Monday, March 30, 2009

The Gaslight Anthem: ความตาย บทเพลง และน้ำตา

Technorati Tags: ,

ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนถึงเพลง Teenage Kicks ที่ทำให้ผมน้ำตาซึมเพราะว่าความหลังที่ถูกรื้อฟื้นมาด้วยเพลงนี้มาแล้ว และครั้งนี้ผมคงต้องขอเขียนถึงเพลงอีกเพลงที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างเดียวกัน นั่นคือดึงเอาประสบการณ์ในอดีตของเราออกมาด้วยความซื่อตรง และจริงใจของมัน

 

ตั้งแต่เริ่มเข้าวัยผู้ใหญ่ สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าแย่ยิ่งกว่าการที่อายุมากขึ้นเรื่อยๆคือ การที่ต้องเห็นคนรอบตัวจากไปอย่างไม่มีวันกลับเรื่อยๆ ผมคิดว่าความเศร้านี้คือทัณฑ์ที่มนุษย์ต้องแบกรับต่อไปเพื่อแลกกับการมีชีวิตอยู่ต่อ และตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยมา คนรู้จักรอบตัวผมหลายคนก็ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ และในจำนวนนั้นก็มีเพื่อนสมัยเรียนอีกด้วย

 

คนหนึ่งตายไปเมื่อหลายปีก่อนด้วยสาเหตุที่ผมไม่อยากกล่าวถึง อีกคนเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี่เอง จริงๆแล้ว ตอนที่เรารู้ข่าว มันจะยังชา และยังไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่พอมามองย้อนไป บางทีน้ำตามันก็ซึมมาโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อไม่นานมานี้ พอผมได้ฟังและแกะเนื้อเพลงที่ชื่อ The ’59 Sound ของ The Gaslight Anthem น้ำตาของผมก็ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อฟังเพลงนี้

 

GA BW

 

The Gaslight Anthem คือวงดนตรีหน้าใหม่สี่ชิ้นจาก New Jersey อเมริกา นำโดยหัวหอกของวงอย่าง Brian Fallon (ร้องนำ กีตาร์) พวกเขารวมตัวกันในปี 2005 และเริ่มทำเพลงโดยได้รับอิทธิพลจากศิลปินรุ่นพี่ (พ่อ) จากเมืองเดียวกันอย่าง Bruce Springsteen ในแง่ของการทำเพลงชวนตะโกนแหกปากร้องตาม และผสมเข้ากับดนตรี Hardcore Punk ที่ได้รับอิทธิพลมาจาก Jawbreaker จนไปถึง The Ramones, The Cure และ The Clash จนกลายมาเป็นซาวนด์เฉพาะตัวของพวกเขา

 

GA LIVE

 

ปี 2007 พวกเขาออกอัลบั้มแรกที่ชื่อ Sink or Swim ที่สร้างชื่อเสียงในแวดวง  เพลงร๊อคได้เป็นอย่างดี จนได้ไปร่วมทัวร์กับวงดังๆอย่าง Against Me! และ Rise Against และเมื่อพวกเขาออก EP คั่นเวลา พวกเขาก็ดังข้ามฟากไปฝั่งอังกฤษ โดยนิตยสารอย่าง Kerrang ถึงกับเอาพวกเขาขึ้นปกทันทีโดยไม่เคยเขียนถึงมาก่อนด้วยซ้ำ

 

ปี 2008 พวกเขาออกอัลบั้มที่ 2 ชื่อ ’59 Sound ซึ่งเต็มไปด้วยเพลงพังค์ร๊อคเด่นๆหลายเพลงอย่าง High Lonesome, The Patient Ferris Wheel หรือ Miles Davis & The Cool แต่เพลงเด่นที่สุดของอัลบั้มชุดที่สองคือ The ’59 Sound ตามชื่ออัลบั้ม มันคือเพลงที่ยอดเยี่ยมอีกเพลงหนึ่งของปีที่แล้ว มันคือเพลงที่ Brian แต่งขึ้นมาเพื่อเพื่อนของเขาที่เสียชีวิตในอุบัติเหตุ และในทุกๆคำที่เขาร้องออกมา คุณจะสัมผัสถึงความจริงใจ และความเศร้าของเขาที่มันแน่นจนต้องระบายออกมาเป็นเพลง มันไม่ใช่เพลงเศร้าๆ โง่ๆแบบที่นักร้องเพลงป๊อปสวะๆชอบสักแต่ผลิตออกมาโดยไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง แต่มันคือบทเพลงที่ทำให้เรารู้สึกว่า Brian เอามีดกรีดไปที่กลางหัวใจของเขาเพื่อเอาเลือดมาเป็นหมึกเขียนเพลง ผมคงต้องขอหยิบเนื้อเพลงบางส่วนออกมาเพื่อให้คุณได้สัมผัสมันเช่นกัน

 

 

And I wonder were you scared when the metal hit the glass.
See I was playing a show down the road when your spirit left your body.
And they told me on the front lawn, I'm sorry I couldn't go.
But I still know the song and the words and the name and the reasons.
And I know cause we were kids and we used to hang.

 

ชั้นสงสัยว่านายกลัวหรือเปล่า ตอนที่เหล็กมันทะลุกระจกเข้ามา

ชั้นเล่นสดอยู่ในเมืองตอนที่วิญญาณนายจากร่างไป

แล้วค่อยมารู้ข่าวทีหลัง ขอโทษด้วยที่ไปงานไม่ได้

แต่ชั้นยังคงจำเพลง เนื้อร้อง ชื่อ และเหตุผลได้

และชั้นรู้เพราะเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก

 

แค่นี้ก็ทำให้เรารู้แล้วว่ามันคือเพลงที่ถูกเขียนออกมาจากใจขนาดไหน ถ้าเท่านี้มันยังไม่พอ ลองไปดูท่อนคอรัสของเพลงนี้สิครับ

 

To hear the '59 sound coming through my Grandfather's radio.
Did you hear the rattling chains in the hospital walls?
Did you hear the old gospel choir when they came to carry you over?
Did you hear your favorite song one last time?
Young boys........young girls.
Ain't supposed to die on a saturday nights.

 

ฟังเพลงจากปี 59 ด้วยวิทยุของคุณปู่

นายได้ยินเสียงโซ่ในโรงพยาบาลมั้ย

แล้วนายได้ยินเพลงสวดตอนที่เขามาหามร่างนายมั้ย

นายได้ฟังเพลงโปรดของนายเป็นครั้งสุดท้ายมั้ย

หนุ่มสาวเอ๋ย

ไม่ควรมาตายในคือวันเสาร์เลย

*ปี1959 คือปีที่ศิลปินดังอย่าง Buddy Holly และ Ritchie Valens ตายในอุบัติเหตุพร้อมกัน

 GA LIVE BW

เท่านี้คงจะเข้าใจแล้วว่าเพลงนี้มันเศร้าแค่ไหน ผมเองไม่ใช่คนเสพติดความเศร้า แต่ที่ผมชอบฟังเพลงนี้และปล่อยให้น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตาเสมอก็เพราะว่า นอกจากมันจะเป็นเพลงที่เศร้า และชวนให้รำลึกถึงอดีตทุกครั้ง มันยังเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ และเป็นเพลงที่ทุกๆคนควรจะได้ฟังอย่างน้อยก็ซักครั้งหนึ่ง เพราะในโลกแห่งอุตสาหกรรมดนตรี การจะหาเพลงซักเพลงที่สื่อสารออกมาอย่างจริงใจกับคุณขนาดนี้มันไม่ง่ายหรอกครับ

Thursday, March 26, 2009

Watchmen: ดูหนังฟังเพลง

Technorati Tags: ,,
สองอาทิตย์ก่อน ผมได้กลับไปหากิจกรรมกิจกรรมหนึ่งที่ไม่ได้ทำมาเป็นเวลานานแล้ว นั่นคือการตีตั๋วเข้าไปดูหนังในโรงคนเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมทำบ่อยมากในอดีต เพราะว่าชอบมีสมาธิกับหนังเต็มที่ ไม่ให้มีใครมากวน แต่หลังๆการดูหนังมักจะเปลี่ยนจากการดูเอาความ มาเป็นการดูเพื่อผ่อนคลายกับเพื่อนฝูง และคนรอบข้าง ดังนั้น เลยไม่ค่อยได้มีโอกาสดูหนังคนเดียวมากนัก แต่ด้วยความอยากดู Watchmen อย่างแรง ทำให้รอคนอื่นไม่ไหว

Heroes

สาเหตุที่ทำให้ผมอยากดูหนังที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้มาก ไม่ใช่เพราะว่ามันดังมากับกระแสหนังฮีโร่ที่เป็นที่นิยมอยากมากในช่วง 4-5ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ X-Men กับ Spider-Man เริ่มกระแสหนังฮีโร่ที่จริงไม่ ไม่เป็นการ์ตูน) แต่เป็นเพราะผมเคยอ่านเกี่ยวกับการ์ตูนชุดเรื่องนี้มาก่อนตั้งแต่สมัยยังใส่กางเกงขาสั้น และเคยอ่านผ่านๆบ้างอย่างไม่ละเอียด แต่ว่า การแต่งเนื้อเรื่องของมือโปร Alan Moore ก็น่าสนใจจริงๆครับ เขาคือยอดนักเขียนเรื่องของวงการการ์ตูนจริงๆ ผลงานดังๆของเขาก็อย่างเช่น The League of Extra Ordinary Gentlemen (หนัง ห่วยมาก) หรือ V For Vendetta (หนัง โอเค) และการที่ได้ Zack Snyder ที่โด่งดังมาจาก 300 (ต้นฉบับการ์ตูนของ Frank Miller) มากำกับ ทำให้ Watchmen กลายเป็นหนังที่ผมรออยากดูที่สุดในปีนี้ครับ
Smiley

เขียนมาตั้งเยอะ คนอ่านคงจะงงแล้วว่า ตกลงมันจะเขียนคอลัมน์เพลงหรือหนังกันแน่ ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่หลุดแนวตัวเองแน่ๆครับ ยังไงก็ต้องเขียนเกี่ยวกับเพลงอยู่แล้ว ที่ต้องหยิบเอาหนังเรื่องนี้มาเขียน เพราะว่าเพลงประกอบก็เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญของหนังมาก ถ้าหากเลือกใช้เพลงได้เหมาะสมกับฉากแล้ว อารมณ์ของหนังจะพุ่งสู่ขีดสูงสุดได้เป็นอย่างดีครับ และ Watchmen ก็เป็นตัวอย่างที่ดีอย่างน่าตกใจในการเลือกใช้เพลงประกอบครับ
Watchmen OST

ที่บอกน่าตกใจคือ ส่วนใหญ่แล้ว หนังอเมริกันมักจะเน้นยัดๆเพลงเข้ามาในหนังเพื่อที่จะขายอัลบั้มประกอบเพลงมากกว่า ถ้าเทียบกับหนังจากประเทศอังกฤษแล้ว อังกฤษจะเลือกใช้เพลงมาเพื่อเล่าเรื่องหนังได้เป็นอย่างดี ใครๆคงจะจำฉากเด็ดอย่าง Renton เมายาไปกับเพลง Perfect Day ของ Lou Reed ใน Trainspotting หรือฉากที่หนุ่มน้อย Billy Elliot ที่กลัดกลุ้มถึงขนาดต้องระบายออกด้วยการเต้นไปกับเพลง A Town Called Malice ของ The Jam ส่วนหนังอเมริกันเหรอครับ หาเนียนๆแบบนี้ยากครับ มักจะไปเน้นเพลงบรรเลงมากกว่า

ส่วน Watchmen นั้น ผมไม่ได้คาดหวังเรื่องเพลงประกอบเลยครับ เพราะอยากไปดูเอาเนื้อเรื่องมากกว่า แต่เอาเข้าจริงๆ แค่เพลงเปิดเรื่องก็ทำเอาผมขนลุกแล้วครับ เพราะเขาเล่นเลือกเอาเพลง The Times They Are A-Changin' ของ Bob Dylan มาเปิดตัวหนัง ซึ่งมันสื่อได้ตรงกับหนังมากครับ ว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ประกอบกับการเล่าเรื่องตัวละครรองของเรื่องไปกับประวัติศาสตร์ของอเมริกา ซึ่งสื่อออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จนเล่นเอาผมปากค้างไปเลย ไม่ว่าจะเป็นการลอบสังหาร JFK การประท้วงด้วยพลังบุบผาชนของนักศึกษา หรือฉากที่มี David Bowie โผล่มาแจมด้วย และที่สำคัญคือมันสื่ออย่างแนบเนียนว่า ฮีโร่สวมหน้ากากค่อยๆหมดความจำเป็นจากสังคมไปเรื่อยๆ แค่ฉากเปิดเรื่อง ก็ทำคะแนนจากผมไปได้เพียบแล้วครับ

และฉากสำคัญอีกฉากที่เลือกเพลงมาได้อย่างน่าสนใจจริงๆก็คือฉากงานศพกับเพลง The Sound of Silence ของ Simon and Garfunkel ที่ช่างโศกเศร้า และวังเวงเหลือเกิน ส่วนฉาก “กลับโลก” ที่เลือกใช้เพลง All Along The Watchtower ฉบับของ Jimmi Hendrix ก็เยี่ยมไม่แพ้กันครับ เพราะมันคือเพลงที่ยอดเยี่ยมตลอดกาลที่ทำให้เรารู้สึกอยากจะลุยไปจริงๆ ส่วนฉากฮีโร่เริงรัก ก็เลือกเพลงคลาสสิกอย่าง Hallelujah แบบต้นฉบับของ Leonard Cohen ที่ผมคิดว่ามันช่างเหมาะกับเซ็กซ์แบบละเมียดละไมจริงๆ เอาไปสิบเต็มครับ การใช้เพลงของหนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกไปถึง Forrest Gump ที่เลือกเพลงมาเพื่อแสดงยุคสมัยนั้นๆ แม้จะดูเหมือนเล่นทื่อๆไปหน่อย แบบยุคไหนก็เอาเพลงยุคนั้นมา หาฟีลให้ตรงๆก็พอ แต่ก็จัดว่าดีกว่ายัดเข้ามามั่วๆแบบหนังบางเรื่อง

และอัลบั้มนี้ไม่ได้มีแต่เพลงยุคเก่าครับ ยังมีเพลง Desolation Row ของ Bob Dylan ที่ได้วงที่เป็นแฟนการ์ตูนต้นฉบับอย่าง My Chemical Romance เอามาทำเป็นเพลงปิดเรื่องอย่างสุดมันแบบคล้ายๆกับ The Sex Pistols ไปเลยครับ เรียกได้ว่าเอาใจแฟนๆทุกรุ่นจริงๆ

นอกจากตัวเพลงที่ผมเขียนชมไปเยอะแล้ว ตัวหนังก็ทำออกมาได้อย่างดีมากๆครับ ถึง Alan Moore จะไม่ยอมรับก็ตามที แต่ว่ามันก็สร้างบรรยากาศได้อย่างยอดเยี่ยมมากครับ แต่ว่า แล้วแต่รสนิยมครับ หลายคนก็เกลียดหนังเรื่องนี้มาก บอกว่าห่วยจริงๆ น่าจะเป็นเพราะว่าไม่รู้มาก่อนว่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร กะแต่จะไปดูหนังฮีโร่เอาสนุกอย่าง Fantastic Four ซึ่งมันคนละขั้วเลยครับ แต่ถ้าชอบฮีโร่ดิบๆแบบ The Dark Knight ก็ต้องไปลองดูกันครับ ส่วนตัวผม ให้เก้าเต็มสิบไปเลย

Thursday, March 19, 2009

Let’s Recycle

วันก่อน ตอนขับรถไปทำงาน บังเอิญเจอซาเล้งกำลังคุ้ยขยะอยู่ที่หอแถวบ้านพอดี โชคดีที่ตอนนั้นเก็บขวดน้ำที่เอามาจากสำนักงานไว้เต็มรถ เลยเดินลงไปถามพี่แกว่า พวกข;ดพลาสติกแกรับมั้ย แกก็บอกรับ เราเลยไปขนลงมาจากรถ

 

พอพี่แกเห็นเท่านั้นล่ะครับ ยิ้มเลย เพราะว่าหลังรถเรามีขวดน้ำพลาสติดอยู่เยอะพอที่จะเต็มถุงดำใบนึงเลย แกคงดีใจมาก ยิ้มแป้น เราเลยถามต่อว่า แล้วพวกพลาสติกพวกนี้รับมั้ย แล้วก็เอากล่องข้าวพลาสติคให้ดู แกก็เอาอีก ไม่เหลือครับ ขวดนู่นนี่ แกเอาหมด สรุป แกเลิกคุ้ยแล้วไปต่อเลย สงสัยจะทำยอดได้แล้ว

 

แล้ววันนี้ ไปจัสโก้ เลยเอากระดาษที่อยู่ท้ายรถไปใส่กล่องบริจาค กะว่าจะเอาพวกกล่องนม กับพลาสติคต่างๆไปบริจาคอีก (จัสโก้เอาไปขายแล้วเอาเงินไปทำบุญ) นอกจากได้ทำบุญแล้ว ยังได้ช่วยโลกด้วย เพราะเราเองก็ชินกับระบบนี้มานานแล้วตั้งแต่ไปอยู่ญี่ปุ่น เลยไม่รู้สึกลำบากอะไรนัก แค่ต้องหาจังหวะไปทิ้งดีๆเท่านั้น (โฟมเอาไปที่ฟูจิซูเปอร์ได้)

 

มานั่งนึกอีกที พี่ๆซาเล้งก็ช่วยโลกโดยไม่รู้ตัวนะ เพราะว่าขยะที่เรามักง่ายเอาไปทิ้งมั่วๆ แกก็แยกแล้วเอาไปขาย ให้มันกลับสู่ระบบอีก ถ้าเอาขยะเราไปให้แก ก็ได้ช่วยโลกพร้อมช่วยแก แต่ถ้าทุกคนเอาไปทิ้งที่จัสโก้หมด พี่ๆซาเล้งคงหมดงาน น่าสงสารอีก มีเหลือๆไว้บ้างก็ดีนะ อย่างน้อยพวกแกก็ทำงานสุจริตล่ะนะ เอาเป็นว่า ใส่ของไว้ท้ายรถ ถ้าได้ไปจัสโก้ ก็ทิ้งที่นั่น ถ้าเจอซาเล้ง ก็ยกให้เค้าไป น่าจะดี

 

ถ้าไม่ลองแยกขยะดู จะไม่รู้หรอกครับว่าเราทำร้ายโลกกันแค่ไหน ว่างๆลองทำดูนะครับ ยกตัวอย่างมาให้ดูแล้ว ถ้าทำตามได้จะช่วยลดปริมาณขยะโลกได้มากเลยนะครับ

 

แก้ว ขวด ทิ้งได้ที่จัสโก้ และซาเล้ง

กระดาษ ทิ้งได้ที่จัสโก้ และซาเล้ง

โลหะ ทิ้งได้ที่จัสโก้ และซาเล้ง

กล่องนม ทิ้งได้ที่จัสโก้ (ไม่รู้รายการสามสิบยังแจ๋วยังทำอยู่ป่าว)

พลาสติค (ขวดPetด้วย) ทิ้งได้ที่จัสโก้ และซาเล้ง

กล่องโฟม ฟูจิซูเปอร์ (เอารีไซเคิลเป็นดินสอได้ มั้ง จำไม่ค่อยได้)

ถ่านไฟฉาย ขยะอันตราย เอาไปทิ้งได้ที่กล่องหน้า Power Buy ที่ Central World เพราะอันตรายมากๆ สารพิษล้วนๆครับ

 

ว่าแล้ว ก็ลองลุยกันเลยดีกว่าครับ คนละนิดคนละหน่อยก็ดี

 

Sunday, March 15, 2009

ถึงเวลาพญาอินทรีร่อนสู่ดิน

กลับจากทำงานมาที่บ้าน เปิดทีวีโดยไม่ได้คิดอะไร ก็กลับต้องมาเจอข่าวการเสียชีวิตของ ,รงค์ วงษ์สวรรค์

คนที่ร้จักผมดีคงจะไม่สงสัยว่าผมชื่นชมนักเขียนท่านนี้แค่ไหน ตั้งแต่ได้รู้จักกับงานเขียนของแกเมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัย กผมก็กลายเป็นสาวกไปในทันที เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาพึ่งเคยเจองานเขียนที่ทรงพลังขนาดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตจริงๆ แม้จะเคยอ่านงานของ Ernest Hemingway มาก่อน แต่ว่า งานเขียนของคนไทยที่มีพลังขนาดนี้ ไม่เคยเจอมาก่อนครับ

หลังจากนั้นผมก็ตามติดงานของแกมาตลอด เท่าที่จะหาได้ เจอเล่มไหน ซื้อหมดครับ ไม่เคยพลาด เก่าใหม่ เอาหมด ขอให้ได้อ่านเป็นพอ แต่ก็ยังไม่หมดครับ เพราะแกเขียนได้เยอะจริงๆครับ ตามอ่านไม่หวาดไม่ไหว แต่ทุกครั้งที่ได้อ่าน ก็ต้องปากค้างเพราะความยอดเยี่ยมจริงๆ คนบ้าอะไร จะรู้ไปหมดขนาดนั้น นี่คือผลจากการท่องเที่ยวเก็เกี่ยวประสบการณ์และความอยากรู้แบบไม่มีที่สิ้นสุดของแกจริงๆ ขอคารวะครับ

ตัวผมเองถ้ามีโอกาศก็อยากจะไปเยี่ยมแกที่สวนทูนอิน แต่ด้วยความงี่เง่าของตัวเอง ทำให้ไม่ได้ไปซะที จนรู้ว่าแกป่วยด้วยโรคไต ยิ่งอยากไป แต่ด้วยหน้าที่การงานก็ทำให้ไปไม่ได้ซะที

จนวันนี้ พญาอินทรีแห่งวงการน้ำหมึก ก็ได้สิ้นลมหายใจอย่างสงบในเวลา 17:30 น. ของวันที่ 15 มีนาคม 2552 โดยฝากผลงานระดับ masterpiece ไว้ให้กับคนรุ่นหลังอย่างมากมาย

ขอคารวะจากใจจริง

Friday, March 13, 2009

War Child Heroes: ฮีโร่ตัวจริง

Technorati Tags: ,,,

ปกติแล้ว ค่ายวอร์เนอร์ไทยแลนด์ที่รักมักจะส่งซีดีมาถึงที่โรงเรียนภาษาญี่ปุ่น เจ เลิร์นนิ่ง ที่ผมทำงานเป็นประจำอยู่แล้ว โดยมิเคยต้องปริปากขออ้อนวอนเลยแต่ในครั้งนี้ มีซีดีแผ่นหนึ่ง ที่ผมไม่คิดจะรอรับของตัวอย่าง แต่เลือกออกไปซื้อที่ร้านโดเรมีสยามทันทีที่รู้ว่ามีขายในไทย เพราะว่ามันเป็นอัลบั้มที่ผมอยากเสียเงินจริงๆครับ มันคืออัลบั้ม Heroes ผลงานของมูลนิธิ War Child นั่นเอง

 

มูลนิธิ War Child คือมูลนิธิที่ก่อตั้งโดย Bill Leeson และ David Wilson สองช่างกล้องชาวอังกฤษที่ตกใจกับความเลวร้ายของสงคราม และผลกระทบของมันต่อเด็กน้อยทั้งหลาย ไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อม จึงใช้ทักษะที่พวกเขาถนัดในการระดมเงินเพื่อช่วยเหลือเด็ก ซึ่งสงครามหลักๆในตอนนั้นคือสงความแบ่งแยกดินแดนภายในอดีตประเทศยูโกสโลวาเกียนั่นเอง ต่อจากนั้นพวกเขาก็ได้ขยายขอบเขตการช่วยเหลือจนเป็นระดับโลกไป

 

ik

 

ด้วยพื้นเพความเป็นศิลปินของพวกเขา ทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงศิลปินต่างๆ และได้รับการสนับสนุนจากบิ๊กเนมหลายๆรายเป็นอย่างดี ซึ่งไม่เพียงแค่ช่วยเรื่องเงินทุน แต่ยังช่วยทำให้มูลนิธิเป็นที่รับรู้ของคนหมู่มากยิ่งขึ้นไปอีก และหลังจากจัดงานกิจกรรมระดมทุนต่างๆ พวกเขาก็เกิดไอเดียบรรเจิดให้ศิลปินต่างๆมาร่วมทำอัลบั้มเพลง เพื่อจัดจำหน่ายเป็นการกุศลในปี 1995 ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นยุคเบ่งบานของ Brit Pop จริงๆ และพวกเขาก็ได้ศิลปินดังๆทั้งหลายมาร่วมงานอย่างคับคั่ง กลายเป็นอัลบั้ม Help อัลบั้มการกุศลที่ทำยอดขายถล่มทลายจนทำให้พวกเขาสามารถนำเงินไปทำกิจกรรมต่างๆได้มากมาย

 

The_Help_Album

 

อัลบั้ม Help นั้น คือการรวมดาวอย่างแท้จริง สำหรับคนยุคนั้นแล้ว การที่ Oasis, Blur, Manic Street Preachers, Radiohead และ Suede มาร่วมงานในอัลบั้มเดียวกันนั้นก็เหมือนกับฝันเปียกเวลากลางวันของแฟนดนตรีจริงๆ พวกเขาต่างมาร่วมงานโดยจิตศรัทธาแท้ๆ โดยการทำงานได้รับอิทธฺพลจาก Instant Karma ของ John Lennon เพลงควรจะถูกวางขายทันทีที่ผลิต ดังนั้น ขั้นตอนการผลิตไปจนถึงออกขายจึงใช้เวลาแค่ห้าวันเท่านั้น ขุนพลชื่อดังของวงการต่างงัดทีเด็ดออกมาอย่างไม่ยอมแพ้กันเลย Oasis ได้ Johnny Depp มาร้องประสานในเพลง Fade Away ส่วน Radiohead ก็โชว์เพลง Lucky ที่จะไปอยู่ในอัลบั้ม OK Computer เป็นครั้งแรก ส่วน Manic Street Preachers วงโปรดผมก็ทำเพลง Raindrops Keep Falling On My Head ใหม่ โดยเป็นการออกผลงานครั้งแรกหลังจากการหายตัวไปของ Richey Edwards ส่วน Suede ก็เอาเพลง Shipbuilding ของ Lou Reed มาทำใหม่ และยังมี supergroup อย่าง Smokin’ Mojo Filters ที่ประกอบด้วย Paul Weller, Noel Gallagher, Steve Craddock และ Paul McCartney ที่เอาเพลง Come Together ทำใหม่ และยังมีเพลงเต้นรำน่าสนใจอย่างของ Orbital และ One World Orchestra (ชื่อแฝงของ KLF) ซึ่งทุกคนฝากผลงานเพลงชั้นดีไว้ จนถึงไม่เป็นการกุศลก็ขายได้ดีแน่นอนครับ

 

Help-A_Day_in_the_Life_Cover

 

หลังจากความสำเร็จที่งดงาม พวกเขาก็สร้างผลงานอื่นๆอย่างอัลบั้ม Miss Sarajevo (Luciano Pavarotti+U2+Howie B) และอัลบั้ม 1Love และอัลบั้ม Hope อีก (ผมพลาดซื้อสองงานหลัง) และเมื่อครบรอบสิบปีของอัลบั้ม Help พวกเขาก็ทำอัลบั้ม Help เวอร์ชั่นใหม่ ใช้ชื่อ Help: A Day in the Life โดยมีศิลปินรุ่นใหม่มาแรงอย่าง Coldplay, Bloc Party, The Coral, Razorlight, Maximo Park และ Babyshables ของไอ้พีท ร่วมกับรุ่นเก๋าอย่าง Manic Street Preachers และ Radiohead บวกกับศิลปิน dance แนวๆอย่าง Mylo และ The Go! Team อีก นอกจากเพลงที่เด็ดไม่แพ้อัลบั้มก่อนแล้ว ชุดนี้เด็ดกว่าตรงความเร็วที่เข้าห้องอัดได้ 30 ชั่วโมงก็มีเพลงให้โหลดซื้อบนเว็บแล้ว และมันก็ทำเงินให้กับการกุศลได้อีกไม่น้อยครับ

Heroes_album_cover

 

และปีนี้ พวกเขาออกอัลบั้ม Heroes โดยมีแนวคิดที่น่าสนใจมาก คือการฝากความหวังไว้กับรุ่นต่อไป จึงให้ศิลปินระดับตำนานทั้งหลายมาเลือกเพลงเด็ดของตัวเอง และเลือกศิลปินที่ตนเองอยากมอบหมายให้เอาเพลงมาทำใหม่ จึงได้มีการจับคู่ของศิลปินอย่าง David Bowie ที่ให้ TV on the Radio (ที่บูชา David Bowie มากๆ) ทำ Heroes หรือ Blondie ให้ Franz Ferdinand เอาเพลงสุดเปรี้ยวอย่าง Call Me ทำใหม่อย่างสุดสนุก ที่ผมชอบคือ Beck เอา Leopard-Skin Pill-Box Hat ของ Bob Dylan มาทำใหม่ เพราะผมคิดว่าสองคนนี้เหมือนๆกัน และ Lilly Allen กับ Straight to Hell ของ The Clash ที่ผมชอบต้นฉบับอยู่แล้ว แต่อีหนูปากร้ายนี่ก็ทำออกมาใหม่ได้ยอดเยี่ยมเลย ยังมี Transmission ของวงโปรดผมอย่าง Joy Division ที่ได้ Hot Chip เอามาทำใหม่ได้อย่างน่าสนใจมากๆ และวงโคตรเปรี้ยวอย่าง Yeah Yeah Yeahs ที่เอา Sheena is a Punk Rocker ของ The Ramones มาทำใหม่อย่างมันสะใจในกีตาร์ของ Nick จริงๆ มันคืออัลบั้มที่น่าฟังมากๆ เพราะเป็นการเชิดชูของใหม่ ให้เกียรติของเก่า หรือกเดินไปข้างหน้า โดยไม่ลืมข้างหลังนั่นเอง

 

ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนเพลงขาจร นักโหลด นักซื้อแผ่นผี อัลบั้มนี้คืออัลบั้มที่คุณควรสละเงินซื้อมันจริงๆ เพราะนอกจากจะได้เพลงดีๆแล้ว เงินของคุณยังไปสู่การกุศลช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอีก ทำบุญไว้ไม่เสียหลายหรอกครับ

Wednesday, March 11, 2009

The French Experience

ขณะที่กำลังเขียนต้นฉบับนี้อยู่ ผมกำลังพยายามปรับตัวกับอาการ Jet Lag (เจ็ทแล๊ก ไม่ใช่ แหยกเล็ด) จากการเดินทางกลับจากการไปท่องทวีปยุโรปเป็นครั้งแรก และตามวิสัยแล้ว ก็ต้องเอาประสบการณ์มาเผื่อแผ่ให้ท่านผู้อ่านที่รักได้ตามอ่านกัน โดยที่ผมคงจะต้องขอแซมที่เรื่องดนตรีหน่อย ไม่งั้นจะโดนหาว่านอกเรื่องเกินไป (นานๆขอที)

 

ทัวร์ที่ผมไปคือทัวร์สมนาคุณที่ทางบริษัทบัตรเครดิต KTC ตอบแทนให้กับทางธนาคารกรุงไทย ที่ป๊ะป๋าผมเคยทำงานอยู่ เลยขออาศัยบุญไปเปิดซิงยุโรปเป็นครั้งแรกด้วย หลังจากเดินทางด้วยสารบินQatar Air เป็นเวลารวม 16 ชั่วโมง ทันทีที่เท้าผมเหยียบสนามบินนานาชาติซูริค ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ก็ต้องประทะกับความหนาวของช่วงปลายฤดูหนาวของยุโรปทันที แต่ไม่มีปัญหาอะไรกับคนที่ทนหนาวมาก่อนอย่างผม ระหว่างทางไปชะโงกที่โน่นที่นี่ คุณบ๊อบ พลขับของเราก็เปิดวิทยุคลอไปพลาง ท่าทางแกจะชอบเพลงเก่าสมวัย ผมเลยได้ฟังเพลงฮิตเก่าๆคลอไปเรื่อยๆ ครึ่งวันแรกเราแวะน้ำตกไรน์ และกรุงเบิร์นเล็กกระจิ๋วหลิวจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นเมืองหลวง ผมโดนเด็กแถวนั้นตะโกนทักด้วยภาษาญี่ปุ่น จนต้องบอกไปว่า ตูมาจากไทยโว้ย ด้วยภาษาเยอรมันกระท่อนกระแท่นไป แต่ก็สนุกดีครับ ตอนนี้ก็ยังไม่หนาวหรอกครับ แต่พอไปที่ Interlagen ที่เราจะพักเพื่อเตรียมไปที่ Jungfrau ก็ได้เจอกับทุ่งหิมะขาวโพลนอันสวยงาม และหนาวโคตรๆครับ พอได้ซัดมื้อเย็นเป็นฟองดูว์แสนอร่อย ก็เข้านอนในโรงแรมสุดคลาสสิก ผมนึกกลับไปว่า วันนี้ทั้งวัน เจอคนสวิสพูดทั้งเยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว เล่นเอาอิจฉาจริงๆที่รากฐานการศึกษาของเขานั้นดีจริงๆ นี่แหละครับ รัฐสวัสดิการ ที่ภาษีแพงๆได้กลับคืนสู่ประชาชนด้วยการศึกษาและสวัสดิการทางสังคมที่ดี ไม่ใช่ให้ข้าราชการไปดูงานเปลืองๆ

 

วันต่อมาได้ไปขึ้นเขา Jungfrau ที่เป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในโลก หนาวไม่ต้องคิดเลยครับ เจอแต่หิมะ ตกเย็นไปที่ลูเซิร์น และค้างในโรงแรมหรูอีกแล้ว ก่อนที่จะช๊อปปิ้งบ้างในวันต่อมา (ไม่มีเงินครับ) และมุ่งสู่ Dijon ในฝรั่งเศส

 

จะเห็นได้ว่า ผมแทบไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับดนตรีในช่วงที่อยู่ที่สวิสเลย เพราะบ้านนี้เมืองนี้มันมีเรื่องพวกนี้น้อยจริงๆครัล ไม่เห็นคลับ ไม่เห็นโปสเตอร์ เจอแค่โปสเตอร์วง Uriah Heep แผ่นเดียวเท่านั้น กับร้านซีดีที่ขายเพลงเมทัลเก่าๆ นึกอีกที วงดนตรีจากประเทศนี้ก็ไม่ค่อยมี สงสัยรับของเยอรมันกับฝรั่งเศสมาหมดUriah Heep Joe Cocker

 

หลังจากค้างที่ Dijon หนึ่งคืน วันต่อมาก็ได้นั่ง TGV รถไฟที่เร็วสุดของยุโรปเข้าสู่ตัวปารีส ผมก็ได้สัมผัสถึงดนตรีรอบๆตัวผมอย่างเต็มที่เลยครับ แค่ลงจากสถานี ก็เจอกลุ่มวัยรุ่นถือธง AC/DC พอคุยด้วยหน่อยก็พอจับใจความได้ว่าไปดูสดที่อดีตคุกบาสติลล์มา แค่ก้าวแรกก็ท่าทางจะสนุกแล้วครับ

 AC/DC Live

ทางทัวร์ก็พานั่งรถวนไปทั่วเมือง และนั่นเองที่ทำให้ผมต้องปากค้าง คนที่ใช้ชีวิตในญี่ปุ่นมาพอตัวอย่างผม รู้ว่าเมืองนอกมันเจริญกว่าบ้านเรา แต่ปารีสนี่ต่างออกไปเลยครับ มันคือการผสานกันระหว่างศิลปะในอดีตกับเทคโนโลยีแสนก้าวหน้าได้อย่างลงตัว ตึกรามบ้านช่องต่างๆก็ล้วนแต่รักษาของเก่าไว้ได้อย่างดีไม่น่าเชื่อครับ เรียกได้ว่า เมืองทั้งเมืองเหมือนเป็นงานศิลปะชั้นดีเลยจริงๆ นี่แหละครับ การรักษาตึกรามบ้านช่อง และชุมชนเก่าแก่ที่แท้จริง ไม่เหมือนบางประเทศที่พยายามไล่ชุมชน ทำสวนสาธารณะ แต่ไม่ยอมลดคอนโดอุบาทว์ริมน้ำบ้าง ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมศิลปินดังๆในโลกถึงอาศัยในเมืองนี้เยอะจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านทัศนศิลป์หรือด้านดนตรี เมืองๆนี้ให้กำเนิดศิลปินอย่าง Serge Gainsbourg, Stereolab หรือวงแดนซ์ระดับตำนานอย่าง Daft Punk และรุ่นน้องที่ตามพวกเขามาทีหลัง

 

และแค่เวลาผ่านไปไม่นาน ตอนที่หัวหน้าทัวร์พาไปถ่ายรูปมุมไกลของหอไอเฟล ก็ได้เจอกับอิทธิพลของดนตรีกับผู้คนจริงๆครับ เพราะว่าในตอนนั้นกำลังมีการประท้วงอะไรบางอย่างของชนชายขอบที่ผมไม่เข้าใจภาษาที่เค้าใช้กัน แต่ว่าดนตรีที่พวกเขาใช้เปิดประกอบนั้น สามารถสัมผัสถึงความร้อนแรง และเข้มข้นได้ เพราะมันคือฮิปฮอปแบบต้นตำรับที่กล่าวถึงความไม่เท่าเทียมกันของเชื้อชาติ และยังมีเพลงชวนสลดอย่าง No Surprises ของ Radiohead แซมมาด้วย นี่แหละถึงจะเป็นการประท้วงที่ อาหาร (แถวนั้น) อร่อย และดนตรีไพเราะจริงๆ มีบุญได้เห็นของจริง

Queen Club

คืนนั้นผมทะลึ่ง ออกมาเดินย่านชอง เอลิเซย์คนเดียว เพราะไหนๆก็มาแล้ว ก็อยากเห็นให้เยอะหน่อย และดีมากที่ย่านนี้มันจอแจทั้งคืนจริงๆครับ และที่แรกๆที่เลือกเดินคือ ร้าน Virgin Megastore ที่เต็มไปด้วยสื่อทุกประเภทจริงๆครับ ร้านโอ่อ่า โล่ง และเดินสบายกว่า HMV หรือ Towers จริงๆคับ แต่อาจจะเป็นเฉพาะสาขานี้ก็ได้ เพราะใช้ตึกเก่าเป็นร้าน น่าเสียดายที่ผมเจอคลับที่มีดีเจชื่อดังอย่าง Dimitri from Paris มาเปิดแผ่นด้วย แต่เนื่องจากมากับทัวร์ ทำให้ไม่สามารถเกรียนได้มากกว่านี้แล้ว เลยต้องกลับโรงแรมอย่างซึมเศร้าเล็กน้อยครับ

 

ถึงจะเป็นทริปสั้นๆ แต่ก็เป็นทริปที่ทำให้ผมได้เข้าใจอะไรต่อมิอะไรอีกมาเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่มาของความยอดเยี่ยม อลังการ และลึกลับของดนตรีจากแดนน้ำหอม ถ้ามีโอกาส คงต้องไปหาประสบการณ์ให้มากกว่า