Saturday, November 22, 2008

ตัวโน๊ตแห่งความเศร้า Ian Curtis (1956 -1980)

Technorati Tags: ,,

Curtis Memorial ในช่วงเดือนพฤษภาคมของปี 1980 Ian Curtis นักร้องหนุ่มของวงโพสต์พังค์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่าง Joy Divison ได้นัดกับ Bernard Sumner เพื่อนร่วมวงของเขาเพื่อไปเล่นสกีน้ำด้วยกัน อะไรก็ดูจะสดชื่นขึ้นสำหรับนักร้องหนุ่มที่ชีวิตถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกแห่งความเศร้าและยาเสพติด แต่เมื่อถึงวันนัด เขากลับไม่โผล่มา จน Bernard ตัดสินใจทิ้งเพื่อนแล้วไปคนเดียว แต่เขาไม่ได้รู้เลยว่า จริงๆแล้ว เอียน ได้มีนัดกับความตายไว้ก่อนแล้ว เพราะจากนั้นไม่นาน เอียน ก็ถูกพบในห้องครัวของเขา ในสภาพที่มีเชือกพันอยู่รอบคอและขาทั้งสองลอยอยู่เหนือพื้น

ชีวิตอันแสนสับสนของเขาเริ่มต้นอย่างเรียบง่าย เอียนเป็นที่รู้จักกันดีว่าเขาหลงใหลในบทกวีโดยมี Joseph Conrad และ William Burroughs เป็นแรงบันดาลใจหลัก แต่ถึงแม้เขาจะเรียนดีจนได้ทุนเรียนต่อมัธยม เขากลับเริ่มต้นเสพยาในช่วงนี้โดยค่อยๆเริ่มจากยาต่างๆในตู้ยาสามัญประจำบ้าน

จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมบทนี้คือการที่เขาได้พบกับ Deborah เพื่อนร่วมโรงเรียนเมื่อสมัยอายุแค่ 16 ปี เขาตกหลุมรักเธออย่างจัง และแม้จะสารภาพกับเธอว่าเขาไม่คิดที่จะมีอายุอยู่เกิน 25 ปี แต่พวกเขาก็ตัดสินใจแต่งงานกันเมื่อเอียนมีอายุได้เพียงแค่ 19 ปีเท่านั้น ใครจะรู้ว่าความรักที่เริ่มต้นอย่างสวยงามจะกลายเป็นความขมขื่นเมื่อบุคคลที่เป็นนักคิดเสรีอย่างเขาจะกลายเป็นเผด็จการเมื่อเป็นเรื่องความรัก เพราะเขาครอบงำเธอทุกอย่างและกระทั่งสั่งให้เธอแต่งตัวตามที่เขาต้องการตลอด ความรัก กลายเป็นสิ่งที่ชวนสับสนที่สุดสำหรับตัวเขา

IanCurtisดูเหมือนว่าการระบายออกผ่านบทกวีอาจะยังไม่เพียงพอ ทันทีที่เขาไปพบกับสองนักดนตรีหนุ่มอย่าง Sumner และ Peter Hook ซึ่งกำลังพยายามตั้งวงดนตรีอยู่ เขาก็เข้าไปรับหน้าที่ร้องนำและแต่งเนื้อเพลงให้กับวงทันที โดยหลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ Stephen Morris รุ่นพี่โรงเรียนของเอียนมาเล่นกลองให้ พวกเขาตั้งขื่อวงว่า Warsaw แต่ก็มีวงอื่นอยู่แล้ว ทำให้พวกเขาต้องหันมาเรียกตัวเองว่า Joy Division ซึ่งหมายถึง แผนกหรรษา ซึ่งทหารนาซีในช่วงสงครามโลกจะเอาเชลยหรือนักโทษมาเป็นเครื่องปรนเปรอกามตัณหาของพวกเขา

พวกเขาเองเริ่มต้นได้อย่างย่ำแย่ เพราะว่าพวกเขาเองยังไม่รู้จักวิถีเล่นเครื่องดนตรีให้เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ในทีสุด พวกเขาก็พบส่วนผสมอันสุดวิเศษ ด้วยเบสที่เล่นเป็นทำนอง กับกีตาร์ที่เล่นเป็นเครื่องให้จังหวะ เสียงกลองที่พยามข่มเครื่องดนตรีทั้งสอง แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ เสียงร้องและเนื้อเพลงของเอียนที่สร้างบรรยากาศอันวังเวง มืดหม่นไม่ต่างกับป่าช้ายามค่ำคืน ทั้งหมดผสมผสานกันอย่างลงตัวและกลายเป็นดนตรีที่แหวกแนว กล้าหาญ จริงจังและยังมืดหม่นในช่วงของการบูมของดนตรีป๊อป และดิสโกที่ไร้แก่นสาร

การแสดงสดที่ติดตาของพวกเขาทำให้พวกเขาถูก Tony Wilson เซ็นเข้าค่าย Factory  Records ทันที พวกเขาเริ่มสร้างชื่อได้อย่างยอดเยี่ยมจากการแสดงสดในรายการของ John Peel และอัลบั้มแรก Unknown Pleasure ก็สร้างชื่อให้กับพวกเขา และการแสดงสดที่เต็มไปด้วยพลังทำให้วงเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าเต้นกระตุกๆของเอียน ดูเหมือนเขาจะพบที่ๆควรอยู่แล้ว

แต่ชีวิตศิลปินก็สร้างปัญหาให้เขา เพราะโรคลมบ้าหมูที่เขาเป็นได้รับผลกระทบจากแสงสีบนเวที เมื่อเริ่มออกทัวร์ จู่ๆเขาก็หอนเหมือนคนบ้าน ชกผนัง และล้มลงชักกระตุก และมันก็เกิดบ่อยขึ้นเรื่อยๆจนหลายครั้งที่แฟนเพลงไม่รู้ว่าเขาชักจริงๆหรือกำลังเต้นตามปกติอยู่ แพทย์ยื่นมือเข้ามาห้ามไม่ให้เขาดื่ม ห้ามนอนดึก และให้อยู่อย่างสงบ ซึ่งตรงกันข้ามกับเส้นทางที่เขาเลือก และแน่นอนว่ามันเป็นการเลือกถนนสู่ความตายอย่างแท้จริง

ปัญหาของเขาหนักขึ้นไปอีกเมื่อ เขาพบกับแฟนเพลงชาวเบลเยี่ยมและเริ่มคบชู้กับเธอ ความรู้สึกผิดในตัวเขาทำให้เขาจมลึกลงไปอีก หนำซ้ำ เมียสาว Deborah ให้กำเนิด Natalie ลูกสาวแสนน่ารัก ทำให้เขากลายเป็นคุณพ่อแสนเลวในทันที และเขาก็รู้ตัวเองดีและเอาแต่โทษตัวเอง วันหนึ่ง Deborah แทบสิ้นสติเมื่อกลับมาพบสามีตัวเองเอามีดกรีดอกอยู่ เขาจมลงไปโดยยังไม่เห็นก้นบ่อian-curtis

เมื่ออัลบั้มที่สอง Closer ออกวางขาย มันเป็นงานคลาสสิกที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง แต่เอียนได้จองตั๋วสู่นรกเรียบร้อยแล้วหากพิจารณาจากเนื้อเพลงที่สื่อถึงการไม่สนใจชีวิตตัวเองอีกต่อไปแล้ว และไม่นานหลังจากนั้นเอง ที่เขาเลือกจบชีวิตของตัวเองด้วยการแขวนคอเมื่ออายุได้เพียง 23 ปี จบชีวิตของ เม่น ที่ถึงแม้จะรักและอยากเข้าใกล้ผู้ใด หนามรอบกายก็คอยทิ่มแทงให้ผู้คนเหล่านั้นต้องรับบาดเจ็บไปเสมอ

เพลงที่เขาฝากไว้ให้กับโลกใบนี้ คือ Love Will Tear Us Apart บทเพลงที่สรุปชีวิตเขาได้อย่างดี เพราะว่ามันคือความรักที่ทำให้เขารู้สึกผิดจนต้องเลือกจากโลกนี้ไป แต่จากมุมมองของภรรยา ความหลงใหลกับความตายของเขาต่างหากที่นำไปสู่จุดจบของชีวิตคู่

แม้เอียนจะจากไปนานแล้ว แต่อิทธิพลของเขายังแผ่ซ่านอยู่ไปทั่ววงการดนตรี ไม่มีเขา ก็คงไม่มี U2, Radiohead, Interpol หรือ Bloc Party และอีกหลายร้อยวงที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นหลังจากการตายของเขา

Friday, November 14, 2008

Death from Above 1979: Drum & Bass ของแท้จากอเวจี

Technorati Tags: ,

หลังจากเคยแนะนำวงที่แตกวงไปแล้วอย่าง The Cooper Temple Clause อีกหนึ่งวงดนตรีที่ผมแสนเสียดายเวลาได้ยินข่าวแยกวงก่อนเวลาอันควรนั่นคือ Death from Above 1979 นั่นเอง อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเสียดายวงนี้มากก็อยู่ที่ชื่อวงนั่นเองครับ แล้วจะอธิบายอีกที

Death from Above 1979 ถือกำเนิดจากการโคจรมาพบกันของสองหนุ่มชาวแคนาดา Jesse F. Keeler (เจส เบส ซินธ์) อดีตสมาชิกวง Black Cat #13 และ Sebastian Grainger (เซบาสเตียน ร้องนำ กลอง) ในคอนเสิร์ตของ Sonic Youth และก็ตัดสินใจร่วมกันทำงานเพลงในนาม Death from Above โดยทะลึ่งพอที่จะไม่เอามือกีตาร์ที่แทบจะเป็นสัญลักษณ์ของวงร๊อคทั่วไปมาอยู่ในวง โดยให้เหตุผลง่ายๆว่า “ไม่จำเป็น” และ “ไม่อยากแบ่งค่าตัว” ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังโอบรับเอาอิทธิพลของดนตรีแนวอื่นๆอย่างดนตรีแดนซ์ และฮิปฮอปเข้ามาผสมในงานของพวกเขาอีกด้วย มันเลยยิ่งทำให้แหวกแนวกันเข้าไปใหญ่ กลายเป็นวงดนตรีสองชิ้นที่แทบจะโหวกเหวก และหนวกหูที่สุดไปได้ (คงแพ้แค่วง Lightning Bolt ที่มีแค่เบสกับกลองเหมือนกัน แต่วงนั้น สับแหลกเป็นพายุครับ ลองไปหาฟังดูก็ดีเหมือนกัน) พวกเขายังได้ให้ความเห็นว่า ดนตรีแดนซ์และฮิปฮอปส่วนมากก็ใช้เครื่องดนตรีแค่นี้ พวกเขาเองก็อยากรู้ว่าจะผลักดันดนตรีของตนเองไปได้ไกลแค่ไหน

พวกเขาเริ่มออกตัวด้วยการออก EP ที่ชื่อ Heads Up กับตราแผ่นเสียง Ache Records ในปี 2002 ซึ่งมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานของพวกเขาเป็นอย่างดี แต่ละเพลง สั้น แต่หนักหน่วงสะใจ เหมือนกับการยื่นกลองและเบสให้กับฝูงกอริลลาไปตีเล่น ความหนักหน่วงนั้นสะท้อนออกมาเป็นอย่างดีกับการที่ภาพปกเป็นภาพของพวกเขาสองคนมีงวงเหมือนช้าง เนื่องจากพวกเขาต้องการให้ซาวนด์ดนตรีของพวกเขาเหมือนกับการมีโขลงช้างอยู่ในห้องของคนฟังนั่นเอง

หลังจากสร้างชื่อเสียงในระดับหนึ่งกับEPแรก พวกเขาก็ออก EP ต่อมา Romantic Rights ในปี 2004 ซึ่งเป็นงานที่ส่งให้พวกเขาเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เพลงหลักอย่าง Romantic Rights นั้นได้แสดงให้เห็นถึงซาวนด์ของพวกเขาอย่างชัดเจนจริงๆ ทั้งลูกเบสที่หนักหน่วง กับจังหวะกลองที่ถ้าลองเปลี่ยนแปลงมันอีกนิดเดียวก็กลายเป็นเพลงแดนซ์ได้ทันที บวกกับเสียงร้องที่ออกมาจากหัวใจของหนุ่มกลัดมันที่พร่ำร้องว่า “I don’t need you, I want you” มันก็สื่ออะไรได้มากเกินต้องการแล้ว ส่งให้กลายเป็นงานคลาสสิกไปในทันที

ทว่า พวกเขาถูกตราแผ่นเสียง DFA ของ James Murphy ฟ้องร้องให้เลิกใช้ชื่อ Death from Above เพราะว่าเวลาย่อลงแล้วจะเหลือแค่ DFA เหมือนกัน พวกเขาไม่พอใจ แต่ก็เลือกเติม 1979 ลงไปในชื่อวง เพราะเป็นปีเกิดของ Sebastian นั่นเอง (และของผมด้วยครับ) โดยเขายังให้เหตุผลเท่ๆว่า มันเป็นปีสุดท้ายของยุคสุดคูล และเป็นปีที่ Off the Wall และ Pleasure Principle ออกวางขาย จากนั้น พวกเขาก็คือ Death from Above 1979

หลังจากปัญหาพวกเขาก็ได้ออก อัลบั้มเต็มชุดแรก (และชุดเดียว) ชื่อ You’re a Woman, I’m a Machine ซึ่งสานต่อความยอดเยี่ยมของงานก่อนหน้านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยจริงๆ แน่นอนว่า Romantic Rights ที่ถูกมิกซ์ใหม่ให้แน่นขึ้นต้องอยู่ในอัลบั้มนี้แน่นอน พวกเขาเปิดอัลบั้มด้วยเสียงลึกลับๆ ก่อนที่จะกระหน่ำกลองและเบสในเพลง Turn In Out ได้รุนแรงไม่ต่างจากสายฟ้าของมหาเทพซูสเลย และก็เป็นแบบนี้แทบทุกเพลงครับ ไม่ว่าจะเป็น Going Steady, Pull Out หรือ Go Home, Get Down ที่ตามกันมา ส่วนซิงเกิ้ลอย่าง Blood on Our Hands และเพลง Sexy Results ก็ผสมความเป็นดนตรีเต้นรำลงไปในท่อนเบสได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะที่ Little Girl และ Cold War ก็ทำให้เรานึกไปถึง Deep Purple ยุคเก่าได้เลย เพลงYou're A Woman, I'm A Machine ก็คือการระเบิดของพละกำลังทั้งหมดที่พวกเขามี และเพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่าง Black History Month ที่พวกเขาผสมผสานดนตรีแนวต่างๆจนออกมาได้อย่างลงตัวไร้ที่ติใดๆทั้งปวง แน่นอนว่า You're A Woman, I'm A Machine คืออัลบั้มที่คลาสสิกจากความคิดสร้างสรรค์ ความดิบ ความห้าว ความงุ่นง่าน และความกล้า และจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลังได้เป็นอย่างดี42683eab5a46a-40-1

ในปี 2005 พวกเขาตามติดความสำเร็จด้วยการออกอัลบั้ม remixed version กับb-side ที่ชื่อ Romance Bloody Romance เพื่อแสดงให้เห็นถึงรากของเพลงเต้นรำที่อยู่ในดนตรีของพวกเขา ซึ่งนอกจากจะได้ศิลปินดังๆหลายแนวอย่าง Alain Braxe, Erol Alkan, Justice, Josh Homme (Queens of the Stone Age)และ Sammy Danger (Test-Icicles)มารีมิกซ์เพลงของพวกเขา ยังมีเวอร์ชั่นของเพลงต่างๆที่DFA1979 มิกซ์แยกกันในนามโปรเจ็กต์ส่วนตัวของแต่ละคน ทั้ง Girl on Girl ของ Sebastian มาร่วมมือกับ Final Fantasy ของ Owen Palette (Arcade Fire) ทำเพลง Black History Month และ MSTRKRFTของ Jesse ที่ทำ Sexy Resultsและ Little Girl ใหม่ และยังมีเพลงแถมเก่าอย่าง Better off Dead และ You're Lovely (But You've Got Problems) ที่ดิบเถื่อนสะใจไม่แพ้กัน

แต่ว่าในปีเดียวกันนั้นเอง พวกเขาประกาศแยกวง เพราะว่าพวกเขาเติบโตเกินกว่าที่จะร่วมงานกันในฐานะวงๆเดียวกันแล้ว แต่ก็ยังรักษาความเป็นเพื่อนนักดนตรีกันไว้อยู่ โดยที่ทั้งคู่ต่างมุ่งมั่นไปกับโปรเจ็กต์ส่วนตัวสารพัดของแต่ละคน ทำให้ต้องปิดฉากวงดนตรีที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกวงหนึ่งแห่งทศวรรษ ’00 ไปอย่างน่าเสียดาย

Warm Up รอ Bangkok 100 Rock Festival 2008

กลับมาอีกรอบแล้วนะครับ กับความสนุกที่ 100 Pipers จะเอาให้ให้เราได้สัมผัส หลังจากเคยจัดเทศกาลดนตรีที่บ้านเราไปแล้วหนึ่งรอบ (ตอนนั้นอยู่ที่ญี่ปุ่น เลยอดครับ เสียดายโคตร) กับเมื่อไม่นานมานี้ที่พึ่งเอา Stereophonics มาชนกับวงไทยอย่า Modern Dog และ Paradox ผ่านไปยังไม่ทันไร ก็กลับมาสร้างความสนุกให้กับพวกเราอีกแล้วครับ แล้วครั้งนี้ กลับมาในรูปแบบเทศกาลดนตรีอีกแล้วครับ นั่นคืองาน Bangkok 100 Rock Festival 2008 ที่จะจัดขึ้นวันที่ 29 และ 30 พฤศจิกายนนี้ ที่ ร. 1 พัน อ. 1 รอ. ถนนวิภาวดีรังสิตนี่เองครับ แล้วงานนี้ ก็มีวงจากต่างประเทศถึง 6 วงด้วยกัน เลยต้องขอเอามาแนะนำกันสั้นๆให้รู้จักกันก่อนได้ไปสัมผัสของจริงแล้วกันครับ

Melee วงร๊อคจาก Orange County อเมริกา ที่ออกลุยในวงการมาตั้งแต่ ปี 2000 แล้วครับ โดยได้รับอิทธิพลจาก Elton John และ Coldplay ในการทำเพลงร๊อคที่ใช้เปียโนเป็นเครื่องดนตรีหลัก เพลงของพวกเขาฟังสบายแบบที่คุณอยากติดไปฟังริมชายหาดเลยล่ะครับ น่าจะเหมาะกับคนที่ชอบเพลงร๊อคผสมกับแนวอื่นแบบ Maroon 5 นะครับ

Hoobastank วงร๊อคอีกวงหนึ่งจากแถบ L.A. อเมริกา พวกเขาตั้งวงกันมาตั้งแต่ปี 1994 แต่เริ่มเป็นที่รู้จักจากอัลบั้มแรกชื่อเดียวกับวงที่ออกกับต้นสังกัดใหญ่ในปี 2001 ซึ่งมีเพลงเด็ดอย่าง Crawling in the Dark กับ Running Away และมาดังเป็นพลุแตกกับอัลบั้มถัดมา The Reason ที่มีเพลงช้าขวัญใจวัยรุ่นอย่าง The Reason ที่ถูกเอาไปเล่นและร้องจีบสาวมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบทั่วโลก พวกเขาเคยมาเล่นสดฟรๆที่เมืองไทยครั้งนึงแล้ว และครั้งนี้พวกเขาก็คงพกเอาความมันไม่แพ้ครั้งที่แล้วมาฝากแฟนๆเพลงชาวไทยอีกแน่นอนครับ

As I Ley DyingAs I Lay Dying วงจากอเมริกาวงสุดท้าย พวกเขามาจาก San Diego และเอาชื่อวงมาจากนิยายของ William Falkner ซึ่งแค่ชื่อก็คงจะสื่อได้ดีอย่างมากว่าพวกเขาไม่ได้ทำเพลงหวานแหววแต๋วจ๋าแน่นอน แต่พวกเขาคือวงเมทัลหนักกะโหลก (มาก) ที่เริ่มท่องยุทธจักรตั้งแต่ปี 2000 แล้วครับ ถ้าใครอยากหาอะไรหนักมาแก้เซ็ง รับรองครับว่าไม่ผิดหวังแน่นอน ทุกวันนี้เวลาเซ็งๆผมยังชอบเปิดเพลง Reflection จากอัลบั้ม Shadows are Securities ฟังในรถเวลาเซ็งๆ เพราะเสียงสับกระเดื่องคู่ กีตาร์บาดหู และเสียงสำรอกของวงนี้มันผสมกันออกมาได้มันจริงๆครับ ระวังเมื่อยคอไว้ได้เลย

สามวงข้างต้นคือที่เล่นในวันที่ 29 นะครับ อีกสามวงจากนี้จะเป็นวงที่เล่นในวันที่ 30 ครับ

Penny Century วงสวีดิชป๊อปหกคน อีกวงหนึ่งที่เริ่มเป็นทีรู้จักในบ้านเราระดับนึงแล้วครับหลังจากออกอัลบั้ม Between a Hundred Lies พวกเขาเองก็ไม่ต่างจากรุ่นพี่ของพวกเขาครับ ที่ทำดนตรีป๊อปในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศนี้จริงๆ เตรียมไปนั่งฟังสบายๆ พักผ่อนหัวใจไปกับดนตรีของพวกเขากันดีกว่าAsh

Ash วงจากไอร์แลนด์ที่ดังตั้งแต่ยุค Britpop ที่พวกเขายังเป็นหนุ่มน้อยเรียนมัธยมกันอยู่เลย แต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นมือเก๋าของวงการที่ขยันผลิตงานเพลงพังค์มันๆในแบบของพวกเขามาฝากพวกเราไม่เคยขาดเลย แน่นอนว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างผมต้องรอคยเพลงอย่าง Girl from Mars, Angel Interceptor, A Life Less Ordinary และ Wild Surf ที่ชวนให้ผมโยกหัวตลอดตั้งแต่สมัยยังนุ่งกางเกงขาสั้นอยู่เลยครับ แล้วก็เป็นการล้างแค้นที่อดดูพวกเขาตอนมาเมืองไทยเมื่อครั้งที่แล้วด้วยครับ

Manic Street Preachers วงที่น่าจะเรียกเสียงกรี้ดจากแฟนเพลงได้ได้เยอะสุด ถ้าเป็นแฟนเพลงรุ่นผม คงไม่ต้องบอกว่าทำไม แต่สำหรับแฟนเพลงรุ่นหลัง พวกเขาคือวงดนตรีต่างประเทศที่ได้รับความนิยมสุดในบ้านเราเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เมื่อตอนที่มาเมืองไทยครั้งที่แล้ว เล่นเอา MBK Hall สะเทือนไปทั้งสองวันเลย แม้สมาชิกหลักอย่าง Richey จะหายตัวไปไม่ยอมกลับมา แต่พวกเขาก็ยังสู้ต่อในวงการเพลง แม้ผลงานช่วงปลายอาชีพจะไม่สะเทือนเกาะอังกฤษเหมือนยุค Generation Terrorist หรือ Everything Must Go แต่พวกเขาก็กลับมาได้อย่างสวยงานกับอัลบั้มล่าสุด Send away the Tigers ที่สดและใหม่เหมือนกับพวกเขาแอบไปขโมยความหนุ่มมากจากวงอื่นๆเลย และวงนี้ก็เป็นวงรักในดวงใจผมอีกวงที่แค่ได้ยินอินโทรก็ร้องตามได้ทั้งเพลงแล้วครับ ครั้งนี้ผมไม่ยอมพลาดแน่นอนหลังจากที่พลาดคอนเสิร์ตของพวกเขามาตลอดสามครั้งแล้ว สำหรับรายละเอียดวงนี้ จะเอามาเขียนอีกรอบครับ ครั้งนี้เอามาแนะนำสั้นๆก่อน

Manic Street Preachers

นอกจากวงจากต่างชาติแล้ว วงไทยเจ๋งๆก็มากันเกือบทั้งหมดนะครับ วงที่ผมเล็งไว้ว่าอยากดูในครั้งนี้คือ Ebola, Greasy Café, Futon, Brand New Sunset และ Silly Fools บอกตรงๆครับ ว่าไม่อยากพลาดจริงๆ หวังว่าจะเจอกับทุกคนในงานนะครับ ตอนนี้ขอไปฟิตร่างกายรอก่อนครับ

For More Information http://www.bangkok100rock.com/

The Verve: เดี๋ยวรัก เดี๋ยวเลิก

Technorati Tags: ,

การอยู่ในวงดนตรี บางทีมันก็ไม่ต่างอะไรกับความสัมพันธ์อื่นของคน เพราะมีทั้งช่วงหวานชื่น ช่วงขื่นขม การร้างลา และสำหรับวงดนตรีบางวง อาจจะมีการเลิกกัน และหันกลับมาจูบปากกันใหม่บ่อยกว่าวงอื่น และวงที่เป็นตัวอย่างของความสัมพันธ์แบบรักๆเลิกๆในวงการดนตรีที่ดีคือ The Verve นั่นเอง

The Verve ถือกำเนิดขึ้นในเมืองที่รักบี้ดังกว่าฟุตบอลอย่าง Wigan ประเทศอังกฤษ หนุ่มน้อย (ในตอนนั้น) ทั้งสี่คนคือ Richard Ashcroft (ริชาร์ด ร้องนำ) Nick McCabe (นิค กีตาร์) Simon Jones (ไซมอน เบส) และ Pete Salisbury (พีท กลอง) พบกันในมหาวิทยาลัย และมักใช้เวลาในการคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ชีวิตตัวเองต้องลงเอยด้วยการเป็น nobody และคำตอบที่ผุดขึ้นมาในสมองของพวกเขาคือ ตั้งวง (ดนตรี) สิวะ

กิจกรรมในฐานะนักดนตรีของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นในปี 1989 ซึ่งพวกเขาเริ่มสร้างสรรค์เพลงของตัวเองโดยได้รับอิทธิพลหลักๆจากดนตรี Shoegazing และ Space Rock และหลังจากออกเล่นสดได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มเป็นที่เลื่องลือกันแบบปากต่อปากจากความสามารถในการดึงคนดูได้อยู่หมัดด้วยดนตรีแนวทดลองหลุดโลกของพวกเขา

จากชื่อเสียงของพวกเขา ทำให้ค่ายเพลงหัวก้าวหน้าอย่าง Hut Records รีบตัดสินใจเซ็นสัญญากับพวกเขาทันที และพวกเขาก็ตอบแทนด้วยการทยอยออกซิงเกิ้ลเด็ด นั่นคือ All in Mind ที่มีอารมณ์ของเพลงเต้นรำอยู่ด้วย She’s Superstar ที่อบอวลไปด้วยเสียงกีตาร์หลอนประสาท และ Gravity Grave ที่เป็นเหมือนกับการเดินเข้าไปในสมองคนที่กำลังพี้ยาอยู่ ทั้งสามเพลงคือเพลงเด่นที่แม้แต่ทุกวันนี้พวกเขายังเอามาเล่นสดอยู่

จุดเด่นของพวกเขาคือ นอกจากภาคจังหวะที่แน่น และผสมความเป็นฟังค์และดนตรีเต้นรำลงไป เสียงกีตาร์ของอัจฉริยะวัยหนุ่มอย่าง Nick และเนื้อร้องหลุดโลกที่ถูกพ่นออกมาโดย Richard ทำให้พวกเขาโดดเด่นขึ้นมาทันที

พวกเขาได้โปรดิวเซอร์มือทองอย่าง John Leckie ช่วยควบคุมงานให้ และผลที่ออกมาคืออัลบั้ม A Storm in Heaven ในปี 1993 ที่แม้จะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่ว่ามันได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เป็นอย่างมาก แม้ 3 ซิงเกิ้ลแรกจะไม่ถูกรวมอยู่ในอัลบั้ม แต่ว่ามันก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันเลย โดยมีเพลงอย่าง Blue และ Slide Away เป็นตัวชูโรงจากความหลอนของมัน และ จากการแสดงสดที่ยอดเยี่ยม ทำให้ Richard ได้รับฉายาว่า Mad Richard ไปในทันใด แต่เงาของยาเสพติดและความขัดแย้งก็เริ่มฉายอยู่เหนือสมาชิกในวง

ในปี 1995 กระแส Brit Pop กำลังมาแรงมาก และพวกเขาก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยการหันจากดนตรีหลอนประสาทไปสู่เพลงที่ร๊อคมากขึ้นกว่าเดิม จนออกมาเป็นอัลบั้ม A Northern Soul ที่เกิดขึ้นบนความขัดแย้งระหว่าง Nick และ Richard แต่ดันกลับกลายเป็นอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมเอามากๆ มันเต็มไปด้วยเพลงที่ยอดเยี่ยมอย่าง This is Music ที่เป็นการประกาศอย่างองอาจ Brainstorm Interlude ที่เล่นเอาหัวเราแทบระเบิด และมันยังมีเพลงช้าสุดเพราะอย่าง On Your Own และ History ที่งามอย่างน่าเศร้าไม่ต่างกับการเขียนนิยายรักโดยใช้คนรักเก่าเป็นนางเอก พวกเขากำลังอยู่ในขาขึ้น แต่ก็ต้องแตกวงด้วยจากจากไปของ Nick เพราะปัญหาเรื่องไม่มีที่พอให้ ego ของเขาและ Richard พร้อมกัน แต่พวกเขาก็กลับมาร่วมวงกันโดยดึงเอา Simon Tong มาเล่นกีตาร์แทน

เมื่อเริ่มลุยงานได้ไม่นาน Nick ก็กลับมาคืนดี และพวกเขาก็สานสัมพันธ์กันด้วยการเล่นยาขนานหนัก (ไม่ควรเอาเป็นตัวอย่าง) และผลของมันคือ Urban Hymns ที่เป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จที่สุดของพวกเขา

ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม Bittersweet Symphony คือเพลงที่ดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลกด้วยความยอดเยี่ยมของมัน แม้ในทุกวันนี้เรายังได้ยินมันอยู่เรื่อยๆอย่างไม่ขาดสาย แต่คนที่ได้เงินคือ The Rolling Stones ฟ้องพวกเขาว่าเอาเพลง The Last Time มาทำใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต และชนะคดี นอนกินเงินศิลปินรุ่นน้องไป (รวยไม่พอรึไงวะ) แต่ Urban Hymns ก็ยังมีเพลงอื่นที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันอีกอย่าง Lucky Man หรือ The Drugs Don’t Work และเพลงช้าอื่นๆอีกมากมาย Urban Hymns ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม แม้จะโดนค่อนขอดจากแฟนเพลงดั้งเดิมว่ากลายเป็นตาแก่ร้องเพลงช้าๆธรรมดาไปแล้ว ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ได้สร้างชื่อให้กับตัวเองได้อย่างเกรียงไกร แต่พวกเขาก็ดันทะลึ่งแตกวงอีกในปี 1999 โดยไม่บอกสาเหตุ

หลังจากสมาชิกหันไปทำงานเพลงของตัวเองกัน แม้จะไม่ได้ประสบความสำเร็จมาก แต่ทุกคนก็อยู่ในวงการเพลงตลอด จน Richard กลับมาดังอีกครั้งจากการไปเล่นในงาน Live Eight จากการเชิญของ Coldplay ชื่นชมเขามาตลอดพวกเขาตัดสินใจกลับมาร่วมงานกันโดยไม่มี Simon Tong และแม้แจะมีความขัดแย้งอยู่ในวงเรื่อยๆ แต่พวกเขาก็ออกซิงเกิ้ลแรก Love is Noise ที่เป็นการกลับมาอย่างงดงามจริงๆ เพราะมันช่างยิ่งใหญ่และห้าวหาญราวกับพวกเขาเป็นเด็กหนุ่มอยู่เลย จนทำให้การกลับมาครั้งนี้น่าสนอย่างยิ่ง ยิ่ง Forth อัลบั้มเต็มชุดที่สี่ออกมาในปีนี้ ทำให้เราประทับใจกับมันอย่างมาก หวังว่า ครั้งนี้คงไม่แยกทางกันโดยกะทันหันอีกนะครับ