บางที ความสุขมันก็มาหาเราแบบไม่ทันตั้งตัวเหมือนกันนะครับ หลังจากที่ได้ไปดูคอนเสิร์ตของ Vampire Weekend หลังจากชีวิตแล้งคอนเสิร์ตมานาน ก่อนงานจะเลิก ก็มีคนแจกแผ่นพับเล็กๆ แต่เนื้อหาใหญ่คือ วง The Charlatans กำลังจะมาเล่นคอนเสิร์ตในไทย โอว ใครจะเชื่อว่าช่วงเวลาไม่นานแบบนี้ จะมีของดีมาให้ดูบ่อยขนาดนี้ นี่ผมอยู่ในช่วงปี 95-97 รึเปล่านี่ ที่วงต่างชาติวนมาเมืองไทยเป็นว่าเล่น
นักฟังเพลงรุ่นใหม่ อาจจะไม่ค่อยคุ้นกับวงนี้ แต่สำหรับรุ่นที่โตมากับยุค Brit-Pop อย่างผม The Charlatans คือหนึ่งในวงระดับเต้ยของวงการ เพราะว่า พวกเขายังอยู่ ยังยืนยงอยู่ในวงการเพลงมาถึงยี่สิบกว่าปีแล้วครับ เด็กบางคนยังไม่เกิดเลยครับ พวกเขามาก่อนยุค Brit-Pop เสียด้วยซ้ำ และเมื่อจบยุคนั้น พวกเขาก็ยังคงอยู่อย่างเหนียวแน่น ซึ่งวงที่ผมคิดว่าอยู่ทนนานแบบนี้ เหลือไม่กี่วงเองครับ เท่าที่นึกออกตอนนี้ก็มี Manic Street Preachers และ Primal Scream เท่านั้นเองครับ
The Charlatans เริ่มฟอร์มวงในช่วงปลายยุค ’80 โดยมีสมาชิกดั้งเดิมคือ Tim Burgess (ทิม ร้องนำ) Rob Collins (ร๊อบ คีย์บอร์ด) Martin Blunt (มาร์ติน เบส) John Baker (จอห์น กีตาร์) และ Jon Brookes (จอน กลอง) และเริ่มต้นจากการออกซิงเกิ้ลแรกที่ชื่อ Indian Rope ด้วยตัวเอง และมันก็กลายเป็นเพลงฮิตในแวดวงอินดี้ เพราะช่วงนั้น กระแสดนตรีแนว Baggy หรือ Madchester กำลังเป็นที่นิยมจากการเบิกทางของ The Stones Roses ทำให้พวกเขาก็กลายเป็นหนึ่งของกระแส Madchester ไปในทันที
หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้ค่ายเพลงอย่างเป็นทางการและเริ่มออกผลงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งซิงเกิ้ลแรกหลังจากเซ็นสัญญาคือ The Only One I Know เพลงที่เป็นเหมือนเพลงเด่นประจำวง ที่ถ้าพูดถึง The Charlatans ก็ต้องเพลง the Only One I Know เพราะมันคือเพลงสร้างชื่ออย่างเป็นทางการเนื่องจากมันทะยานไปติด Top 10 ของซิงเกิ้ลชาร์ตในอังกฤษเลยทีเดียว ซึ่งความสำเร็จนั้นก็ส่งผ่านไปยังอัลบั้มแรก Some Friendly ที่กลายเป็นงานเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
แม้ผลงานชุดต่อมาอย่าง Between 10th and 11th จะไม่ได้ทำยอดขายดีนัก แต่ซิงเกิ้ลดัง Weirdo ก็ทำให้พวกเขาไม่หายไปจากเรดาร์ แต่พวกเขาก็ต้องเจอปัญหาใหญ่ เมื่อ Rob ถูกจับกุม เพราะความซวยที่ดันไปขับรถให้เพื่อน โดยที่ไม่รู้ว่าเพื่อนจะไปปล้น เลยเจอข้อหาสมรู้ร่วมคิด และติดคุกไป 4 เดือน ก่อนจะกลับมาและออกอัลบั้ม Up to Our Hips ในปี 1994 และมี Can’t Get Out of Bed เป็นซิงเกิ้ลเด่น ก่อนที่จะกลับมาประสบความสำเร็จในวงกว้างกับอัลบั้มชื่อเดียวกับวงในปี 1995 ที่มีเพลง Just When You're Thinkin' Things Over เป็นเพลงดังในช่วงเดียวกับการเบ่งบานของดนตรี Brit-Pop และเทรนด์ Cool Britain
แต่ในขณะที่เหมือนอะไรกำลังจะไปได้ดี ข่าวร้ายก็มาเยือน เมื่อ Rob เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับ กลายเป็นเรื่องโศกเศร้าของทางวงไป แต่พวกเขาก็ยืนหยัดต่อ และออกอัลบั้มชั้นเยี่ยมอย่าง Tellin’ Story ในปี 1997 ที่มีเพลงดังอย่าง North Country Boy และ How High และพวกเขาก็รักษาคุณภาพงานของตัวเองมาได้ตลอดไม่ว่าจะเป็นอัลบั้ม Us and Us Only ในปี 1999 ที่มีเพลงเด่น Forever และตามด้วย Wonderland ในปี 2001 ที่มีเพลงเด่นมากๆอย่าง Love is the Key และเพลง You’re So Pretty – We’re So Pretty อีกด้วย
พวกเขายังโชว์ความเก๋าเกมในอัลบั้ม Up at the Lake ในปี 2004 กับ Simpatico ในปี 2006 ที่มีเพลง Blackened Blue Eyes ก่อนจะออกผลงานชิ้นที่ 10 ชื่อ You Cross My Path ในปี 2008 กับค่ายอิสระอีกครั้ง และเป็นก้าวที่กล้าหาญมากครับ
และปีนี้ พวกเขาจะมาเล่นคอนเสิร์ตที่เมืองไทย พร้อมเปิดตัวผลงานล่าสุด Who We Touch ในวันเดียวกับคอนเสิร์ตเลยนะครับ แน่นอนว่ามีของขวัญพิเศษสำหรับแฟนที่ซื้อแผ่นในงานด้วยครับ สำหรับแฟนเพลงรุ่นเก่า ก็หวังว่าจะเจอกันในงานนะครับ ส่วนแฟนรุ่นใหม่ที่อยากทำความรู้จักวงรุ่นเก๋า ก็เชิญครับ ที่ Nakarin Theatre วันศุกร์ ที่ 19 เดือนนี้ครับ บัตรหาได้ที่ thaiticketmajor นะครับ บอกได้คำเดียวครับว่า พลาดไม่ได้จริงๆสำหรับแฟนเพลงทั้งหลาย ส่วนผมเองก็เอาแผ่นเก่าๆมาซ้อมไว้แล้วครับ แล้วเจอกันนะครับ
No comments:
Post a Comment