่องเคาะเสริมช่วยความแน่น เสียงแซมเปิ้ลสยอง และเทิร์นเทเบิ้ลที่แทรกมาเป็นจังหวะ ด้วยความที่ขุมกำลังแน่นไปทุกตำแหน่ง ทำให้พวกเขาสามารถสร้างความโกลาหลผ่านเสียงดนตรีได้อย่างที่วงอื่นได้แต่อิจฉา มันคือดนตรีที่เกิดมาเพื่อสร้างความสะใจอย่างแท้จริง เพลงที่แนะนำก็คงไม่พลาดสองซิงเกิ้ล Spit it Out และ Wait and Bleed ที่มันสะใจไม่คลายจนถึงทุกวันนี้ มันกลายเป็นอัลบั้มเปิดตัวระดับตำนานและก็เป็นอัลบั้ม Platinum อัลบั้มแรกของค่าย Roadrunners ของ Ross Robinson ด้วย และเพื่อฉลองครบรอบสิบปี ค่าย Warner ก็ได้ออกเวอร์ชั่นพิเศษเพิ่มเพลงเด็ดอย่าง Wait And Bleed (Terry Date Mix) และ Spit It Out (Hyper Version) บวกกับ DVD รวม MV แสดงสด และเบื้องหลังอีกด้วย โคตรคุ้มครับ

slipknot-pictures

พวกเขาไม่ได้ดื่มด่ำกับความสำเร็จอย่างเมามัน แต่พวกเขาเลือกออกทัวร์อย่างหนักเพื่อสร้างชื่อเสียง และนั่นเป็นความคิดที่ถูกเพราะว่า ดนตรีของพวกเขาจะถูกปลดปล่อยอย่างเต็มที่ก็เมื่อมันถูกเล่นสดๆ ผู้คนต่างเฝ้ารอผลงานใหม่ของพวกเขา และก็ไม่ผิดหวังเมื่ออัลบั้มที่สอง Iowa ออกวางขายในปี 2001 เพราะแค่เพลง People=Shit ก็ทำให้เรามันแบบหาชิบไม่เจอได้แล้ว มันคือการทำลายล้างที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีจริงๆ ส่วนถ้าใครต้องการฟีลแบบ Wait and Bleed ก็ต้องไปหา My Plague และ Left Behind ที่ชวนโยกอย่างสะใจ ส่วน Heretic Anthem ก็เหมือน White Zombie หลังล่อกระทิงแดงไปสามขวด Iowa คืองานเพลงที่เหนือกว่าอัลบั้มแรก มันหนักกว่า มืดกว่า และสะใจกว่า ไม่แปลกอะไรที่มันได้รับคำชมจากทั่วสารทิศและติดอันดับอัลบั้มยอดเยี่ยมของหลายสื่อ

หลังจากอัลบั้มที่สอง สมาชิกบางคนก็ออกไปทำผลงานของตัวเองอย่าง Stone Sour หรือ Murderdolls จนทำให้แฟนๆกลัวว่าพวกเขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวัง เมื่อหันไปร่วมงานกับ Rick Rubin โปรดิวเซอร์ระดับตำนาน ก่อนจะออกมาเป็น Vol. 3: (The Subliminal Verses) ในปี 2004 ที่ทำให้แฟนเพลงต้องสยบต่อหน้าพวกเขา เพราะมันขยายขอบเขตความสามารถของพวกเขาให้กว้างออกไปกว่าเดิมจริงๆ แต่ละเพลงได้รับการเรียบเรียงให้ละเอียดมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชั้น Before I Forget คือตัวอย่างของเพลงเมทัลที่ดีเอามากๆ Duality ก็ชวนให้เราบ้าคลั่งได้อีกครั้ง ส่วน Pulse Of The Maggots ก็คือเพลงที่ชวนให้เราแหกปากตามในคอนเสิร์ตจริงๆ ส่วน Vermilion แม้จะช้า แต่ก็หนักหน่วงได้ใจจริงๆ

slipknot_worldstage1

และหลังจากเงียบไปสี่ปีอย่างน่าใจหาย พวกเขาก็กลับมาพร้อมกับ All Hope Is Gone อัลบั้มชุดที่ 4 ในปี 2008 โดยถากทางมาก่อนด้วย All Hope Is Gone ที่ สับสับสับและสับแบบไม่ยั้งจริงๆ ต่อด้วย Psychosocial ที่เป็นเพลงชวนเรากระทืบตามจริงๆ Dead Memories ก็เห็นได้ชัดว่าเรียบเรียงมาเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับ Gematria (The Killing Name) และมันก็กลายเป็นอัลบั้มแรกของพวกเขาที่ครองอันดับหนึ่งของ Billboard ได้อย่างสง่างาม

ปัจจุบันนอกจากออกทัวร์แล้ว พวกเขากำลังซุ่มทำผลงานใหม่อยู่ ระหว่างรอ ก็เอาอัลบั้ม Slipknot ชุดฉลองครบ 10 ปีมาชมและฟังเพื่อความสะใจก่อนก็ได้ครับ


Saturday, November 28, 2009

TV on the Radio: ส่วนผสมที่ลงตัว

Technorati Tags: ,

ในยุคปี 2000 ที่ผ่านมา วงดนตรีหลายวงเกิดขึ้นมาบนโลก สร้างผลงานที่โด่งดังไปทั่วทั้งวงการ แต่กลับต้องเจอเสียงโห่เมื่อออกผลงานชุดต่อมา ทำให้อายุในวงการนั้นแสนสั้นเหลือเกิน (ถ้ามีโอกาสจะเขียนถึงวงพวกนี้แบบละเอียดอีกครับ) ในทางกลับกัน วงดนตรีหลายวงที่ประสบความสำเร็จพอประมาณ มีแนวทางที่ชัดเจน ไม่ได้อิงกระแส มีฐานแฟนแน่น ได้รับคำชมเรื่อยๆจากนักวิจารณ์ วงพวกนี้มักจะอยู่ได้นานครับ และอีกวงที่มีผลงานมาแล้ว 3 อัลบั้ม แต่ยังได้รับคำชมมาตลอดก็คือ TV on the Radio นั่นเองครับ

no_bigger_than_720_540

TV on the Radio เกิดขึ้นเมื่อ Dave Sitek (เดฟ กีตาร์ คีย์บอร์ด ลูป) ย้ายไปอยู่ตึกเดียวกันกับ Tunde Adebimpe (ไม่กล้าอ่านครับ ร้องนำ) ต่างคนต่างทำเพลงของตัวเอง แต่ไปๆมาๆ พวกเขาพบว่าเพลงของแต่ละคนมันไปกันได้ จึงเริ่มอัดเสียงด้วยกับโดยดึงเอาน้องชายของเดฟมาช่วยเล่นกลองให้ จนได้อัดผลงานยุคแรก ซึ่งก็คือ OK Calculator ในปี 2002 ที่ชื่ออัลบั้มเป็นการล้อ OK Computer เบาๆ มันเป็นงานที่ค่อนข้างจะหลุดโลก โดยจะหนักไปทางเสียงสังเคราห์เอาซะมากกว่าที่จะเป็นงานที่มีกีตาร์เป็นส่วนประกอบหลักเหมือนในปัจจุบัน และค่อนข้างจะต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากในการฟัง

ต่อมาพวกเขาออก Young Liars EP ในปี 2003 ซึ่งเป็น EP ที่สร้างชื่อเสียงให้พวกเขาเป็นที่รู้จักในแวดวงดนตรีอินดี้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะได้นักดนตราแรงอย่าง Nick Zinner และ Brian Chase ของ Yeah Yeah Yeahs มาร่วมงานด้วย มันคือการจับดนตรีหลากแนวตั้งแต่ Post-Rock, Electronica กระทั่ง Doo Wop เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว และกลายเป็นเสียงเฉพาะของพวกเขาเอง มันมีเพลงเด่นคือ Staring at the Sun ที่นอกจากเสียงร้องอันยอดเยี่ยมของ Tunde จะโดดเด่นเป็นอย่างมากแล้ว เสียงหลอนๆที่ดำเนินไปตลอดทั้งเพลงนั้น ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าเครื่องจักรกำลังถ่ายทอดลมปราณไปมาระหว่างหูสองข้างของเรา แล้วพวกเขาก็กลายเป็นที่สนใจไปโดยพลัน

จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเพิ่มสมาชิก โดย Kyp Malone (คิพ กีตาร์) Jaleel Bunton (จาลีล กลอง) และ Gerad Smith (เจอร์ราด เบส) เข้ามาเป็นสมาชิกจนครบวง และเริ่มผลิตผลงานอัลบั้มเต็ม

จนมันออกผลมาเป็นอัลบั้มแรกของวง 5 คน ที่ชื่อว่า Desperate Youth, Blood Thirsty Babes ในปี 2004 ที่ต้องทำให้เราทึ่ง เพราะว่ามันยอดเยี่ยมยิ่งกว่า EP ที่ออกมาก่อนหน้านี้ โดยมันเฉียบคม และมืดหม่นยิ่งกว่าเดิม นอกจากจะเอาเพลงสุดเด่นอย่าง Staring at the Sun มาใส่ไว้แล้ว เพลงเปิดอัลบั้มอย่าง Wrong Way ก็เยี่ยมอย่างไม่หย่อนกัน โดยเสียงเครื่องเป่าและเสียงลูปหลอนๆตลอดเพลงนั้นปั่นหัวสมองเราได้เป็นอย่างดีจริงๆ ส่วนบีทอีเล็กโทรนิกส์ทมิฬในเพลง King Eternal ก็เหมือนกับหลุดมาจากหนังวิทยาศาสตร์ยุค 80 ไม่ผิด ส่วนเพลง Ambulance ก็ใช้การร้องแบบ Doo Wop ประกอบไปเกือบทั้งเพลง โดยเสียงร้องของ Tunde ทำให้มันโดดเด่นเหลือเกิน ยังไม่นับ Wear Me Out ที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันอีก 

tv-790346

DYBTB เป็นความสำเร็จในวงการเพลงอย่างงดงาม จากนั้นพวกเขาก็ออกทัวร์กับวงอย่าง The Faint และ Pixies อย่างไม่หยุดหย่อน แต่ก็ยังเจียดเวลาออกเพลง Dry Drunk Emperor เพลงโจมตีรัฐบาลบุชมาให้ดาวน์โหลดฟรีบนได้

ในปี 2006 วพกเขากลับมากับอัลบั้ม Return to Cookie Mountain ที่เป็นการก้าวไปข้างหน้าอย่างชัดเจนจริงๆ แค่เพลงเปิดอัลบั้ม I was a Lover ที่ผสมจังหวะฮิปฮอปเข้ากับเสียงกีตาร์ได้อย่างลงตัวก็ทำให้เราทึ่งแล้ว Hours ก็เป็นเพลงจังหวะเร็วขึ้นมา ก่อนจะได้เสียงร้องมาทำให้มันสมบูรณ์แบบ ส่วน A Method ยังมีกลิ่น Doo Wop อยู่ก็เยี่ยมไม่แพ้กัน Blues From Down Here ที่ผสมนู่นนี่ได้อย่างลงตัว แต่เพลงที่เด่นสุดสำหรับผมคงเป็น Wolf Like Me ที่น่าจะเป็นเพลงที่ร๊อคที่สุดของพวกเขาแล้ว มันสะใจมากครับ อัลบั้มนี้ยังดึงเอาเพื่อนนักดนตรีหลากหลายมาร่วมงานอีกด้วย โดยที่ดังและเก๋าสุดคงเป็น David Bowie ล่ะครับ และมันก็ได้รับคำชมมากมายถึงกับได้เป็นอัลบั้มแห่งปีของนิตยสาร Spin เลยทีเดียว 

199234130_ca2d751b12  

และในปี 2008 พวกเขาก็กลับมาได้อย่างงดงามอีกครั้งกับ Dear Science ที่ขยายขอบเขตงานของพวกเขาออกไปกว่าเดิมอีก โดยอัลบั้มนี้ เสียงร้องของ Tunde และ Kyp โดดเด่นขึ้นมามาก The Golden Age ก็เป็นเพลงฟังค์จากอวกาศที่ยอดเยี่ยม ในขณะที่ Red Dress แม้จะคล้ายกันบีททมิฬยังตามมาหลอกหลอนเราอยู่ (แอบเหมือนหมอลำเล็กๆ) และมันก็ยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน Crying ก็มีเสียงร้องที่แสนงดงามบนจังหวะเพลงฟังค์แสนติดหู เช่นเดียวกับ Halfway Home เพลงเปิดอัลบั้ม แล้วปิดอัลบั้มด้วยเพลง Lover’s Day ที่ทั้งอลังการและทะเยอทยาน และ Dear Science ก็เป็นอัลบั้มที่สำคัญอีกอัลบั้มหนึ่งของวงที่มีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่าง TV on the Radio

น่าเสียดายที่แม้จะได้รับความนิยมจากทั้งแฟนๆและนักวิจารณ์ และประสบความสำเร็จมาเรื่อยๆ แต่พวกเขากลับเลือกพักวงชั่วคราวเพื่อทำงานของใครของมัน คงต้องร้องเพลงรออัลบั้มต่อไปก่อนล่ะครับ

Monday, November 16, 2009

Black Rebel Motorcycle Club: บุรุษในชุดหนังดำ

อาทิตย์ที่แล้ว ผมเขียนเกี่ยวกับนักดนตรีที่หลงใหลในสีดำ และเปลี่ยนแนวดนตรีของตนเองมาได้อย่างน่าทึ่ง จึงๆแล้ว ไม่เพียงแต่ในฝั่งอังกฤษเท่านั้น ฝั่งอเมริกาก็มีวงดนตรีที่คล้ายกันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเรื่องคลั่งสีดำ และการเปลี่ยนขั้ว เอ๊ย แนวดนตรี นั่นคือวง Black Rebel Motorcycle Club นั่นเอง

20_Treffpunkt_BRMC

Black Rebel Motorcycle Club กำเนิดในเมือง ซาน ฟรานซิสโก เมื่อ Robert Been (โรเบิร์ต เบส ร้องนำ) และ Peter Hayes (พีเตอร์ กีตาร์ ร้องนำ) พบกันในโรงเรียนมัธยมในปี 1995 และสนิทกันได้เพราะความชอบในวงดนตรีฝั่งอังกฤษอย่าง Stone Roses, Ride, The Jesus and Mary Chain และ My Bloody Valentine ทำให้สนิทกันอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ร่วมงานกัน โดยต่างฝ่ายต่างก็มีวงของตัวเอง และสลับกันไปดูอีกฝ่ายเล่นสดเสมอ แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระจากวงที่สังกัดอยู่ ก็ตัดสินใจตั้งวงของตัวเองขึ้นมาในปี 1998 โดยได้ Nick Jago (นิค) หนุ่มอังกฤษที่ย้ายตามครอบครัวมาอยู่ที่อเมริกา มาเล่นกลองให้ และเรียกตัวเองว่า The Elements ก่อนจะพบว่ามีวงอื่นที่ใช้ชื่อนี้ไปแล้ว จึงเปลี่ยนเป็น Black Rebel Motorcycle Club แทน ซึ่งชื่อนี้มาจากแก๊งซิ่ง (ไม่แว๊น) ในหนังเรื่อง The Wild One ของ Marlon Brando ซึ่งมีเอกลักษณ์เป็นชุดหนังสีดำ ซึ่งทางวงก็โอบรับเอาภาพลักษณ์นั้นมาเช่นกัน

พอเริ่มวงได้ซักพัก พวกเขาก็ออกงานเดโมในวงจำกัดออกมา ซึ่งโชคดีที่มันไปเข้าหูดีเจของคลื่นดัง ทำให้พวกเขาได้รับการเชียร์ และกลายเป็นวงไร้สังกัดที่มาแรงเอามากๆ ถึงขนาดดังข้ามไปเกาะอังกฤษจน Noel Gallagher ชมว่าเป็นวงโปรดที่สุดของเขาในตอนนี้ และอยากเซ็นเข้าสังกัด แต่สุดท้าย ค่าย Virgin Records ก็ได้ลายเซ็นของพวกเขาไป

พวกเขาออกทัวร์ฝึกฝีมือกับ The Dandy Warhol ซักพัก จึงเริ่มอัดเพลงของตัวเอง จนกลายมาเป็นอัลบั้มแรก B.R.M.C. ในปี 2001 ที่สุดเท่ห์ด้วยความดิบกร้าวของดนตรีการาจ และความห้าวของฮาร์ดร๊อค หลายเพลงที่ถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลนั้นมันเท่ห์เหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น Spread Your Love ที่มีจังหวะอันหนักหน่วง Red Eyes and Tears ที่มีเสียงกีตาร์อันโดดเด่นเหลือเกิน ส่วน Love Burns ที่ช้าลงมาหน่อยก็มีบรรยากาศอึมครึมเหมือนบาร์ที่เต็มไปด้วยสิงห์ขี้ยา เพลงเด่นที่สุดน่าจะเป็น Whatever Happened to My Rock'n'Roll (Punk Song) ที่รวดเร็วชวนเราใส่ชุดหนังควบมอเตอร์ไซค์ไปตามถนนเลยทีเดียว

6e9bc864 

นอกจาก B.R.M.C. จะเป็นอัลบั้มที่ดีแล้ว มันยังออกมาได้ถูกเวลา เพราะว่ามันมาพร้อมกับยุค Garage Revival ที่นำโดย The Strokes แม้ B.R.M.C. จะไม่ได้โด่งดังมากเท่า แต่พวกเขาก็มีฐานแฟนที่แน่นเอาการ และกลายเป็นวงน้องใหม่อนาคตไกลเลยทีเดียว



แต่ความสำเร็จก็มาพร้อมกับอันตราย Nick เกิดติดยาอย่างหนักจนเริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอย ที่ชัดเจนคือ ตอนที่เขายืนเงียบ 9 นาที บนเวที NME Awards ตอนได้รับรางวัลกลายเป็นหัวข้อสนทนาทันที แม้อัลบั้มที่สอง Take Them On, On Your Own ในปี 2003 จะเป็นงานที่ยอดเยี่ยมกว่าอัลบั้มแรกด้วยเพลงเด่นๆอย่าง Six Barrel Shotgun หรือ We're All In Love และยังมีเพลงโจมตีรัฐบาลอย่าง US Government แต่อาการของ Nick กลับกลายเป็นเรื่องน่าสนใจกว่า จนปัญหาต่างๆรุมเร้าถึงขนาดต้นสังกัดเลือกที่จะเฉดหัวพวกเขาทิ้ง



พวกเขากลับมาในปี 2005 กับอัลบั้ม Howl ที่ Nick แทบไม่มีส่วนร่วมเลย และทำให้มันเปลี่ยนจากร๊อคเป็นอัลบั้มที่คลุ้งกลิ่น บลูส์ โฟลค์ และกอสเปล ไปแทน แม้หลายคนจะมองว่าวงเติบโตขึ้น แต่หลายเสียงก็บอกว่าพวกเขาหลงทางแล้ว

2221945814_947598025b

แต่พวกเขาก็เลือกเดินทางเดิม แต่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วยอัลบั้มที่ 4 Baby 81 ที่ได้ Nick กลับมาร่วมงาน มันคืออัลบั้มที่ร๊อคที่สุดของพวกเขา และยังคงความสดได้เป็นอย่างดี ซิงเกิ้ลอย่าง Weapon of Choice นั้นก็เจ๋งเหลือเกิน ส่วน All You Do is Talk ทำให้เรานึกถึง Wake Me Up When September Ends ได้เลย ส่วนเพลงโปรดของผมคือ Need Some Air เป็นการาจร๊อคดิบๆเร็วๆที่มีท่อนฮุคติดหูเหลือเกิน เรียกได้ว่า พวกเขากลับมาคืนฟอร์มได้อย่างงดงามจริงๆ

แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ยังสร้างความประหลาดใจขึ้นอีก หลังจาก Nick ตัดสินใจลาออกจากวงอย่างเป็นทางการ พวกเขาตัดสินใจออกอัลบั้มชื่อ The Effects of 333 ในปี 2008 ในรูปแบบดาวน์โหลดอย่างเดียวผ่านค่ายเพลงของพวกเขาเอง และมันก็เป็นงานที่ถ้าไม่บอกว่าเป็นงานของ BMRC ก็คงไม่มีใครรู้เลย เพราะมันคืองานNoise ที่เป็นเพลงบรรเลงล้วนๆ มันเต็มไปด้วยเสียงสังเคราะห์หลอนๆเหมือนกับโลกหลังยุคจักรกลพิฆาตใน Terminator เสียงกีตาร์ที่เคยโดดเด่นกลับเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น ใครจะเชื่อว่าพวกเขากล้าขนาดนี้ล่ะครับ

B.R.M.C.-(Black-Rebel-Motorcycle-Club)-3-big

แต่ดูเหมือนว่า มันจะเป็นแค่การทดลองเท่านั้น ตอนนี้ พวกเขากำลังอัดเสียงอัลบั้มใหม่อยู่ ซึ่งน่าจะกลับมาเป็นร๊อคเหมือนเดิม ยังไงก็รอฟังเพลงใหม่ในซาวนด์แทร๊คหนังเรื่อง New Moon ที่เขาไปร่วมทำก่อนก็ได้ครับ

Wednesday, November 11, 2009

Editors: ก้าวใหม่ในโลกสีเทา

Technorati Tags: ,

เมื่อตอนต้นปี ผมได้เสนอวงที่ทำดนตรีอันหม่นหมองอย่าง White Lies ให้ได้รู้จักกันมาแล้ว ช่วงปลายปี ก็เป็นเวลาที่รุ่นพี่ที่ทำเพลงแนวเดียวกันกับพวกเขาได้ออกมาครองใจแฟนๆด้วยความมืดหม่นแสนเศร้าอีกครั้ง รุ่นพี่วงที่ว่าคือ Editors นั่นเองครับ

Editors คือการรวมตัวกันของนักศึกษาด้านเทคโนโลยีดนตรีของมหาวิทยาลัย Staffordshire โดยใช้ชื่อแรกว่า Pilot ก่อนจะเปลี่ยนเป็น The Pride, Snowfield และเริ่มออกผลงานในระดับอินดี้ ก่อนสุดท้ายจะมาลงตัวที่ Editors (ใช้อะไรคิดในการตั้งแต่ละชื่อกันนี่) โดยไลน์อัพคือ Tom Smith (ทอม ร้องนำ กีตาร์) Chirs Urbanowicz (คริส กีตาร์ ซินธ์) Russell Leetch (รัซเซล เบส) และ Ed Lay (เอ็ด กลอง)
editors_12 

หลังจากจบจากมหาวิทยาลัย พวกเขาทำงานพิเศษเลี้ยงตัวเองไปพลางๆเพื่อทำงานเพลง จนได้เพลง Bullets ที่พวกเขาส่งออกไปยังสารพัดค่ายเพลง จนค่าย Kitchenware ก็ได้ลายเซ็นพวกเขาไป และตอนนั้นเองที่พวกเขาเปลี่ยนชื่อวงเป็น Editors

และก็เป็นเพลง Bullets นั่นเอง ที่กลายเป็นซิงเกิ้ลแรกของพวกเขาซึ่งออกวางขายในปี 2005 ซึ่งซิงเกิ้ลเพลงกีตาร์ร๊อคเรียบๆแต่เปี่ยมไปด้วยพลังนี้ก็ได้ทำให้ชื่อของพวกเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น มันคือการอัดพลังของคนหนุ่มเข้าไปในเพลงอย่างเต็มสูบจริงๆ

พวกเขาออกซิงเกิ้ลที่สอง Munich และมันก็กลายเป็นเพลงดังติดชาร์ตทันที พวกเขาได้รับโอกาสเซ็นสัญญากับค่ายโซนี่ และขายตั๋วทัวร์ในอังกฤษหมดเกลี้ยง Munich คืออีกเพลงที่จริงจังเหลือเกิน เสียงร้องของทอม ทำให้เรานึกไปถึง Ian Curtis ได้ทันทีจริงๆ ยิ่งส่วนของดนตรีที่เร็วขึ้นบวกกับเสียงกีตาร์ที่แทรกมาเป็นจังหวะ จึงอดกลัวไม่ได้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นวงโคลนนิ่งของ Joy Division ไป โดยอีกกระแสหนึ่งก็ว่าพวกเขาขโมย Interpol มา แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า Munich นั้นเป็นเพลงที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

ed44 

ในที่สุด อัลบั้มแรก The Back Room ก็ออกวางขายในปี 2005 นั่นเอง และมันก็เป็นอัลบั้มที่ได้ทั้งเงินทั้งกล่องคู่กันไป และทำให้เราโล่งใจได้ว่าพวกเขาไม่ใช่แค่โคลนของวงรุ่นพี่ แม้จะได้อิทธิพลมา แต่พวกเขาก็มีลายเซ็นของพวกเขาเองด้วยการทำเพลงร๊อคบนจังหวะที่เร็วจนเกือบเป็นเพลงเต้นรำ กับบรรยากาศความหม่นหมองในเพลงในแบบของพวกเขา อีกตัวอย่างที่ชัดเจนคือซิงเกิ้ลต่อมาอย่าง Blood ที่จังหวะสับแบบไม่หยุดทั้งเพลง เช่นเดียวกับเพลงโปรดของผม Fingers in the Factories ที่กล่าวถึงชีวิตคนงานได้อย่างถึงใจ บวกกับท่อนฮุคที่โคตรติดหูในแบบเดียวกับเพลง Sunday Bloody Sunday ทำให้ได้ใจแฟนๆไปเต็ม อีกซิงเกิ้ลอย่าง All Sparks ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ในขณะเพลงช้าอย่าง Fall ที่เกี่ยวกับคนรักที่ตายในอุบัติเหตุก็เรียกน้ำตาจากเราได้เสมอ

The Back Room คือความสำเร็จอย่างงดงามของพวกเขา มันคือหนึ่งในอัลบั้มเปิดตัวที่ยอดเยี่ยมของยุค 2000 นี้เลยทีเดียว นอกจากจะได้ชิงรางวัล Mercury แล้ว พวกเขายังได้เล่นในเทศกาลดนตรีดังๆเกือบทุกที่อีกด้วย เรียกได้ว่าพวกเขาแจ้งเกิดได้อย่างโดเด่นเหลือเกิน

editors3

หลังสั่งสมประสบการณ์ พวกเขากลับมาในปี 2007ด้วยซิงเกิ้ล Smokers outside the Hospital Doors เพลงร๊อคหม่นๆเกี่ยวกับความตายอีกแล้ว แต่โทนของเพลงนั้น ไม่เร็วเหมือนเก่า แต่กลับออกไปทางอลังการมากกว่า ซึ่งก็จะกลายเป็นโทนของดนตรีในอัลบั้มที่สอง An End Has A Start ที่แม้จะมีเพลงเร็วเหมือนเก่าอย่าง Bones อยู่บ้าง แต่โดยรวมมันก็เป็นอัลบั้มที่หม่นกว่าเดิม แต่ก็อลังการกว่าเดิมด้วย เพลงอย่าง The Weight of The World และ Spiders เป็นข้อพิสูจน์เป็นอย่างดี แม้มันจะไม่ร๊อคเหมือนเก่าแต่มันก็ชนะใจแฟนวงกว้าง จนขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งทันทีที่วางขาย

editors1

และสำหรับการกลับมาในปีนี้ พวกเขาเลือกเปลี่ยนแนวเพลงหันไปหาเสียงสังเคราะห์มากขึ้น จนออกมาเป็นอัลบั้ม In This Light And On This Evening ที่สุดยอดจริงๆ เพราะแม้แนวเพลงจะเปลี่ยน เสียงกีตาร์ถูกแทนด้วยเสียงซินธ์ แต่ความยอดเยี่ยมของมันไม่ได้ลดน้อยลงเลย มันเป็นเหมือนการนัดหมายกับ The Horrors มาทำเพลงแนวเดียวกัน และมันก็เจ๋งทั้งคู่จริง ซิงเกิ้ลอย่าง Papillon ก็อบอวลไปด้วยเสียงสังเคราะห์ ส่วน Bricks And Mortar ก็เหมือนกับ Whole New Way ของ The Horrors จนเลือกไม่ถูกว่าใครเข๋งกว่ากัน มันคือ Kraftwerkในวันที่มีน้ำตาดีๆนี่เอง ส่วน Eat Raw Meat = Blood Drool ก็มีบีตขนาดมหึมาจริงๆ ส่วน You Don't Know Love ก็ยังมีความเกรี้ยวกราดอยู่ในตัวมันเช่นกันแม้ว่าจะเป็นเพลงเต้นรำไปแล้ว

โดยรวมแล้ว อัลบั้มที่สามนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ห้าวหาญจริงๆ เรายังไม่อาจฟันธงได้ว่ามันเป็นก้าวที่ถูกหรือผิด เพราะถึงมันจะยอดเยี่ยมแต่ก็เสี่ยงต่อการสูญเสียแฟนเพลงเก่า แต่เราก็ต้องชมความกล้าหาญของพวกเขาที่กล้าทิ้งทุกอย่างเพื่อสิ่งใหม่ๆ ทำให้เราได้รู้ว่า พวกเขามีค่าที่จะติดตามผลงานของพวกเขาต่อไป


Thursday, November 5, 2009

Super Furry Animals สัตว์ขนดกจากเวลส์

Technorati Tags: ,

นั่งตบยุงไปมา พึ่งรู้สึกตัวว่าจะอายุสามสิบในอีกแค่ไม่กี่วันแล้ว ทำให้นั่งย้อนอดีตได้เพลินๆ จนนึกถึงหลายวงว่าที่เคยตาม ก็มีทั้งล้มหายตายจากไป ขนาด OASIS ยังแตกวง Blur กลับมารวมตัวกัน บางวงก็อยู่ทนทานนานปี ผ่านยุครุ่งเรืองของ Brit Pop แล้ว ก็ยังทำเพลงขายได้เหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร และวงหนึ่งที่โคตรทนทานนานปี ก็คือ Super Furry Animals จากประเทศเวลส์นั่นเอง

Super Furry Animals เกิดขึ้นในเวลส์ช่วงต้นยุค 90’ จากการรวมตัวกันของนักดนตรีเทคโน ซึ่งสมาชิกคือ Gruff Rhys (ร้องนำ กีตาร์) Huw Bunford (กีตาร์) Guto Pryce (เบส) Cian Ciaran (อุปกรณ์อีเลกโทรนิกส์ทั้งหลาย) และ Dafydd Ieuan (กลอง) ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมไม่ใส่คำอ่านไทย เพราะผมอ่านชื่อคนเวลส์ไม่ออกครับ พวกเขาเริ่มเขียนเพลงของตัวเอง พวกเขาตั้งชื่อวงว่า Super Furry Animals ตามเสื้อยืดทำมือของพี่สาวของ Gruff พวกเขากลายเป็นหนึ่งในความหวังของวงร๊อคจากเวลส์ตาม Manic Street Preachers, Catatonia และวงที่แนวคล้ายๆกันอย่าง Gorky’s Zygotic Myci พวกเขาไปแสดงที่อังกฤษและไปเข้าตาของ Alan McGee บอสของค่ายอินดี้โคตรเท่ห์อย่าง Creation ที่ตอนนั้นกะลังดังกับ OASIS

super_furry_animals1

พวกเขาเริ่มออกซิงเกิ้ลกับค่าย Creation โดยเพลงแรกคือ Hometown Unicorn เพลงป๊อปหลอนๆก็เริ่มทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จัก เพลงต่อมา God! Show Me Magic เพลงป๊อปร๊อคเปรี้ยวๆ แหวกๆกับ MV เพี้ยนๆแกล้งเชย ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักมาถึงเมืองไทย และพวกเขาก็ได้ออกอัลบั้มแรก Fuzzy Logic ในปี 1996 ที่เป็นการผสมผสานดนตรีป๊อป ร๊อค โฟลค์ เทคโน กับบรรยากาศหลุดโลกเข้าด้วยกัน จนพวกเขาโดดเด่นออกมาจากวงรุ่นเดียวกันมาก ทั้งอัลบั้มเต็มไปด้วยเพลงเจ๋งๆ ที่มาพร้อมหมัดเด็ดอย่างท่อนฮุคติดหู ซิงเกิ้ลอย่าง Something 4 the Weekend ก็แสนสนุก และ If You Don’t Want Me to Destroy You ก็งามแบบเหงาๆ ส่วน Mario Man ก็ทำให้นึกถึง Blur ได้เลย ที่ผมชอบมากคือ เพลงสุดท้าย For Now and Ever ที่ออกอลังการซักหน่อย จากอัลบั้มนี้ ทำให้พวกเขาดังในวงการเพลงขึ้นมาทันที

SFA ยังสร้างตำนานต่อด้วยการออกซิงเกิ้ล The Man Don’t Give A Fuck ที่มีคำว่า fuck ห้าสิบครั้ง จนแทบเป็นตำนาน รวมทั้งปกรูปนักบอลชูสองนิ้วแบบกลับหลัง (ไปถามเพื่อนอังกฤษเองว่าแปลว่าอะไร) แม้จะโดนแบน แต่มันก็กลายเป็นเพลงคลาสสิกในหมู่แฟนๆทันที

พวกเขาออกอัลบั้มที่สอง Radiator ในปีถัดมา ถึงแม้มันจะมีเพลงสนุกๆอย่าง The International Language of Screamingแต่ต้นสังกัดในไทยก็ตัดสินใจไม่ทำเทป อดไปครับ ทั้งๆที่มันได้รับคำชมมากกว่า Fuzzy Logic ซะอีก

และเหตุการณ์เดียวกันก็เกิดกับ Guerilla อัลบั้มถัดมาในปี 1999 ที่ทำให้พวกเขาดังไปทั่วเกาะอังกฤษ เพราะเพลงเด่นๆอย่าง Do or Die และ Northern Lites รวมถึงเพลงช้าอย่าง Fire In My Heart แต่บ้านเราก็ไม่มีขายครับ (ฟองสบู่แตกไปแล้ว) แน่นอนว่ารวมไปถึงอัลบั้ม MWNG อัลบั้มภาษาเวลส์ (ฟังรู้เรื่องยังไม่ขาย ใครจะขายที่ฟังไม่รู้เรื่องวะ)

superfurryanimals02

จนอัลบั้มที่ 4 Rings Around The World ที่ก็เกือบจะประสบชะตากรรมเดียวกัน แต่โชคดีที่ดีเจไทยไปติดใจเพลง Juxtaposed With U เลยเอามาเปิดบ่อยๆ ตนกลายเป็นเพลงดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง ขนาดคนที่ไม่เคยรู้จักวงนี้ ก็ยังมาฟัง เพราะมันคือเพลงเบาๆที่ฮิตกันในช่วงนั้นพอดี SFA เลยได้ขายในไทยอีกทีครับ

พวกเขาออกอัลบั้ม Phantom Power ที่เป็นงานแนวทดลองออกมา ตามด้วย Love Craft ที่สุขุมขึ้น ก่อนจะย้ายไปค่าย Rough Trade และออกอัลบั้ม Hey Venus! ที่ได้รับทั้งเงินและคำชมเป็นอย่างมาก

จนปีนี้ พวกเขาก็ได้มาออกอัลบั้มที่ 9 Dark Days/Light Years ที่ได้รับคำชมอย่างมากเช่นเคย มันเป็นอัลบั้มที่ให้ความสำคัญกับจังหวะมาก รวมไปถึงจังหวะแปลกๆ หลุดโลก และแทบไม่มีเพลงช้าเลย Crazy Naked Girl ก็เหมือน Motown ในแบบของพวกเขา Moped Eyes ก็ออกกลิ่นฟังกี้นิดๆ The Very Best Of Neil Diamond และ Inaugural Trams ก็ชวนโยกตามเหลือเกิน สำหรับคนที่ต้องการเพลงแบบ JWU ก็ลอง Helium Hearts ที่แม้จะเร็วกว่าหน่อย แต่ก็มีกลิ่นคล้ายกันมากเหลือเกิน ในขณะที่ White Socks / Flip Flops และ Where Do You Wanna Go? ก็เป็นเพลงออกเซิร์ฟๆ ชวนเราวิ่งไปตามชายหาดเหลือเกิน Cardiff In The Sun ก็หลอนได้ใจ ส่วน Inconvenience ก็เป็นเพลงร๊อคมันๆ สรุปง่ายๆว่า Dark Days/Light Years คืองานที่ทำให้เรารู้ว่าขอบเขตของพวกเขานั้นช่างกว้างไกลเหลือเกิน

หายากครับ วงที่อยู่ในวงการมานานแล้วยังคงความสดขนาดนี้ แถมได้ความเก๋าเข้ามาเพิ่ม เรียกง่ายๆว่า คงฉุดไม่อยู่ล่ะครับ ขอแนะนำให้ลองไปหามาฟังกันเถอะครับ เพราะ Platinum เอามาขายแล้วเด้อ

 

Saturday, October 31, 2009

Dizzee Rascal ไอ้เด็กแสบจากลอนดอน

Technorati Tags: ,

ในวงการบันเทิงทุกชาติก็มักจะมีนักร้องศิลปินที่โดนเรียกว่า เด็กมหัศจรรย์ อยู่เรื่อยๆ ในบ้านเราก็มีเหมือนกัน แต่จะมีซักกี่คนที่มันมหัศจรรย์ได้ด้วยตัวเอง ทำเพลงเอง ร้องเอง ไม่ใช่หุ่นกระบอกของค่ายเพลง แต่ที่อังกฤษ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งสร้างชื่อขึ้นมาด้วยตนเอง แม้จะมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่มันก็เป็นแรงผลักดันให้เขาพยายามจนประสบความสำเร็จได้ เขาคือไอ้เด็กแสบ Dizzee Rascal

dizzee2 

Dizzee Rascal หรือชื่อจริงคือ Dylan Kwabena Mills คือชาวอังกฤษผิวสีเชื้อสายกาน่าและไนจีเรีย เขาเติบโตมากับแม่เพราะว่าพ่อตายไปตั้งแต่ยังเด็ก ในช่วงเด็ก เขาย้ายโรงเรียนไปมาหลายแหล่ง เพราะเป็นตัวก่อปัญหาในโรงเรียน จนได้ฉายา Rascal (เด็กแสบ) แต่ว่าก่อนที่ชีวิตจะแหลกเหลว เขาก็ได้พบกับดนตรี และตั้งใจเข้าเรียนวิชาดนตรี นั่งทำเพลงบนเครื่องคอมของโรงเรียน และได้อาจารย์ที่มองเห็นแววมาสนับสนุนเขา (ถ้าเราสนับสนุนเด็กได้ถูกทาง เขาก็จะไปได้ดีเองล่ะครับ) ต่อมาแม่เขาก็ซื้อ Turntable ให้ และเขาก็ฝึกๆๆๆๆ เพื่อที่จะได้เก่งที่สุด

พออายุได้แค่ 16 เขาก็เริ่มเป็น DJ สมัครเล่น และเริ่มทำเพลงกับ Roll Deep Crew แนวเพลงของเขายืนพื้นที่ Hip-Hop เป็นหลักโดยผสมผสานทั้ง Garage, Reggae, Grime กระทั่ง Rock ลงไป เขาเริ่มออกซิงเกิ้ลแรก I Luv U ที่โปรดิวซ์เอง โดยเนื้อเพลงเกี่ยวกับปัญหาการท้องของวัยรุ่น (ในขณะที่บ้านเราเด็กอายุเท่ากันยังร้องแต่เพลงละเมอรัก) บนจังหวะที่เหมือนสร้างขึ้นบนคอมพิวเตอร์ราคาถูก แต่มันเจ๋งและกลายเป็นเพลงฮิตในระดับหนึ่ง
big1

เขาออกอัลบั้มเต็ม Boy In Da Corner ในปี 2003 โดยค่าย XL Records ซึ่งกลายเป็นอัลบั้มที่ถีบให้เขาดังอย่างมากในวงการเพลง และกลายเป็นศิลปินที่มาแรงๆสุดๆทั้งๆที่อายุแค่ 19 ปี มันเต็มไปด้วยเพลงที่จังหวะที่เฉียบขาด ผสมกับลีลาการแร๊พแบบเฉพาะตัวของเขา ทำให้มันได้รับคำชมเป็นอย่างมาก สารพัดเพลงเจ๋งๆในอัลบั้มทำให้เราหลงรักมันทันที ไม่ว่าจะเพลง I Luv U หรือเพลง Brand New Day ที่ใช้จังหวะแปลก ส่วน 2 Far ก็แร๊พอย่างรวดเร็วบนจังหวะที่ย่ำไปย่ำมาได้อย่างสนุก เพลง Round We Go ก็เหมือนกับเอาเพลง Flat Beat มาทำให้เป็น Hip-Hop ส่วน Just A Rascal ก็เอาเสียงกีตาร์ผสมกับเสียงร้องประสานแบบในโบสถ์มาแร๊พได้อย่างเมามัน แต่เพลงที่เด่นที่สุดชนิดแซงเพลงอื่นแบบไม่ทิ้งแถวคือ Fix Up, Look Sharp ที่โคตรติดหูตั้งแต่เขาตะโกน Oi! ขึ้นมาบนจังหวะโครมครามแบบช้างกระทืบโรง ก่อนที่จะตามด้วยท่อนฮุคที่ติดหูและเสียงร้องวู้ ทำให้เพลงนี้มันอยู่ในกบาลคนฟังได้ตั้งแต่ฟังครั้งแรกที่เดียว ให้ไป 5 ดาวสำหรับเพลงนี้ครับ

นอกจากอัลบั้มแรกจะทำให้เขายกสถานะกลายเป็นศิลปินแนวหน้าค่าตัวแพงแล้ว มันยังได้รางวัล Mercury อีกด้วย ทำให้เขาได้เป็นผู้ชนะรางวัลที่อายุน้อยที่สุดในวงการเลยทีเดียว ความสำเร็จประดังเข้ามาหาเขา แต่ก็มีด้านมืดเช่นกัน เขาถูกแทงที่ก้นหลังเล่นสด โดยเชื่อว่าเป็นผลจากการปีนเกลียวกับรุ่นพี่อย่าง So Solid Crew แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าใครคือคนร้ายกันแน่
dizzee_rascal

หลังจากเจียดเวลาไปแร๊พในเพลง Lucky Star ของ Basement Jaxx เขาก็กลับมากับอัลบั้มที่สอง Showtime ที่เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ล Stand Up Tall ที่ออกจะหนักไปทางเพลงเต้นรำโดยใช้เสียงประกอบเหมือนกับเกมแฟมิคอมยุคเก่า บวกกับการแร๊พอย่างรวดเร็วเป็นชุดเหมือนกระสุนปืนกลของเขา ทำให้มันโดดเด่นออกมาจริงๆส่วนตัวอัลบั้มก็ยังเยี่ยมไม่เปลี่ยนครับ เพลงโปรดของผมคือ Respect Me ที่มากับบีทบวมๆกับเสียงประกอบหลอนๆ

ปี 2007 เขาก็กลับมากับ Math and English ที่ครั้งนี้เขากลายเป็นหนุ่มเต็มตัว มันเป็นอัลบั้มที่เฉียบขาดยิ่งกว่าเดิม เพลงต่างๆเต็มไปด้วยพลังมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น Pussyole (Oldschool) ที่โคตรมันสะใจพร้อมลากเราลงฟลอร์ เช่นเดียวกับ Flex ที่ชวนเราแร๊พตามเหลือเกิน ส่วน Sirens ก็ชวนเรานึกถึงเพลงแร๊พรุ่นเก๋า ยังมีเพลง Temptation ที่ได้ Alex Turner จาก Arctic Monkeys มาร่วมงานด้วย และมันก็กลายเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จเหนืออัลบั้มก่อนๆของเขา


และปีนี้เขากลับมาอีกครั้ง เริ่มจากซิงเกิ้ลแรก Dance Wiv Me ที่ได้ Calvin Harris มาโปรดิวซ์ให้ และมันก็เป็นตามที่เขาให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนว่าเขาจะทิ้งซาวนด์ Grime เพื่อที่งานที่ตลาดขึ้น DWM คืองานเพลงเต้นรำที่ติดหูแบบสุดๆแบบที่ทุกคลับชอบ ตามมาด้วยซิงเกิ้ลที่สอง Bonkers ที่ได้ดีเจดัง Armand Van Helden มาร่วมงานด้วย และมันก็เป็นการร่วมงานที่ลงตัวเอามากๆ เพราะว่าต่างคนต่างเสริมความเด่นให้กัน จนขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งได้อย่างสวยงาม จนอัลบั้ม Tongue N’ Cheek มันได้พิสูจน์ว่าเขาทำงานออกมาตลาดมากขึ้นจริงๆ แม้หลายเพลงยังมีรากของ Grime อยู่บ้าง แต่มันก็ติดหุมากขึ้นกว่าเดิม นับว่าเป็นก้าวที่กล้าหาญจริงๆ ทุกเพลงชวนให้เราโยกไปกับมันอย่าสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็น Road Rage หรือ Dirtee Cash แต่ที่ติดหุสุดๆจริงๆ ต้องเป็น Holiday ที่พร้อมจะเติมฟลอร์เต้นรำของทุกเกาะอังกฤษได้อย่างง่ายดาย ทำให้ Tongue N’ Cheek เป็นอัลบั้มที่น่าสนใจที่สุดอีกอัลบั้มหนึ่งในปีนี้ไปแล้ว

Saturday, September 19, 2009

Little Boots อีกหนึ่งสาวมาแรง

Technorati Tags: ,

ช่วงนี้ผมคงจะขอแนะนำวงใหม่ๆเยอะเป็นพิเศษนะครับ สาเหตุก็เพราะว่า วงใหม่ๆหลายวงนี่ซาวนด์สดใหม่จนเวลาฟังแล้วครั่นเนื้อครั่นตัว อยากจะเอามาเขียนถึงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้จริงๆครับ และหลังจากที่ฟังอัลบั้มของ Little Boots จบ ผมก็เกิดอาการคันตามง่ามนิ้วจนรีบต้องเอามาเขียนทันที

Little Boots คือชื่อในวงการของ Victoria Hesketh สาวน้อยมากความสามารถจาก Blackpool ประเทศอังกฤษ ที่สนใจดนตรีตั้งแต่เล็ก ก่อนที่จะหันไปตั้งใจเรียนจนได้ปริญญาเกียรตินิยม แต่ถึงจะตั้งใจเรียน เธอก็ทนกลิ่นเย้ายวนไม่ไหว ร่วมตั้งวง Dead Disco กับเพื่อนสาวอีกสองคน ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากค่ายเพลงในระดับหนึ่ง

little-boots

แต่เมื่อโดนค่ายเพลงกดดันเข้ามากๆ และเพื่อนร่วมวงไม่เห็นด้วยกับการที่เธอจะเขียนเพลงที่ติดหู เธอจึงเลือกตัดสินใจออกจากวงในปี 2007 ซะ เพื่อที่จะได้เป็นอิสระและทำตามที่เธอต้องการ ปล่อยให้เพื่อนเธอกลายเป็น Video Villain แทน เธอเริ่มคัฟเวอร์เพลงของศิลปินป๊อปอย่าง Wham ลง Youtube เมื่อไปเจอกับทีมงานที่เธอเคยร่วมงานด้วยสมัย Dead Disco เธอจึงตัดสินใจเริ่มต้นอย่างจริงจังกับงานเพลงของเธอโดยเริ่มต้นใช้ชื่อ Little Boots และตั้งแต่ต้นปี 2009 นี้เองที่เธอเริ่มเป็นที่สนใจของสื่อ ถึงขนาดว่าเธอได้รับการโวตในโพล BBC Sound of Music 2009 เอาชนะ White Lies และ Florence and the Machine เลยทีเดียว แสดงถึงความคาดหวังที่มีต่ออัลบั้มของเธอเป็นอย่างสูง

ซิงเกิ้ลแรกของเธอ New In Town เป็นเพลงป๊อปจ๋าที่ช่วงติดหูชนิดที่ได้ลองครั้งเดียวแล้วลืมไม่ลง ไม่ต่างกับขนมหวานชั้นเยี่ยมที่เราจะเรียกร้องหาเรื่อยๆหลังจากการชิมครั้งแรก มันคือเพลงที่ฟังดูเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยองค์ประกอบที่พร้อมจะทำให้เราหลงรักได้ทันที แค่ประโยคง่ายๆอย่าง I'm gonna take you out tonight I'm gonna make you feel alright. I don't have a lot of money, but we'll be fine. No, I don't have a penny, but I'll show you a good time. ก็กลายเป็นท่อนฮุคที่ติดหูเกินกว่าที่เราจะทานทนไหว ใครจะไม่หลงรักได้ล่ะครับ ก็เธอเล่นเสนอตัวพาเด็กหน้าใหม่ในเมืองอย่างพวกเราไปเที่ยวซะขนาดนั้น ส่วนภาคดนตรีนั้น ก็เหมือนการหยิบเอาส่วนดีที่สุดของวงป๊อปสารพัดวงมาขยำรวมกันได้อย่างลงตัวเหลือเกิน (ส่วนMV ลองหาดูครับ ผมชอบฉากลานจอดรถมาก อีโรติคเช็ด) ไม่แปลกอะไรที่สื่อสารพัดค่ายต่างพากันหันมาเทใจเชียร์เธออย่างเต็มสตีมหลังจากผิดหวังเล็กน้อยจาก Florence and the Machine มา บางคนถึงขนาดว่าเธอจะกลายเป็นคู่แข่งชิงบัลลังก์ราชินีป๊อปกับ Girls Aloud, Lily Allen หรือ Lady Gaga เลยทีเดียว (คงไม่เกี่ยวกับทาทา ยังนะ)

littlebootsiscute

และเมื่อ Hands อัลบั้มเปิดตัวของเธอที่ออกวางขายในปี 2009 นี้ มันควรจะเป็นหนึ่งในอัลบั้มเพลงป๊อปที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งปีนี้เลยทีเดียว หรือบางที อาจจะของทศวรรษนี้เลยก็ได้ เพราะว่ามันคืออัลบั้มที่เทิดทูนดนตรีป๊อปแบบไม่กลัวใครจะตราหน้าเลยว่าเพลงป๊อปเป็นแค่เพลงขยะ ตรงกันข้าม เธอกลับทำเพลงออกมาเพื่อจะบอกโลกว่า “นี่แหละคือป๊อป และจงหลงรักมันซะ” มันคืออัลบั้มที่รวบรวมเอาอาวุธทุกอย่างของดนตรีป๊อปมาไว้ในเวลา 45 นาทีของมัน ชนิดที่เรียกได้ว่า ยังไงคุณก็ต้องหลงรักมันแน่ๆ

ไม่เพียงแต่ New in Town เท่านั้นที่ยอดเยี่ยม แต่ว่าทุกเพลงในอัลบั้มนั้นสามารถตัดมาเป็นซิงเกิ้ลได้หมดเลยทีเดียว ซิงเกิ้ลที่สองอย่าง Remedy ที่เริ่มต้นอย่างลึกลับพอๆกับเพลงหนัง James Bond ก่อนที่จะกลายเป็นเพลงป๊อปที่มากับท่อนฮุคที่ยากจะลืมอีกแล้ว Click ก็เริ่มต้นด้วยจังหวะที่เหมือนกับหลุดมาจาก Assault on Precinct 13 ของ John Carpenter แล้วค่อยกลายเป็นบรรยากาศเพลงป๊อปจากอวกาศไป อีกเพลงที่ลึกลับไม่แพ้กันคือ Ghost ที่เหมือนกับให้วิญญาณยุควิคทอเรียนมาเต้นในเพลง Thriller ส่วน Meddle ก็โครมครามไม่แพ้งานของ Dizzee Rascal เลยทีเดียว และ No Brakes ก็ได้เสียงอันเซ็กซี่ของเธอทำให้เราฟังได้อย่างเพลินเหลือเกิน

little-boots-dancing

อีกสามเพลงที่เด่นจนผมคิดว่ายอดจนกลายเป็นงานคลาสสิกได้เลยทีเดียว คือ Stuck on Repeat ที่เหมือนกับการหยิบเอาสารพัดเพลงของ Kylie Minogue มาคั้นเอาความยอดเยี่ยมจนกลายเป็นเพลงๆนี้ ส่วน Tune Into My Heart ก็เข้าข่ายเดียวกัน ซึ่งมันเยี่ยมถึงขนาดแค่ฟังครั้งเดียวก็ทำให้ผมน้ำตาคลอเพราะความยอดเยี่ยมของมันได้ ส่วน Symmetry คือการบูชาครูอย่างแท้จริง เพราะนอกจากมันจะเป็นเพลงดิสโกป๊อปชั้นเลิศแล้ว เสียงผู้ชายที่คุณได้ยินในเพลงคือ Phil Oakey แห่ง The Human League ผู้บุกเบิกดนตรีแนวนี้มาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้วนั่นเอง และนั่นทำให้เราหวนนึกไปถึงงานระดับ Masterpiece อย่าง Don’t You want Me ขึ้นมาทันที

แม้จะเป็นศิลปินหน้าใหม่ แต่ Little Boots ก็ได้สร้างผลงานเพลงป๊อประดับคลาสสิกขึ้นมาแล้ว และอัลบั้ม Hands ของเธอจะกลายเป็นอัลบั้มที่มนุษย์ในอนาคตกล่าวถึงเมื่อพูดถึงเพลงป๊อปจากโลกยุคปี 2000

Saturday, September 5, 2009

Enter Shikari จับมันมาผสมพันธุ์

Technorati Tags: ,

นับตั้งแต่ผมเริ่มฟังเพลงมา นับวัน ผมยิ่งรู้สึกว่า เส้นแบ่งระหว่างแนวดนตรียิ่งบางลงเรื่อยๆ ไม่ต่างกับผ้าอนามัย บางที ผมฟังแล้ว ไม่รู้จะบอกว่ามันคือแนวอะไรกันแน่ ยิ่งแนวดนตรีหลังๆนี่ แทบจะเหมือนกับการจับนู่นผสมนี่ จนได้ลูกผสมที่ยิ่งชวนงงเข้าไปใหญ่ ว่ามันคืออะไรกันแน่ ที่เขียนไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบนะครับ ถ้ามันผสมลงตัวกันนี่ ผมไม่เคยปฏิเสธหรอกครับ อย่างวงที่จะแนะนำในวันนี้ คือวงที่ผสมดนตรีสองแนวที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเข้ากันได้ แต่พวกเขากลับทำออกมาได้อย่างลงตัวสุดๆ พวกเขาคือ Enter Shikari

enter shikari 

Enter Shikari คือการรวมตัวกันของเด็กหนุ่ม 4 คนจาก St. Albans ประเทศอังกฤษ นั่นคือ Rou Reynolds (รูว์ ร้องนำ ซินธ์) Liam Clewlow (เลียม กีตาร์) Chris Batten (คริส เบส) และ Rob Rolfe (ร๊อบ กลอง) ในช่วงปี 2003 หลังจากบ่มฝีมือมานานสองปี พวกพวกก็เขาเริ่มต้นด้วยการออกซิงเกิ้ลแบบดาวน์โหลดชิ้นแรก นั่นคือ Mothership กลายเป็นซิงเกิ้ลประจำสัปดาห์ของ iTunes ทันที คงเป็นเพราะความแปลกใหม่ของมัน ที่เป็นการผสมดนตรี Post-Hardcore หนักหน่วง เข้ากับ เสียงซินธ์แบบดนตรีเรฟ เรียกได้ว่าเป็นสองขั้วที่เอามาผสมกันได้ยากเหลือเกิน แต่ว่าพวกเขากลับทำได้อย่างยอดเยี่ยม และน่าประทับใจเป็นอย่างมาก ทำให้พวกเขาได้รับการจับตามองในทันที

ถ้า Mothership เจ๋งแล้ว การเอาเพลง Sorry You’re Not a Winner และ OK, It’s Time For Plan B กลับมาออกเป็นCDซิงเกิ้ลอีกครั้งยิ่งโคตรเจ๋งครับ เพราะมันคือDouble A Sides ที่ยอดเยี่ยมแบบหาที่ติแทบไม่ได้ ทั้ง Sorry (ขอย่อ) ที่เริ่มต้นด้วยเสียงซินธ์ ก่อนที่จะเริ่มสับอย่างไม่ยั้งตามแบบฮาร์ดคอร์ และยังมีท่อนฮุคที่พร้อมให้แฟนร้องตามได้อย่างสะใจจริงๆครับ (ก็ชื่อเพลงแหละครับ) พอกลับมาช่วงพักระหว่างเพลง เสียงซินธ์มันก็กลับมาอีกครั้ง จนท้ายเพลงที่สับสองกระเดื่องอย่างเมามัน ค่อยเติมเสียงซินธ์หลอนๆเข้าไป เรียกได้ความครบเครื่องจริงๆ

roughton-rou-reynolds-of-enter-shikari-1 

ส่วนเพื่อนร่วมแผ่นของมันอย่าง OK ก็สะใจไม่น้อยหน้าเลยครับ เพราะแค่เริ่มเพลงมากับเสียงสำรอกอ่อนๆของรูว์ สับกระเดื่องคู่ และเสียงซินธ์ ก็ทำให้เราได้พบกับการร่วมรักระหว่างดนตรีสองประเภทที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาร่วมเตียงกันได้ แต่มันกลับลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบจริงๆครับ พอเข้าช่วงกลางเพลงที่เป็นเพลงฮาร์ดคอร์หนักๆ แต่กลับมีเสียงซินธ์ตามมาประกบ มันช่างวิเศษอย่างน่าประหลาดใจจริงๆครับ Double A Sides คู่นี้คือหนึ่งในการประสานงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดจริงๆครับ และมันทำให้พวกเขาชื่อหอมหวนขึ้นมาทันที

ไม่เพียงแค่นิตยสารต่างๆจะเริ่มมาทำสกู๊ปสารพัด ค่ายเพลงต่างๆก็ตามล่าลายเซ็นของพวกเขาอย่างๆไม่เหน็ดเหนื่อยเลย แต่ระหว่างที่ยังไม่มีสังกัด พวกเขาก็สร้างตำนานการเป็นวงดนตรีวงที่สองที่ขายบัตรแสดงสดที่เวทีชื่อดังอย่าง Astoria ได้หมดทั้งๆที่ยังไม่มีสังกัด (วงแรกคือ The Darkness) ครับ ยิ่งทำให้ลายเซ็นในสัญญาของพวกเขามีค่าหัวสูงขึ้นอีก แต่พวกเขาก็เลือกหักอกค่ายเพลงทุกค่าย ด้วยการตั้งค่ายเพลง Ambush Reality ของตัวเองขึ้นมา เพื่อไม่ให้ต้องสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองจากการเซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ไป (แล้วก็รับเงินเต็มๆด้วย)

enter

ปี 2007 ดูเหมือนจะเป็นปีทองของพวกเขา หลังจากออกซิงเกิ้ลที่สี่ พวกเขาก็ออกอัลบั้มแรก Take to The Skies ที่ได้รับคำชมจากทั่วทุกทิศ เพราะนอกจากซิงเกิ้ลแล้ว มันนยังมีเพลงเด่นๆอย่าง Johnny Sniper ที่เต็มไปด้วยเสียงซินธ์สวยๆ และที่สะใจที่สุดคือ Return to Energizer ที่ขึ้นต้นมาด้วยการสับแหลกอย่างไม่บันยะบันยังตามแบบของScreamo จริงๆ และเพราะความยอดเยี่ยมของมัน ทำให้พวกเขาคว้ารางวัลสารพัดรางวัล และได้รับการยกย่องจากสื่อเป็นอย่างมาก

Enter_Shikari_1 

นอกจากนี้แล้ว พวกเขาไม่ใช่วงที่ขี้เกียจเลย หลังจากการออกทัวร์อย่างหนักหน่วง พวกเขาก็ถือฤกษ์ปี 2009 ออกผลงานใหม่ที่ชื่อ Common Dreads ที่ถ้าเทียบกับอัลบั้มก่อนที่มีการแยกสัดส่วนระหว่างเพลงร๊อคกับเพลงเต้นรำแล้ว อัลบั้มนี้คือการขยำดนตรีทั้งสองแนวเข้ากันแบบไม่ให้แยกออกเลย ไม่ว่าจะเป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวอย่าง Juggernauts ที่เหมือนจับ Paul Van Dyk มาหัดเล่นเพลงฮาร์ดคอร์ หรือเพลง Zzzonked ที่โคตรหนักและหลอน จนเหมือนกับการถีบเราหลุดเข้าไปในโลกของเกมคอมพิวเตอร์แบบยิงแหลกเลยทีเดียว เช่นเดียวกับ Hectic สับแบบไม่ยั้งเช่นกัน Common Dreads คือการใส่ทุกอย่างเข้าไปแบบไม่ยั้งจนกลายเป็นยำใหญ่จานอร่อยเต็มสตรีมเลยทีเดียว

ถ้าอยากลองฟังเพลงที่ผสมกันได้อย่างลงตัว และสะใจเต็มสูบ ลองไปหามาฟังได้เลยครับ รับรองว่า Enter Shikari ถูกใจคุณแน่ๆ