แป๊บๆ ก็เข้าเดือนกันยายน ไตรมาสสุดท้ายของปีแล้วนะครับ ไวเป็นบ้า ผมยังไม่ชินกับปี 2554 เลย นี่จะเปลี่ยนล่ะ ก่อนที่จะสิ้นปี ผมเองก็ต้องเริ่มไล่เรียงเตรียมอันดับอัลบั้มยอดเยี่ยมของปี ระหว่างนั้นก็เจอศิลปินเลือดใหม่ที่ออกผลงานที่น่าประทับใจออกมา ก็ต้องขอนำมาเสนอกันบ้างล่ะครับ
Jonathan Jeremiah
ชายหนุ่มจากลอนดอนเหนือ ที่แปลกแยกกว่าคนอื่น แทนที่เขาจะสนใจเพลงอินดี้ร๊อคแบบเด็กรุ่นเดียวกัน เขากลับหลงไหลไปกับเพลงโฟลค์อังกฤษ การเรียบเรียงเครื่องสาย และเสียงร้องที่นิ่มนวล เขาโตมากับกองแผ่นเสียงของพ่อที่เต็มไปด้วย Scott Walker, Cat Stevens และ Serge Gainsbourg และเริ่มเล่นกีตาร์เมื่ออายุเพียง 6 ขวบเท่านั้น
เมื่ออายุได้ 21 ปี เขาเดินทางไปอเมริกาเพื่อหาประสบการณ์ แทนที่จะได้พบกับแนวดนตรีโฟลค์อเมริกันที่เขาคาดหวัง เขากลับพบกับความหงอยเหงาเพราะหาคนที่สนใจแนวดนตรีเดียวกันไม่เจอ แต่มันก็ได้เสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับเขาเพื่อพัฒนาการแต่งเพลงต่อไป เมื่อเขากลับมาอังกฤษ ก็ได้พบกับกลุ่มนักดนตรีออเคสตรารุ่นใหม่ ทำให้เขาได้ทีมงานมาช่วยเหลือในอัลบั้มที่เขาโปรดิวซ์เอง เนื่องจากต้องการเสียงจากเครื่องดนตรีจริงๆ โดยเขาต้องทำงานเป็นรปภ.เพื่อหางานมาจ่ายค่าตัวของนักดนตรี เมื่อเสียงออเคสตราที่แสนบรรจง บวกเข้ากับเสียงกีตาร์ที่เป็นเหมือนอวัยวะอีกชิ้นของเขา และเสียงบาริโทนนุ่มๆ ทำให้กลายเป็นส่วนผสมทางดนตรีที่ลงตัวที่สุดอีกชิ้นหนึ่ง และเป็นเพขรที่รอคอยการถูกค้นพบอยู่ครับ
และเมื่อคุณหยิบ A Solitary Man ผลงานชิ้นแรกของเขามาฟัง คุณจะเข้าใจความทุ่มเทที่เขาใส่ลงไปในงานชิ้นนี้ครับ แม้บางคนจะมองมันว่าเป็นแค่งานเพลงฟังสบายๆ ไม่หวือหวา แต่มันเต็มไปด้วยความบรรจงในการแต่งแต้มสีสันของเพลงเป็นอย่างดี แต่ละเพลงร้อยเรียงได้อย่างลงตัวไร้รอยต่อจริงๆ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความตั้งใจในการประสานเครื่องดนตรีทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพลงอย่าง That Same Old Line เป็นตัวอย่างที่ดีมากในการเล่าเรื่องราวผ่านเพลง ส่วน Heart of Stone ก็เป็นเพลงร๊อคย้อนยุคแบบที่ฟังดูแล้วไม่เชยเลย เหมาะแก่การหยิบไปฟังเวลาขับรถทางไกลมาก Lost เป็นเพลงโปรดอีกเพลงหนึ่งของผม ที่เล่นกับเนื้อเพลงง่ายๆออกมาได้อย่างดี Happiness ก็เป็นอีกเพลงที่เรียบเรียงออกมาได้ลงตัวมาก เช่นเดียวกับ See ที่เครื่องสายบาดลงไปถึงหัวใจเราเลยทีเดียว
แม้คุณจะมีความสุขกับการฟังเพลงสุดเท่ทั้งหลาย แต่ในบางเวลา เมื่อคุณเหน็ดเหนื่อยกับสิ่งต่างๆ งานเพลงของ Jonathan Jeremiah คือสิ่งที่จะเยียวยาคุณจากความเหน็ดเหนื่อยเหล่านั้นได้ครับ
James Blake
อีกหนึ่งหนุ่มลอนดอนที่โดดเด่นเอามากๆในช่วงปีที่ผ่านมาก James Blake จบการศึกษาจาก Goldsmiths, University of London โดยมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อดังอีกคนอย่าง Katy B และเขาก็ใช้เวลาระหว่าเรียนในการอัดผลงานเพลงของตัวเองมาเสมอ และเริ่มออกงานเพลงชิ้นแรก Air & Lack Thereof ในปี 2009 และมันก็ไปเข้าตาดีเจชื่อดังอย่าง Gilles Peterson จนได้รับเชิญไปมิกซ์เพลง หลังจากนั้น เขาก็ได้ออก EP ชื่อ CMYK ซึ่งก็กลายเป็นที่จับตามองอีก
แต่เพลงที่ส่งเขาเข้าไปอยู่ในสปอตไลต์ของวงการเพลงจริงๆคือ Limit to Your Love ที่เป็นเพลงช้าๆ เนิบๆ แต่เล่นกับช่องว่างของเสียงได้เป็นอย่างดี และยังไล่อารมณ์เพลงได้ยอดเยี่ยมจนขนลุกเลยทีเดียว และนั่นทำให้เขาได้รับการจับตามอง จนถึงกับถูกรวมใน The Sound of 2011 ที่จัดโดย BBC เลยทีเดียว
เขาใช้เวลาตลอดปี2010 เพื่ออัดงานเพลงชุดแรกของเขา และกลายมาเป็นงานอัลบั้มเต็มที่ใช้ชื่อเดียวกับเขาเลย และมันก็กลายเป็นงานที่โดดเด่นเอามากๆอีกชิ้นหนึ่งในปีนี้ ด้วยความที่มันสามารถใช้ช่องว่างระหว่างเสียงและจังหวะสร้างบรรยากาศแบบเฉพาะตัวได้อย่างงดงามเกินบรรยาย เพลงที่โดดเด่นมากๆก็อย่างซิงเกิ้ล The Wilhelm Scream ที่งดงามเกินบรรยาย ให้ความรู้สึกเหมือนการล่องลอยอยู่ระหว่างความฝันและความจริงโดยที่ไม่รู้แน่ชัดว่าเรากำลังอยู่ส่วนไหนกันแน่ ราวกับหลุดเข้าไปอยู่นภาพวาดเซอเรียลิสม์ชั้นครู และเป็นตัวแทนของอัลบั้มนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะทั้งอัลบั้ม มันเล่นกับจังหวะและช่องว่างได้อย่างเหนือชั้นจริงๆครับ เป็นตัวอย่างของการสร้างบรรยากาศของเพลงที่ดึงดูดเราเข้าไปสู่โลกของศิลปินได้อย่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน
ไม่แปลกอะไรที่ความยอดเยี่ยมและโดดเด่นของมันจะพาให้เขาได้เข้าร่วมชิงรางวัล Mercury Prize รางวัลเด่นของคนดนตรีในอังกฤษในปีนี้ และอีกโปรเจ็คต์ที่น่าสนใจเอามากๆคือ เขากำลังร่วมทำงานเพลงกับ Justin Vernon แห่ง Bon Iver ศิลปินที่ถนัดในการสร้างบรรยากาศของเพลงอีกคน น่าสนจริงๆครับว่างานของพวกเขาจะออกมาในแนวไหนกัน
No comments:
Post a Comment