tag:blogger.com,1999:blog-31232434274109554042024-02-07T21:19:43.983+07:00My Life, My World, My Viewบล๊อกเกี่ยวกับเรื่องดนตรี และเรื่องไร้สาระอื่นๆโดยทั่วไป มักจะบล๊อกเป็นภาษาไทย แต่ก็บล๊อกเป็นภาษาอังกฤษบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง ตามอารมณ์Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.comBlogger297125tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-26947019427306166352015-06-14T15:05:00.001+07:002015-06-14T15:05:41.899+07:00Love and Mercy เบื้องหลังตำนานเพลง<p align="justify"><font size="3" face="Meiryo UI">วันพุธที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญไปดูหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยมีโอกาสแบบนี้หรอกครับ เพราะไม่ใช่สายวิจารณ์ภาพยนตร์ แต่ที่ได้รับโอกาสในครั้งนี้ เพราะเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับวงการดนตรีที่ชื่อ Love and Mercy ครับ ถือว่าโชคดี เพราะได้ดูก่อนเข้าฉายถึงสองอาทิตย์ แถมยังเป็นภาพยนตร์เรื่องราวประวัติของ Brian Wilson แห่งวง The Beach Boys</font> <p align="justify"><a href="http://lh3.googleusercontent.com/-o8qvWOq4eq4/VX01tkVScII/AAAAAAAAfDs/fiLAxbLcp3Y/s1600-h/love-and-mercy-poster-640x949%25255B6%25255D.jpg"><img title="love-and-mercy-poster-640x949" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="love-and-mercy-poster-640x949" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgd10DrkQI9KQZxKK7LZUJ3UwC7JpWWJueHQxlw_Z_eNnrJj2Uq8197ji0W3QFxHCmGjve5V7MZX9elQJOqNz20kjGgzAJ9Y9N8VBJu7FYHdasd8ug_9kllie6h1MkNW-DcntaXgsNsZLWL/?imgmax=800" width="344" height="500"></a> <p align="justify"><font size="3" face="Meiryo UI">ทำไมถึงควรจะสนวง The Beach Boys? แม้ในปัจจุบัน ชื่อของวงจะไม่ได้เป็นชื่อสามัญประจำบ้านเหมือน The Beatles ที่เคยแข่งกันมาก่อน แต่สำหรับนักฟังเพลงและผู้ที่สนใจจะศึกษาประวัติศาสตร์วงการเพลงแล้ว ก็ไม่ควรที่จะข้ามวงนี้ไปเด็ดขาดครับ เพราะในยุคที่อังกฤษมีวง The Beatles ที่เป็นขวัญใจวัยรุ่นเชิดหน้าชูตาของวงการเพลง อเมริกาก็มีวง The Beach Boys ที่เป็นวงขวัญใจวัยรุ่นมาแข่งกันนี่ล่ะครับ (จริงๆ อีกวงหนึ่งที่ควรบันทึกว่าเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับ The Beatles คือ วง The Walker Brothers) </font></p> <a name='more'></a> <p align="justify"><font size="3" face="Meiryo UI"></font> <p align="justify"><font size="3" face="Meiryo UI">พวกเขาทำเพลงแบบ พ๊อพร๊อค ผสมสไตล์เซิร์ฟ ร้องเพลงเกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่นอันสนุกสนานของวัยรุ่นในแคลิฟอร์เนีย บ้านเกิดของพวกเขา เนื้อเพลงจึงเกี่ยวกับ การเล่นเซิร์ฟ สาวๆ รถยนต์ สายลมแสงแดด และด้วยจังหวะที่ติดหู และสไตล์การประสานเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ บวกกับความสดใส ทำให้พวกเขาเป็นขวัญใจของวัยรุ่นตั้งแต่ปี 1961 และครองตลาดวงการเพลงช่วงนั้นยาวๆ เลยล่ะครับ</font> <p align="justify"><font size="3" face="Meiryo UI">ซึ่งตัวภาพนยนตร์ Love and Mercy ก็นำเสนอเรื่องราวของวง โดยที่ต่างไปจากภาพยนตร์ชีวประวัตินักดนตรีเรื่องอื่นตรงที่ Love and Mercy ไม่ได้โฟกัสไปที่วงดนตรี แล้วก็เล่าเรื่องไปตรงๆ ตามลำดับเวลา แล้วอาจจะมีคอนฟลิคต์เพิ่มเข้ามา หรือมีธีมกับปมของตัวละครเพื่อให้เนื้อเรื่องสนุกขึ้นบ้าง แต่เรื่องนี้ นำเสนอโดยการเน้นไปที่ตัว Brian Wilson เป็นตัวละครหลักในการขับเคลื่อนเนื้อเรื่อง เพราะว่า Brian Wilson ก็คือมันสมองของวง เป็นแกนหลัก นักแต่งเพลงประจำวง และเป็นบุคคลที่วงการดนตรีร๊อคบันทึกไว้ว่าเป็นหนึ่งในอัจฉริยะของวงการเพลง แถมยังมีช่วงชีวิตที่ดราม่าสุดๆ อีกด้วยนะครับ</font> <p align="justify"><font size="3" face="Meiryo UI">ตัว Love and Mercy โฟกัสไปที่สองช่วงที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตของเขา และของวงการเพลงอีกด้วย ช่วงแรกคือ ช่วงวัยรุ่น ที่เขาประสบความสำเร็จในวงการเพลงช่วงต้น ซึ่งก็จากตอนเปิดเรื่องก็ดูเหมือนอะไรต่อมิอะไรจะไปได้สวยนั่นล่ะครับ แต่พวกเขาก็ต้องพบกับปัญหาคือ พวกเขาทำเพลงได้แต่แบบเดิมๆ ซึ่งถึงมันจะฮิตในตอนนี้ แต่อนาคตก็ไม่แน่นอนว่ามันยังจะได้รับความนิยมอีกหรือไม่ บวกกับความกลัวกระแส British Invasion ที่วงอังกฤษเริ่มบุกเข้ามาในอเมริกา กลายเป็นความน่ากลัวที่คืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ และพวกเขาเองก็เริ่มตันแล้ว ผมชอบตรงที่พวกเขาบอกว่า จะให้ทำเพลงเกี่ยวกับ แสงแดด สาวๆ และเล่นเซิร์ฟไปได้อีกแค่ไหน แถมเอาเข้าจริงๆ แล้ว พวกเขาอเองเล่นเซิร์ฟไม่เป็นซะด้วยซ้ำ (ยังกับพวกทำเพลงสเกตพังต์แต่เล่นสเกตบอร์ดไม่เป็น) แถมแกนหลักของวงอย่าง Brian ก็ยังเกิดอาการตื่นเครื่องบินจนแทบหัวใจวาย ทำให้เขาไม่อยากออกทัวร์กับวง และขออยู่สตูดิโอเพื่อแต่งเพลงอย่างเดียว</font> <p align="justify"><a href="http://lh3.googleusercontent.com/-DNk19ulCBlY/VX01yBdR4KI/AAAAAAAAfD8/I4yIe8XcaJM/s1600-h/love-mercy-2%25255B5%25255D.jpg"><img title="love-mercy-2" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="love-mercy-2" src="http://lh3.googleusercontent.com/-eS7b4WT_qAc/VX010mrY7mI/AAAAAAAAfEE/J0X36EMTME0/love-mercy-2_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="620" height="381"></a> <p align="justify"><font size="3" face="Meiryo UI">เมื่อสมาชิกวงไม่อยู่ และเขาแต่งเพลงคนเดียว ด้วยอิทธิพลของอัลบั้ม Rubber Soul ของ The Beatles ทำให้เขาอยากทดลองเสียงใหม่ๆ ปล่อยให้จินตนาการของเขาออกมาทำหน้าที่อย่างเต็มที่ จนกลายเป็นงานทดลองที่ชื่อ Pet Sounds ที่ต่างไปจากงานเดิมๆ ของพวกเขา และเป็นอัลบั้มที่ล้มเหลวเมื่อออกจำหน่าย แต่ก็กลายมาเป็นอัลบั้มในตำนานที่นักวิจารณ์ต่างยกย่องว่าเป็นงานที่ดีที่สุดของพวกเขาในภายหลัง แต่ในตอนนั้น มันคืออัลบั้มที่ถูกมองข้าม กลายเป็นความเครียดที่มากดดัน Brian อีก เพราะความขัดแย้งกับสมาชิกวงก็เริ่มจากจุดนี้ และการใช้ยา LSD ก็ทำให้สภาพจิตเขาเริ่มมีปัญหา ได้ยินเสียงแปลกๆ ในหัว</font> <p align="justify"><font size="3" face="Meiryo UI">ซึ่งในเรื่องก็ฉายสลับกับอีกช่วงเวลาหนึ่งคือ ยุค 80 ที่ Brian กลายเป็นชายวัยกลางคน ป้ำๆ เป๋อๆ สติไม่ค่อยดี ซึ่งเขาอยู่ภายใต้การดูแลของจิตแพทย์ที่ไม่น่าไว้ใจชื่อ Eugene Landy และระหว่างนั้นเขาก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่จะมาเปลี่ยนชีวิตเขา ทำให้เขากลับมาตั้งตัวได้ และออกอัลบั้ม Smile ในปี 2004</font> <p align="justify"><font size="3" face="Meiryo UI">จริงๆ แล้ว ในเรื่องมีแผนว่าจะนำเสนอช่วงเวลาที่เขานอนบนเตียงเฉยๆ ไม่ทำอะไรหลายปี แต่ก็ถูกตัดออกไป ใช้แค่สองช่วงเวลา เล่าสาเหตุ และปัญหา ของตัว Brian ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมครับ การตัดสลับไปมาในช่วงแรกทำให้เราออกจะงงๆ หน่อย และถ้าเผลอก็อาจจะทำให้งงกับเรื่องได้ แต่รายละเอียดต่างๆ มันก็จะค่อยๆ ผสานกันและคลายปมในตอนจบออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมครับ แม้หลายเรื่องจะไม่ได้เล่าตรงๆ แต่อาศัยเล่าผ่านบทสนนทนาของตัวละครเท่านั้น</font> <p align="justify"><font size="3" face="Meiryo UI">ในฐานะคนฟังเพลง การได้เห็นพัฒนาการของตัวศิลปิน ก่อนที่จะออกมาเป็นสองอัลบั้มยอดเยี่ยม (Smile ได้รับการยกย่องว่าเป็นการกลับมาอย่างงดงามของศิลปินที่เงียบหายไปหลายปี) สิ่งที่ผลักดันให้เขาทดลองเสียงใหม่ๆ ปัญหาระหว่างอัลบั้ม แรงบันดาลใจที่และจุดพลิกผันที่ทำให้เขากลับมาทำงานเพลงได้อีก สำหรับคนฟังเพลงแล้ว จัดว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจเลยล่ะครับ</font> <p align="justify"><font size="3" face="Meiryo UI">อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ การใช้นักแสดงแยกกันในสองช่วงเวลา ช่วงวัยรุ่นใช้ Paul Dano และช่วงวัยกลางคนใช้ John Cusack เล่น ซึ่งทั้งสองคนก็ไม่ได้เจอกันเลยในระหว่างการถ่ายทำ ทำให้ทั้งสองต่างก็ตีความตัว Brian Wilson ในแบบของตัวเอง ก็ถือว่าน่าสนใจมากๆ นะครับ เหมือนการประสานหนังสองเรื่องเข้ามาในเรื่องเดียว ซึ่งผมก็มองว่าผู้กำกับคุมโทนได้เป็นอย่างดี</font> <p align="justify"><font size="3" face="Meiryo UI">Love and Mercy อาจจะไม่ค่อยเหมือนกับภาพยนตร์ชีวประวัตินักดนตรีเรื่องอื่นนัก และมันก็ไม่ได้เป็นภาพยนตร์เพลงจ๋าๆ แบบ Begin Again ที่ดังเมื่อปีก่อน แต่ถ้าใครสนใจเรื่องราวของวงการเพลง และเบื้องหลังของอัลบั้มดัง ก็ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งครับ Love and Mercy เริ่มฉายทั่วไปวันที่ 18 มิถุนายน นี้ครับ</font> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-14717636454055290832014-12-15T20:50:00.001+07:002014-12-15T21:09:53.056+07:00Cold War Kids<p align="justify"><font size="2">บางทีผมไปไล่เช็คงานเก่าๆ ก็ตกใจที่ไม่เคยเขียนถึงหลายวงที่ชื่นชอบ และบางวงก็อยู่มาจะสิบปีแล้วแท้ๆ และมีงานออกมาหลายชิ้นแต่ก็ยังไม่เคยได้โผล่ที่นี่เสียที จนต้องขอเขียนถึงบ้าง และวงที่ว่าก็คือ Cold War Kids</font> <p align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHKOpcPitFIDa8y1fbTomOVqd0eg-Mwjdq5z62-42RryNlw1KarQGRab9maYUJDZluRi8Dj_khKlNT-f1UlfFka9lUr3LMxksJtkLGCYSBkSma3K7V8IXCW3Zh4C3PH3MNdhIbOdP2TV16/s1600-h/10347158_10152540244478962_7246345922421756710_n%25255B16%25255D.jpg"><img title="10347158_10152540244478962_7246345922421756710_n" style="border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; background-image: none; border-bottom-width: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; display: block; padding-right: 0px; border-top-width: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="10347158_10152540244478962_7246345922421756710_n" src="http://lh3.ggpht.com/-1pf8licyVEs/VI7nEgM-GsI/AAAAAAAAMpE/E8vOuttbEOE/10347158_10152540244478962_7246345922421756710_n_thumb%25255B14%25255D.jpg?imgmax=800" width="583" height="400"></a> <p align="justify"><font size="2">Cold War Kids ถือกำเนิดในช่วงปี 2004 ที่ Fullerton แคลิฟอร์เนีย ที่สมาชิกสามคน Nathan Willett (นาธาน ร้องนำ เปียโน) Matt Maust (แมท เบส) และ Matt Aveiro (แมท กลอง) มักจะรวมตัวกันที่อพาร์ทเมนต์ของ John Russell (จอห์น กีตาร์) ที่อยู่บนร้านอาหารชื่อ Mulberry Street พวกเขาตัดสินใจตั้งวง โดยได้ไอเดียเรื่องชื่อวงว่า Cold War Kids จากการเดินทางไปยุโรปตะวันออกของ Matt Maust ที่เขาได้เห็นอนุสาวรีย์ยุคคอมมิวนิสต์ที่ถูกทิ้งในสนามเด็กเล่น ทำให้นึกชื่อ Cold War Kids ขึ้นมา เพราะเขาเองก็เกิดปี 1979 ซึ่งโตมากับบรรยากาศของโลกยุคสงครามเย็นมาตลอด และชอบชื่อนี้เป็นอย่างมาก พวกเขาตัดสินใจย้ายไป Whittier ที่แคลิฟอร์เนียและออก EP แรกชื่อ Mulberry Street ตามชื่อร้านอาหาร กับค่าย Monarchy Music ในช่วงปี 2005 และได้ออก EP ออกมาอีกสองแผ่นในปี 2006 ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักและเริ่มได้ออกทัวร์กับวงดังอย่าง Editors และ Tapes ‘n Tapes รวมไปถึงได้ไปเล่นในเทศกาล Lollapalooza อีกด้วย</font> </p> <a name='more'></a> <p align="justify"> <p align="justify"><font size="2">ด้วยความน่าสนใจของ EP ทั้งสามแผ่น ทำให้พวกเขาได้สัญญาออกอัลบั้มกับ Downtown Records ซึ่งก็กลายมาเป็นอัลบั้มแรกที่ชื่อ Robber & Cowards ในปี 2006 ซึ่งดึงเอาเพลงเด่นจาก EP ก่อนหน้านั้นมาด้วย นั่นคือ We Used to Vacation, Hair Down และ Hang Me Up To Dry ซึ่งทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จัก เพลงแรกแม้จะเริ่มจากจังหวะอัพบีทที่ทำให้เราแอบนึกถึง Maroon 5 แต่เมื่อเครื่องดนตรีอื่นและเสียงร้องตามมา มันก็กลายเป็นอีกทิศทางหนึ่งไปเลย เสียงร้องของ Nathan เต็มไปด้วยอารมณ์และวิญญาณ ค่อยๆ เล่าเรื่องราวของชายที่พยายามจะเลิกเหล้าเพื่อครอบครัวแต่ก็ทนความเย้ายวนของมันได้อย่างยากลำบาก ในขณะที่เสียงกีตาร์ก็มีกลิ่นของดนตรีบลูส์อย่างเต็มตัว ฟังแล้วช่างกรีดไปที่กลางหัวใจเสียจริง ส่วน Hang Me Up To Dry ก็ค่อยๆ เดินเพลงไปเรียบๆ แต่พลังเสียงของนาธานบวกกับการโขยกคีย์เปียโนทำให้มันโดดเด่นขึ้นจริงๆ ขณะที่ Hair Down ก็เป็นเพลงกีตาร์บลูส์ผิวขาวที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน อีกเพลงที่พลาดไม่ได้คือ Hospital Beds ที่เดินเพลงด้วยเปียโนเป็นหลักก็ช่างปวดร้าวเหลือเกิน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักส่วนผสมในการทำเพลงให้ออกมาได้อย่างติดหูและเปี่ยมไปด้วยพลังและจิตวิญญาณพร้อมๆ กัน บางทีฟังแล้วก็ไพล่นึกไปถึงรุ่นพี่อย่าง The White Stripes อีกด้วย</font> <p align="justify"><font size="2">Robbers & Cowards กลายเป็นงานเปิดตัวชิ้นที่เด่นที่สุดในปีนั้นอีกชิ้นหนึ่งของแวดวงอินดี้ พวกเขากลายเป็นทีเลื่องลือไปทั่ว เพราะความโดดเด่นและเต็มไปด้วยพลังของมัน ทำให้ได้รับเสียงชมจากแทบทุกทิศ และการออกทัวร์อย่างหนักก็ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเดิม</font> <p align="justify"><a href="http://lh4.ggpht.com/-2LOBgFgB84o/VI7nIUngmOI/AAAAAAAAMpM/2dxE-mvQcm4/s1600-h/5527126941_cdd314f3ab_z%25255B4%25255D.jpg"><img title="5527126941_cdd314f3ab_z" style="border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; background-image: none; border-bottom-width: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; display: block; padding-right: 0px; border-top-width: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="5527126941_cdd314f3ab_z" src="http://lh4.ggpht.com/-yjtB73CvLlc/VI7nKjJjAUI/AAAAAAAAMpU/5RKleBszZhc/5527126941_cdd314f3ab_z_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="594" height="400"></a> <p align="justify"><font size="2">และด้วยประสบการจากการออกทัวร์ พวกเขากลับเข้าห้องอัดและออกอัลบั้มใหม่ในปี 2008 ชื่อ Loyalty to Loyalty ที่ยังคงเดินรอยตามดนตรีบลูส์ยุคใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยวิญญาณจากชุดแรก แต่พวกเขาขยายขอบเขตมันออกไปอีกด้วยการพูดถึงเรื่องราวที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมทั้งการเมืองและปรัชญาผ่านการเล่าเรื่องในเนื้อเพลง และธีมมันหม่นหมองขึ้นกว่าเดิม ซิงเกิ้ลแรก Something Is Not Right With Me เริ่มต้นด้วยบีทแบบดิสโก ก่อนที่จะกลายเป็นบลูส์แบบ The White Stripes ที่พูดถึงการเปลี่ยนแปลงรอบตัวคน แต่ด้วยการตะโกนไปมาของ Nathan ทำให้บางทีมันฟังดูน่ารำคาญไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ยังโอเค แต่ก็ยังเป็นรองซิงเกิ้ลต่อมา I’ve Seen Enough ที่หม่นได้อย่างงดงาม เช่นเดียวกับ Every Man I Fall For ที่เป็นเพลงบลูส์ช้าๆ แต่ฟังแล้วชวนขนลุก ถ้าต้องการเพลงที่เข้มข้นขึ้นก็ต้อง Mexican Dogs ที่แฟนๆ ของ The Black Keys อาจจะถูกใจได้ไม่ยากนัก </font> <p align="justify"><font size="2">ปี 2011 พวกเขาออกอัลบั้มใหม่ Mine Is Yours หลังจากการออกทัวร์อย่างหนักเช่นเคย แต่อัลบั้มนี้กลายเป็นการทำงานในแนวทางใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง พวกเขาทิ้งความดิบกร้านแบบที่เคยมีมาในสองอัลบั้มแรก และหันไปทำเพลงที่ “สะอาด” กว่าเดิม จนทำให้เรารู้สึกว่าพวกเขากำลังจะทิ้งบาร์เก่าคลุ้งกลิ่นบุหรี่ หันไปหาสนามกีฬาขนาดใหญ่แทน ซึ่งก็อาจจะทำให้เสียแฟนเพลงเดิมๆ ที่เคยมีมา (และแน่นอนว่าถูกนักวิจารณ์หลายรายสับว่าพวกเขาขายวิญญาณ) เพลงอย่าง Finally Begins นี่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากพวกเขาได้เลย ขณะที่ Skip The Charades และ Flying Upside Down ก็ทำให้นึกไปถึง U2 ยุค Joshua Tree ซึ่งถ้าจะถามว่าวงผิดไหมที่เลือกทางนี้ ก็ตอบไม่ได้หรอกครับ ถ้าจะเทียบกันก็คงเทียบกับ Kings of Leon ที่เปลี่ยนซาวด์ของตัวเองในชุด Only By The Night จนดังถล่มทลาย พวกเขาเองก็อาจจะเลือกทางถูกได้ เพราะเพลงอย่าง Bulldozer และ Louder Than Ever ในอัลบั้มนี้มันก็มีความงดงามของมันเอง แฟนเพลงรุ่นเก่าอาจจะไม่ชอบ แต่พวกเขาก็ได้แฟนเพลงหน้าใหม่เพิ่มได้</font> <p align="justify"><font size="2">ปี 2012 John ออกจากวงไป แต่พวกขาก็ได้ Dann Gallucci (แดน) จาก Modest Mouse มารับหน้าที่เล่นกีตาร์แทน และรวมไปถึงร่วมโปรดิวซ์อัลบั้มชุดใหม่ Dear Miss Lonelyhearts ซึ่งนั่นก็อาจจะช่วยให้วงรักษาสมดุลของความดิบกร้านแบบงานสองชุดแรกและซาวด์ที่ฟังง่ายและสะอาดของชุดที่สามได้ Loner Phase คือเพลงที่โครมครามมาก และได้เสียงคีย์บอร์ดเข้ามาช่วยเสริมเสียงร้องของ Nathan ฟังๆ ดูแล้วก็แอบนึกไปถึง The Killers อีกด้วย เช่นเดียวกับซิงเกิ้ลแรก Miracle Mile ที่เต็มไปด้วยพลังและอัพบีทมากจนถ้าใครจะเอาไปมิกซ์เป็นเพลงเต้นรำก็คงไม่ยากอะไรนัก ส่วน Lost That Easy ก็สามารถเรียกเสียงตะโกนจากแฟนเพลงกลางคอนเสิร์ตได้แน่นอน Tuxedos ก็เต็มไปด้วยกลิ่นของบลูส์แบบที่พวกเขาถนัด Bottled Affection ก็เป็นซาวด์แบบใหม่ของพวกเขาที่มีเครื่องสังเคราะห์เพิ่มเข้ามา Dear Miss Lonelyhearts เป็นงานที่แสดงความสามารถและวิสัยทัศน์ของพวกเขาได้อย่างดี</font> <p align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjty4rVinX-Ca1qZaAMYlqoMvm7R8WEbzBJGsyUIQX1k4aC4wC4ayGa83O6kcGpmteaSIiqD-ob0IAu0Twr5h0Ip8HOFVL5Viv3oju6FyMQYGpWTLOc2488H__H2EnIhmm7wiQiKk2KUjKs/s1600-h/Cold_War_Kids_at_the_Fonda_%2525288817755849%252529%25255B5%25255D.jpg"><img title="Cold_War_Kids_at_the_Fonda_(8817755849)" style="border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; background-image: none; border-bottom-width: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; display: block; padding-right: 0px; border-top-width: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="Cold_War_Kids_at_the_Fonda_(8817755849)" src="http://lh4.ggpht.com/-hJTy6fTEIt4/VI7nOpJP1-I/AAAAAAAAMpk/E5-NTQJ137E/Cold_War_Kids_at_the_Fonda_%2525288817755849%252529_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="590" height="400"></a> <p align="justify"><font size="2">ต่อมา Mat Averio ลาออกจากวง และพวกเขาได้ดึง Joe Plummer จาก Modest Mouse (อีกแล้ว) มาร่วมวงแทน และออกงานชุดใหม่ในปีนี้ Hold My Home ซึ่งทำให้เราต้องทึ่ง เพราะดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้สูตรเคมีของการทำเพลงให้ติดหู แต่ไม่เสียพลังแบบเดิมของพวกเขา ตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้าย เป็นเหมือนค้อนปอนด์ที่กระหน่ำใส่เราอย่างไม่ยั้ง ตั้งแต่ All This Could Be Yours ที่สดราวกับพวกเขาเพิ่งออกอัลบั้มนี้เป็นชุดแรกเสียด้วยซ้ำ ขณะที่ Hot Coals ก็เป็นการอัดทีเด็ดที่อย่างที่พวกเขามีออกมา First ก็พร้อมจะทำให้ทุกคนในคอนเสิรตร้องและปรบมือตามพวกเขา เช่นเดียวกับ Go Quietly และถ้าคิดว่าพวกเขาจะแผ่วปลาย ก็ยังมี Flower Drum Song ที่เข้มข้นสุดๆ มาดึงเอาไว้ </font> <p align="justify"><font size="2">หลังจากทำวงมาได้ 10 ปี ก็ดูเหมือนว่า Cold War Kids จะรู้ส่วนผสมที่ลงตัวของดนตรีของพวกเขา ทำให้แม้จะมีอายุเพิ่มขึ้น แต่คุณภาพของงานเพลงก็ยิ่งดีขึ้นกว่าเดิม และคิดว่าเราคงจะได้ฟังพวกเขาไปอีกนานเลยล่ะครับ</font> <p align="justify"></p> <p align="justify"></p> <p><iframe height="315" src="//www.youtube.com/embed/8rfDvpfC2bw" frameborder="0" width="420" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="315" src="//www.youtube.com/embed/jyhkQzPLjcA" frameborder="0" width="420" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="315" src="//www.youtube.com/embed/1F6gAN6MOII" frameborder="0" width="560" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="315" src="//www.youtube.com/embed/EBvW3Mlcacw" frameborder="0" width="560" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-7245092522429369722014-12-08T23:50:00.000+07:002014-12-15T23:51:30.597+07:00FKA Twigs<p align="justify"><font size="2">ในวงการเพลงอังกฤษ แต่ละปีก็มีศิลปินใหม่เกิดขึ้นมากมาย เรียกได้ว่าเป็นวงการที่มีการแข่งขันกันสูงมาก แต่ก็น่าสนใจที่ว่า แม้จะมีการแข่งขันกันสูงแค่ไหน แต่ก็มีพื้นที่สำหรับศิลปินสาวมากด้วยฝีมือเป็นจำนวนมาก และปีนี้ก็มีอีกหนึ่งรายที่กลายเป็นดีวาคนใหม่ของอังกฤษไปเรียบร้อยแล้ว เธอคือ FKA Twigs</font> <p align="justify"><a href="http://lh3.ggpht.com/-9dlfN2tqenQ/VI8RaMqH2rI/AAAAAAAAMq4/z0lGbnf0Wnc/s1600-h/FKA-Twigs-014%25255B9%25255D.jpg"><img title="FKA-Twigs-014" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="FKA-Twigs-014" src="http://lh4.ggpht.com/-JDy5VCJf4_k/VI8Rdpt6DwI/AAAAAAAAMrA/Zo4WzE1D-zU/FKA-Twigs-014_thumb%25255B7%25255D.jpg?imgmax=800" width="620" height="380"></a> <p align="justify"><font size="2">FKA Twigs มีชื่อจริงว่า Tahliah Barnett เกิดและโตขึ้นมาในแถบบ้านนอกของ Gloucestershire ประเทศอังกฤษ พ่อแท้ๆ ของเธอเป็นนักเต้นแจ๊ซชาวจาไมกา แต่ได้หย่ากับแม่ของเธอตั้งแต่เธอยังเด็ก แม่ของเธอก็มีเชื้อสายอังกฤษผสมสเปน และเป็นนักเต้นเช่นเดียวกัน การเป็นลูกผสมในเขตบ้านนอกของประเทศอังกฤษก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลก เธอเป็นลูกผสมคนเดียวในโรงรียนคาธอลิกเอกชนที่เธอได้เรียนด้วยทุนการศึกษาเพราะว่าครอบครัวของเธอยากจน</font></p> <a name='more'></a> <p align="justify"><font size="2"></font> <p align="justify"><font size="2">แต่ความสนใจเรื่องงานศิลปะก็คงส่งกันมาตามเชื้อสายครับ ระหว่างเป็นนักเรียนเธอก็เรียนเต้นบัลเลต์ไปพร้อมกับอัดเพลงที่ตัวเองร้องในสมาคมเยาวชนจาไมกา และเริ่มแต่งเพลงเองโดยเรียกตัวเองว่า Twigs ซึ่งมีทีมาจากการที่เธอสามารถหักข้อตัวเองให้เป็นเสียงดังได้</font> <p align="justify"><font size="2">เมื่ออายุ 17 เธอก็ตัดสินใจเอาจริงกับการเป็นนักเต้นรำ ด้วยการย้ายไปลอนดอนและทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ไปพร้อมกับเป็นนักเต้นแบ็คอัพ ซึ่งก็ค่อนข้างไปได้ดี เพราะเธอได้ไปเต้นใน MV ของศิลปินดังๆ ตั้งแต่ Kylie Minogue, Ed Sheeran, Taio Cruz จนกระทั่ง Jessie J แต่สุดท้ายเธอก็ค้นพบตัวเอง (โดยไม่ต้องเดินทางไปไหน) ว่าเธออยากจะทำงานเพลงมากกว่าที่จะเต้นเพียงอย่างเดียว ทำให้เธอเริ่มใช้เวลาในสตูดิโออัดเพลงมากขึ้นเรื่อยๆ</font> <p align="justify"><font size="2">เมื่อสั่งสมประสบการได้เพียงพอ เธอก็ออกงานชิ้นแรกด้วยตัวเอง ใช้ชื่อเรียบง่ายว่า EP1 ผ่านทางเว็บไซต์ Bandcamp ช่วงปลายปี 2012 ซึ่งประกอบด้วยเพลง 4 เพลง และเธอก็ทำ MV ให้กับเพลงทุกเพลง (ดังนั้นแม้จะหาแผ่นไม่ได้ ก็สามารถเปิดฟังใน Youtube ได้ครับ) แต่ละเพลงใน EP ชุดนี้ เป็นเหมือนเสียงที่มาจากอีกมิติหนึ่ง มันเหมือนกับการจับวงมินิมอลเรียบๆ แบบ The XX มาร่วมแจมกับวงทริปฮอพแบบ Portishead หรือ Massive Attack เพลงโปรดของผมคือ Ache ที่เย็นยะเยือก ด้วยเบสบวมๆ และเสียงสังเคราะห์ที่แทรกเข้ามาเป็นจังหวะราวกับงูค่อยๆ เลื้อยเข้ามา บวกกับเสียงร้องที่เหมือนไปอัดเสียงการเริงระบำของชนเผ่นในอเมซอนมา สร้างความเย็นยะเยือกในมิติของมันได้เป็นอย่างดีครับ</font> <p align="justify"><font size="2">EP1 ทำให้เธอเริ่มเป็นที่สนใจของสื่อต่างๆ แต่ก็มีศิลปินที่อ้างว่าใช้ชื่อ Twigs อยู่ก่อนแล้ว ร้องเรียนให้เธอเปลี่ยนชื่อในวงการ เธอจึงเพิ่มคำว่า FKA ที่ย่อมาจาก Formerly Known As หรือ เคยเป็นที่รู้จักในนาม เข้าไปที่หน้าชื่อของเธอแทน</font> <p align="justify"><font size="2">หนึ่งปีผ่านไป เธอออก EP2 ผ่านทางค่าย Young Turks ซึ่งก็มีสี่เพลงเช่นเคย ซึ่งแต่ละเพลงก็ยังคงเย็นยะเยือกเช่นเคย มันคืองานเพลงที่ได้จากการไปแอบอัดเสียงของเทพธิดาในป่าอันลึกลับที่ทั้งน่ากลัวแต่ก็งดงามในเวลาเดียวกัน Water Me คือตัวอย่างของการจัดวาง เสียง และ ช่องว่าง ออกมาได้อย่างลงตัว ก่อนที่จะไปพบกับ Ultraviolet ที่ถีบเราเข้าสู่ยุคที่จักรกลครองเมืองแทน</font> <p align="justify"><font size="2">ด้วยความยอดเยี่ยมของ EP2 ทำให้ชื่อของเธอเป็นที่เลื่องลือในวงการเพลงมากยิงขึ้นกว่าเดิม เธอกลายเป็นชื่อที่สื่อเลือกให้ความสนใจ และยังถูกเสนอชื่อให้เป็น Sound of 2014 โดย BBC และไม่กี่เดือนผ่านไป EP2 ก็เป็นงานเพลงชิ้นแรกของเธอที่ได้ไปวางขายในฝั่งอเมริกาอีกด้วย</font> <p align="justify"><font size="2">หลังจากเป็นที่จับตามองและมีหลายคนรอคอยผลงานของเธอมานาน เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เธอก็ได้โอกาสออกอัลบั้มเต็มเป็นครั้งแรก ซึ่งก็ยังใช้ชื่อที่เรียบง่ายเช่นเคยด้วย LP1</font> <p align="justify"><a href="http://lh3.ggpht.com/-FTrVKXUns8A/VI8Rg5a8f0I/AAAAAAAAMrI/iYVD_asyWxM/s1600-h/ie4KSJCd%25255B4%25255D.jpg"><img title="ie4KSJCd" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="ie4KSJCd" src="http://lh5.ggpht.com/-z1xIkiFeFUU/VI8RjrULnUI/AAAAAAAAMrQ/W2KCLW5MfEM/ie4KSJCd_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="500" height="500"></a> <p align="justify"><font size="2">LP1 คือผลงานที่ได้จากการร่วมงานของเธอกับโปรดิวเซอร์มือดีทั้ง Paul Epworth (ผมเขียนชื่อคนนี้ในคอลัมน์เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย) และ Dev Hynes อดีตวง Test-Icicles และ Emil Haynie ที่ร่มงานกับ Eminem ในอัลบั้ม Recovery มาร่วมโปรดิวซ์ให้ </font> <p align="justify"><font size="2">ซิงเกิ้ลเปิดตัวของมันคือ Two Weeks ที่ยังดำเนินตามความยอดเยี่ยมของทั้งสอง EP ก่อนหน้า มันคือการเล่นกับที่ว่างและเสียงอย่างงดงามและยอดเยี่ยม ฉุดให้เราเข้าไปอยู่ในโลกของเธอได้อย่างโงหัวไม่ขึ้น อีกเพลงเด่นที่ไม่ควรพลาดคือ Pendulum ที่มี Epworth โปรดิวซ์ให้ ซึ่งก็ไมเสียราคาโปรดิวเซอร์มือทองเลยครับ เพราะมันยอดเยี่ยมแบบไร้ที่ติจริงๆ จังหวะที่ค่อยๆ ไล่เรียงขึ้นมากราวกับเรากำลังได้ชมการสร้างตึกสูงเสียดฟ้าโดยค่อยๆ ประกอบอิฐทีล่ะก้อน โดยมีเสียงภูตพรายแห่งป่าใหญ่คอยกระซิบอยู่ข้างๆ หู แล้วยิ่งตามติดด้วยเพลง Video Girls นี่ฟังแล้วเล่นเอายะเยือกไปถึงสันหลังเลยครับ และถ้ายังต้องการความยะเยือกอีก ก็ต้องลอง Closer เพลงที่เหมือนจะเนิบนาบ แต่ถ้าปล่อยจินตนาการไปกับมันแล้ว ก็ราวกับกำลังฟังเสียงสวดในโบสถ์ที่ขั้วโลกเลยจริงๆ LP1 เต็มไปด้วยการจัดวางพื้นที่ของเสียงและที่ว่างได้อย่างลงตัว มันคือสัดส่วนเคมีที่ลงตัวที่สุดชิ้นหนึ่ง ตามที่ได้ว่าไว้ว่าเหมือนกับการให้ The XX มาร่วมแจมกับ Portishead และมีกลิ่นของ Flying Lotus อีกด้วย ไม่แปลกที่ด้วยสัดส่วนที่ลงตัวแบบนี้จะทำให้เธอกลายเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่มาแรงที่สุดแห่งปี</font> <p align="justify"><font size="2">นอกจากได้รับการยกย่องจากสื่อหลากหลายแล้ว เธอยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Mercury Prize ในปีนี้ แต่น่าเสียดายที่พลาดรางวัลไป แต่ตอนนี้เธอก็มาแรงแบบฉุดไม่อยู่แล้วล่ะครับ นอกจากจะลัคกี้อินเกมแล้ว เธอยังลัคกี้อินเลิฟด้วย เพราะตอนนี้เธอประกาศตัวว่ากำลังคบอยู่กับพ่อหนุ่ม โรเบิร์ต แพตตินสัน หรือพ่อแวมไพร์จาก Twilight ที่เพิ่งโดนนักแสดงร่วมหักอกหมาดๆ แหม่ เล่นเอามีคนอกหักไปเยอะเลย และต่อไปเราคงได้พบกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ล่ะครับ เพราะตอนนี้เธอกลายเป็นดีวาคนใหม่ของวงการเพลงอังกฤษไปแล้ว</font> <p><iframe height="315" src="//www.youtube.com/embed/kFtMl-uipA8" frameborder="0" width="560" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="315" src="//www.youtube.com/embed/3yDP9MKVhZc" frameborder="0" width="560" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-70116422936883158602014-12-01T21:07:00.000+07:002014-12-15T21:09:16.961+07:00Gravity Thailand 2014: Arcadia the Bangkok Landing<p align="justify"><font size="2">ตอนที่เขียนคอลัมน์นี้ ผมยังเบลอๆ อยู่เลยครับ เพราะเพิ่งกลับมาจากการอีเวนต์ Gravity Thailand 2014 ที่มีโชว์ชุด Arcadia: The Bangkok Landing เป็นโชว์หลักของงาน และมันเป็นอีเวนต์ที่ยาวมาก เพราะลากยาวตั้งแต่ตอนเย็น ยันตีหนึ่งกว่า กว่าจะกลับถึงบ้านได้ก็เริ่มหมดสภาพล่ะครับ แต่ก็ต้องมาปั่นงานก่อน</font></p> <p align="justify"><font size="2"><a href="http://lh4.ggpht.com/-YyoFrTScmBM/VI7rQVIwIQI/AAAAAAAAMpw/EnIYkrolTiY/s1600-h/2014-11-29%25252023.20.53%25255B7%25255D.jpg"><img title="2014-11-29 23.20.53" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="2014-11-29 23.20.53" src="http://lh3.ggpht.com/-ZQTNLZZ-ZoY/VI7rR3J92tI/AAAAAAAAMp4/1HdMJ-xECj0/2014-11-29%25252023.20.53_thumb%25255B4%25255D.jpg?imgmax=800" width="556" height="420"></a></font></p> <p align="justify"><font size="2">ถึงจะบอกว่ายาวแค่ไหน แต่บอกตรงๆ ว่างานนี้พลาดแล้วเสียดายสุดๆ จริงๆ ครับ เพราะการยกเอาโชว์ Arcadia มาเล่นแบบจัดเต็มนี่ไม่ใช่เรื่องงายเลย หลายคนอาจจะงงว่า Arcadia คืออะไร</font></p> <a name='more'></a> <p align="justify"><font size="2"></font> <p align="justify"><font size="2">ARCADIA คือคณะ “นาฎยจักรกลแห่งอนาคต” (Futuristic Mechanical Cabaret) ผู้สร้างสรรค์ประติมากรรมรีไซเคิลอันแสนมหัศจรรย์แห่งโลกอนาคต ที่เปรียบเสมือนโรงละครยิ่งใหญ่อลังการของดนตรีเต้นรำที่สุดขั้วในทุกๆสไตล์ พร้อมด้วยเทคนิคพิเศษตระการตาภายใต้สภาพแวดล้อมที่จะสร้างความตื่นเต้น ความสนุก และความมันส์ให้กับผู้ชมที่สัมผัสได้อย่างไร้ขอบเขตพรมแดนใดๆมาขวางกั้น จุดเด่นของ Arcadia คือเจ้าแมงมุมยักษ์ ที่ทำหน้าที่เป็นบูธดีเจโคตรอลังการ สร้างจากวัสดุรีไซเคิล ออกมาดูเหมือนกับมันหลุดมาจากหนังเรื่อง Mad Max แถมมันยังมีปืนยิงไฟถึง 9 หัว ยิงไฟพุ่งไปบนฟ้าได้ถึง 50 ฟุต เล่นเอาพื้นรอบๆ สั่นสะเทือนได้ แถมยังมีระบบแสงสี เลเซอร์พร้อม และแขนทั้ง 3 ของมันก็ขยับได้อิสระ สามารถให้นักแสดงไปห้อยเพื่อร่ายรำโชว์บนฟ้าได้อย่างน่าทึ่ง เรียกได้ว่าเป็นมากกว่าเวทีเฉยๆ แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของโชว์เลยล่ะครับ แถมยิ่งเห็นรายชื่อศิลปินในงานแต่ละคนแล้วบอกได้แค่ว่า พลาดไม่ได้ครับ</font> <p align="justify"><font size="2">จริงๆ ประตูงานเปิดตั้งแต่ก่อนสี่โมงเย็นนะครับ แต่ไม่ไหวครับ ผมไปตอน 6 โมงกว่าๆ เพราะมีภารกิจอื่น แถมสถานที่จัดงานก็อยู่หน้าสวนสยาม ไกลเอาเรื่องครับ เลยต้องบอกผ่านโชว์ของ Machina และ Suharit ตอนไปถึง ข้างในก็เริ่มสนุกกันล่ะ แต่ผมออกจะติดๆ ขัดๆ หน่อย เลยได้เข้าไปก่อนหนึ่งทุ่ม กะว่าจะไปให้ทัน Landing Show นั่นล่ะครับ แต่เล่นเอางง เพราะตามตาราง ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงที่ Bang Bang Bang เล่นอยู่ ก่อน Landing Show แต่กลายเป็นว่าผมได้เจอ Adsorb ดีเจสายอีเล็กโทรเฮาส์กับเบรกบีท ที่ร่วมงานกับ Bass6 บีทบอกเซอร์จากอังกฤษ แต่วันนี้หลักๆ คือมาเป็น MC ให้ครับ ผมเองไม่เคยตามทั้งคู่มาก่อน แต่ยอมรับเลยว่าเล่นได้มันส์มากครับ เปิดเพลิงลื่นไหล เอนเทอร์เทนคนดูได้แบบรัวสุดๆ Bass6 แกวิ่งพล่านไปทั่ว ชวนคนมามันได้จริงๆ แต่ในใจผมได้แต่คิดว่าพลาด Landing Show ล่ะ ดูเหมือนทุกอย่างจะเร็วกว่าตารางแฮะ</font> <p align="justify"><font size="2">จบเซ็ต สองดูโออังกฤษก็ส่งไม้ต่อให้ Freestyle Seed หรือพี่ซี้ดที่เรารู้จักกันดี ซึ่งพี่ซี้ดก็เตรียมตัวมาดีครับ รับช่วงต่อได้ไหลลื่น เสียดายที่ผมไม่ได้ฟังมาก เพราะต้องออกไปตามหาเพื่อนก่อน พอวกกลับมาอีกที จู่ๆ ก็เหมือนกับว่าเป็นโชว์ที่เจ้าแมงมุมเป็นตัวหลัก ในความเข้าใจผมคือเขาเลื่อนเวลา Landing Show มาตอนนี้แทน เพราะไม่มีดีเจเลย แต่โชว์แสงสีจากเจ้าหุ่นแมงมุมเต็มที และซักหน่อยก็มีนักแสดงมาห้อยโหนโชว์ลีลาที่ปลายแขนทั้ง 3 ของเจ้าหุ่น ดูแล้วชวนหวดเสียวจริงๆ ครับ แต่ทำออกมาได้อลังการมาก ตื่นเต้นและสวยงาม จะว่าไปก็เหมือนโชว์ในละครสัตว์จากอนาคตจริงๆ เล่นเอาคนดูเฮกันหมดเลย (ซึ่งก็น่าจะเป็น Landing Show เพราะผมมาเทียบแล้วคล้ายกับตอนงาน Glastonbury ปี 2013 จะต่างกันก็ตรงงานที่ไทยไม่มีโชว์ Projection Mapping ด้วยเท่านั้น)</font> <p align="justify"><a href="http://lh4.ggpht.com/-dwDdIC7Y-Lw/VI7rUHJVDeI/AAAAAAAAMqA/ldV4vKer4eo/s1600-h/2014-11-29%25252022.31.31%25255B6%25255D.jpg"><img title="2014-11-29 22.31.31" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="2014-11-29 22.31.31" src="http://lh5.ggpht.com/-yD1bcgOSod4/VI7rVV_BafI/AAAAAAAAMqI/nV9FE3WIfY8/2014-11-29%25252022.31.31_thumb%25255B3%25255D.jpg?imgmax=800" width="556" height="420"></a> <p align="justify"><font size="2">พอจบการแสดงชุดนั้น ก็เป็นอีกโชว์ที่ผมสนใจจะดูมากๆ นั่นคือ Lords of Lightning หรือโชว์เจ้าสายฟ้า ที่เป็นโชว์ที่อาศัยวิทยาศาสตร์มาช่วย ด้วยการปล่อยกระแสไฟฟ้า 4 ล้านโวลต์ ย้ำ 4 ล้านโวลต์ ผ่านตัวเจ้าสายฟ้าทั้งสองคนที่ยืนอยู่บนแท่นยก ให้เราเห็นกระแสไฟฟ้าเป็นเส้นๆ เหมือนเวลาฟ้าผ่านั่นล่ะครับ สวยมากๆ แถมพอดูใกล้ๆ นี่อย่างเท่เลย ทั้งสองคนโชว์ลีลาประกอบเพลงอย่างเมามัน มีทั้งโชว์กระแสไฟฟ้าจากมือ จากหัว ควงกระบองปล่อยไฟฟ้าสู้กัน ลีลาสวยงาม แถมคงกลัวคนดูไม่เสียว ปล่อยไฟลงพื้นเวทีโชว์อีกครับ อยู่ใกล้ๆ นี่ได้กลิ่นแปลกๆ เลย แต่เสียวและสนุกมาก สมกับที่เป็นโชว์ดังในเกาะอังกฤษจริงๆ ครับ</font> <p align="justify"><font size="2">พอจบ LOL ก็เป็นคิวของ Far Too Loud ดีเจสาย EDM และเฮาส์ ที่เปิดเพลงลื่นไหลดีอีกรายครับ ฟังได้มันมาก เอาคนดูอยู่ แต่ผมก็ไม่ได้ดูตลอด เพราะก็เดินวนไปมาก ก่อนจะกลับมาดู Skism สาย Dubstep จากอังกฤษ ที่บอกได้คำเดียวว่า Drop the Bass เรี่ยราดมาก โยกกันคอแทบหักครับ เบสหนักยังกับค้อนปอนด์ มารัวแบบไม่ยั้ง เลนเอาเหนื่อย พอจบแล้วก็มีโชว์ LOL รอบสองครับ ดูอีกรอบก็เพลิน</font> <p align="justify"><a href="http://lh4.ggpht.com/-G2fSIUPAnK0/VI7rXA9drNI/AAAAAAAAMqQ/atiicDF9rfE/s1600-h/2014-11-29%25252023.29.01%25255B5%25255D.jpg"><img title="2014-11-29 23.29.01" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="2014-11-29 23.29.01" src="http://lh6.ggpht.com/-GiT9bEZS5hI/VI7rYPCH7tI/AAAAAAAAMqY/kB5vBMGWxsI/2014-11-29%25252023.29.01_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="420" height="556"></a> <p align="justify"><font size="2">พอจบก็ตามติดด้วยโชว์ของ The Bloody Beetroots ดีเจจากอิตาลี ที่มาสายอีเล็กโทรเฮาส์ ผสมกับแดนซ์พังค์ ซึ่งพี่แกก็มาซะเท่ครับ ยีนส์เดฟ เสื้อหนัง ใส่หน้ากาก Venom ครึ่งหน้าเป็นเอกลักษณ์ มิกซ์เพลงอย่างเมามัน คนดูก็พีคสิครับ ไฟก็พ่นเอาๆ ยืนแถวขาแมงมุมนี่อย่างตื่นเต้นครับ มันโคตร เซ็ตนี้ยาวประมาณ 40 นาที แล้วก็ตามด้วยไฮไลต์ส่วนตัวของผม นั่นคือ Roni Size (ที่เคยเขียนถึงไปแล้ว) ที่ผมเฝ้ารอดูสดมานานมากครับ</font> <p align="justify"><font size="2"><a href="http://lh5.ggpht.com/-AlRci2airuU/VI7rbOdy8lI/AAAAAAAAMqg/YrUmNSuXpw4/s1600-h/2014-11-29%25252023.57.13%25255B5%25255D.jpg"><img title="2014-11-29 23.57.13" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="2014-11-29 23.57.13" src="http://lh5.ggpht.com/-X7Lrq3lvbSU/VI7rca39y5I/AAAAAAAAMqo/LlwlftvrObo/2014-11-29%25252023.57.13_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="556" height="420"></a></font> <p align="justify"><font size="2">Roni มาพร้อมกับ Dynamite MC คู่บุญ ออกมากก็จัดเพลงจากอัลบั้มล่าสุด Take Kontrol เลย แล้วก็มิกซ์อย่างเมามันมาก มีเพลง Dirty Beats กับ Brown Paper Bag ที่ผมจำได้ แถมยังเอาเพลง We Are Your Friends ของ Simian กับ Smack My Bitch Up ของ The Prodigy มามิกซ์ด้วย มันส์สุดๆ ครับ เต้นกันสนั่น (จะว่าไป เพลง Drums and Bass นี่จังหวะเต้นมันเข้ากับสเต็ปคาโปเอร่าดีนะครับ) เฮีย Dynamite นี่ก็พลังเยอะมาก ขนาดอายุไม่น้อยแล้ว วิ่งไปทั่วเลยครับ</font></p> <p align="justify"><font size="2">พอจบชุด ก็มี Arcadia Soundsystem มารับช่วงต่อสั้นๆ เป็นการส่งท้ายร่วมกับ Bass6 แล้วที่ปลายขาเจ้าแมงมุม ก็เป็นธงชาติไทยตระหง่านครับ ปิดท้ายอย่างเท่ และมีกิมมิคส่งท้ายเล็กๆ ด้วยการโชว์ LOL อีกครั้ง</font> <p align="justify"><font size="2">กว่าจะจบก็ตีหนึ่งล่ะครับ เล่นเอาหมดสภาพ แต่งานมันมาก จัดออกมาดีเลย โดยรวมดีหมดครับ จะมีติงหน่อยก็แค่เรื่องของการทิ้งขยะนั่นล่ะครับ ทีแรกก็พอไหว แต่ท้ายๆ นี่แบบกองแก้วกับถังพลาสติกเต็มไปหมด เหยียบทางไหนก็เจอ คนเมาๆ นี่ล้มง่ายมาก นอกนั้นเยี่ยมหมดครับ อย่างฟิน</font> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-71967676970055340592014-03-17T02:00:00.000+07:002014-03-18T02:04:16.209+07:00The View ดิบสดแบบคนหนุ่ม<p align="justify">จุดเปลี่ยนสำคัญจุดหนึ่งของวงการเพลงคือการที่โลกเชื่อมต่อกันด้วยอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ทำให้วงดนตรีหน้าใหม่สามารถโชว์ผลงานของตัวเองให้โลกเห็นได้ง่ายขึ้น เปิดโอกาสให้วัยรุ่นได้แสดงฝีมือมากขึ้น ยิ่งการทำเพลงที่สามารถตัดต่อได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ก็ทำให้มีเด็กวัยรุ่นที่พร้อมจะแสดงฝีมือเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างของวงที่เบิกทางให้กับศิลปินอินดี้รุ่นกระทงคือ The Arctic Monkeys ซึ่งหลังจากพวกเขาโด่งดังก็มีศิลปินที่เติบโตมาในแนวทางเดียวกันเพิ่มมากขึ้นไม่น้อย และหนึ่งในวงเหล่านั้นคือ The View <p align="justify"><a href="http://lh6.ggpht.com/-WH-8UBas6ec/UydHGE8iYvI/AAAAAAAAMhc/8LlENq3k0ec/s1600-h/url%25255B4%25255D.jpg"><img title="url" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="url" src="http://lh5.ggpht.com/-QwR_FVRVnvo/UydHHpjb3KI/AAAAAAAAMhk/u2tqsJxmTYk/url_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="465"></a> <p align="justify">The View มีสมาชิกทั้งหมด 4 คนคือ Kyle Falconer (ไคล์ ร้องนำ กีตาร์) Kieran Webster (คีแรน เบส) Pete Reilly (พีท กีตาร์) และ Steven Morrison (สตีเว่น ร้องนำ) กลุ่มวัยรุ่นใน Dundee เมืองหนึ่งในสกอตแลนด์ ที่ตั้งวงตั้งแต่สมัยเรียน โดยเริ่มต้นจากการเล่นคัฟเวอร์วงดังๆก่อน และเข้าประกวดตามในโรงเรียน ซึ่งพวกเขาก็ชนะบ้าง และเริ่มแต่งและเล่นเพลงของตัวเองในผับของญาติ ทำให้ได้งานแสดงสดตามอีเวนต์ต่างๆ และผับในเมืองดันดีด้วย จนไปเข้าตาค่ายเพลงท้องถิ่นที่เซ็นสัญญาชวนพวกเขาเข้าร่วมงาน ได้ออกอีพีแรกชื่อ The View EP ตามชื่อวงในปี 2006 โดยประกาศขายทางเว็บไซต์ของค่ายเพลงและจำกัดจำนวนแค่ 2,000 แผ่นเท่านั้น และในขณะเดียวกัน พวกเขาก็อัดเดโมอัลบั้มเต็มชุดแรก และปล่อยให้ฟังฟรีๆบนเว็บของต้นสังกัด เท่านั้นล่ะครับ พวกดีเจชื่อดังทั้งหลายที่ติดใจผลงานของเขาก็ร่ำลือถึงวงหน้าใหม่ที่มาแรงโคตรๆจากสกอตแลนด์ ดีเจชื่อดังอย่าง เซน โลว์ แห่ง BBC ก็ไม่พลาดที่จะอัญเชิญพวกเขามาเล่นสดในรายการ ทั้งๆที่นอกจาก EP แล้วก็ยังไม่มีผลงานอะไรอีก แถม EP ยังขายแค่วงแคบอีกด้วย กลายเป็นก้าวกระโดดให้วงเล็กๆจากเมืองดันดีเป็นที่จับตามมองในวงการเพลงทั่วเกาะอังกฤษ</p> <a name='more'></a> <p align="justify"> <p align="justify">พอราศีจับ อะไรมันก็ง่ายขึ้นครับ ปี 2006 นอกจากงานเล่นสดตามที่ต่างๆ พวกเขาก็เริ่มอัดอัลบั้มกับโปรดิวเซอร์ดังอย่าง Owen Morris และระหว่างนั้นก็ออกซิงเกิ้ลแรก Wasted Little DJ’s มาชิมลาง และก็เป็นเพลงแรกของพวกเขาที่ติดชาร์ทซิงเกิ้ลในอันดับที่ 73 ด้วยความที่มันเป็นเพลงพ็อพร๊อคที่รวดเร็วและเต็มไปด้วยพลังความสดของคนหนุ่ม และติดหูอย่างมาก เสียงร้องของไคล์มีส่วนที่ทำให้เรานึกไปถึง Pete แห่ง The Libertines อีกด้วย ไม่แปลกที่จะเป็นเพลงดัง ที่สำคัญ พวกเขาออกเพลงนี้ตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 20 ปีดีเลย พลังหนุ่มนี่มันสดดีจริงๆครับ <p align="justify">พอซิงเกิ้ลแรกทำให้พวกเขาเริ่มดังในวงกว้างมากขึ้น พวกเขาก็ตัดซิงเกิ้ลที่ 2 ชื้อ Superstar Tradesman ที่ยังมันส์ติดหูเช่นเดิม และมันยังขึ้นไปถึงอันดับ 15 บนชาร์ทเพลงเลยทีเดียว แววรุ่งเห็นชัดๆครับ แถมก่อนที่พวกเขาจะออกอัลบั้มเต็มแค่สัปดาห์เดียว พวกเขาก็ปล่อยเพลงเด็ด Same Jeans เพลงพ๊อพร๊อคกลิ่นสกาจางๆตามสไตล์วงอังกฤษที่พูดถึงชีวิตวัยรุ่นปอนๆได้อย่างฮามาก และมันก็กลายเป็นซิงเกิ้ลฮิตของพวกเขาเพราะขึ้นไปถึงอันดับ 3 ของชาร์ท เบิกทางให้อัลบั้มเต็มที่จะออกมาในอาทิตย์ต่อไปเป็นอย่างดี <p align="justify">Hats Off To The Buskers ออกวางขายในต้นปี 2007 และไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 1 บนชาร์ตอัลบั้ม กลายเป็นผลงานเปิดตัวที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากกระแสของพวกเขาที่ถูกปั้นขึ้นมาตลอด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาดังเพราะกระแสอย่างเดียว แต่คุณภาพเพลงของพวกเขา ที่เป็นเพลงพ๊อพร๊อคผสมสกาสไตล์อังกฤษ มีกลิ่นพังค์ปน แต่ละเพลงรวดเร็ว กระชับ สั้นติดหู และเต็มไปด้วยความสด เหมาะกับการเล่นสดอย่างเมามัน แถมยังมีความแสบแบบวัยรุ่นเมาๆเบลอ (สนุกไปหน่อย เจอจับโคเคนอดไปเล่นที่อเมริกาเลย) ไม่แปลกอะไรที่พวกเขากลายเป็นวงหน้าใหม่ขวัญใจมหาชนไปอีกวงหนึ่งเรียบร้อย <p align="justify"><a href="http://lh6.ggpht.com/-5lDR3-v9WBY/UydHJFNKjpI/AAAAAAAAMhs/4Xgxz9O_fyU/s1600-h/TheViewFriLeedsDD260811%25255B7%25255D.jpg"><img title="TheViewFriLeedsDD260811" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="TheViewFriLeedsDD260811" src="http://lh3.ggpht.com/-c8bbMtn1KMY/UydHLcV6_gI/AAAAAAAAMh0/APPUE5tkBa4/TheViewFriLeedsDD260811_thumb%25255B4%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="393"></a> <p align="justify">พวกเขาใช้เวลา 2 ปีในการทำงานเพลงชุดใหม่ Which Bitch? ที่ออกมาในปี 2009 แต่น่าเสียดายที่แม้จะมีแรงหนุนจากสื่อ แต่พวกเขากลับไม่ประสบความสำเร็จในแง่ยอดขายนัก อาจจะเป็นเพราะว่าแนวเพลงแบบพวกเขาได้รับความนิยมน้อยลง คนหันไปสนใจเพลงร๊อคผสมเพลงเต้นรำซะมากกว่า <p align="justify">ซึ่งสองอัลบั้มที่ตามมาในปี 2011 ชื่อ Bread and Circuses ที่มีเพลงมันๆอย่าง Grace และ Sunday ก็ได้รับผลกระทบเดียวกัน เพลงของพวกเขาไม่ได้แย่นะครับ เพียงแต่ว่าไม่ได้แหวกจากแนวเดิมมากนัก อาจจะทำให้คนไม่ได้สนใจมากเหมือนเดิม แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบความสนุกของการปาร์ตี้และเมาจนพับกลางบาร์ ก็คงยังสนุกกับงานของพวกเขาได้เหมือนเดิม <p align="justify">พวกเขาคืนฟอร์มกลับมาได้หน่อยกับอัลบั้ม Cheeky for a Reason ในปี 2012 ที่ยังแน่นด้วยความสนุกในแบบของพวกเขา เพลงติดหูชวนแหกปากร้องตามในผับ ตั้งแต่ How Long หรือเพลงที่แฝงด้วยปรัชญาอย่าง The Clock ที่เรียบเรียงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และ Cheeky for a Reason ก็เป็นอัลบั้มที่ได้กลับไปติดชาร์ทท็อปเท็นได้อีกครั้ง <p align="justify">และจู่ๆ ปีก่อนพวกเขาก็ออกอัลบั้มรวมเพลง Seven Year Setlist ซึ่งเป็นการรวมเพลงดังๆของพวกเขาที่มักจะถูกนำมาเล่นในคอนเสิร์ตอยู่เสมอตามชื่ออัลบั้ม และยังมีเพลงใหม่อีกสามเพลงคือ Kill Kyle, The Standard และ Dirty Magazine รวมทั้งหมดเป็น 21 อัดแน่นด้วยความสนุกในแบบของพวกเขา ใครที่ชอบฟังเพลงอินดี้กีตาร์ร๊อคสนุกๆแบบอังกฤษ ไม่ควรพลาดเด็ดขาด เพราะมันเต็มไปด้วยพลังของคนหนุ่มตลอดเวลาเกือบ 80 นาทีเลยทีเดียว <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/3r82eSTnmVw?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/vafE7DRsCow?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/y5aN0lugaaY?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/LVulprSDlLs?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-47596321569565762232014-03-10T17:59:00.000+07:002014-03-13T17:59:49.911+07:00Visual Album การพลิกโฉมวงการเพลงของ Beyonce<p align="justify">หลังจากที่อ่านข่าวมาได้เดือนกว่าๆ อัลบั้มที่เป็นที่กล่าวขานในวงการเพลงตอนนี้ก็ได้มาถึงโต๊ะทำงานผมเสียที อาจจะช้ากว่าที่รู้สึกหน่อย แต่ไม่แปลกครับ เพราะมันมาในรูปแบบของแผ่นซีดีควบดีวีดี แต่ตอนที่เป็นข่าวนั่น มันออกขายแบบดิจิตอลก่อนแบบซีดีและแผ่นเสียงเสียอีก เลยทำให้กว่าเราจะได้ตัวจริงมาฟังก็รู้สึกว่านานเอาเรื่อง อัลบั้มที่ผมพูดถึงคือ Beyonce โดย Beyonce ครับ <p align="justify"><a href="http://lh3.ggpht.com/-lRa71XgYF3I/UyGPmtFHZOI/AAAAAAAAMhE/e8W9oQ8Z9Q8/s1600-h/beyonce_new_album%25255B4%25255D.jpg"><img title="beyonce_new_album" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="beyonce_new_album" src="http://lh6.ggpht.com/-RKtHZtxXs74/UyGPoWRfTpI/AAAAAAAAMhM/DTCIeNZL4Zk/beyonce_new_album_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="392"></a> <p align="justify">ที่มันเป็นที่กล่าวขานเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพราะว่ามันคืองานใหม่ของศิลปินสาวที่ได้ชื่อว่าทำอะไรก็เป็นข่าวและเต็มไปด้วยความหรูเริ่ด Fabulous เสมอ เท่านั้น แต่มันออกมาได้อย่างช็อควงการมากๆ นอกจากมันจะถูกวางขายแบบไม่มีข่าวแพร่งพรายออกมาก่อนเลย ซึ่งเป็นเรื่องแทบไม่น่าเชื่อสำหรับศิลปินระดับดังคับโลก (ต่อให้คนไม่ฟังเพลงฝรั่งก็คงต้องเคยผ่านตาเธอจากโฆษณาต่างๆบ้างล่ะ) แต่มันมีจุดเด่นตรงที่มันเป็นอัลบั้มที่เธอเรียกว่า Visual Album ซึ่งแตกต่างไปจากอัลบั้มต่างๆที่เคยมีมา</p> <a name='more'></a> <p align="justify"> <p align="justify">ก่อนจะเข้าเรื่อง Visual Albums คงต้องย้อนไปดูก่อนว่า มีอะไรเข้าใกล้กับสิ่งนี้บ้างรึเปล่า ที่ผ่านมา ในวงการเพลง จะมี Concept Albums หรือการทำงานเพลงโดยกำหนดธีมไว้ และแต่งเพลงโดยยึดโยงกับธีมที่ตั้งไว้ ที่เคยเขียนถึงคงจะเป็น The Black Parade ของ My Chemical Romance ที่ทำเพลงโดยมีธีมเกี่ยวกับคนไข้ที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หรือ American Idiot ของ Green Day ที่ต่อมาก็ถูกนำเป็นทำเป็นละครเวที ถ้าพูดถึงงานเก่าๆคงเป็น The Wall ของ Pink Floyd ที่มาพร้อมกับภาพยนตร์สุดหลอนที่เคียงคู่ไปกับอัลบั้มเป็นอย่างดี จะว่าเป็นการนำเสนองานเพลงผ่านภาพก็ว่าได้ <p align="justify">พอมายุคที่ MV ไม่ใช่แค่ภาพการแสดงสดของศิลปินเท่านั้น แต่กลายเป็นพื้นที่จัดแสดงทักษะในการทำภาพให้เข้ากับเพลง ก็เริ่มมีพัฒนาการทำ MV ที่ช่วยให้เราดูแล้วรู้สึกว่าตีความเพลงได้มากขึ้น หรือเด่นจนบางทีก็แทบจะแซงงานเพลงเลย (ส่วนตัวผม งานแรกๆที่ดูแล้วรู้สึกติดใจมากๆคือ Just ของ Radiohead) ทำให้แนวทางการนำภาพมาเสนอเพลงเริ่มโดดเด่นมากขึ้นกว่าเดิม <p align="justify">งานอัลบั้มที่วางคอนเซ็ปต์การทำเพลงและภาพยนตร์ประกอบที่โดดเด่นที่สุดในหลายปีที่ผ่านมา คงต้องยกให้ Interstellar 5555 และ Discovery ของ Daft Punk โดยตัวแรกเป็นภาพยนตร์ และตัวหลังคืออัลบั้ม ตอนที่ Daft Punk ปล่อย Discovery ออกมาในปี 2001 นั้น นอกจากความพ๊อพติดหูของงานเพลง สิ่งที่ทำให้เราทึ่งคือ MV ที่เป็นอนิเมชั่นฝีมือของ Matsumoto Leiji เจ้าของผลงานดังอย่าง กัปตันฮาร์ล็อค รถด่วนอวกาศ 999 และ เรือรบอวกาศ ยามาโต้ (เด็กรุ่นผมค่อยรู้จัก แต่ตอนนี้ก็มีขายอีกแล้วนะ) ซึ่งดูแล้วงามมากๆ แต่ที่ทำให้เราทึ่งคือ พอซิงเกิ้ลต่อมา นอกจากจะเรียงลำดับเพลงตามในอัลบั้มแล้ว อนิเมชั่นที่เป็น MV ยังต่อเนื่องจากเดิมอีก เล่นเอาเราลุ้นตามต่อ จนพวกเขาออกซิงเกิ้ลมาครบ 4 เพลง ก็เล่นเอาเราสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นกับเหล่านักดนตรีอวกาศของพวกเรา หลังจากรอได้ 2 ปี Interstellar 5555 ก็เปิดตัวให้เราได้ชมเนื้อเรื่องทั้งหมด <p align="justify"><iframe style="height: 356px; width: 615px" height="360" src="//www.youtube.com/embed/k8PrIzCX5mI?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe> <p align="justify">กลายเป็นว่า จริงๆแล้ว ในขณะที่เริ่มทำเพลง Daft Punk ก็ได้ติดต่อ Matsumoto Leiji ฮีโร่สมัยเด็กของพวกเขาให้เข้ามาร่วมทำงานด้วยกัน กลายเป็นคอนเซ็ปต์การทำเพลงไปพร้อมๆกับตัวหนังประกอบ กลายเป็นเรื่องเป็นราว ที่เมื่อดูตัวภาพยนตร์แล้ว จะทำให้ตีความอัลบั้มได้มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า Interstellar 5555 ไม่มีบทพูดอะไร แต่เล่าเรื่องผ่านเพลงจากอัลบั้ม Discovery แบบเรียงลำดับตรงกันเป๊ะๆ เรียกได้ว่าเป็นงานเพลงที่สร้างขึ้นมาเพื่อชมด้วยสายตาไปพร้อมๆกันจริงๆ <p align="justify">กลับมาที่ Beyonce ของ Beyonce (งงมั้ย) งานชิ้นที่ 5 ของเธอ ซึ่งตามที่บอกไปแล้วว่า ออกมาได้อย่างเซอไพรซ์ชาวประชามาก เพราะศิลปินระดับโคตรแม่เหล็กอย่างเธอสามารถเก็บความลับมาได้เป็นปี แถมโผล่มาทีก็ ตู้ม เอาไปเลย อัลบั้มใหม่เต็มๆ ไม่ใช่ซิงเกิ้ล แถมที่สำคัญมันเป็นอัลบั้มที่เธอเรียกอย่างเต็มปากว่า Visual Album <p align="justify">ซึ่งในความหมายของเธอ Visual Album คืออัลบั้มที่ต้องใช้ตาชมไปด้วยกับการฟัง ดังนั้น มันจึงมาในรูปแบบ ซีดี สำหรับฟังเฉยๆ กับ ดีวีดี ที่ทั้งฟังและชมในแบบที่มันควรจะเป็นที่สุด เพื่อที่ผู้เสพจะได้ประสบการตรงแบบที่ศิลปินต้องการให้สัมผัส โดยที่แต่ละเพลงก็มี MV ของมันเอง ไม่ได้เกี่ยวกันเป็นเนื้อหาแบบ Interstellar 5555 <p align="justify">อีกจุดหนึ่งที่ต่างไปจากการทำงานเพลงทั่วไปคือ บางเพลง Beyonce ก็ออกแบบคอนเซ็ปต์ของ MV ก่อน แล้วค่อยทำเพลงให้เข้ากับ MV เป็นการทำงานแบบที่สวนทางกับขั้นตอนการทำเพลงทั่วไปมากๆ นอกจากนี้ แต่ละเพลงก็มีอาร์ตเวิร์คในบุคเล็ตแนบเป็นของตัวเองอีกด้วย จึงไม่แปลกอะไรที่ Beyonce จะเรียกมันว่า Visual Album ซึ่งมาคิดอีกทีก็น่าจะเหมาะสมดี กับศิลปินที่มีพลังดึงดูดทางเพศสูงมากอย่างเธอ ที่จะใช้ภาพมาเน้นขายงานเพลงแบบเต็มที่แบบนี้ จัดว่าเป็นก้าวหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ <p align="justify">หลังจากที่ Beyonce ถูกวางขาย มันก็ทะยานขึ้นอันดับ 1 ของชาร์ตอัลบั้มทันที การันตีความสำเร็จของเธออีกครั้ง แน่นอนว่าแม้มันจะดูเป็นไอเดียที่ไม่มีอะไรมาก แต่การทำมันออกมาอย่างเต็มที่และมีศิลปะ ก็ทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่สามารถดันวงการเพลงไปข้างหน้าได้อีกระดับหนึ่ง เป็นไปได้ว่าต่อไปอาจจะมีศิลปินเลือกทำงานเพลงแบบนี้แทนที่จะสนใจแค่ทำเพลง เพราะศิลปินคนนั้นมองว่าดนตรีคือ Performance Art มากกว่าการจัดเรียงเสียงอย่างเดียว ส่วนใครที่ยังไม่หนำใจ ก็อาจจะไปสอยดีวีดีชุด Life is but a Dream ของเธอมาดูต่ออีกก็ได้ครับ <p><iframe style="height: 356px; width: 616px" height="360" src="//www.youtube.com/embed/pZ12_E5R3qc?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-14911254775976781792014-03-03T17:50:00.000+07:002014-03-13T17:54:56.284+07:00Andrew McMahon เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนแนว<p align="justify">ท่านผู้อ่านรู้สึกอย่างไรเวลาศิลปินเปลี่ยนชื่อในการทำงานครับ ที่ถามนี่ไม่ได้หมายถึงดาราสาวที่เปลี่ยนชื่อกันแปลกๆแบบหนูอิมอิม หรือ คิกคิกสะระนัง อะไรนั่นนะครับ แตไปเน้นพวกศิลปินที่เปลี่ยนชื่อ เพราะเวลาเปลี่ยนแนวเพลงคนจะได้ไม่สับสนกับงานเดิม อย่าง Mike Skinner ก็ทิ้งชื่อ The Streets เมื่อรู้สึกว่าตันและหันไปทำเพลงในชื่อ The D.O.T. แนวเพลงก็ต่างจากเดิม ส่วนเฮีย Snoop Dogg พอไปทำเรกเก้ ก็เป็น Snoop Lion นี่ล่าสุดมาเป็น Snoopzilla เพราะทำเพลงฟังค์ (เกี่ยวกันไงวะ) และอีกคนนึงที่ใช้วิธีเดียวกันก็คือ Andrew McMachon <p align="justify"><a href="http://lh3.ggpht.com/-I_HHlnvFr1I/UyGORc-QeuI/AAAAAAAAMgg/4OCUU98CzdU/s1600-h/2683298473_a909152c3e_z%25255B4%25255D.jpg"><img title="2683298473_a909152c3e_z" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="2683298473_a909152c3e_z" src="http://lh4.ggpht.com/-8HAscLamv84/UyGOYuPQbXI/AAAAAAAAMgo/6ZN7dYlmMcY/2683298473_a909152c3e_z_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="380" height="500"></a> <p align="justify">Andrew McMahon (แอนดริว ร้องนำ เปียโน) เริ่มต้นชีวิตนักดนตรีด้วยตำแหน่งนักร้องของSomething Corporate วงพังค์จากย่าน Orange County ซึ่งตัว Andrew ได้แต่งเพลงขึ้นมาในระหว่างที่พักทัวร์ แต่เขารู้สึกว่า มันไม่เหมาะที่จะเป็นเพลงของ Something Corporate และเมื่อแยกห่างจากเพื่อร่วมวงมากกว่าเดิมกว่าเดิม เขาก็เริ่มแต่งเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวมากขึ้น จนมันแยกห่างจากงานเพลงของวงหลัก เขาชอบมันมากถึงกับลงทุนจ่ายเงินค่าโปรดัคชั่นในการอัดเพลงเองเป็นเงินถึง 40,000 เหรียญ แต่ก็คุ้มค่าเพราะมันทำให้เขาได้สัญญากับค่ายเพลง Mavericks เขาจึงตัดสินใจตั้งวงขึ้น โดยทีแรกจะตั้งชื่อว่า The Mannequins แต่เบิ่อเทรนด์วงที่ชื่อ The เลยเปลี่ยนเป็น Jack’s Mannequin ตามชื่อตัวละครในเพลงของเขาแทน และหลังจากเริ่มต้นเขียนเพลงได้ 2 ปี อัลบั้มแรกของ Jack’s Mannequin ก็ได้ออกวางขายในปี 2005 ในชื่อ Everything in Transit</p> <a name='more'></a> <p align="justify"> <p align="justify">Everything in Transit เป็นงานที่เปิดตัววงได้อย่างงดงาม แนวเพลงหลักของวงคือ ป๊อปร๊อคที่นำโดยเสียงเปียโนที่ไล่เรียงได้อย่างงดงามไปกับเพลงแต่ละเพลง บวกกับเสียงร้องที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Andrew ทำให้มันเป็นโดดเด่นกว่าเพลงตลาดๆโหลๆที่เราหาฟังได้ตามสถานบันเทิง ตัวอย่างที่ชัดคือ Dark Blue ซิงเกิ้ลที่สองที่เรียบเรียงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากเสียงเปียโนแล้วยังได้เสียงเครื่องเป่ามาแซมเป็นลูกเล่นได้เต็มที่ ส่วนซิงเกิ้ลแรกอย่าง Mixed Tape ก็ออกจะเป็นร๊อคมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ลืมเซนส์ของเพลงป๊อปชั้นเยี่ยมครับ แต่ละเพลงในอัลบั้มได้ถูกเรียบเรียงออกมาอย่างดี และติดหูได้ง่ายๆ และนั่นก็เป็นกุญแจของความสำเร็จที่ส่งให้อัลบั้มนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 37 บนชาร์ต น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสออกทัวร์สนับสนุนอัลบั้ม เพราะ Andrew เกิดป่วยเป็นลูคีเมีย และต้องรับการรักษาด่วน <p align="justify">การออกผลงานเดี่ยว และการรักษาตัว ทำให้ Something Corporate ต้องแยกวงไปโดยอัตโนมัติ และหลังจากนั้น เขาก็หันมาทุ่มเทให้กับงานเดี่ยวของเขาอย่างเต็มที่ และรวมไปถึงการทำงานการกุศลเพื่อมูลนิธิลูคีเมียอีกด้วย ในที่สุด งานชุดที่สองของเขาในชื่อ The Glass Passenger ก็ได้ออกวางขายในปี 2008 และมันก็เป็นการกลับมาที่เต็มไปด้วยประสบการณ์มากกว่าเดิม <p align="justify"><a href="http://lh6.ggpht.com/-vzDo9fgyBiY/UyGOcN5oN0I/AAAAAAAAMgw/jdpKL2w1Kn8/s1600-h/2250676471_7bbd88aa52_z%25255B4%25255D.jpg"><img title="2250676471_7bbd88aa52_z" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="2250676471_7bbd88aa52_z" src="http://lh4.ggpht.com/-mmwmnq87sng/UyGOd-oXaqI/AAAAAAAAMg4/QhptP4jSQKg/2250676471_7bbd88aa52_z_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="380" height="500"></a> <p align="justify">เมื่อเที่ยบกับ Everything in Transit แล้ว ตัวงานชุดที่สองจะมีกลิ่นของความเป็นร๊อคมากกว่าเดิม แม้ซิงเกิ้ลอย่าง Swim จะเป็นเพลงป๊อปที่เรียบเรียงอย่างบรรจง แต่กับอีกซิงเกิ้ลอย่าง The Resolution ก็เป็นเพลงที่เร็วขึ้นกว่าเดิม และติดหูชวนให้เราร้องตามไปโดยเร็วเลย ที่สำคัญ เนื้อเพลงมันบอกถึงความมุ่งมั่นของเขาหลังจากหายจากโรคร้ายได้เป็นอย่างดี Crashing ก็เป็นเพลงเร็วที่เรียบเรียงเสียงเปียโนได้อย่างโดยเด่นเสียจริงๆ อีกเพลงที่หนักแน่นกว่าเก่าคือ Suicide Blonde แต่สำหรับตัวผมแล้ว เพลงที่ผมคิดว่าเยี่ยมที่สุดในอัลบั้มนี้คือ American Love ที่เรียบเรียงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ริฟฟ์ต้นเพลงที่เหมือนกับเพลงร๊อคจากยุค ’90 ก่อนที่จะเสริมด้วยเสียงเปียโนกับเสียงร้องแบบไร้เทียมทาน สำหรับเพลงนี้ พูดได้คำเดียวคือ ไร้ที่ติ <p align="justify">และหลังจากซุ่มไปเก็บตัวเขียนเพลง ในปีนี้ เขาก็กลับมากับอัลบั้มชุดที่ 3 ที่ใช้ชื่อ People & Things ซึ่งเปิดตัวมาด้วยเพลงที่แสดงฝีมือการเรียบเรียงของเขาที่พัฒนาขึ้นไปอย่างมากกับซิงเกิ้ลแรก My Racing Thoughts ที่เป็นเพลงเปียโนร๊อคที่จังหวะเร็ว แต่กลับประคองความงดงามของเพลงได้อย่างยอดเยี่ยม และเสียงร้องที่โดดเด่นของเขาก็มาช่วยเสริมให้มันโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก จนกลายเป็นซิงเกิ้ลที่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติดจริงๆ ตัวอัลบั้มก็เล่นกับความสัมพันธ์ของผู้คน แสดงให้เห็นถึงการเติบโตขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งของเขา ไม่ว่าจะเป็นเพลง Release Me ที่เขาร้องเหมือนกลั่นออกมาจากหัวใจ ส่วน People, Running ก็พูดถึงความสัมพันธ์ของผู้คนรอบตัวได้อย่างน่าสนเอามากๆครับ ส่วน Restless Dream เพลงบัลลาดช้าๆที่เนื้อเพลงแต่งให้กับผู้หญิงที่เขาเจอแต่ไม่รู้จักออกมาได้อย่างหวานซึ้งจริงๆ เมื่อฟังอัลบั้มนี้จบแล้ว ทำให้เราได้แต่คิดว่า เขาเติบโต สั่งสมประสบการณ์ และนำมาใส่ในผลงานเพลงของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม <p align="justify">น่าเสียดายที่ หลังจากรองานใหม่ของเขาซักระยะ ผมเองเพิ่งทราบข่าวว่า เขาเลิกทำงานในชื่อ Jack’s Mannequin และหันมาใช้ชื่อตัวเอง Andrew McMahon ในการทำเพลงแทน ทีแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะตอนทำเพลงในชื่อเดิม ก็แทบจะเป็นงานส่วนตัวไปแล้ว แต่พอได้มาฟังผลงานเพลงของเขาใน EP แรกที่ออกมาชิมลางเมื่อปีก่อนชื่อ The Pop Underground กลายเป็นว่าเพลงของเขากลายเป็นเพลงพ๊อพจัดมากขึ้นกว่าเดิม ตั้งแต่เพลงเปิด Synesthesia ที่คล้ายกับ The Resolution ที่เปลี่ยนคนร้องเป็นเด็กวัยรุ่น มันสดชื่นอย่างไม่น่าเชื่อครับ เสียงสังเคราะห์เข้ามามีอิทธิพลมากขึ้นกว่าเดิม อย่างบีทในเพลงถัดไป Catching Cold ที่สังเคราะห์ล้วนๆ เสียงร้องของเขาก็ยังคงโดดเด่นมีเสน่ห์เช่นเคยแม้เพลงจะหันมาในแนวพ๊อพอย่างเต็มตัว After the Fire ก็มากับจังหวะแบบคาร์นิวาลพาร์ตี้เลยทีเดียว มีเพียง Learn to Dance ที่กลิ่นคล้ายงานเดิมของเขาบ้าง <p align="justify">แม้จะเป็นศิลปินคนเดิม แต่การเปลี่ยนชื่อ ก็เหมือนกับการสตาร์ตใหม่อีกครั้ง แฟนเพลงจะได้ทำใจได้ว่า จากนี้ไป แนวเพลงจะเปลี่ยนไปแล้ว ส่วนครั้งนี้ก็คอยดูกันว่าเปลี่ยนแล้วจะเวิร์คไหมครับ <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/GX0uEs3I6TA?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/3UgGe50SbeI?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/MzGdmsRoSkg?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/MTgd3HBCPyc?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-73270210966967733552014-02-23T17:47:00.000+07:002014-03-13T17:49:14.525+07:00Kendrick Lamar ดาวฮิพฮอพดวงใหม่<p align="justify">สัปดาห์ก่อนผมเขียนถึง Pusha T หนึ่งในศิลปินฮิพฮอพรุ่นใหม่ที่มาแรง และเมื่อพูดถึงศิลปินฮิพฮอพหน้าใหม่มาแรงแล้ว พลาดไม่ได้เลยที่จะกล่าวถึงชายคนนี้ เขาคือคนที่ถูกจับตามองมากที่สุด และเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ถึง 7 สาขา แต่กลับแห้วไปหมดแบบที่เป็นที่โจษจัน เพราะกระแสสังคมมองว่าเขาควรได้แน่ๆ ขนาดที่ผู้ขนะยังขอโทษเขาและบอกว่าเขาเหมาะกับรางวัลมากกว่า แรปเปอร์หนุ่มที่มาแรงที่สุดในตอนนี้คือ Kendrick Lamar <p align="justify"><a href="http://lh4.ggpht.com/-UGA0P--puvY/UyGNCSnh1HI/AAAAAAAAMf8/6RmQO-g6e-8/s1600-h/kendrick-lamar-coming-to-south-africa%25255B4%25255D.jpg"><img title="kendrick-lamar-coming-to-south-africa" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="kendrick-lamar-coming-to-south-africa" src="http://lh3.ggpht.com/-o20-jO1q0cs/UyGNEsJ_qWI/AAAAAAAAMgE/4wQbew_7VC4/kendrick-lamar-coming-to-south-africa_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="451"></a> <p align="justify">Kendrick Lamar (เคนดริค) หนุ่มน้อยที่พ่อแม่มาจากชิคาโก แต่ย้ายมาอยู่ที่ Compton ในแคลิฟอร์เนีย ที่เขาเติบโตขึ้นมา และถ้าเอ่ยชื่อเมืองนี้ คงไม่ต้องสงสัยสำหรับแฟนฮิพฮอพ ว่ามันมีความสำคัญแค่ไหน เพราะมันคือหนึ่งในเมืองที่เป็นเหมือนตักสิลาของดนตรีฮิพฮอพตั้งแต่ยุค 80 และเป็นแหล่งกำเนิดของตำนานแกงสเตอร์แร๊พอย่าง NWA รวมไปถึงการเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยแก็งสารพัดสารพันที่พร้อมจะห้ำหั่นกันได้ทุกเมื่อ ในเมืองที่โหดไม่น้อยเช่นนี้ เป็นเรื่องง่ายมากที่เด็กผิวสีซักคนจะเดินไปบนเส้นทางของนักเลง แต่โชคดีที่ Kendrick ได้รับอิทธิพลทางดนตรีจาก Dr. Dre และ Tupac เมื่อเห็นทั้งสองคนกำลังถ่ายทำ MV เพลง California Love ใน Compton และนั่นก็ได้ทำให้เขาหลงใหลในดนตรี และเขาก็ยังเป็นนักเรียนที่ทำคะแนนได้ดีอีกด้วย </p> <a name='more'></a> <p align="justify"> <p align="justify">และตั้งแต่ช่วงเขาอายุ 16 ก็เริ่มทำผลงานเพลงออกมิกซ์เทปด้วยตัวเอง ซึ่งมิกซ์เทปในวัฒนธรรมฮิพฮอพ ไม่ได้หมายถึงการเอาเพลงมายัดๆใส่กัน แต่จะหมายถึงอัลบั้มรวมเพลงที่ปล่อยออกมาก่อนเพื่อโปรโมทศิลปินหน้าใหม่ก่อนที่จะออกผลงานเต็มตัวเป็นชิ้นเป็นอัน อาจจะมีเพลงเด่นซักเพลง แล้วเติมด้วยเพลงของคนอื่น หรือรีมิกซ์เพลงตัวเอง เป็นแนวทางที่ศิลปินฮิพฮอพขอบทำ และความเด่นของผลงานเขาก็ไปเข้าตาค่ายฮิพฮอพอินดี้ จนได้สัญญาเข้าเป็นศิลปิน ซึ่งตอนนั้นเขายังคงใช้ชื่อว่า K-Dot อยู่ <p align="justify">เมื่อมีค่าย เขาก็ได้ออกมิกซ์เทปออกมาอีกชุดชื่อ Training Days ในปี 2005 และได้ร่วมแจม เล่นเปิดให้กับรุ่นพี่ฝั่งเวสต์โคสต์อย่าง The Game รวมไปถึงไปฟีเจอริ่ง (ในความหมายจริงๆ ไม่ใช่แบบเกิร์ลลี่เบอรี่) กับ The Game อีกด้วย จึงเป็นการปูทางให้กับอนาคตของเขาได้อย่างดี ในปี 2009 เขาออกมิกซ์เทป C4 ซึ่งได้อิทธิพลจากอัลบั้ม Tha Carter III ของ Lil Wayne และไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ทิ้งชื่อ K-Dot และหันมาใช้ชื่อจริงในวงการเพลงแทน <p align="justify">เส้นทางของเขาเริ่มโดดเด่นขึ้นเรื่อยเมื่อออกมิกซ์เทปชุดแรกหลังจากเปลี่ยนชื่อในวงการ Overly Dedicated เป็นอัลบั้มที่ปล่อยให้โหลดฟรีในปี 2010 และมันได้รับความนิยมอย่างล้นหลามถึงขนาดขึ้นไปติดชาร์ตเพลงฮิพฮอพได้เลยทีเดียว (ถ้าโหลดคิดเงินจะติดที่เท่าไหร่กัน) และเพลงเด่น Ignorance is Bliss ก็ไปเข้าตาโคตรโปรดิวเซอร์อย่าง Dre ถึงขนาดที่ถูกตามตัวเข้าค่ายเพลงเลยทีเดียว <p align="justify"><a href="http://lh6.ggpht.com/-ukXJ2h1yGi4/UyGNGSErDBI/AAAAAAAAMgM/lZnVl36Z5l8/s1600-h/Kendrick-Lamar-in-Amsterdam-by-Merlijn-Hoek%25255B4%25255D.jpg"><img title="Kendrick-Lamar-in-Amsterdam-by-Merlijn-Hoek" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="Kendrick-Lamar-in-Amsterdam-by-Merlijn-Hoek" src="http://lh6.ggpht.com/-qh-2de8Ou0E/UyGNJAkcntI/AAAAAAAAMgU/Pb2iWD9FPyk/Kendrick-Lamar-in-Amsterdam-by-Merlijn-Hoek_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="378"></a> <p align="justify">แต่เขาก็ยังเลือกที่จะไม่เข้าค่ายของ Dre และออกงานอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกกับค่ายอินดี้ค่ายแรกของเขาก่อน ซึ่งมันคือ Section. 80 และเป็นงานที่ได้รับคำชมอย่างสูง นักวิจารณ์เพลงทั้งหลายต่างยกให้เขาเป็นแรปเปอร์ที่มาแรงระดับท็อป และงานชุดนี้ทำให้เขาได้ไปร่วมงานกับตำนานฝั่ง East Coast อย่าง RZA แห่ง Wu-Tang Clan อีกด้วย จุดที่พีคมากๆของเขาคงเป็นตอนที่ขึ้นเวทีร่วมกับศิลปิน West Coast รุ่นพี่ Dre, Snoop Dogg และ The Game และทั้งสามยกให้เขาเป็น ราชาแห่งเวสต์โคสต์ฮิพฮอพ คนใหม่ คนระดับนี้รับประกันแล้ว แสดงว่าต้องไม่ธรรมดาแน่นอนครับ และเขาก็สร้างชื่อต่อด้วยการไปโผล่ฟีเจอริ่งให้กับศิลปินดังอีกหลายราย <p align="justify">และในที่สุด เขาก็เซ็นสัญญากับค่าย Aftermath ของ Dre กลายเป็นเด็กในสังกัด ซึ่ง Dre ได้ปั้นจนได้ดิบได้ดีมาหลายต่อหลายรายแล้ว และตลอดปี 2012 เขาก็มุ่งมั่นกับการผลิตอัลบั้มแรกตั้งแต่เซ็นเข้าค่ายเมเจอร์ของเขา จนคลอดออกมาในช่วงปลายปี 2012 นั่นเองในชื่อว่า good kid, m.A.A.d city ซึ่งมันถูกโปรดิวซ์โดยมือทองของวงการทั้งหลาย นอกจาก Dre แล้วยังมี Pharrell Williams, Just Blaze และ DJ Khali เป็นต้น คงพูดได้ว่าถ้าจะหาอัลบั้มฮิพฮอพที่ผู้คนเฝ้ารอฟังขนาด good kid, m.A.A.d city <p align="justify">good kid, m.A.A.d city อัดแน่นไปด้วยเพลงคุณภาพสมกับที่ทุกคนเฝ้ารอ แม้มันจะไม่ใช่เพลงฮิพฮอพที่รวดเร็วเร้าใจชวนเข้าคลับไปเต้นรำแบบที่หลายๆคนชอบทำ แต่มันแน่นด้วยจังหวะที่หนักและเนิบ บวกกับแร็พที่ไหลลื่นของเขาทำให้มันเป็นอัลบั้มเด่นได้ทันที ซิงเกิ้ลแรกที่ร่วมงานกับ Dre ได้บอกเราชัดเจนว่าจะได้เจอกับอะไร สไตล์ของเขาเหมาะกับคำว่าเวสต์โคสต์ยุคใหม่จริงๆ น่าเสียดายที่มันไม่ถูกนำไปรวมในอัลบั้มเวอร์ชั่นปกติ แต่เพลงอื่นก็ยังแน่นครับ Poetic Justice ที่ร่วมงานกับ Drake ก็ทำให้เรานึกถึงยุครุ่งเรืองของฮิพฮอพช่วง 90 ขณะที่ Bitch don’t kill my vibe ก็เป็นเพลงช้าๆที่น่าจะทำให้เราได้ชิลในคลับ ขณะที่ The Art of Peer Pressure เพลงที่จังหวะเยือกเย็น ไหลร่วมไปกับเนื้อเพลงของกบฏหนุ่มที่ท้าทายกับอิทธิพลจากรอบข้าง เยี่ยมครับ แต่เพลงที่เป็นทีเด็ดปิดเกมของอัลบั้มนี้คงต้องขอยกให้ Swimming Pools (Drank) ที่นอกจากจังหวะจะติดหูแล้ว การแร็พของเขามันช่างรวดเร็วและลื่นไหลอย่างไร้รอยสะดุด จนเราทึ่งว่าหนุ่มอายุรุ่น 20กลางๆเท่านี้ช่างมีพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศขนาดนี้ สมแล้วครับที่ทุกคนจะยกให้เขาเป็นแรปเปอร์ที่มาแรงที่สุดแห่งยุค <p align="justify">น่าเสียดายที่กรรมการแกรมมี่ไม่เข้าใจ และไปยกรางวัลให้กับ Macklemore ที่ผมฟังยังไงก็แค่เพลงพ๊อพเจอฮิพฮอพเท่านั้น (ขอโทษถ้าใครไม่ถูกใจ) แต่นึกอีกทีก็อาจจะคล้ายกับมุกในการ์ตูนแสบ Chozen ที่บอกว่า ไม่มีศิลปินฮิพฮอพผิวสีแคร์กับรางวัลแกรมมี่หรอก ยกเว้นแต่ Kanye แต่ คิดแล้วก็ยังเสียดายแทนเขานะครับ มองโลกในแง่ดี Kendrick Lamar ยืนระยะได้แน่ ในขณะที่ผู้ชนะในปีนี้อย่าง Macklemore นี่จะอยู่ได้นานแค่ไหนกัน <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/yyr2gEouEMM?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/8-ejyHzz3XE?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/QjlFqgRbICY?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-32426661517148116462014-02-16T15:59:00.001+07:002014-02-16T15:59:56.942+07:00Pusha T เดี่ยวแล้วรุ่ง<p>สัปดาห์ก่อน ผมเขียนเรื่องของ Haim วงสามสาวพี่น้องที่รักกันดีไปแล้ว สัปดาห์นี้ เลยอยากเขียนเรื่องมุมกลับหน่อย เรื่องของศิลปินพี่น้อง ที่แยกตัวออกมากลายเป็นศิลปินเดี่ยวแล้วรุ่ง ชายคนนั้นคือ Pusha T ดาวฮิพฮอพที่มาอีกคนหนึ่งในยุคนี้นั่นเอง <p><a href="http://lh4.ggpht.com/-nIXK5Vqg7HM/UwB9v8EYH5I/AAAAAAAAMdw/brlJbA2tz_Y/s1600-h/PushaT_OMHHI%25255B4%25255D.png"><img title="PushaT_OMHHI" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="PushaT_OMHHI" src="http://lh4.ggpht.com/-5AtFn7MU9HI/UwB9z3PQ5RI/AAAAAAAAMd4/OufjnCENpQ4/PushaT_OMHHI_thumb%25255B2%25255D.png?imgmax=800" width="580" height="456"></a> <p>จุดเริ่มต้นของ Pusha T คือดูโอฮิพฮอพที่เขาจับมือกับ Malice พี่ชายตัวเองในชื่อ Clipse จากเวอร์จิเนียบีช เวอร์จิเนีย ตั้งแต่ต้นยุค 90 หรือพูดง่ายๆคือตั้งแต่ยังเป็นเด็กวัยรุ่นนั่นเอง ซึ่งเป็นโชคดีของพวกเขาที่ผลงานของพวกเขาไปเข้าตา Pharrell Williams หนึ่งในยอดโปรดิวเซอร์ทีม The Neptunes เจ้าของเสียงกลองและจังหวะที่เป็นเอกลักษณ์ และเขาตัดสินใจรับเอาสองพี่น้องมาดูแล และดันจนได้เซ็นสัญญาเข้าค่ายเพลง Elektra และออกซิงเกิ้ล The Funeral ในปี 1999 ซึ่งเป็นที่เลื่องลือในวงการฮิพฮอพ ด้วยจังหวะที่โครมครามของมัน ตามสไตล์งานที่ The Neptunes โปรดิวซ์ เสียงกีตาร์แบบสเปนคลอไปเบื้อหลัง แซมเปิ้ลสุดหนัก และลีลาการแร๊พที่ไหลลื่นของ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาได้แค่กล่อง แต่ไม่ได้เงิน เพราะยอดขายของซิงเกิ้ลไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไร ผลก็คือค่าย Elektra ตัดสินใจไม่ปล่อยงาน Exclusive Audio Footage ของพวกเขาออกขาย และยกเลิกสัญญากับพวกเขา </p> <a name='more'></a> <p> <p>แต่คนมันจะดัง มันก็ต้องมีคนเห็นฝีมือนั่นล่ะครับ Pharrell ตัดสินใจว่า เมื่อค่ายเดิมไม่เห็นหัว เลยดันทั้งคู่เข้าค่าย Star Trak ของตัวเองที่เพิ่งตั้งใหม่ภายใต้สังกัด Arista อีกทีซะ และกลายเป็นตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม เพราะพวกเขาสร้างแฟนได้จากงานเก่า และเป็นช่วงมือขึ้นของ The Neptunes พอโปรดิวซ์ซิงเกิ้ล Grindin’ ให้กับ Clipse ด้วยจังหวะโครมคราม บวกเข้ากับการแร๊พอันไหลลื่นของ ทำให้มันกลายเป็นเพลงที่พร้อมจะทำให้คนในคลับเต้นได้ตามอย่างเมามัน ส่วนซิงเกิ้ลต่อมา When Last Time ก็มาในจังชวนให้เต้นตามแบบฉบับของ The Neptunes (อีกแล้ว) ซึ่งเป็นที่นิยมในช่วงนั้นอยู่แล้ว ทำให้ทั้งสองเพลงกลายเป็นเพลงดัง ที่ส่งผลไปถึงอัลบั้มแรก Lord Willin’ ที่ถูกรอคอย และพวกเขาไม่ทำให้คนที่เชื่อมั่นผิดหวัง มันเปิดตัวในอันดับหนึ่งชาร์ตเพลง R&B/ฮิพฮอพ อย่างงดงาม และ Clipse กลายเป็นดูโอฮิพฮอพใหม่ที่มาแรง พวกเขาได้นำเสียงใหม่ๆเข้ามาในวงการเพลงฮิพฮอพ แม้จะมีความหนักและจริงจังแบบสายอีสต์โคสต์ แต่เพราะเซนส์ของเพลงพ๊อพ ทำให้มันไม่หนักเกินและกลับติดหูคนฟังได้ <p><a href="http://lh3.ggpht.com/-89_tiQb-NeY/UwB93eL5GTI/AAAAAAAAMeA/bCzd97dDr-c/s1600-h/clipse-508d0f21ef33b%25255B5%25255D.jpg"><img title="clipse-508d0f21ef33b" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="clipse-508d0f21ef33b" src="http://lh4.ggpht.com/-QDoBg1lp9dw/UwB97XBOAjI/AAAAAAAAMeI/HcWgx9Qlpn8/clipse-508d0f21ef33b_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="335"></a> <p>แต่จากที่อะไรดูสดใส เงามืดกลับเข้ามาอย่างกะทันหัน ค่ายโซนี่ บ้านใหญ่สุดของพวกเขารวมตัวเข้ากับ BMG (หลายคนคงทัน) พวกเขาหลุดจากบ้านเดิมอย่าง Arista/Star Trak ไปอยู่ค่าย Jive แทน ซึ่งนรกตามมาทันที เพราะ Jive เน้นศิลปินที่พ๊อพมากกว่า งานชุดต่อมาของพวกเขาจึงถูกดองแม้จะเริ่มเดินหน้าไปแล้ว <p>พวกเขาโมโหทะเลาะกับค่ายเพลง ขอลาออก แต่ก็ไม่ได้ผล เลยตัดสินใจฟ้องค่ายและตั้งค่ายเพลงของตัวเอง ออกเพลงของพวกเขาเองกับเพื่อนในนาม The Re-Up Gang ก่อนที่จะเคลียร์กันรู้เรื่องและในที่สุด Hell Hath No Fury ได้ออกวางขายในปี 2006 แน่นอนว่า ลูกพี่ที่รักอย่าง The Neptunes ก็ยังคงมาโปรดิวซ์ให้พวกเขาเช่นเคย ซึ่งหมายความว่า พวกเขาก็ยังคงได้ทำงานเพลงในแบบที่เป็นจุดแข็งของพวกเขาตลอด และมันก็มีเพลงเด่นอย่าง Wamp Wamp (What It Do) ที่เพอคัชชั่นในเพลงรัวโหดราวกับหลุดมาจากแอฟริกาหมาดๆ อีกเพลงเด่นที่ผมชอบคือ Momma I'm So Sorry ที่โฟลว์ของพวกเขามันไหลลื่นจริงๆ และ HHNF ก็เป็นงานที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เพลงเป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่มันไม่สามารถทำยอดขายได้ดีนัก และพวกเขาก็ถูกปล่อยตัวไปอยู่ค่ายใหม่ Columbia <p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjBnFbWmQcBo5mKDEX5SIugDeaQC6c80J7cE5EiYL6A10rUffBMhkgBvj6w5IoQ7cACygtGKocIwWcq-Q9q7hJbqBhvMMGi8dqVb6e8i-fWZGxuHxgudxGYqncGy6J2vTb2zei14Q-N8gkT/s1600-h/Pusha_T_2-21%25255B5%25255D.jpg"><img title="Pusha_T_2-21" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="Pusha_T_2-21" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhkrIf8C26SOLFy4Aem04qxTnAapQVXRdLnszxWkxzSUUw9Lm6EpsWieuGdZN62IVqcvAlAQy9FZE2epjr76w47tD4u0wJXIt0qQdaATv9FH7co08PGC4o7W1nDi55xqEI-Po6EEhequL2E/?imgmax=800" width="580" height="440"></a> <p>พวกเขาออกงานใหม่ Til The Casket Drops ในปี 2009 ซึ่งแทนที่จะร่วมงานกับ The Neptunes อย่างเดียว พวกเขาได้ P. Diddy มาช่วยโปรดิวซ์เพื่อขยายขอบเขตงานของพวกเขา ทำให้ได้ซาวด์ใหม่ๆ ตัวอย่างที่ชัดคือ There Was A Murder ที่บีทบวมเอามากๆ และ Kinda Like A Big Deal ที่ร่วมงานกับ Kanye West ก็กลายเป็นงานเพลงของ Kanye ไปซะงั้น ขณะที่ I’m Good ซิงเกิ้ลแรกที่ได้เสียงนุ่มของ Pharrell มาช่วยหนุนก็เป็นเพลงที่ฟังได้สบายแม้จะมีจังหวะหนักราวกับค้อนปอนด์ประกอบอยู่เบื้องหลัง เหมือนดวงไม่ดี เป็นอีกครั้งที่งานของพวกเขาได้รับคำชมมากกว่ายอดขาย และก็เป็นจุดที่พวกเขาตัดสินใจ พัก Clipse ไว้ก่อนและหันไปทำงานเพลงส่วนตัวของใครของมัน <p>Pusha T ดูเหมือนทางจะสดใสกว่า เมื่อเขาได้เข้าสังกัด GOOD Music ของ Kanye West ที่แน่นอนว่าไม่ว่าใครก็จับตามอง นั่นทำให้เขาได้ไปโผล่ในงานเพลงต่างๆของค่าย ทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไปร่วมในเพลง Mercy ซิงเกิ้ลเด่นจากอัลบั้ม Cruel Summer ที่รวมศิลปินในค่าย GOOD Music ซึ่งเป็นเหมือนการปูทางให้ชื่อ Pusha T เป็นที่รู้จักในวงกว้าง อีกงานเด่นของเขา (อย่างน้อยในความเห็นผม) คือการไปร่วมแจมกับ The-Dream ในเพลง Dope Bitch ที่เขาฝากท่อนแร็พที่ฟังดูง่ายๆแต่โฟลว์ของมันกลับไหลลื่นแบบไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว ท่าทางงานเดี่ยวของเขาจะมีอนาคตสดใสแล้ว <p>และในปี 2013 งานเดี่ยวของเขา My Name is My Name ก็ได้ออกมาดูโลก และกลายเป็นงานเพลงที่สร้างชื่อในฐานะศิลปินเดี่ยวให้เขาอย่างเต็มที่ ด้วยฝีมือโปรดิวซ์หลักของ Kanye ทำให้เราได้สัมผัสอิทธิพลของเขาอบอวลอยู่ในอัลบั้ม ตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรก Pain ที่แน่นด้วยบีทที่พร้อมถล่มลำโพง จาก 12 เพลงในอัลบั้มมันถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลถึง 5 เพลง ซึ่งแต่ละเพลงก็เด่นไม่แพ้กัน ทั้ง Sweet Serenade ที่ได้ Chris Brown มาโชว์เสียงนิ่มๆ Let Me Love You เพลงนิ่มๆไว้จีบสาวที่เขาร่วมงานกับ Kelly Rowland โดยมี The-Dream โปรดิวซ์ให้ ส่วน Nosetalgia ที่ร่วมงานกับดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง Kendrick Lamar ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ขณะที่ Numbers On The Boards มาพร้อมกับบีททมิฬคลุ้งก่อนที่จะมีท่อนเบรกปรับอารมณ์สั้นๆ แต่ละเพลงชวนเราเร่งเสียงลำโพงจริงๆ แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือ เขาไม่ได้ตัดเพลง 40 Acres ที่ร่วมงานกับ The-Dream ออกมาเป็นซิงเกิ้ล ทั้งๆที่ความเห็นของผมคือเพลงนี้แน่นทั้งเนื้อหาและตัวดนตรีแบบไร้เทียมทาน แต่ แค่นี้ก็เล่นเอง Pusha T กลายเป็นชื่อสามัญประจำวงการฮิพฮอพไปเรียบร้อยแล้ว และตัวอัลบั้มก็ได้ทั้งยอดขายและคำชม <p>หลังจากลุ่มๆดอนๆตอนทำเพลงกับพี่ตัวเอง Pusha T ดูเหมือนจะได้ฉายแววเต็มที่เมื่อทำงานเพลงเดี่ยวของเขาเองและเส้นทางของเขาก็เปล่งประกายอย่างงดงามเลยทีเดียวครับ</p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/P8NnDbfd4yc?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/TjWAWcx4xdE?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/d6VuYsNpYg8?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/mZ0iUNI0ncc?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/3LD98c-9fGY?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/7Dqgr0wNyPo?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/iwYwoEIEeE0?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/DawrlSwHUiM?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/lmgEoh_r_XM?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/TyvYslXdAzU?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-6925034684640432502014-02-10T00:44:00.000+07:002014-02-10T00:45:42.492+07:00Haim รวมพลังพี่น้อง<p align="justify">ตามที่เล่าไปในสัปดาห์ก่อนที่เขียนถึง Chvrches ว่าไม่น่าเชื่อว่าจากที่ผมไม่ค่อยได้ฟังเพลงที่ร้องโดยผู้หญิงเท่าไหร่ แต่ปีที่ผ่านมา กลับกลายเป็นว่ามีหลายต่อหลายวงที่มีนักร้องนำเป็นผู้หญิงที่โดดเด่นขึ้นมา นอกจาก Chvrches แล้วก็ยังมี The Jezabels, Warpaint, The Naked and Famous หรือ Ellie Goulding ซึ่งบางวงก็ไม่ใช่วงที่แค่มีผู้หญิงเป็นนักร้องนำ แต่เป็นสมาชิกหลักของวง กลายเป็นวงที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ ทำให้นึกถึงเทรนด์สาวร๊อคในยุค 90 (และวงฮิพฮอพลูกผสมหญิงล้วนอย่าง Luscious Jackson) ซึ่งวงที่เราไม่สามารถจะมองข้ามไปเวลาพูดถึงวงเหล่านี้ได้ก็คือ Haim <p align="justify"><a href="http://lh3.ggpht.com/-FYoCqkwysp8/Uve-kN7TlqI/AAAAAAAAMcw/BLyxMk9X5ig/s1600-h/130930-haim-cover-lead%25255B4%25255D.jpg"><img title="130930-haim-cover-lead" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="130930-haim-cover-lead" src="http://lh4.ggpht.com/-tFMQrNhrUtA/Uve-lsUKquI/AAAAAAAAMc4/VX8JtLiA98c/130930-haim-cover-lead_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="335"></a> <p align="justify">Haim (อ่านว่า ไฮม์ ไม่ใช่ ฮาอิม) มีจุดกำเนิดที่ต่างกับอีกหลายๆวง ที่เจอกันในมหาวิทยาลัยบ้าง ตามประกาศหานักดนตรีบ้าง แต่พวกเธอไม่ต้องไปตามหากันไกลที่ไหน เพราะพวกเธอคือพี่น้องท้องเดียวกัน ที่เติบโตมาด้วยกันในแคลิฟอร์เนียในครอบครัวชาวยิว ซึ่งทั้งสามสาวคือ Alana, Danielle และ Este (อลาน่า ดาเนียลเล่ และ เอสเต้) และดูเหมือนเส้นทางของดนตรีจะถูกปูไว้ให้สำหรับพวกเธอตั้งแต่เล็ก เพราะตั้งแต่เล็ก พวกเธอก็เป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรีในครอบครัวที่ชื่อว่า Rockinhaim ร่วมกับพ่อแม่ของเธอ ออกเล่นดนตรีตามงานท้องถิ่น แววมาแต่เล็กครับ</p> <a name='more'></a> <p align="justify"> <p align="justify">พอโตขึ้นมาหน่อย Danielle กับ Este ก็ได้เข้าร่วมวง The Valli Girls วงหญิงล้วนในช่วงต้นยุค 2000 ซึ่งก็ทำเพลงพ๊อพ๊อคสมัยนิยมแบบที่ฮิตในช่วงนั้น (เล่นเอานึกถึงวง 20<sup>th</sup> Century Girls ในยุคก่อนหน้า) ซึ่งเป็นยุคที่มีศิลปิน “ร๊อค” สาวออกมาเยอะมาก ตั้งแต่ Avril Lavigne, Kelly Clarkson หรือ Ashley Simpsons วง The Valli Girls เป็นที่รู้จักในระดับหนึ่ง เพลงของพวกเธอถูกนำไปใช้ประกอบภาพยนตร์วัยรุ่นด้วย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าจดจำมากไปกว่านั้น ใครสนใจก็ลองไปหาใน YouTube ได้ครับ <p align="justify">แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเธอก็สนใจที่จะทำงานเพลงของตัวเองมากกว่า จึงตัดสินใจฟอร์มวงกันในหมู่พี่น้อง ซึ่งก็คงไม่มีชื่ออะไรเหมาะสมมากไปกว่า Haim นามสกุลของพวกเธอนั่นเอง แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่ได้ทำอะไรจริงจัง เพราะต่างคนต่างวุ่นกับเรื่องของตัวเอง Este ก็ติดเรียนให้จบที่ UCLA ส่วน Danielle ก็ได้ไปเล่นกีตาร์ให้กับ Jenny Lewis (อดีต Rilo Kiley) หลังจากที่ Jenny เห็นแววเธอตอนตีกลองให้วงเปิด (แต่เอาไปเล่นกีตาร์) ซึ่งก็ทำให้ต่อมา Julian Casablancas เห็นฝีมือเธอจนชวนไปเล่นตอนทัวร์ซัพพอร์ตงานโซโล่ของเขา และก็ได้ไปร่วมกับวงแบ็คอัพของ Cee-Lo Green อีก เรียกได้ว่าสะสมฝีมือเต็มเปี่ยม จนในที่สุดพวกเธอก็ตัดสินใจมุ่งมั่นกับเพลงของพวกเธอเองให้เต็มที่ จน Alana ตัดสินใจ ลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อทำงานกับพี่สาว <p align="justify">แม้รากดนตรีของพวกเธอจะมาจากแนวเพลงโฟลค์อเมริกันจ๋าๆแบบที่พ่อแม่ของเธอพาฟังและเล่นมาตั้งแต่เด็กแบบ Fleetwood Mac แต่ว่าพวกเธอก็ไม่ได้เล่นตามแนวเพลงนั้นทั้งหมด แต่พวกเธอยังสนใจเพลงสมัยใหม่เช่นดนตรีผิวสีอย่างฮิพฮอพและ R&B อีกด้วย ดนตรีของพวกเธอเป็นการผสมผสานแนวเพลงที่ไม่น่าจะเข้ากันได้ จนกลายเป็นเพลงที่มีจังหวะแบบดนตรีผิวสีแบบฟังค์เสียดายซ้ำ แต่เสียงร้องและท่อนฮุคกลับไปคล้ายกับ Fleetwood Mac เป็นส่วนผสมที่ออกมาลงตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ <p align="justify"><a href="http://lh5.ggpht.com/-89qRxd828-k/Uve-mhs7kxI/AAAAAAAAMdA/IZCTsEawwDE/s1600-h/2013Haim02JF071213%25255B4%25255D.jpg"><img title="2013Haim02JF071213" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="2013Haim02JF071213" src="http://lh4.ggpht.com/-kMEDzG_awPw/Uve-sHT4igI/AAAAAAAAMdI/TlxAoVfYqRw/2013Haim02JF071213_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="393"></a> <p align="justify">แรกเริ่มพวกเธอเล่นเปิดให้กับศิลปินอย่าง Ke$ha และ Edward Sharpe & The Magnetic Zeros และก็ได้ออก EP แรกชื่อ Forever ในช่วงต้นปี 2012 ที่ดึงดูดความสนใจจากวงการเพลงได้เป็นอย่างมาก ด้วยส่วนผสมที่ลงตัวตามที่ได้บอกไป รวมทั้งเซนส์ในการทำเพลงที่โคตรติดหู ไม่ว่าใครฟังก็พร้อมที่จะเต้นตามและร้องไปด้วย จากนั้นพวกเธอก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในการแสดงสดในเทศกาล South by Southwest เทศกาลดนตรีที่เท่ที่สุดงานหนึ่งในอเมริกา ทำให้พวกเธอได้สัญญากับค่าย Polydor เป็นของรางวัลจากความพยายาม และก็สร้างชื่อต่อด้วยการทัวร์ซัพพอร์ทให้ Mumford and Sons และ Florence and the Machine ในอังกฤษ ทำให้ชื่อของพวกเธอกลายเป็นที่รู้จักในทั้งสองทวีป นั่นทำให้พวกเธอถูกจับตามมองอย่างมาก BBC จัดให้พวกเธอเป็นได้ตำแหน่ง Sound of 2013 (เอาชนะวงรุ่นเดียวอย่าง Chvrches นั่นล่ะครับ) กลายเป็นวงหญิงล้วนวงแรกที่ได้ตำแหน่งนี้ ส่วน NME ก็ยกให้ Forever ติดอันดับเพลงประจำปี แล้วในปี 2013 พวกเธอก็ได้ไปเล่นในเทศกาล Glastonbury ก่อนที่จะออกอัลบั้มเต็มเสียด้วยซ้ำครับ แววรุ่งมาเห็นๆครับ <p align="justify">เมื่อพวกเธอออกอัลบั้มเต็ม Days are Gone ในช่วงปลายปี 2013 โดยมี James Ford แห่ง Simian Mobile Disco เป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ และมันก็ไม่ทำให้ใครผิดหวัง เพราะ DAG คืองานลูกผสมที่ออกมาได้อย่างมีสไตล์ที่สุด ตามที่บอกไปว่าพวกเธอจับดนตรีทั้งสองแนวมาผสมกันออกมาได้แซ่บเหมือนกับอาหารฟิวชั่นที่ลงตัวนุ่มลิ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ลองฟังเสียกีตาร์ใน The Wire ที่มาแบบเพลงร๊อค AOR แต่กลับเล่นล้อไปกับบีทที่โครมคราม ใครจะเชื่อว่ามันจะออกมาลงตัวได้ ยิ่งพอท่อนฮุคที่ชวนชูมือขวาขึ้นมาแหกปากตามนี่อึ้งครับ แต่ละเพลงของพวกเธอเต็มไปด้วยลูกเล่นเล็กน้อย อย่าง My Song 5 ก็อึกทึกไม่แพ้กัน ส่วน If I Could Change Your Mind เพลงโปรดของผมนี่เซ็กซี่เอามากๆ ตั้งแต่จังหวะที่ลึกลับ บวกกับเสียงร้องที่ฟังเหมือนจะเยือกเย็นแต่กลับเผยด้านอ่อนไหวอ้อนเราด้วยเสียงกระเส่าในท่อนฮุค ตายทันทีครับ ใครอยากได้เพลงที่เท่ล้ำสมัย ก็ไม่ควรพลาดฟัง Days Are Gone เป็นอันขาดครับ <p align="justify">พลังของสามสาวพี่น้อง Haim ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นบทเพลงที่แสนเท่ในอัลบั้ม Days Are Gone เรายังไม่รู้ว่าอนาคตของพวกเธอจะมุ่งไปในทางไหน แต่ในวันนี้ บทเพลงของพวกเธอจะกระหึ่มไปทั่ว ตั้งแต่ในคลับสุดชิค ร้านกาแฟเก๋ๆ ไปจนถึงงานแฟชั่นโชว์ <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/sEwM6ERq0gc?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/kiqIush2nTA?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/AIjVpRAXK18?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/1TffpkE2GU4?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-6208352266301607972014-02-09T16:19:00.001+07:002014-02-10T00:39:56.887+07:00หลังเวที แฟนพันธุ์แท้ ประเทศญี่ปุ่น<p align="justify">จริงๆอยากเขียนเรื่องนี้ไวกว่านี้นะครับ ว่าเป็นไงมาไง ถึงได้ไปแข่ง แฟนพันธุ์แท้ แต่แบบ รอออนแอร์ก่อนค่อยเขียนดีกว่า ได้ฟีลดี แต่พอออนแอร์ ดันไม่มีเวลาล่ะทีนี้ เลยเลทมาเป็นวันเลย</p> <p align="justify"><a href="http://lh3.ggpht.com/-gQVHOadgiu8/UvdGH69weqI/AAAAAAAAMbM/gSwFVgkitdc/s1600-h/S__11182084%25255B4%25255D.jpg"><img title="S__11182084" style="border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; background-image: none; border-bottom-width: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; display: block; padding-right: 0px; border-top-width: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="S__11182084" src="http://lh4.ggpht.com/-e8Cmdl120XE/UvdGJhcGOXI/AAAAAAAAMbU/8ioyRvUsNHM/S__11182084_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="380" height="500"></a></p> <p align="justify">คือ ใครที่ตามผมมาเรื่อยก็คงจะรู้ว่า เออ ผมก็บ้าประเทศญี่ปุ่นในระดับนึงล่ะ เขียนหนังสือออกมาสองเล่ม มีเมียญี่ปุ่น รับสื่อญี่ปุ่นตลอด ทำงานกับคนญี่ปุ่น จนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปล่ะ พอเห็นว่ารายการ แฟนพันธุ์แท้ รับสมัครหัวข้อ ประเทศญี่ปุ่น ก็เลยคิดว่า เอาวะ ลองดู ไม่มีอะไรต้องเสียนี่หว่า (จริงๆเคยอยากจะแข่งถ้ามีหัวข้อ เซนต์เซย่า อีวานเกเลี่ยน แล้วก็ โจโจนะ โอตาคุบรรลัย) เลยส่งโปรไฟล์ไปสมัครกับทีมงาน ไม่กี่วันก็มีโทรศัพท์มาเรียกตัวไปสัมภาษณ์ที่เวิร์คพอยต์ ก็แท่ดแท่ดแท่ด ขับรถไปสตูเค้า ซึ่งอยู่ไกลมากๆๆ แต่ก็ดีที่</p> <a name='more'></a> <p align="justify"> <p align="justify"><a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=587373591312215&set=a.291039340945643.75410.279015832147994&type=1&theater" target="_blank"><img title="รูปตอนที่เค้าประกาศรับสมัครในFacebook" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="รูปตอนที่เค้าประกาศรับสมัครในFacebook" src="http://lh6.ggpht.com/-6GzmQl_dFqg/Uve9Ztq0_aI/AAAAAAAAMck/W5lu9yQjR7g/1401500_587373591312215_562095171_o%25255B5%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="415"></a> <p align="justify">ตอนสัมภาษณ์ ก็โดนถามนู่นถามนี่ แรงบันดาลใจ มีความรู้แค่ไหน เค้าก็จะดูว่าเรารู้อะไรบ้าง คุยกันยาวเอาเรื่อง แล้วก็ได้การบ้านมาทำ ให้เขียนเรื่องญี่ปุ่นที่คิดว่าเรารู้แต่คนอื่นไม่รู้บ้าง เขียนเรื่องเทศกาลญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นบ้าง ก็เขียนไป จำได้ว่าวันที่ไปคือวันพฤหัส คุยเสร็จก็ เอ้อ กลับบ้าน (ที่จอดรถของเวิร์คพอยต์มีลูกหมาจรจัดนอนเหงาอยู่ตัวนึง พอดีซื้อแคบหมูจากบองมาเช่มากินด้วย เลยโยนให้มันกินเล่น ไม่รู้ตอนนี้เป็นไงแล้ว ห่วงหมา) <p align="justify">กลับมาบ้านก็พยายามไม่คิดอะไรนะ ตั้งใจมากๆแล้วแบบไม่ได้จะผิดหวังเนอะ เค้าบอกว่าจะติดต่อกลับ พอวันจันทร์ก็ทำงานทำธุระตามปกติ จนโทรศัพท์น้องออฟทีมงานโทรมา บอกว่า “พี่คะ เดี๋ยวเข้ามาบรีฟรายการอีกทีนะคะ” ไอ้เราก็งงๆ “ได้ๆ แต่ นี่พี่ผ่านเข้ารอบเหรอ?” น้องก็ค่อยคอนเฟิร์ม แหม่ เล่นตัดตอน เห็นใจคนลุ้นหน่อยสิ วันต่อมาก็เลยไปนั่งบรีฟกับทีมงาน คุยเรื่องระบบการเล่นเกม ขอบเขตของคำถาม รายละเอียดปลีกย่อย นี่ก็ยาวอีก น่าจะเกือบสามชั่วโมงเลย รู้สึกตัวอีกที มืดแล้ว ประเด็นคือ รู้วันจันทร์ บรีฟวันอังคาร แข่งวันพฤหัส โหดหลาย (แวะเล่นกับหมาก่อนกลับอีก มันยังกลัวคน) <p align="justify">พอกลับบ้าน บอกศรีภรรเมีย ก็โชคดีที่บริษัทยอมให้ลางานมาเชียร์ ไม่งั้นพลังใจคงหายไปเยอะ กราบขอบคุณโตโยต้ามอเตอร์แปซิฟิคเอเชียครับ ส่วนบริษัทเอเชี่ยนครอสเวย์ น้องๆที่ทำงานจะลากะทันหัน ลูกค้าคงโวยตาย เลยอด มีบก.แบงค์ <a href="http://www.twitter.com/natchanon" target="_blank">@natchanon</a> กับกาย <a href="http://www.twitter.com/patikal" target="_blank">@patikal</a> จากสำนักพิมพ์แซลมอนบอกว่าจะมาเชียร์ด้วย แต่ดันไม่ทำป้ายไฟโฆษณาสำนักพิมพ์มา แหม่ เสียใจ (กายเคยเข้าแข่งแฟนพันธุ์แท้พรีเมียลีกด้วย เมื่อหลายปีก่อนแล้ว) ซึ่ง เราก็โปรโมทหนังสือเต็มที่ล่ะ บก.กับนักเขียนต้องช่วยกันสิครับ แหม่ ออกจอแบบนี้เลย <p align="justify"><a href="http://lh3.ggpht.com/-PQtRWuruibg/UvdGbQRaRoI/AAAAAAAAMbc/hVyxba-SLp4/s1600-h/Screenshot%2525202014-02-09%25252015.49.18%25255B4%25255D.png"><img title="Screenshot 2014-02-09 15.49.18" style="border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; background-image: none; border-bottom-width: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; display: block; padding-right: 0px; border-top-width: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="Screenshot 2014-02-09 15.49.18" src="http://lh4.ggpht.com/-TDkFwtSVI9k/UvdGkFgglpI/AAAAAAAAMbk/y6VW9U2d87Y/Screenshot%2525202014-02-09%25252015.49.18_thumb%25255B2%25255D.png?imgmax=800" width="580" height="443"></a> <p align="justify">ทีมงานนัดตอน 9 โมงเช้า ก็ต้องออกบ้านไวหน่อย แต่คืนวันพุธ นอนไม่หลับเลยจ้า ถึงจะไม่หวังอะไร มันก็ตื่นเต้นนะ เป็นข้อเสียส่วนตัวที่นอนหลับยากด้วย เบลอๆไป ไปถึงก็เจอผู้เข้าแข่งคนอื่น น้องวี <a href="http://www.twitter.com/iamtaiki" target="_blank">@iamtaiki</a> ทีมงานเว็บ <a href="http://www.japaijapan.com" target="_blank">japaijapan.com</a> พี่หน่าจาก <a href="http://www.marumura.com" target="_blank">marumura.com</a> (มีสังกัดทั้งคู่เลย) น้องโอ๊ค ที่รักการท่องเที่ยวในญี่ปุ่น (เที่ยวหลายที่กว่าผมอีกแหงๆ) น้องโบว์ <a href="http://www.twitter.com/bowiehoneybaby" target="_blank">@bowiehoneybaby</a> ที่จบจากวาเซดะ (นี่ก็ไปมาทั่วญี่ปุ่นล่ะ) โอย น่ากลัว บอกตรงๆว่าผมถนัดเรื่องญี่ปุ่นด้านมานุษยวิทยา สังคมวิทยา แนวคิด ประวัติศาสตร์ สังคม แต่เรื่องเที่ยวเนี่ย จุดอ่อนเลย (สมัยเรียน จน ไม่ค่อยได้ไปไหนจ้า มานึกตอนนี้ก็เสียดายนะ) เลยกลัวรอบแรกที่ตอบคำถามเรื่องสถานที่มากๆ ซึ่งก็นั่งท่องมรดกโลกในญี่ปุ่นแบบไล่ปี ท่องสถานที่ท่องเที่ยวดังๆไว้ รวมไปถึงพวกนายกคนดังๆด้วย เผื่อจะออก ตอนรออัดรายการยังให้ศรีภรรเมียนั่งถามทวนความจำด้วย แล้วก็ไปอธิบายระบบในสตูจริง กดยังไง ทำอะไร จนเที่ยงๆค่อยเริ่มอัด <p align="justify"><a href="http://lh4.ggpht.com/-313BzkPczYg/UvdG6a_PqZI/AAAAAAAAMbs/HajRxTE-zLw/s1600-h/2013-12-26%25252016.02.57%25255B6%25255D.jpg"><img title="2013-12-26 16.02.57" style="border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; background-image: none; border-bottom-width: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; display: block; padding-right: 0px; border-top-width: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="2013-12-26 16.02.57" src="http://lh4.ggpht.com/-JE83Y4uuUto/UvdG-v4OEGI/AAAAAAAAMb0/NJHPNUp_Q7E/2013-12-26%25252016.02.57_thumb%25255B9%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="398"></a> <p align="justify">ผมจับได้โพเดี้ยมเบอร์ 5 ชิบหายล่ะ เกิดคนก่อนหน้าตอบได้ไหมนี่กดดันเลยนะ เช้ดดดด แต่ก็ดีที่เค้าวนคนเริ่ม จากรอบแรก 1 2 3 4 5 รอบต่อมาก็ 2 3 4 5 1 แล้วก็ 3 4 5 1 2 แบบนี้ ยังพอทน แต่พอแข่งจริง เปิดรูปแรกให้น้องวีตอบ ชิบหายครับ นี่มันอะไรวะ มีท่อไหลลงคลอง เชียตตตต น้องวีตอบไม่ได้ มาเฉลยว่าเป็น ออนเซ็นชื่อ คุซัตสึ ตายๆ เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน เมียก็ยังไม่รู้จัก เฮ้ย ญี่ปุ่นไม่รู้ แล้วตูจะรู้เหรอ แต่ก็ยังดีที่คำถามตัวเองออกมาเป็นที่ๆรู้จัก โอย ดวง <p align="justify">ตอบวนไปมา กลายเป็นว่า รอบแรก รอดไป เออ หมดสถานที่ท่องเที่ยว คงโอเคหน่อย (ถ้าออกอีกทีก็ยอมล่ะจ้า) น้องวีก็หลุดไปก่อน รอบสอง เกมคลาสสิก ที่มันมีสารพัด เรียงลำดับ เปิดภาพ ตอบคุณสมบัติ รอบนี้ถ้ากดตอบแล้วผิดสองครั้งก็ตกรอบออโต้ กดดันอีก <p align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhA8higO-fJ4NhmMQVw5mO_SdPtBER9fYlQ26jIIpdY5fowzrpGLa0cN-FO-uvYb_IweS3m7o_Guez92MysXBJH82F7CNefiOi2Zr0CUHgwaNoRa5Q4PRm4iZRdga9XmW7f4p_dzhGO9JCY/s1600-h/Screenshot%2525202014-02-09%25252015.57.15%25255B4%25255D.png"><img title="Screenshot 2014-02-09 15.57.15" style="border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; background-image: none; border-bottom-width: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; display: block; padding-right: 0px; border-top-width: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="Screenshot 2014-02-09 15.57.15" src="http://lh5.ggpht.com/-YYJ3eYydvq4/UvdHkB9V9tI/AAAAAAAAMcE/Q3Cz5hzklZ0/Screenshot%2525202014-02-09%25252015.57.15_thumb%25255B2%25255D.png?imgmax=800" width="580" height="438"></a> <p align="justify">หัวข้อแรก ให้เรียงลำดับการเริ่มใช้งานเริ่มขายอย่างเป็นทางการของสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ เฮ้ย อันนี้พอไหว เลยอยากขอไปเสี่ยงก่อน ไม่รู้จะกดทันป่ะ ตอนกดติดตัวเองยังงงๆเลย (ดูในคลิปคงเห็น) ก็ตอบตามที่เห็นในรายการล่ะครับ โลเลชิบ อีเบอร์ 3 4 เนี่ย ตัดสินใจไม่ได้ แต่ เอาวะ เสี่ยงไปเลย สุดท้าย รอด โอย โล่งไปนั่งรอก่อน ถ้าเจอเปิดภาพไม่รู้จะสู้คนอื่นได้มั้ย สุดท้าย พี่หน่าตอบได้ตามเข้ามาอีกที กลายเป็นสองคนสุดท้าย ที่ทำให้ต้องกลัวเอาเรื่อง เพราะเว็บ marumura.com เป็นเว็บข่าวสารเกี่ยวกับญี่ปุ่น แน่นอนว่าต้องมีข้อมูลเยอะแน่ๆ ตายๆ <p align="justify">รอบในผลัดกันตอบ ในทีวีจะเห็นว่าผิดกันคนละข้อ แต่จริงๆแล้ว ผิดกันคนละสองข้อ แต่รายการตัดออกไปคนละข้อ ไม่งั้นเวลาไม่พอครับ แล้วผลก็ไม่เปลี่ยน ซึ่งแอบดีใจเล็ก เพราะข้อที่โดนตัดออกไปนี่ผิดแบบน่าอับอายมาก ถ่อ ใครจะไปรู้ ส่วนข้อโอลิมปิกนี่ตอนถามทีแรกก็ เฮ้ย ตอบได้ ตอบได้ แต่พอถามเรื่องวันที่ประกาศ ตายแว้ว จำไม่ได้เว้ย จำได้แต่ว่ารู้ที่ได้วันจันทร์ ตายสนิทจ้า โถ่ ดันจำได้แค่ชนะเมืองอะไรกับโดราเอมอนเป็นมาสคอต ใครอยู่ในสตูจะเห็นผมคว่ำหน้ากับโพเดี้ยมด้วยความเครียดบ่อยมาก ส่วนข้อที่ตอบได้เรื่องปลาส้มกับซูชิ นั่นก็มีวิจัยออกมาล่ะครับ ฟังดูไม่น่าเชื่อนะ แต่วัฒนธรรมต่างๆมันไหลไปไหลมาหากันตลอดล่ะครับ (ขนาดสปาเกตตี้นี่ยังเชื่อว่าได้มาจากจีนอีกทีเลยน่อ) ส่วนพี่หน่าเจอข้อยากไป ทำให้ผมกลายเป็นสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ประเทศญี่ปุ่นไป ไปเจอคำถามสุดท้าย ซึ่ง The Rest is History <p align="justify"> <a href="http://lh3.ggpht.com/-e34_3EOz3kw/UvdIGHXbNSI/AAAAAAAAMcM/2PExhlgLrEU/s1600-h/Screenshot%2525202014-02-09%25252016.01.00%25255B5%25255D.png"><img title="Screenshot 2014-02-09 16.01.00" style="border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; background-image: none; border-bottom-width: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; display: block; padding-right: 0px; border-top-width: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="Screenshot 2014-02-09 16.01.00" src="http://lh6.ggpht.com/-BEflny1lzaE/UvdIM43voHI/AAAAAAAAMcU/NmGhoEr8nwk/Screenshot%2525202014-02-09%25252016.01.00_thumb%25255B3%25255D.png?imgmax=800" width="580" height="438"></a> <p align="justify">การไปได้มาเป็น สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ประเทศญี่ปุ่นนี่ บอกตรงๆว่า ต้องขอบคุณประเทศญี่ปุ่นที่ทำให้ผมหลงใหลมาจนถึงทุกวันนี้ ขอบคุณครอบครัวที่ยอมให้ไปเรียนต่อ แฟนที่คอยให้กำลังใจ สำนักพิมพ์ที่ร่วมงานกันมาตลอดแล้วก็มาเชียร์ด้วย เพื่อนร่วมงานทุกคน เพื่อนๆที่คอยให้กำลังใจกันมาตลอด และเพื่อนผู้เข้าร่วมแข่งขัน เป็นประสบการณ์ที่สนุกมากๆครับ ได้อะไรกลับมามากกว่าถ้วยรางวัลและของรางวัลเยอะเลย จากนี้ไปมีตำแหน่ง <strong>สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ประเทศญี่ปุ่น</strong> แล้วก็คงต้องพยายามศึกษาหาความรู้ให้มากขึ้นจะได้ไม่เสียชื่อล่ะครับ <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/J2wCqo53xmo?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-79298878313384188552014-02-03T17:24:00.000+07:002014-02-04T17:24:45.745+07:00Chvrches ซินธ์พ๊อพชั้นเลิศ<p align="justify">สวัสดีวันจันทร์หลังเลือกตั้งครับ ตอนเขียนนี่เป็นวันศุกร์อยู่ ผลเลือกตั้งจะเป็นไง วุ่นวายแค่ไหน ก็ไม่อาจรู้ได้ครับ เอาเป็นว่า ระหว่างอะไรยังไม่เกิดก็ยังไม่ต้องห่วงครับ ฟังเพลงไปก่อน มานั่งไล่ดูเพลย์ลิสต์ส่วนตัว พบว่าวงใหม่ๆที่นักร้องนำหญิงเยอะขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งศิลปินหญิงเดี่ยว ซึ่งเทรนด์นี้ก็มาคู่กับแนวเพลงอีเล็กโทรนิกส์พ๊อพ ตั้งแต่ Little Boots, La Roux หรือ Ellie Goulding และอีกวงหนึ่งที่มาแรงแซงโค้งชนิดไม่พูดถึงไม่ได้เด็ดขาดคือ Chvrches <p align="justify"><a href="http://lh5.ggpht.com/-7Wz68k7e3n0/UvC_3IZ8cYI/AAAAAAAAMaM/ZSHzBzZH-TA/s1600-h/4_0%25255B4%25255D.jpg"><img title="4_0" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="4_0" src="http://lh5.ggpht.com/-Aw--dHLDKy8/UvC_4AuQWpI/AAAAAAAAMaU/UHN60NzrCtk/4_0_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="393"></a> <p align="justify">Chvrches หรือจริงๆอ่านว่า Churches แต่เปลี่ยน U เป็น V เพื่อสร้างความแตกต่าง (ก็เวลาเสิร์ชมันจะได้เจอง่ายๆไงครับ ลองเสิร์ชหาวง A ดูสิ ลำบากเอาเรื่อง) คือวงจากสกอตแลนด์ แดนขี้เมาที่เกิดจากการรวมตัวกันของสองหนุ่มและหนึ่งสาว ซึ่งต่างคนต่างคนต่างก็เคยทำงานเพลงมาก่อนแล้ว</p> <a name='more'></a> <p align="justify"> <p align="justify">สมาชิกสาวเดี่ยวก็คือ Lauren Mayberry (ลอเรน ร้องนำ และซินธ์) นักร้องนำดีกรีระดับปริญญาโทด้านวารสารศาสตร์ ซึ่งเคยเป็นทั้งนักข่าว และทำวงดนตรีชื่อ Blue Sky Archives ส่วนอีกสองหนุ่มคือเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย Ian Cook (เอียน กีตาร์ เบส กลอง ซินธ์) อดีตวง Aereogramme และ The Unwinding Hours พร้อมทั้งทำเพลงประกอบรายการทีวี กับอีกหนุ่มคือ Martin Doherty (มาร์ติน ซินธ์) ก็เคยอยู่ในวง The Twilight Sad มาก่อน <p align="justify">จุดเริ่มต้นของ Chvrches เริ่มเมื่อตอนที่เอียนไปโปรดิวซ์งานให้ Blue Sky Archives แล้วชวนลอเรนมาร่วมร้องให้กับโปรเจ็คต์ใหม่ที่กำลังร่วมทำกับมาร์ติน หลังจากขลุกทำเพลงร่วมกันครึ่งปีในสตูดิโอที่กลาสโกว พวกเขาก็ตัดสินใจตั้งวง Chvrches ถาวร เพราะคิดว่าผลงานมันออกมาดีพอที่จะเดินหน้าอย่างจริงจัง โดยแนวทางเพลงของพวกเขาคือซินธ์พ๊อพที่เน้นความติดหูเป็นอย่างมาก โดยได้รับอิทธิพลจากศิลปินอีเล็กโทรนิกส์พ๊อพรุ่นพี่อย่าง Depeche Mode, Robyn รวมไปถึงศิลปินพ๊อพที่มีเซนส์ในการทำเพลงที่ติดหูอย่างร้ายกาจเช่น Prince, Cyndi Lauper และ Kate Bush <p align="justify">เพลงแรกที่พวกเขาเปิดตัวให้โลกได้รู้จักคือ Lies เพลงพ๊อพที่ไม่ได้เร็วมาก จังหวะออกจะครึกโครม บวกกับเสียงร้องแบบเด็กสาว ทำให้รู้สึกถึงเพลงพ๊อพที่เราเคยได้ฟังตามวิทยุในช่วงปลาย 90 ต่อต้น 2000 แล้วถูกนำมาปรับปรุงใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย ซึ่งเพลง Lies ถูกปล่อยออกมาให้ดาวน์โหลดฟรีชิมลางทางเว็บไซต์ของต้นสังกัดของวง และเริ่มส่อแววความน่าสนใจของวงออกมา <p align="justify">และในกลางปี 2012 พวกเขาก็ได้ออกซิงเกิ้ลแรกอย่างเป็นทางการนั่นคือ The Mother We Share เพลงที่แม้จะไม่ได้เร็วมาก แต่ด้วยชั้นเชิงของการซ้อนกันของเสียงสังเคราะห์ชั้นเทพบวกกับเสียงร้องที่มีเอกลักษณ์ของลอเรน ที่ฟังแล้วเหมือนเด็กสาวแรกรุ่นแต่กลับพล่ามคำอย่าง fxxk ออกมาได้เหมือนเป็นเรื่องปกติ ทำให้มันกลายเป็นอีกเพลงที่ส่งให้พวกเขาเป็นทีฮือฮาในวงการเพลง ทั้ง iTunes ยกให้เป็นเพลงประจำสัปดาห์ The Guardian ยกให้เป็นวงประจำสัปดาห์ <p align="justify">และเมื่อถึงปลายปี 2012 พวกเขาก็เริ่มดังแบบฉุกไม่อยู่ Lies ติดอันดับเพลงยอดเยี่ยมแห่งปีของ NME และสื่ออื่นๆก็ดันให้พวกเขาเป็นวงน่าจับตามอง BBC เองก็จัดให้ Chvrches เป็น Sound of 2013 ศิลปินที่จะมาแรงในปี 2013 ร่วมกับ Laura Mvula, Haim, King Krule และ Tom Odell แววรุ่งมาเยือนแบบเต็มๆ แถมได้ไปเล่นเป็นวงเปิดให้กับ Passion Pit อีกด้วย <p align="justify">พอต้นปี 2013 พวกเขาก็ออก EP ชื่อ Recover ซึ่งก็มีเพลง Recover นั่นแหละครับเป็นเพลงหลัก เพลงที่สามก็ยังเดินรอยตามรุ่นพี่ คือจังหวะปานกลาง ไม่ได้มีไว้เต้นแต่มีไว้ชิลๆฟังสบายมากกว่า แต่ยอมรับการเปลี่ยนจังหวะของพวกเขาที่เหมือนกับงานสถาปัตยกรรมชั้นเลิศที่เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็กน้อย <p align="justify"><a href="http://lh5.ggpht.com/-VE5V0dugmL0/UvC_5eHPqaI/AAAAAAAAMac/YCNMNSRgllw/s1600-h/8581538612_a5a5c66089_z%25255B4%25255D.jpg"><img title="8581538612_a5a5c66089_z" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="8581538612_a5a5c66089_z" src="http://lh3.ggpht.com/-LRWX-n8dJJQ/UvC_6mzUkNI/AAAAAAAAMak/Lo68Dg2JgSY/8581538612_a5a5c66089_z_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="394"></a> <p align="justify">ซิงเกิ้ลต่อมีของพวกเขาคือ Gun เพลงโปรดของผม เพิ่งมีเพลงนี้ล่ะครับที่เร็วขึ้นหน่อย จังหวะของเพลงค่อยๆไล่เรียงขึ้นเรื่อยด้วยเสียงซินธ์ ก่อนจะเข้าท่อนเบรกที่ลอเรนร้องซ้ำไปซ้ำมา การไล่เรียงอารมณ์ของเพลงๆนี้เล่นเอาผมนึกถึงมาสเตอร์พีซอย่าง The Sun Always Shines On T.V. ที่เล่นเอาขนลุกทุกครั้งที่ได้ยิน ไม่แปลกอะไรที่มันถูกตัดเป็นซิงเกิ้ลครับ <p align="justify">และในที่สุดเดือนกันยายน พวกเขาก็ได้ออกอัลบั้มเต็ม The Bones of What You Believe ที่เป็นผลงานชั้นเลิศของการผสมผสานเสียงสังเคราะห์เข้าด้วยกัน แต่ละเพลงช่างแพรวพราว ราวกับการรีดสเปคตรัมของแสงออกมาเป็นสีรุ้งแล้วเอามายัดลงไปในแผ่นซีดี พวกเขาทำเพลงออกมาเหมือนกับผสมเพลงพ๊อพยุค 80 เข้ากับดนตรีจากอนาคตกาล บวกด้วยเสน่ห์จากเสียงร้อง ทำให้เราได้อัลบั้มที่แน่นตั้งแต่ต้นจนจบ บางทีฟังเพลงของพวกเขาก็คล้ายๆกับ Purity Ring ที่ย้อนเวลากลับไปยุคที่เสื้อสีสะท้อนแสงกับจักรยาน BMX คือสิ่งที่เท่ที่สุด <p align="justify">The Bones of What You Believe คือหนึ่งในงานเปิดตัวที่ยอดเยี่ยมที่สุดในปีก่อน กลายเป็นอัลบั้มเด่นที่ผมต้องเปิดทุกครั้งเวลาต้องการอะไรเบาฟังสบายแต่ไม่ไร้สาระ ล่าสุดพวกเขาหยิบเพลงดังจากยุค 80 อย่าง Bela Lugosi’s Dead ของ Bauhaus มาคัฟเวอร์เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ บอกได้แค่ว่า ไม่ควรพลาดหามาฟังครับ <p align="justify">ของฝากส่งท้ายนิดนึงครับ ผมไปแข่งรายการแฟนพันธุ์แท้มา ไม่ใช่เรื่องเพลงนะครับ แต่เป็น แฟนพันธุ์แท้ ประเทศญี่ปุ่นครับ ตื่นเต้นเอาเรื่อง และกำลังจะออกอากาศในวันศุกร์นี้แล้ว อยากให้ช่วยเชียร์ด้วยนะครับ เวลา 22.20 น. ทางช่อง 5 คร้าบบ <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/_mTRvJ9fugM?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/81RqEnvczV8?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/JyqemIbjcfg?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/ktoaj1IpTbw?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-73723496100957539802014-01-27T17:20:00.000+07:002014-02-04T17:21:05.601+07:00สยามสแควร์ ภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนไป<p align="justify">วันนี้ผมหอบสังขารตัวเองมายืนอยู่ใจกลางเมืองกรุง ในสถานที่ที่มีชื่อว่า สยาม เมกกะสำหรับเหล่าวัยรุ่นไทยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ที่ไม่ว่าใคร ก็อยากจะเปิดตัวกับสยามด้วยแฟชั่นที่เก๋ที่สุดเท่าที่ตัวเองจะคิดได้ (แต่คนอื่นจะคิดว่าไงนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที) <p align="justify"><a href="http://lh3.ggpht.com/-rdQv1ZxgaZU/UvC-8Slx8gI/AAAAAAAAMZs/Upg1Oyd-lOY/s1600-h/2014-01-23%25252017.32.32%25255B5%25255D.jpg"><img title="2014-01-23 17.32.32" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="2014-01-23 17.32.32" src="http://lh4.ggpht.com/-luni7gEq4VU/UvC--GGfqgI/AAAAAAAAMZ0/8ND6vVdUvaA/2014-01-23%25252017.32.32_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="438"></a> <p align="justify">สาเหตุที่ผมยอมลำบากฝ่ามวลมหาประชาชนมาถึงสยามในครั้งนี้ ไม่ได้มาเปิดตัวอะไรหรอกครับ อายุเกินจะสนใจแฟชั่นล่ะ แต่ที่ต้องมา เพราะทราบข่าวน่าเศร้า เรื่องของการปิดกิจการของร้านค้าหลายร้านที่ผมเห็นมานาน ตั้งแต่ร้านหนังสือโอเดียนสโตร์ ร้านดังที่ขายหนังสือหลายเล่มที่ร้านอื่นไม่ได้ขาย ร้านอาหารนิวไลท์ ที่ย้ายขึ้นไปชั้นบนแทนร้านชั้นล่างเดิมที่เราคุ้นเคย ร้านนี้ผมชอบบรรยากาศแบบคาเฟ่หรือไดเนอร์เก่าๆที่หาไม่ค่อยได้แล้ว (เคยแนะนำให้คนญี่ปุ่นไปทาน ก็ติดใจบรรยากาศทันที) รวมไปถึงโรงหนังลิโด้ ที่ร่ำๆว่าจะไปแหล่มิไปแหล่ ทำให้คอหนังนอกกระแสต้องลำบากใจ (ก็มันจะเหลืออีกแค่กี่โรงที่ฉายหนังแนวนี้) แม้จะทุกวันนี้ลิโด้จะยังคงอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน </p> <a name='more'></a> <p align="justify">และแน่นอนว่า ในฐานะนักฟังเพลง เป้าหมายในการมาสยามของผมตั้งแต่สมัยเป็นเด็กต่างจังหวัด แล้วมาเมืองกรุง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าแฟชั่นคือ ร้านขายเทปและซีดีร้านหนึ่ง ที่เคยตั้งอยู่ในทำเลทอง ติดกับทางขึ้นรถไฟฟ้า ก่อนที่ร้านจะหายไป และตึกนั้นก็กลายมาเป็นห้างใหม่ เล่นเอาใจหายว่าร้านหายไปไหน จนมาพบอีกทีว่า หลบอยู่ในมุมเงียบๆของเวิ้งหลังโบนันซ่า ใช่ครับ อ่านมาถึงตรงนี้ หลายๆคนคงถึงบางอ้อว่า ร้านที่ว่าคือ ร้านโดเรมี เมกกะสำหรับคนเรียกเสียงเพลงชาวไทย</p> <p align="justify">สำหรับคนที่ไม่รู้จัก ร้านโดเรมี ร้านชื่อง่ายๆแบบนี้ คือร้านขายเทปและซีดีร้านสำคัญที่อยู่คู่สยามมานานมาก แม้อาจจะไม่เป็นที่รู้จักของวัยรุ่นมากเท่าร้านดีเจสยาม แหล่งรวมวัยรุ่น แต่สำหรับคนชอบฟังเพลงและต้องการหาเพลงแปลกๆแหวกแนว เรียกได้ว่ามาที่ร้านนี้ไม่ผิดหวังครับ ในร้านจะประดับประดาไปด้วยแผ่นซีดีเต็มไปหมด แบบไม่ต้องมีวอลเปเปอร์เลยด้วยซ้ำ เพราะทุกตารางนิ้วถูกแผ่นซีดีปกครองไปเรียบร้อยแล้ว ในยุคที่เทปยังคงเป็นที่นิยมอยู่ ในร้านก็จะมีกล่องเทปที่มีแต่ปก ไม่มีม้วน กองเรียงไว้เป็นตับ โดยมีการจัดหมวดหมู่เช่น วงเดียวกัน หรือ แนวเพลงเดียวกัน ก็จะถูกจัดเป็นตับด้วยเทปกาว ให้เราเปิดเรียงหาดูได้ง่ายๆ (คล้ายๆกับสั่งแผ่นเกมยุคนี้) เราอยากได้อะไร ก็บอกคุณป้าเจ้าของร้าน (ซึ่งเราก็ไม่เคยรู้ชื่อ ได้แต่เรียกว่าคุณป้าโดเรมี หรือย่อๆว่า ป้าโด) คุณป้าก็จะงมๆ แล้วตลับเทปตัวจริงก็จะออกมาในเวลาอันสั้น เรียกได้ว่าเป็นระบบการซื้อเทปที่ต่างไปจากร้านอื่นๆจริงๆ (เคยมีอีกร้านหนึ่งที่เหมือนกัน คือร้านที่พันทิพย์ ซึ่งไปๆมาๆ ก็เป็นญาติกันซะงั้น) <p align="justify">ด้วยความที่รวมเทปและซีดีหายาก ในยุคที่การแชร์ MP3 เป็นเรื่องที่ยังไม่มีใครคาดคิด ทำให้เหล่าคนรักเสียงเพลงต้องไปอุดหนุนร้านโดเรมีกันอย่างเนืองแน่น ไม่เหมือนกับร้านแฟรนไชส์ต่างๆที่จะมีเฉพาะแผ่นที่ขายตลาดทั่วไปได้เท่านั้น และที่สำคัญ คนรักดนตรีคงรู้ดีกว่า คุณป้านั้นเป็นคนรักเสียงดนตรีจริงๆ ถามอะไร ก็รู้จักหมด ตั้งแต่คลาสสิก แจ็ซ ยัน เมทัล จนเอาเข้าจริงๆแล้ว คุณป้าอาจจะเป็นหนึ่งในกูรูเรื่องเพลงสากลของเมืองไทยที่ไม่ยอมเผยตัวคนหนึ่งก็ว่าได้ เทียบกับร้านแฟรนไชส์ที่กว่าจะถามหาอะไรจากพนักงานแต่ละครั้งได้นี่ช่างเป็นเรื่องลำบากยากเย็นจริงๆ และด้วยปริมาณและคุณภาพของร้าน ทำให้ทุกปิดเทอมที่ผมมากรุงเทพ ต้องได้สอยเทปเพลงกลับขอนแก่นชนิดว่าหอบกันลำบาก แถมด้วยการที่เป็นร้านที่เจ้าของขายเอง ปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าจึงยอดเยี่ยมมาก ผมเคยมาหอบตำราจากศูนย์หนังสือจุฬากลับบ้านเป็นหลักสิบเล่ม แบกเดินสยามต่อไม่ไหว ก็เดินไปฝากไว้ที่ร้านป้าโดเรมีก่อนที่จะวกกลับไปเอาก่อนร้านปิดได้ ร้านขายซีดีแบบนี้จะหาได้ที่ไหนอีกครับ โถ่ <p align="justify">พอได้มาสยามครั้งนี้ ผมก็ตรงไปร้านป้าโดเรมีทันที ด้วยความอยากสัมภาษณ์คุณป้ามากๆ แต่คุณป้าก็ปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมาไม่เคยให้สัมภาษณ์ ถ้าจะให้สัมภาษณ์ ก็จะไม่ให้เกียรติคนที่เคยมาขอสัมภาษณ์ก่อน เลยกลายเป็นการคุยกันประสาคนฟังเพลงกันซะมากกว่า <p align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBX1ANSUy52FuhVzcLUZo99D2kEIPoiC1gxCKvkWkHwHhvaqkrwhUPEgJnre01V3VmOy6sQh8kOh04oNmhf2oj2S3G8Mrgp9mYnpKqcls-A-uJxIltRj4jv_BZjaxa8w4QZFSs49gf_QyU/s1600-h/2014-01-23%25252017.23.44%25255B5%25255D.jpg"><img title="2014-01-23 17.23.44" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="2014-01-23 17.23.44" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVCgO664ut7DQWmSpx0b1Hb_FRpMynzVjiZcMk4drdLoDtXeQJVIgkxdRb-Q1jkxzO_ryDcs5soihjSJiwU12eTl729KzVuiqA0k7uMHKhkwUDBBOEWvvaK4UevlbFK4FocxJdQjuY-mUy/?imgmax=800" width="580" height="438"></a> <p align="justify">วันนั้นในร้าน เงียบมาก อาจจะเป็นเพราะม๊อบ กปปส ด้วย เลยได้คุยสบาย เท่าที่ทราบ ร้านโดเรมียังมีสัญญาเช่าอยู่ถึงสิ้นปีนี้ แต่จากนี้ไป จะเป็นอย่างไร ตัวคุณป้าก็ยังไม่รู้ ถ้ายังไหว ก็คงดี แต่คุณป้าก็พูดถึงเรื่องการเกิด และการแตกดับเสมอ ดูเหมือนเมื่อทำร้านมาขนาดนี้แล้ว ถึงจุดหนึ่ง คุณป้าเองก็ปลง ในโลกของไฟล์ดิจิตอล คนที่พยายามดั้นด้นไปซื้อแผ่นซีดีก็น้อยลงทุกที แต่กลับมีกระแสถวิลหาแผ่นเสียง ซึ่งในร้านก็มีแผ่นเสียงวางขายบ้างเหมือนกัน พร้อมทั้งความเห็นว่า ตราบใดที่มีคนฟังเพลง ก็จะมีร้านขายสินค้าแบบนี้ต่อไป แม้จะไม่ใช่ร้านนี้ แต่ก็อาจจะมีร้านอื่นมาทดแทนเสมอ และคุณป้าก็ถ่อมตัวมาก ไม่ได้มองว่าตัวเองมีความสำคัญกับวงการเพลงอะไรเลย ซึ่งเราเห็นแย้งแน่นอนเพราะคนรุ่นๆผมนี่รับรองได้ว่าได้รับอิทธิพลจากการมีร้านซีดีแบบนี้หลายต่อหลายคนแน่นอนครับ <p align="justify">หลังจากคุยได้ระยะหนึ่ง ผมก็ขอตัวกลับโดยอุดหนุนแผ่นซีดีกลับมาฟังด้วย พอเดินออกจากร้านก็แอบใจหายหน่อย เพราะแลนด์สเคปมันเปลี่ยนไปไม่น้อย และจากนี้ไป ถ้าร้านหนังสือ ร้านซีดี ที่เป็นแหล่งให้และแลกเปลี่ยนความรู้ จะหายไปจากสยามหมด จะเหลืออะไรในสยามนอกจาก ห้างสรรพสินค้า สินค้าแฟชั่น โรงเรียนกวดวิชา และคลินิกเสริมสวย ซึ่งต่อไปก็คงจะเหมือนกันทั้งกรุงเทพ ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง ผมไม่ได้อยากจะเรียกร้องอะไรจากเจ้าของที่ เพราะก็เข้าใจว่ามันคือระบบทุนนิยม แต่ก็ได้แต่คิดว่า ในฐานะที่เป็นสถาบันการศึกษา ทางผู้บริหารเคยคิดหรือไม่ว่า นอกจากตำราเรียนแล้ว มันยังมีการศึกษานอกตำราเรียนที่ไม่สามารถหาได้ง่ายๆนอกจากสร้างสังคมขึ้นมา สร้างพื้นที่ให้ได้แลกเปลี่ยน สร้างคนที่มีความคิด มีรสนิยมเป็นของตัวเอง ไม่ใช่แค่ปั๊มบุคลากรที่มีชุดความคิดแบบเดียวกันออกมาอย่างเดียว <p align="justify">ณ จุดนั้น ผมก็นึกถึงคำว่า “ชนใดไม่มีดนตรีกาล ชนนั้นในสันดานเป็นคนชอบกลนัก” ขึ้นมากตะหงิดๆ Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-90019073363977086772014-01-20T17:15:00.000+07:002014-02-04T17:16:24.522+07:00The Best of 2013 ย้อนไปในปีก่อน<p align="justify">ตามที่สัญญาไว้นะครับ ว่าจะลิสต์อัลบั้มโปรดของปีก่อน หลังจากอู้ไปนาน (หยุดตอนนึง สวัสดีปีใหม่ตอนนึง กับไปดูคอนเสิร์ต) กว่าจะได้เขียน ก็เข้าปี 2014 ไปหลายวันล่ะ คราวนี้เลยตัดสินใจ ตัดจาก 30 อัลบั้ม แบบที่ทำทุกปี เป็นแค่ 10 อัลบั้มก็พอ และปีที่ผ่านมาก็แปลกมา เพราะรู้สึกว่าไม่มีอัลบั้มไหนนอนมา เลยกลายเป็นการลิสต์10อัลบั้มโปรดของปีก่อน แทนที่จะเป็นการจัดอันดับแบบเดิมครับ <p align="justify"><a href="http://lh4.ggpht.com/-DziI1EmAmec/UvC953BM3VI/AAAAAAAAMZM/6QWMS82A380/s1600-h/21dd905b%25255B2%25255D.jpg"><img title="21dd905b" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="21dd905b" src="http://lh6.ggpht.com/-nvYKyzybr9A/UvC96wfSevI/AAAAAAAAMZU/5D3qEFvPIl0/21dd905b_thumb.jpg?imgmax=800" width="244" height="244"></a> <p align="justify">Chvrches - The Bones of What You Believe ดูโอซินธ์พ๊อพหญิงชายจากสกอตแลนด์ ที่ฟังแล้วรู้สึกว่าทั้งสองคนเข้าใจสูตรเคมีของการสร้างดนตรีที่ติดหูเป็นอย่างดี แต่ละเพลงอัดแน่นด้วยตัวโน๊ตและท่อนฮุคที่พร้อมจะติดในหูเราในแรกฟัง เสียงร้องแบบเด็กสาวไร้เดียงสาแต่จริงๆแล้วแอบกร้านโลกสบถคำหยาบได้หน้าตาเฉยก็ช่างมีเสน่ห์เสียจริง แนะนำ Gun</p> <a name='more'></a> <p align="justify">N’Shukugawa Boys – Timeless Melody งานชุดที่สามของวงโปรดจากญี่ปุ่นวงนี้ที่ออกกับสังกัดใหญ่ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเริ่มมีฐานแฟนเพลงที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างเพลงพังค์ดิบๆ ซาวด์แบบนิวเวฟ ที่ฟังแล้วนึกถึงต้นุค 80 บวกกับความก๋ากั๋นและเฮฮาแบบเต็มสูบ ทำให้วงญี่ปุ่นวงนี้นั่งอยู่ในใจเสมอ (แถมยังขยันผลิตงานทุกปีซะด้วย) แนะนำ Hello, 999 <p align="justify">Manic Street Preachers – Rewind the Film การกลับมาอย่างงดงามของวงดนตรีวงโปรดวงหนึ่งของผม MSP นับวันก็ยิ่งอายุมากขึ้น แต่พวกเขาไม่ใช่คนแก่ที่พยายามหากินเศษซากที่หลงเหลือจากยุครุ่งเรื่อง แต่อายุของพวกเขากลายมาเป็นประสบการณ์ที่กลั่นออกมาเป็นบทเพลงชั้นเลิศ แม้งานชุดนี้จะขาดความสดของคนหนุ่มไป แต่มันก็ยังทรงพลังเหมือนกับพวกเขาเพิ่งออกผลงานชิ้นแรก แนะนำ Show Me Wonder <p align="justify">Biffy Clyro – Opposites งานจากช่วงต้นปีของสามหนุ่มจากสกอตแลนด์ แม้จะไม่พีคเท่างานชุดก่อนที่เทพแสนเหลือเกิส แต่คุณภาพงานของพวกเขาก็ยังยอดเยี่ยมเช่นเคย Biffy เรียนรู้การทำเพลงให้ติดหูและพร้อมที่จะเต็มเติมสเตเดี้ยมขนาดยักษ์ตั้งแต่อัลบั้มที่แล้ว และมันก็ส่งผลถึงงานชิ้นนี้ที่เต็มไปด้วยท่อนริฟฟ์มันๆและท่อนฮุคชวนให้แฟนเพลงแหกปากตาม แนะนำ Opposite <p align="justify">Kanye West – Yeezus งานเพลงของคนนิสัยเสีย หยิ่งผยอง ปากจัด ทำหน้าเหมือนได้กลิ่นส้วมตลอด แต่ เราก็ต้องคารวะทุกครั้งที่เขาออกผลงาน เพราะงานของเขาแต่ละชิ้นมันช่างยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน แม้ทักษะในการแร๊พของเขาจะไม่ได้เทพ แต่เขาก็ชดเชยด้วยการควบคุมจังหวะและโทนเพลงราวกับเป็นวาทยากรแห่งดนตรีฮิพฮอพ แนะนำ Bound 2 <p align="justify">Noah and the Whale – Heart of Nowhere งานเพลงที่ผมเคยเขียนถึงไปแล้ว แม้มันจะไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่กลับกลายเป็นอัลบั้มที่ผมเปิดฟังบ่อยมากในปีที่ผ่านมา คงเป็นเพราะการทำเพลงที่ลงตัว ฟังได้สบาย เหมาะกับปีที่ผ่านมาที่ผมต้องการชะลอชีวิตตัวเองซักนิด เป็นงานเพลงที่เหมาะกับการเปิดคลอไปกับการขับรถทางไกลยามเช้า เคล้าเสียงไวโอลินงามๆ แนะนำ Heart of Nowhere <p align="justify">Haim – Days are Gone วงของสามสาวพี่น้องกับหนึ่งหนุ่มจากแคลิฟอร์เนีย ที่ทำเพลงออกมาจากส่วนผสมของเพลงร๊อคยุค70เข้ากับดนตรีผิวสี กลายเป็นบทเพลงที่มีเอกลักษณ์มากๆ และเพลินทุกครั้งที่ได้ฟัง เหมือนกับให้ Fleetwood Mac ร่วมงานกับ Beyonce แนะนำ If I Could Change Your Mind <p align="justify">The Arcade Fire – Reflektor การกลับมาของวงสุดเทพจากแคนาดา ซึ่งผลงานของพวกเขานั้นไม่เคยเสื่อมคุณภาพแม้แต่น้อย ที่น่าตกใจคือ งานเพลงชุดนี้ หลายเพลงเปลี่ยนไปเป็นจังหวะดิสโกฟังค์เลย (แต่พวกเขาบอกว่าได้รับอิทธิพลจากเพลงเฮติ) แต่พวกทุกครั้งที่ฟังเพลงของพวกเขา เราก็ถูกดึงเข้าไปในโลกอันแปลกประหลาด บิดเบี้ยว และหดหู่ แต่กลับงดงามอย่างน่าประหลาด แนะนำ Reflektor <p align="justify"><a href="http://lh3.ggpht.com/-lclOQ70kF6w/UvC98T9RA8I/AAAAAAAAMZc/bF5jtcN0DJ0/s1600-h/maxresdefault%25255B4%25255D.jpg"><img title="maxresdefault" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="maxresdefault" src="http://lh6.ggpht.com/-PGbWdoHpilk/UvC99dqQgLI/AAAAAAAAMZk/E1hcS1ddRkA/maxresdefault_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="440"></a> <p align="justify">Daft Punk – Random Access Memory การกลับมาของยักษ์ใหญ่แห่งวงการเพลงเต้นรำหลังจากอัลบั้มที่น่าผิดหวังอย่าง Human After All ในปี 2004 ก่อนจะแอบกลับมาให้เราได้หายคิดถึงในซาวด์แทร็ค Tron Legacy แต่แทนที่เราจะได้ฟังเพลงล้ำๆ หลอน อย่างใน Tron Legacy พวกเขากลับทำให้เราทึ่งด้วยการออกงานเพลงที่ติดดินที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ จากเพลงอีเล็กโทรนิกส์สังเคราะห์ อัลบั้มนี้พวกเขาทำดนตรีด้วยเครื่องดนตรีแท้ๆ กลายเป็นงานเพลงย้อนอดีตจากโลกอนาคตที่น่าทึ่งและติดหูเป็นอย่างมาก แม้จะเสียดายที่เราคาดหวังความล้ำจากพวกเขา แต่ก็ถือว่าพวกเขาก็ตอบแทนพวกเราด้วยดนตรีที่ยอดเยี่ยมแทน แนะนำ Get Lucky เพลงพ๊อพที่ยอดเยี่ยมที่สุดในปี 2013 <p align="justify">Foals – Holy Fire งานเพลงชุดที่สามของวงจากอังกฤษ ที่เคยทำให้เราทึ่งกับทั้งสองอัลบั้มก่อนหน้าที่แตกต่างกัน แต่ในชุดนี้ พวกเขาเอาประสบการณ์จากทั้งสองชุดมาผสมผสานกัน กลายเป็นเพลงที่เหมาะกับการกระแทกลำโพงอย่างมาก พวกเขาทำให้เราตกใจที่ทำเพลงร๊อคหนักๆอย่าง Inhaler เปิดอัลบั้ม แต่พอเปิดมาถึง My Number เราก็หลงเสน่ห์พวกเขาทันที เพราะมันคือเพลงพ๊อพฟังเพลินที่ติดหูและชวนให้เราลงไปเปิดฟลอร์อย่างที่สุด แนะนำ My Number <p align="justify">ขอแนะนำเป็นพิเศษคือ อัลบั้มรวมเพลงของ Avengers in Sci-Fi วงสุดเจ๋งจากญี่ปุ่นที่ใช้ชื่ออัลบั้มว่า Selected Ancient Works 2006-2013 ซึ่งนอกจากจะรวมผลงานเด่นๆของพวกเขาตลอดที่ผ่านมาแล้ว ทีเด็ดคือแผ่นที่สองที่เป็นการรีมิกซ์แบบไร้รอยต่อ กลายเป็นเพลงลูกผสมอีเล็กโทรนิกซ์กับร๊อคที่ลงตัวที่สุด โดยเฉพาะ El Planeta / Death ที่จังหวะกลองนั้นดิบสดราวกับเพิ่งหลุดมาจากป่าอเมซอน <p align="justify">ที่ไล่ๆมาคืองานเพลงที่ผมชื่นชอบในปีที่ผ่านมา อาจจะไม่ตรงใจหลายๆท่าน แต่ก็เป็นเพลงที่ชอบเป็นการส่วนตัวครับ บางทีก็ไม่อยากคิดอะไรมาก อยากสนุกกับเพลงเท่านั้น Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-9146629349975968812014-01-13T17:07:00.000+07:002014-02-04T18:22:33.603+07:00GIRLS' GENERATION World Tour ~Girls & Peace~ in BANGKOK ฟินสุดๆ<p align="justify">ก่อนอื่น กราบขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่าน ที่บอกไว้สัปดาห์ที่แล้วว่าจะลิสต์อันดับอัลบั้มโปรดของปีก่อน แต่เนื่องด้วยความจำเป็นกะทันหัน สัปดาห์นี้เลยต้องขอรีวิวคอนเสิร์ตก่อนครับ เหล็กดีต้องตีตอนร้อนครับ แหม่ เพราะว่า เพิ่งได้ไปดูคอนเสิร์ตของสาวๆ Girls’ Generation หรือที่เรียกย่อกันว่า SNSD จากชื่อภาษาเกาหลี (ผมจะคุ้นชื่อญี่ปุ่นว่า โชโจจิได มากกว่า เสพสื่อทางนั้นเยอะกว่าครับ)</p> <p align="justify"><a href="http://lh3.ggpht.com/-NrFXAiG-_qo/UvC8ad-ZwxI/AAAAAAAAMYU/clg8jKzmvqg/s1600-h/GG_50%25255B4%25255D.jpg"><img title="GG_50" style="border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; background-image: none; border-bottom-width: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; display: block; padding-right: 0px; border-top-width: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="GG_50" src="http://lh4.ggpht.com/-glsqBg58lJw/UvC8ceu6V-I/AAAAAAAAMYc/T2h8gXdW3Ys/GG_50_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="340" height="500"></a></p> <p align="justify">ทีแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะได้ดูนะครับ เพราะสถานการณ์การเมืองบ้านเรากำลังปุดๆเลย แต่ทาง SMTrue ก็ติดต่อมา มีเหรอครับที่จะพลาด จริงๆผมเองก็รู้จักเหล่าสาวๆตั้งแต่ช่วงเดบิวใหม่ๆ ฟังเพลงช่วงต้นๆ จนไปเดบิวที่ญี่ปุ่นอีก (เคยเขียนถึงเมื่อนานแล้วด้วยนะ) แต่พอช่วงเริ่มบุกอเมริกา แนวเพลงเปลี่ยนจากใสๆสนุกๆ กลายเป็นเพลงจริงจังเจาะตลาดอเมริกามากไป (I Got a Boy) เลยไม่ค่อยตรงกับสิ่งที่ต้องการเท่าไหร่ หลังๆเลยฟังแบบไม่จริงจังมากครับ (ไปติ่ง KARA อย่างจริงจังแทน เพราะเจาะตลาดญี่ปุ่นได้จริงจังมากเลยเจอในทีวีบ่อย) แต่ก็คิดว่า ถ้ามีโอกาสได้ดูคอนเสิร์ตก็คงดี พอมาครั้งนี้เลยไม่พลาดครับ (ต่อให้มีบังเกอร์มีอะไรพี่ก็จะฝ่าไปหาน้องงงงง) (คอลัมน์วันนี้ผมเขียนด้วยอารมณ์ติ่งเกาหลี ทั้งที่ปกติเป็นขาร๊อค)</p> <a name='more'></a> <p align="justify"></p> <p align="justify">ถึงวันงาน ก็ต้องรีบฝ่าฝูงชนไป เพราะมั่นใจว่า วันเด็ก รถติดแน่ๆ แต่ติดนิสัยคิดว่าไปเลทหน่อยก็คงต้องรอสื่อ กลายเป็นว่า ไปถึงปุ๊บ รับบัตร ก็ได้เวลาพาสื่อเข้าเลย ไม่ทันได้ตั้งตัว โอ๊ย ไวจัง แต่ไปๆมาๆ ที่ทำให้อึ้งคือ พอสื่อเข้าได้ไม่นานก็ 6 โมงเย็น ฮอลก็เงียบ คอนเริ่มตรงเวลาเป๊ะ เล่นเอาอึ้ง เพิ่งเคยเจอคอนเสิร์ตที่ตรงเวลายังกับครูฝึกรด.เรียกรวมพล อาห์</p> <p align="justify">สิ่งที่ทำให้ผมอึ้งและประทับใจมากๆคือ คนดูเต็มฮอลแบบ สูงขึ้นไปข้างบนก็เต็ม แล้วทุกคนก็มีพร๊อพแท่งเรืองแสงพร้อม แถมมีช่วงแบ่งสีตามโซน มองไปแล้วก็ขนลุกครับ ถ้าเป็นศิลปินแล้วมีแฟนเพลงพร้อมขนาดนี้ ผมคงดีใจร้องไห้แน่ๆ</p> <p align="justify"><a href="http://lh3.ggpht.com/-uiCZ1fbVOtA/UvC8fJwOZ1I/AAAAAAAAMYk/QfvdSUn6kAg/s1600-h/GG_09%25255B4%25255D.jpg"><img title="GG_09" style="border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; background-image: none; border-bottom-width: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; display: block; padding-right: 0px; border-top-width: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="GG_09" src="http://lh4.ggpht.com/-CccyKieIViQ/UvC8hgJBHgI/AAAAAAAAMYs/ZeL_Zrd44GM/GG_09_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="370"></a></p> <p align="justify">เวลาที่รอคอยมาถึง สาวๆทั้ง 9 แทยอน ทิฟฟานี่ ยุนอา ยูริ ซันนี่ เจสสิก้า ซอฮยอน ซูยอง ฮโยยอน ก็ปรากฏกายกลางเวทีให้คนกรี้ด และเริ่มเต้น ผมมองจากที่ยืน ดูแสงเงาแปลกดี แต่ก็งงๆ จนสาวๆระเบิดตัวกลายเป็นกลีบดอกไม้ ค่อยถึงบางอ้อ ว่านั่นคือสกรีที่เอาไว้ฉายภาพกลางเวทีนั่นเอง รู้สึกตัวอีกที สาวๆก็โผล่ขึ้นจากพื้นกลางเวทีส่วนแคทวอล์ค เท่านั้นล่ะครับ ฮอลระเบิดเลย เสียงกรี้ดไม่มีหยุด พวกเธออยู่ในชุดสีชมพูสด สมกับอิมเมจของพวกเธอ และเริ่มร้องเพลง Hoot ซิงเกิ้ลดังของพวกเธอ ตามด้วย Animal ซิงเกิ้ลภาษาญี่ปุ่น แล้วก็ The Boys และ I Got a Boy ก่อนที่จะทักทายแฟนเพลง ซึ่งที่ทำให้ผมตกใจอีกคือ (ต้องเข้าใจว่าไม่เคยมาดูคอนเกาหลี) ระหว่างที่สาวๆทักทาย ก็มีล่ามคอยแปลภาษาไทยให้อีกด้วย แฟนเพลงก็เลยได้เข้าใจเต็มที่ น่ารักมากครับ (ถ้าใครเคยเจอความเงิบ เวลาศิลปินทักทาย แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ คงเข้าใจ)</p> <p align="justify">คอนเสิร์ตนี้ ผมคงไม่ของลงรายละเอียดแบบ เล่นเพลงไหน ลำดับแบบไหน เพราะว่า อาจจะน่าเบื่อไป แฟนเพลงก็รู้หมดแล้ว เลยอยากจะบรรยายบรรยากาศโดยรวมมากกกว่าครับ</p> <p align="justify">ตามที่บอกไปว่า กลางเวทีใหญ่มีจอที่ใช้ฉายภาพทั้งส่วนล่างและบน ทำให้งานวิชชวลออกมาดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จอในการฉายภาพคั่นช่วงเปลี่ยนเสื้อผ้าและนำเข้าสู่เพลงใหม่ อย่าง Mr. Taxi ที่วิดีโอยาวและสวยมาก หรือช่วงที่เล่นกับนิทาน สุนัขแห่งแฟลนเดอร์ ปะทะ สาวน้อยแห้งแอลป์ก็น่ารักดี และการฉายวิดีโอประกอบเพลง อย่างการใช้แบคกราวด์ของ MV มาฉายเมื่อร้องเพลงนั้นๆ ก็สร้างความอินกับบรรยากาศได้ดีมากๆ รวมทั้งเวทีที่อลังการแบบจัดเต็มมากๆ ครั้งสุดท้ายที่ผมได้ดูคอนเสิร์ตอลังการขนาดนี้ คงต้องเป็นงานป้าไคลี่ล่ะครับ บอกตรงๆว่า คอน SNSD จัดเต็มให้แฟนๆปลื้มใจมาก</p> <p align="justify"><a href="http://lh4.ggpht.com/-CcX3e2daE14/UvC8kNa7ckI/AAAAAAAAMY0/4H9krzwWrVc/s1600-h/WECH_0011%25255B5%25255D.jpg"><img title="WECH_0011" style="border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; background-image: none; border-bottom-width: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; display: block; padding-right: 0px; border-top-width: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="WECH_0011" src="http://lh5.ggpht.com/-uyD5_v5lH0k/UvC9TX_L3YI/AAAAAAAAMZE/ja75ga4OkjQ/WECH_0011_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="340" height="500"></a></p> <p align="justify">ส่วนเรื่องการแสดง ก็ไม่ต้องห่วงความโปรของสาวๆ ทั้งร้องทั้งเต้น เล่นเอาเราปลื้ม เพราะพวกเธอจัดเต็มมาก ครั้งนี้ไม่มีเวทีเดี่ยวของสมาชิกแต่ละคน ทำให้เราได้เห็นพวกเธอทั้งเก้าคนร้องเพลงด้วยกันอย่างสนุกสนาน ดูในทีวียังไม่เท่าไหร่ เจอตัวจริงเข้าไปนี่ น่ารักยังกับนางฟ้ามาจุติเลยครับ (โอย....) ยิ่งเวลาพวกเธอสนุกกับเพลงนี่ยิ่งดูดี (ผมชอบตอนที่ร้องเพลง Can’t Take My Eyes off You มากๆ) รวมไปถึงเวลาที่มาคุยกับแฟนเพลง ก็สนุกสนาน ขนาดยุนอาที่ถ่ายละครเสร็จตอนเช้าค่อยนั่งเครื่องบินมาเล่นคอนเสิร์ตก็ยังไม่แสดงอาการเหนื่อยให้เห็น ในทางกลับกัน ตอนที่แฟนเพลงเชียร์อย่างพร้อมเพรียง ชูป้ายกันทั้งฮอล ก็แอบเห็นน้ำตาแห่งความปลื้มของพวกเธอ โซวอนชาวไทยนี่เหนียวแน่นกันดีมากๆครับ</p> <p align="justify">เสียดายที่เวลาแห่งความสุขก็ต้องมีวันจบลง เพลงสุดท้าย Twinkle พวกเธอก็ออกมาโยนลูกบอลที่ต่างคนต่างเขียนคำทักทายพร้อมลายเซ็นไว้ ผมเองก็ส่งจิตไปบอกน้องยุนอาว่าให้โยนมาทางนี้ เหมือนได้ผล น้องยุนอาสบตาผมแล้วก็โยนมา ด้วยฝีมือนักบาส ทำให้คว้าบอลได้อยู่หมัด (ที่ว่าสบตาอาจจะเป็นจินตนาการไปเองของผม) ได้บอลจากมือน้องยุนอาและก็เป็นบอลที่น้องหมีทิฟเซ็นชื่อไว้ โอย สองคนโปรดพอดี สลบครับ กว่าจะล่ำลากันได้ ก็นานเหมือนกัน เหล่านางฟ้าค่อยๆทยอยโบกมือให้แล้วค่อยๆเดินกลับไป เหล่าแฟนก็ค่อยทยอยออก แน่นอนว่า แม้วันนี้จะจบลง แต่ เหล่าแฟนก็ยังคงรอคอยการกลับมาเยี่ยมเยือนของพวกเธออีกครั้งแน่นอนครับ</p> <p align="justify"><a href="http://lh5.ggpht.com/-OqMOohPnK8U/UvDNcojuuHI/AAAAAAAAMa0/nxKTj68H3KI/s1600-h/1510828_347820832022423_142918382_n%25255B7%25255D.jpg"><img title="1510828_347820832022423_142918382_n" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="1510828_347820832022423_142918382_n" src="http://lh3.ggpht.com/-_OxzmFZPQpA/UvDNd_7T9bI/AAAAAAAAMa8/Cm9W1i0JCy0/1510828_347820832022423_142918382_n_thumb%25255B5%25255D.jpg?imgmax=800" width="500" height="500"></a></p> <p align="justify">อย่างที่บอกว่า ตัวผมเองก็ไม่ได้เป็นแฟนอะไรมาก แต่เจอความน่ารัก ตั้งใจ และเต็มที่ของเหล่าสาวๆ SNSD ในคอนเสิร์ต ก็บอกได้แค่ว่า กลายเป็นสาวกไปอีกคนซะแล้ว โอย อานุภาพช่างแรงกล้าจริงๆครับ ก็ต้องขอขอบคุณทาง SMTrue และสปอนเซอร์ที่จัดคอนเสิร์ตในครั้งนี้ให้พวกเราได้มีความสุขมากๆครับ </p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-52273783719509354192014-01-06T16:59:00.000+07:002014-02-04T17:03:29.169+07:00Looking Back 2013<p align="justify">สวัสดีปีใหม่ 2014 ครับ จริงๆผมควรจะเขียนบทความนี้ในเล่มสัปดาห์ก่อน แต่ดันไม่รู้ก่อนว่า เล่มสัปดาห์ก่อนเป็นเล่มพิเศษ บทความผมต้องเว้นวรรค แทนที่จะได้ส่งท้ายปีเก่า เลยต้องย้ายมาสวัสดีปีใหม่ในเล่มนี้แทน (รู้งี้เก็บ Aloe Blacc ไว้ลงคราวหลังดีกว่า) หลายท่านคงจะเริ่มกลับมาทำงานวันนี้ บางท่านก็กลับมาทำงานตั้งแต่วันที่ 2 แล้ว กลับมาครั้งนี้ก็ขอมองย้อนกลับไปปีที่แล้วว่ามีอะไรที่น่าประทับใจเป็นการส่วนตัวบ้างครับ</p> <p align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhwGlubVti7tCgpzT_hHad3pBNCoa_QWnOY7ijQ6189alyTycTqlWxUxylVCaLMbLNcOjp6FrxvYDu8c4lwDZ5G1Xs0zYu1dYVpg5dBKVaRdl-EmiUXd5qQKh3vBm9UDdfiEGYjwX3cP_Z-/s1600-h/FM4%25255B1%25255D%25255B1%25255D.jpg"><img title="" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="" src="http://lh6.ggpht.com/-fiJvsw3CO8E/UvC60cYgaMI/AAAAAAAAMXo/dyVY5nBVJbw/FM4%25255B1%25255D_thumb.jpg?imgmax=800" width="580" height="393"></a></p> <p align="justify">คอนเสิร์ตแห่งปี ปีที่ผ่านมา ได้ดูคอนเสิร์ตน้อยครับ ไม่รู้ทำไม ที่ควรได้ดูก็เลื่อน ที่อยากดูบางอันก็พลาด แต่ก็ยังชื่นใจที่มีคอนเสิร์ตเจ๋งๆอย่าง Sonic Bang ให้ได้ดู เพราะสเกลของคอนเสิร์ตมันใหญ่มาก ศิลปินเยอะ จะเป็นการบุกเบิกเทศกาลดนตรีของไทยก็ว่าได้ อยากให้มีแบบนี้ทุกปีครับ ต่อให้ไม่ได้ถูกใจกับศิลปินที่มาทุกคน แต่แน่นอนว่า ก็มีอะไรให้ทุกคนได้สนุกกันแน่ๆ ผมเองก็เพลินกับวงร๊อคจากยุคตัวเองอย่าง Ash และ Placebo แต่ที่เหนือความคาดหมายสุดๆคือ Far East Movement ที่ผมกะไปดูแค่สนุกๆ แต่กลายเป็นว่า มันโคตรๆ สนุกตั้งแต่ต้นจนจบ เอนเทอร์เทนคนดูได้อยู่หมัด จนเรียกได้ว่า ถ้ามาอีกก็คงไม่พลาดแน่นอนครับ สนุกขนาดนั้น อีกคอนเสิร์ตนึงที่อดจะพูดถึงไม่ได้คือ Bloc Party ที่จัดให้หนำใจ สมกับที่แฟนเพลงรอมานานเช่นกันครับ</p> <a name='more'></a> <p align="justify"><a href="http://lh4.ggpht.com/-dOo4M5XBSpE/UvC62gp1J1I/AAAAAAAAMXw/ciVtWBf20gU/s1600-h/RUSH-poster-new%25252B%2525282%252529%25255B4%25255D.jpg"><img title="RUSH-poster-new (2)" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="RUSH-poster-new (2)" src="http://lh4.ggpht.com/-M_yijR4d1A8/UvC64LOzBWI/AAAAAAAAMX4/g-Bgn83SM4g/RUSH-poster-new%25252B%2525282%252529_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="373" height="500"></a> <p align="justify">ภาพยนตร์แห่งปี ปีที่ผ่านมา ตอนต้นปีที่ได้ดู Les Miserables ก็รู้สึกประทับใจนะครับ เพราะเหมือนดูละครเพลงดีๆเรื่องหนึ่ง แต่พอเว้นระยะ แล้วมาคิดอีกหน่อย กลายเป็นว่าเห็นจุดบอดในเรื่องไม่น้อย เลยผ่านๆไป หนังที่คนชอบทั้งเมืองอย่าง About Time ก็ดูเพลินดีครับ หวานซึ้งประทับใจ แต่ถ้าให้เลือกหนังที่ประทับใจสุดส่วนตัวจริงๆ คงต้องขอยกให้ Rush หนังเกี่ยวกับการแข่งรถที่มันเหลือเกิน นอกจากการซิ่งรถ F1 ที่เร็วสะใจแล้ว การนำเสนอนักแข่งสองคนในแง่คู่แข่งที่ไม่ใช่ศัตรู แต่คือสองคนที่ยอมรับในฝีมือกันและกัน ทำออกมาได้ดีมากๆ ไม่ได้เอามันอย่างเดียว แต่ตีความความสัมพันธ์ได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ได้ทั้งสาระและความมัน อ้อ แถมที่เห็นดราม่าเยอะๆนี่ มาจากเรื่องจริงเป็นหลักเลยนะครับ ชีวิตจริงมันดราม่า <p align="justify"><a href="http://lh5.ggpht.com/-zgBgiBDFxFs/UvC66Ecsa3I/AAAAAAAAMYA/v9XQXYPmAEA/s1600-h/654681f8eefdc13ad8dee196ff2a74f71366329524_full%25255B4%25255D.jpg"><img title="654681f8eefdc13ad8dee196ff2a74f71366329524_full" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="654681f8eefdc13ad8dee196ff2a74f71366329524_full" src="http://lh6.ggpht.com/-ZbCED2XMd6A/UvC67SygP8I/AAAAAAAAMYI/XdL1u57XEeY/654681f8eefdc13ad8dee196ff2a74f71366329524_full_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="340" height="500"></a> <p align="justify">มังงะและอนิเมะแห่งปี ปีนี้คงต้องยกให้เรื่อง Shingeki no Kyojin หรือ ผ่าพิภพไททัน ที่ฮิตเสียเหลือเกินในปีที่ผ่านมา ฮิตถึงขนาดที่เพลงเปิดตัวยังกลายเป็นเพลงฮิตได้ไปแสดงในอีเวนต์ดังอย่างประกวดร้องเพลงขาวแดงส่งท้ายปีของ NHK ตัวอนิเมะเริ่มฉายเมื่อต้นปีก่อนและกลายเป็นผลงานที่โคตรดังระบือนาม เพราะการนำเสนอที่โดดเด่น มีการเซอไพรซ์คนดูหลายๆจุด แถมการทำภาพที่ออกมาดีมาก (แม้จะเผาเยอะ) จนงานมันเด่นชวนให้ติดตามตลอด ส่วนมังงะ เนื้อเรื่องดีครับ แต่ภาพกากเกินทน ลายเส้นแย่มาก ถ้าจะอ่านเอามัน ก็ต้องทนลายเส้นแย่ๆหน่อย แต่ก็ถือว่าคุ้มครับ ไม่ควรพลาด <p align="justify">หนังสือแห่งปี ปีที่ผ่านมา ถือว่าได้อ่านหนังสือเยอะหน่อย ไม่รู้ทำไม เล่มที่ชอบสุดคือ เธอเขาเราผม 2 ของ โตมร สุขปรีชา (สำนักพิมพ์แซลมอน) ที่เป็นความเรียงเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในสังคมเมืองสมัยใหม่ที่น่าสนใจมากๆ หลายๆเรื่องเหมือนเขาพูดแทนในสิ่งที่ผมคิดมาตลอด ในการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ มันก็ควรจะมีระเบียบจารีตของมันเอง และเขาก็ตีแผ่ออกมาได้ว่า ทำไมกรุงเทพถึงกลายเป็นเมืองแบบนี้ ต่างไปจากมหานครในหลายๆประเทศที่เราเห็น เป็นงานที่อ่านง่าย เพลิน แป๊บเดียวก็จบ แต่สาระเต็มเล่มครับ <p align="justify">นักกีฬาแห่งปี ถ้าเอาแบบความเห็นของประชาชนไทย คงต้องยกให้น้องเมย์กับทีมวอลเลย์สาวไทย ที่สามารถเอาชนะคู่แข่งเก่งๆได้และทำผลงานดีมาตลอด อยากให้มีคนช่วยสนัสนุนต่อไปเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อไปครับ ส่วนตัวชอบ Fabian Cancellara นักจักรยานแห่งทีม Radioshack Leopard Trek ที่สร้างผลงานคว้าแชมป์สนามคลาสสิกชื่อดังในปีที่ผ่านมาคนเดียวสามสนาม ทั้งๆที่มันโหดสุดๆ จนบอกได้แค่ว่า ฉายา Spartacus นักรบโรมัน ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่มาจากความกล้าหาญ ดุเดือด ไม่กลัวอะไรของเขาจริงๆ <p align="justify">เรื่องน่ายินดีส่วนตัว ถ้าจะเขียนจริงๆ ปีที่ผ่านมา ก็ต้องเป็นเรื่องแต่งงานอยู่แล้ว ดังนั้น ขอเป็นเรื่องรองลงมาจากการแต่งงาน ก็คงเป็นเรื่องของการการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ทำต่อเนื่องมาจากปีก่อนแล้วก็เห็นผลจริงๆครับ สุขภาพดีขึ้นมาก ที่สะใจก็คงเป็นการกลับไปลุยแข่งจักรยานในสนามเดิม เจอเนินเดิมที่ผมต้องจอดรถพัก แต่คราวนี้ ไม่มีพักและเอาชนะมันได้สำเร็จ ปีหน้าก็คงไปแข่งอีกครับ ไม่ได้หวังชนะใคร แต่หวังชนะตัวเองในวันนี้ก็พอครับ อีกเรื่องก็คงเป็นการเข็นหนังสือของตัวเองเล่มที่สอง Japan Did ออกวางขายได้สำเร็จ เป็นงานที่เหนื่อยแต่เป็นผลงานที่อยู่กับเราไปอีกนานเลยล่ะครับ เรื่องน่าเสียใจมีบ้าง แต่ลืมๆไปครับ จำไว้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร <p align="justify">เดี๋ยวสัปดาห์หน้ามาเจอกับการจัดอันดับอัลบั้มยอดเยี่ยมของปีที่แล้วกันนะครับ ส่วนปีนี้ ก็ขอให้ท่านผู้อ่านที่ติดตามกันมาตลอดพบเจอแต่สิ่งดีๆนะครับ Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-60242763578385908482013-12-23T23:02:00.000+07:002013-12-30T16:04:20.601+07:00Aloe Blacc เสียงนุ่มๆรับลมหนาว<p align="justify">จู่ๆ ใครจะเชื่อนะครับว่า ลมหนาวที่โผล่มาทักทายบางกอกได้วันสองวันแล้วหายไป มันจะกลับมาอีก แล้วรอบนี้กลับมาที ยาวและหนาวเชียว น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมอยู่กรุงเทพแล้วรู้สึกหนาว แต่ก็ยังธรรมดาถ้าเทียบกับที่ขอนแก่นแต่ก่อน แต่เวลาอากาศหนาวๆแบบนี้ แทนที่จะฟังเพลงร๊อคที่เร่าร้อน อากาศชิลๆแบบนี้ ก็ขอฟังเพลงนิ่มๆ เบาๆ ฟังสบาย และอีกหนึ่งศิลปินที่ผมชอบฟังในช่วงนี้เหลือเกินคือ Aloe Blacc หนุ่มผิวสีเจ้าของเสียงร้องระดับเทพ <p align="justify"><a href="http://lh3.ggpht.com/-P126MmQSPxo/Ur2loIvR-tI/AAAAAAAAMW0/9pplXSNLZig/s1600-h/aloe-blacc%25255B5%25255D.jpg"><img title="aloe-blacc" style="border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; background-image: none; border-bottom-width: 0px; padding-top: 0px; padding-left: 0px; display: inline; padding-right: 0px; border-top-width: 0px" border="0" alt="aloe-blacc" src="http://lh4.ggpht.com/-OYThQ-E7-8E/Ur2lpkOE8uI/AAAAAAAAMW8/6T-5MFjClw0/aloe-blacc_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="393"></a> <p align="justify">Aloe Blacc เกิดในครอบครัวชาวปานามาที่อาศัยอยู่ในออเรนจ์เคาน์ตี้ แคลิฟอร์เนีย เขาโตมากับการเล่นทรัมเป็ตตั้งแต่ชั้นประถม ซึ่งเขาก็เป่าอย่างจริงจังมาเรื่อยๆ จนช่วงเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เขาก็เลือกให้ความสำคัญกับการเรียนก่อนดนตรี แต่ถึงอย่างนั้น ก็สามารถเรียนรู้การเล่นกีตาร์ และเปียโน หลังจากจบการศึกษาจาก USC เขาก็เข้าทำงานในบริษัท แต่สุดท้าย เขาก็ทนแรงดึงดูดของวงการเพลงไม่ไหว ต้องออกจากงานหันกลับมาทำงานเพลงตามที่ใจเรียกร้อง </p> <a name='more'></a> <p align="justify"> <p align="justify">เขาร่วมงานกับ DJ Exile ที่เคยทำงานกันมาตั้งแต่สมัยยังวัยรุ่น ตั้งวงฮิพฮอพกันโดยตั้งชื่อว่า Emanon หรือ No Name ที่สะกดกลับหลัง ซึ่งวงของพวกเขาก็ได้รับความนิยมในวงการใต้ดิน และออกผลงานอย่างต่อเนื่องสร้างชื่อได้ไม่น้อย แต่ในระหว่างเดียวกัน Aloe ก็ทำงานเพลงเดี่ยวด้วยการออก EP เป็นของตัวเอง จนหลังจากที่ Emanon ออกงานชิ้นสุดท้ายในปี 2005 Aloe ก็กลายเป็นศิลปินเดี่ยวเต็มตัว <p align="justify">Aloe ออกอัลบั้มแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวชื่อ Shine Through ในปี 2006 ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ผสมดนตรีโซลคลาสสิกกับดนตรีละติน รากกำเนิดของเขา และมันก็ชวนให้ทึ่งตั้งแต่เพลงเปิดอัลบั้ม Whole World ที่เป็นเพลงโซลคลาสสิกกับเสียงร้องที่ทำให้เรานึกถึงนักร้องผิวสีรุ่นพี่อย่าง Marvin Gaye แต่ร้องอยู่บนจังหวะทริพฮอพ ซึ่งบีทแบบนี้ก็ยังลามไปเพลงต่อไป Long Time Coming ที่โชว์พลังเสียงที่ยอดเยี่ยมของเขา ก่อนที่จะตัดไปเพลง Busking ที่โชว์พลังเสียงที่งดงามของเขา และ Bailar (Scene 1) ที่ใส่กลิ่นเพลงละตินเข้าไปได้อย่างยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่ความยอดเยี่ยมของช่วงต้นอัลบั้มไม่ได้แพร่ไปทั้งหมด เพลงอื่นกลายเป็นเพลงR&Bมาตรฐานไป ซึ่งไม่ใช่เพลงที่แย่ แต่มันสู้ความยอดเยี่ยมของเพลงในช่วงต้นอัลบั้มไม่ได้จริงๆ แต่อย่างน้อยก็ยังมีเซอไพรซ์ที่เพลงแถมท้ายอัลบั้ม ที่เป็นการนำเพลง Ordinary People ของ John Legend มาเรียบเรียงใหม่เป็นเพลงละตินในภาษาสเปน เจ๋งมากครับ แม้จะไม่ได้ทำยอดขายโดดเด่นมาก แต่ความเด่นของ Shine Through ก็ทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในวงการเพลงมาขึ้นกว่าเดิม <p align="justify">การกลับมาของเขาในปี 2010 กลายเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม จากแววความยอดเยี่ยมที่มีให้เห็นในอัลบั้มที่แล้ว กลายมาเป็นความยอดเยี่ยมในอัลบั้มใหม่ Good Things ซึ่งเป็นการนำเพลงโซลคลาสสิกมาเล่าปัญหาในสังคมยุคใหม่ ตั้งแต่เพลงเปิดตัว I Need a Dollar ที่เล่าเรื่องราวของชายตกยาก สิ้นไร้ไม้ตอก ช่างเป็นเพลงแห่งยุคหลังความล่มจมจากซับไพรม์ของอเมริกาไม่แพ้ All of the Lights ของ Kanye West เลยทีเดียว นอกจากความยอดเยี่ยมของมันเองที่ทำให้ข้ามไปติดชาร์ตเพลงในหลายๆชาติ การที่มันถูกนำไปใช้เป็นเพลงเปิดทีวีซีรีย์ How to Make It in America ก็ส่งให้เพลงและตัวเขาดังขึ้นไปอีก ดูเหมือนกว่าอนาคตของ Aloe Blacc จะสดใส่ขึ้นมาทันที <p align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfrAlyGW7pdGhEmxBD4wxf3G5PmoJzBTao8qjcZV1KvgPU50kAaXdMvhT8OZa46MILUqnD4Em568OQsiHZad9YyibhBeE7XxbMUixEyiVZGmfy9PhtNs5G5K9r3UZgg7i0gSQpnl7tM1yc/s1600-h/5570811731_941e578b49_z%25255B4%25255D.jpg"><img title="5570811731_941e578b49_z" style="border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; background-image: none; border-bottom-width: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; display: block; padding-right: 0px; border-top-width: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="5570811731_941e578b49_z" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjlB__8n27jTvWcO1dBYUuxLIHzixUTKu6p5GDJt6N8Yk98Ika8fENeY-l7BRw8hXk-rUDDUom81ApX7qan0ZZBgxZvd4G6iRk6O_oUm-43-YMx3XwCD3YQisBhaeQWYDYdAlTaAbn1NOgA/?imgmax=800" width="340" height="500"></a> <p align="justify">ส่วนตัวอัลบั้ม แทนที่จะพยายามแทงกั๊กเพลย์เซฟแบบอัลบั้มก่อน งานชุดนี้ เขาทำเพลงตามที่ใจอยากเต็มที่จนได้เพลงโซลคลาสสิกที่เข้ากันกับเสียงร้องที่งดงามของเขาเป็นอย่างดี แน่นอนว่าเขาก็ทำออกมามีชั้นเชิงจนไม่ได้เป็นแค่การถ่ายเอกสารเพลงในอดีตมาทื่อๆเท่านั้น อย่าง Miss Fortune ที่มีจังหวะของเรกเก้ปนเข้ามาหน่อยก็น่าสนใจ ส่วน Green Lights ก็เด่นด้วยเครื่องเป่าที่คลอมาเป็นระยะ คล้ายๆกับการนั่งฟังเพลงของ Al Green อยู่ ที่น่าทึ่งมากๆคือการที่เขาเลือกหยิบเพลง Femme Fatale ของ The Velvet Underground ที่แสนจะคลาสสิก เอามาทำใหม่กลายเป็นเพลงโซลแบบเต็มตัวเลยทีเดียว แต่ละเพลงช่างโชว์พลังเสียงชั้นเลิศของเขาและทักษะการเรียบเรียงเพลงที่ยอดเยี่ยม เพลงก่อนปิดอัลบั้มที่เรียบง่ายอย่าง Mama Hold My Hand ก็เล่นเอาเราซึ้งได้ไม่น้อย และค่อยไปปิดกับเพลงบรรเลง What I'm Sayin' Reprise ที่เก๋สุดๆ ไม่แปลกครับที่หลังจากงานชุดนี้แล้ว เขาจะกลายเป็นศิลปินที่เนื้อหอมเอามากๆขึ้นมากอีกคนหนึ่ง เพราะความยอดเยี่ยมของแต่ละบนเพลงในอัลบั้มนี่ล่ะครับ <p align="justify">หลังจากประสบความสำเร็จจากแนวเพลงเรโทรโซลไปแล้ว แทนที่เขาจะย่ำอยู่กับความสำเร็จเดิม ในอัลบั้มใหม่ Lift Your Spirit ที่ออกมาช่วงปลายปีนี้ เขากลับหันไปหาเพลงพ๊อพสมัยใหม่แทน ตั้งแต่เพลงเปิดตัว Wake Me Up ที่เขาไปร่วมงานกัน Avicii โปรดิวเซอร์เพลงคันทรี่แดนซ์จากสวีเดน ทำให้ได้เพลงที่นำด้วยกีตาร์พร้อมบีทที่เร่งเร้าพอที่จะทำให้เต้นรำได้เลยทีเดียว เล่นเอาคนเหวอได้ไม่น้อย แต่สุดท้าย เขาก็สามารถใส่เอกลักษณ์ความเป็นตัวตนของเขาเข้าไปในเพลงเสมอ แม้จะทำให้คนที่อยากฟังเพลงเรโทรเสียใจ แต่เราก็ไม่อาจปฎิเสธว่าเพลงฟังค์อย่าง Solider In the City นี่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ส่วน Wanna Be With You ก็สามารถฟังได้เพลินๆ สบายๆ เหมือนนั่งจิบคอคเทลริมหาด แต่ถ้าต้องการเพลงเรโทรกันจริง ก็ต้อง Red Velvet Seat หรือ The Man ที่ยังคงยอดเยี่ยมอยู่ แต่ผมก็สนุกกับเพลงเกือบดิสโกอย่าง Love Is the Answer ได้ ขณะที่ Here Today ก็ชวนให้เราแหกปากตามในท่อนคอรัสจริงๆ <p align="justify">แม้ Aloe Blacc จะเปลี่ยนแนวเพลงเพื่อทดลองหาอะไรใหม่ๆ จะได้ไม่ย่ำอยู่กับที่เดิม แต่จุดเด่นอย่างเสียงที่ละมุนของเขาก็ยังคงทำให้เอกลักษณ์ของเพลงเขายังอยู่ดี แน่นอนครับว่าอากาศชิลๆแบบนี้ ก็ไม่ควรพลาดที่จะหยิบมาลองฟังดูครับ <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/iR6oYX1D-0w?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/M_o6axAseak?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-71643914307683568762013-12-16T22:43:00.000+07:002013-12-27T22:52:46.405+07:00Tour de Farm สองล้อกับเป้าหมายประจำปี<p align="justify">ระหว่างที่ท่านๆทั้งหลายถือหนังสือพิมพ์ฉบับนี้อ่านอยู่ ก็เหลืออีกแค่ไม่กี่วัน ก็จะหมดปี 2013 แล้วนะครับ แป๊บๆ ก็หมดไปอีกปีล่ะ เร็วจริงๆ ไม่ทราบว่ามีท่านไหนที่เวลาเริ่มต้นปี จะกำหนดเป้าหมายของตัวเอง ว่าปีนี้จะทำอะไรไหมครับ หรือที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า New Year Resolution นั่นล่ะครับ <p align="justify"><a href="http://lh6.ggpht.com/-DNS2kRYO9cE/Ur2iHPGYLUI/AAAAAAAAMWA/ce5jkXoVcIM/s1600-h/1470307_10152073514270289_535417604_n%25255B5%25255D.jpg"><img title="1470307_10152073514270289_535417604_n" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="1470307_10152073514270289_535417604_n" src="http://lh4.ggpht.com/-5BO-tdbzJSo/Ur2iIy3bFqI/AAAAAAAAMWI/uJaoycOAo1A/1470307_10152073514270289_535417604_n_thumb%25255B8%25255D.jpg?imgmax=800" width="451" height="500"></a> <p align="justify">บางคนอาจจะเลือก เลิกบุหรี่ หางานใหม่ ลดน้ำหนักให้ได้ ซึ่งการจะสำเร็จแต่ละเป้าหมายนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วย ส่วนของผม มีสองเป้าหมาย อย่างแรกคือ เลื่อนระดับขึ้นมาวิ่งฮาฟมาราธอน ให้ทันกรุงเทพมาราธอน ซึ่งก็หมดโอกาสไปแล้ว เพราะเกือบทั้งปีผมเจ็บจากอาการเอ็นพลิก เพราะไม่ยอมยืดกล้ามเนื้อให้ดีตอนวิ่งขอนแก่นมาราธอน เลยอดซ้อม ต้องอยู่ที่มินิมาราธอนเหมือนเดิม เลื่อนไปปีหน้าแทน แต่อีกเป้าหมายหนึ่งคือสิ่งที่ผมจะทำในวันพรุ่งนี้ คือการแข่งจักรยานรายการ Tour de Farm ในรุ่น 107 กิโลเมตร ซึ่งผมไม่เคยปั่นระยะขนาดนี้มาก่อนเลย แต่ก็เป็นเป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จให้ได้ครับ</p> <a name='more'></a> <p align="justify"> <p align="justify">ตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ผมกลับมาปั่นจักรยานอย่างจริงๆจังๆ ด้วยเหตุผลง่ายๆคือ อยากลดน้ำหนัก และเรียกความฟิตกลับคืน เพราะแต่ก่อนผมก็เล่นกีฬา ไม่ค่อยเหนื่อยอะไรง่ายๆ แต่พออายุมากขึ้น แล้วปล่อยตัว ก็เริ่มจะไม่ไหว เลยเลือกเอากิจกรรมที่น่าจะเหมาะกับตัวเองที่สุด นั่นคือ จักรยาน <p align="justify">จริงๆแล้ว มาไล่ดูดีๆ ชีวิตผมในช่วงต้น อยู่กับจักรยานตลอด ตั้งแต่ยุคบีเอ็มเอ็กซ์ฮิตๆ ผมก็มีกับเค้าคันนึง ไว้ไปปั่นไปเล่นกับเพื่อน โดยเฉพาะช่วงปิดเทอม เหมือนใน แฟนฉัน นั่นล่ะครับ พอโตมาหน่อย ก็ได้เสือภูเขาไว้ใช้ของตัวเอง ของถูกๆ ไม่ได้อะไรมาก แต่ก็ปั่นได้สนุกครับ ผมชอบเอาไปปั่นแถวๆคลองส่งน้ำ หรือปั่นไปเรื่อยๆ หลุดไปตำบลอื่นก็เคย พอมาช่วงจะขึ้นม.ปลาย ก็ได้เสือหมอบของจีนคันนึง ถึงจะไม่แพง แต่คุณภาพก็ใช้ได้ เป็นจักรยานที่ใช้ในโครงการปั่นเพื่อการกุศลของมหาวิทยาลัยขอนแก่นตอนนั้น แล้วพอจบโครงการเค้าก็เอามาขายต่อถูกๆ ผมก็เลยโชคดี มีรถเอาไว้ปั่นเล่นสนุกๆ ใช้ไปไหนมาไหนแก้เบื่อได้เพลินเชียวครับ จนเข้าม.ปลายกับมหาวิทยาลัย ก็แทบไม่ได้ใช้จักรยานล่ะ เพราะมีรถส่วนตัวแล้ว <p align="justify">มาได้ใช้จักรยานอีกทีก็ตอนเรียนที่ญี่ปุ่น เพราะจำเป็นมาก (ไม่มีรถนี่ครับ) ปั่นไปซื้อของ ขึ้นรถไฟ ไปไหนมาไหน คันแรกที่ใช้ คือบ้านแฟนเก่าเค้าเอาให้ยืม ก็ชอบปั่นไปนั่งกินข้าวที่ร้านที่เขาทำงานพิเศษ ไปกลับรวมสิบกว่ากิโล พอเลิกกัน ดันเป็นตอนที่ผมย้ายที่พัก ก็ต้องปั่นไปคืนเค้า เพื่อประหยัดค่าส่ง เป็นการปั่นจักรยานแม่บ้านระยะ 33 กิโลครั้งแรกในชีวิตเลย แทบรากเลือด ต่อมาก็ซื้อจักรยานเอาไว้ใช้เองแทนอีกคันครับ (ใครสนเรื่องการใช้จักรยานในญี่ปุ่น ลองอ่านได้ที่ Japan Did หนังสือที่ผมเขียนให้สำนักพิมพ์แซลมอนได้ครับ ขายของเลย) <p align="justify">พอกลับมาไทย ย้ายมาอยู่กรุงเทพ จักรยานก็แทบจะเป็นเรื่องไกลตัวเลย เพราะคิดยังไง ก็เป็นเรื่องอันตรายสำหรับผมในตอนนั้น แม้จะดูการแข่งจักรยานทางไกลอย่าง Tour de France ให้ตื่นเต้นบ้าง (แน่นอนว่าตอนนั้นใครก็ชอบแลนซ์ อาร์มสตรอง) เห็นนักปั่นเก่งๆ ก็อยากปั่น แต่ก็ยังไม่กล้าซะที ก็กรุงเทพมันน่ากลัวนี่ครับ ถนนรถเยอะจะตาย แต่พอเริ่มใช้มอเตอร์ไซค์เอง เออ มันก็พอไหวนี่หว่า <p align="justify">สุดท้ายก็ตามที่บอกครับ เลยตัดสินใจซื้อจักรยานมาเพื่อเป็นของขวัญให้ตัวเอง จะได้ออกกำลังซะที เพราะไปฟิตเนส ก็ไม่ใช่แนว (แถมตอนนั้นเกือบสมัครกับเจ้าที่ต่อมาจะปิดตัวหนีลูกค้านั่นล่ะครับ) เลยได้รถเสือภูเขามาคันนึง ซื้อแบบไม่รู้อะไรมากหรอกครับ เอาถูก พอปั่นได้เข้าว่า พอปั่นไปมา เริ่มสนุก เริ่มออกไกลขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเพลิน ปั่นวันละยี่สิบกิโล น้ำหนักหายไปเพียบ ตัวเบา ไม่เหนื่อยง่าย สุขภาพดีมาก ภายในเวลาไม่กี่เดือน เล่นเอาเสพติดไปเลย จนถึงจุดนึง เริ่มรู้สึกว่า มันไม่พอแล้วล่ะ เพราะก็อยากไปเร็ว อยากจะลองแข่งดู เลยตัดสินใจ ขายรถคันเดิม มาใช้รถเสือหมอบเอง ซึ่งคันที่ซื้อ ก็เป็นรถระดับเริ่มต้น พอเข้าแข่งได้ แม้จะไม่ได้ดีเลิศ แต่ก็พอไหว <p align="justify">พอเปลี่ยนรถ ก็เหมือนเสือติดปีก สนุกครับ ปั่นได้เร็วขึ้น ไกลขึ้น สนุกขึ้น หยุดไม่อยู่ล่ะ และก็ได้ลงแข่งสมใจ ในงาน Tour de Farm เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งผมลงในรุ่น 60 กิโลเมตร จริงๆก็ไม่ได้แข่งอะไรครับ รุ่นนี้เอาสนุกมากกว่า ที่ลงเพราะอยากทดสอบตัวเองดูครับ <p align="justify">ผมชื่นชอบการแข่งขันจักรยานทางไกลมาตั้งแต่ตอนเด็ก คงเพราะอิทธิพลของการ์ตูนที่อ่านอย่าง สิงห์นักปั่น ทำให้เข้าใจว่ามันเป็นกีฬาที่ยากเอาเรื่อง เหมือนจะดูง่าย แต่มันต้องอาศัยความอึด แรงกาย และแรงใจจริงๆ และที่สำคัญ สิ่งที่ทำให้มั่นน่าหลงใหลมากกว่าการวิ่งมาราธอนคือ ความเสี่ยง ครับ เพราะเวลาเราปั่น ถ้าช่วงลงเขา ความเร็วสามารถพุ่งไปถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้เลย ตัดสินใจพลาดนิดเดียว ก็ตายได้ทันที นั่นล่ะครับ สิ่งที่มันเย้ายวนใจมากสำหรับผม (แต่แฟนคงไม่ชอบ) <p align="justify"><a href="http://lh6.ggpht.com/-35dmtyV7sFA/Ur2iKlfqQNI/AAAAAAAAMWQ/ewCDb9yqOzk/s1600-h/tour-de-france-620x413%25255B4%25255D.jpg"><img title="tour-de-france-620x413" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="tour-de-france-620x413" src="http://lh6.ggpht.com/-DbUo0794YCg/Ur2iMyBdZ3I/AAAAAAAAMWY/Mrg01cjpR8Y/tour-de-france-620x413_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="393"></a> <p align="justify">นอกจากนี้ ความยากลำบากของ Tour de France มันยังน่าหลงใหลมากๆ เพราะจะมีกีฬาอะไรที่โหดพอที่จะให้คนปั่นจักรยานกันวันละสองร้อยกิโล ขึ้นเขากันหลายลูก เป็นเวลาสามอาทิตย์ นอกจากแรงกาย ถ้าแรงใจไม่พอก็คงสติหลุดได้ง่ายๆ เพราะพลาดครั้งเดียวอาจจะล้มหมดสภาพจนต้องออกจากการแข่งขัน ทำให้ทุกครั้งที่ผมมองพวกนักจักรยานอาชีพ ผมเห็นผู้กล้า ฮีโร่ ในร่างกายที่ผอมแห้งเหมือนไม่มีแรงนั่น แต่จริงๆแล้วพวกเขานั้นลับตัวเองให้คมกริบราวกับดาบซามูไร ดูการแข่งทีไรก็ได้แต่คารวะครับ <p align="justify">เพราะความชื่นชมในตัวนักแข่งทั้งหลาย ทำให้ตัวเองอยากลองบ้าง และก็กลายเป็นที่มาของเป้าหมายของปีนี้ นั่นคือการลงแข่งรุ่น 107 กิโลเมตรใน Tour de Farm นี่ล่ะครับ เพื่อที่จะได้ก้าวข้ามขึ้นไปขั้นต่อไปให้ได้ <p align="justify">ตอนเริ่มปั่นแรกๆ ด้วยประสบการณ์จากการปั่น 60 กิโลปีก่อน ช่วงต้นเลยไม่ค่อยลำบากมาก จำเส้นทางได้ บวกกับไม่ค่อยมีเนินให้ลำบากมากนัก เลยปั่นได้เรื่อยๆ แต่ว่า ตรงหน้าพาลิโอ กับโค้งตัว S มีคนรถล้ม ลงไปนอนสองคน เห็นแล้วก็หวั่นๆ เพราะบางช่วงก็ปั่นกันเพลิน ความเร็วสูง ถ้าล้มมา ก็เนื้อล้วนๆครับ เสี่ยงตายจริงๆ แต่ก็ปั่นเกาะๆเค้าไปเรื่อยจนวนกลับมาถนนมิตรภาพ แล้วตัดไปทางไปน้ำตกเจ็ดสาวน้อยอีกที <p align="justify">เจ้าถิ่นเค้าขูว่า เลี้ยวขวาแล้วจะเจอของจริง เจอจริงๆครับ ขึ้นเขาหนองอีเหร่อ ความชัน 18% ระยะทาง 3 กิโล นักปั่นในเมืองที่ไม่เคยเจอเนินยาวๆอย่างผม ปกติก็แย่แล้ว นี่ดันมาเจอเอาตอนปั่นมาได้ 60-70 กิโล จะเหลืออะไรล่ะครับ ต่อให้ปรับเกียร์เบาสุด ก็ไม่ไหว ต้องจอดพักสองสามรอบ แล้วก็ค่อยๆไล่ๆไปเรื่อยๆ ตอนปั่นขึ้น ผมพยายามนึกถึงนักปั่นขึ้นเขาเทพๆ แต่ คิดภาพไม่ออกเลยครับ นึกออกแค่น้าเยนส์ กับวลีดังของแกคือ Shut Up Legs!!! บอกให้ขาตัวเองปั่นไปต่อ พอลงเขาได้ เหมือนจะดีขึ้น ก็เจออีกทีคือ เขาลำทองหลาง 12% อีก 2 กิโล ตัดกำลังอีก บอกตรงๆว่า แทบหมดสภาพครับ <p align="justify">แต่พอพ้นเนิน แน่นอนว่า ก็ต้องเป็น ขาลงครับ ตรงนี้ล่ะที่มันโคตรๆ เพราะเล่นปล่อยล้อฟรี ลงกันมายาวๆ รถผมอาจจะเพราะหนักหน่อย แล้วก็ผมบ้าด้วย เลยได้ความเร็วสูงสุด 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันมากครับ ยิงยาวเลย แซงได้หลายคนตรงนี้ล่ะ มานึกอีกที แล้วพวกโปรที่ความเร็วลงเขา 100 กิโล นี่เค้าคิดอะไรกันในสมอง โอย ยอดคนจริงๆ พอพ้นกลับมาถนนมิตรภาพอีกที ก็ถึงจุดแค้นนี้ต้องชำระของผม <p align="justify">ปีก่อน ตอนเจอเขาบันไดม้าก่อนถึงเส้นชัย ผมหมดแรง จอดพักสองรอบ โดนแซงไปเป็นสิบ ก่อนจะค่อยๆไต่เข้าเส้นชัย ปีนี้ ผมกลับมาที่เดิม ระยะทางไกลกว่าเดิม และมันก็ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าผม ผมควบจักรยานคันโปรดเข้าหามัน ด้วยความเหนื่อย บอกตรงๆว่า ผมแทบจะถอดใจ จอดลงพักอีกแล้ว แต่ ผมกลับมาเพื่อเอาชนะมัน เลยกัดฟัน ปั่นไป แหกปากไป แล้วก็ค่อยๆเร่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่อยากแพ้มัน กลายเป็นว่า ผมเอาชนะมันได้ ก่อนที่จะเข้าเส้นชัย ยกมือขึ้นตะโกนเต็มที่ จนคนงงว่า มันเป็นอะไรวะ 55 <p align="justify"><a href="http://lh6.ggpht.com/-L6CdNmqFfZY/Ur2iQVsXdpI/AAAAAAAAMWg/I0287mght5E/s1600-h/1474653_10152073514095289_138388615_n%25255B4%25255D.jpg"><img title="1474653_10152073514095289_138388615_n" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="1474653_10152073514095289_138388615_n" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOAVOkwOdvLoMpfBQq55xpBj-5nR99h1aXSBZYql0cUxxPoe588MLv1mU5DM6zzAIZvowbbMYn4r2GcSB3m0_UkG-e7HUGaK3UJmSExwzC50eWxVyPnQHrKlZBhPLI-Fl3fw_0Saw8ZYVW/?imgmax=800" width="580" height="438"></a> <p align="justify">พอปั่นเสร็จ ก็เข้าใจว่า การปั่นจักรยานทางไกลนี่มันคือทัณฑ์ทรมานคล้ายๆกับที่ฮารุกิ มุราคามิ พูดไว้เกี่ยวกับการวิ่งมาราธอนจริงๆ ระหว่างทาง ผมได้แต่คิดว่า เรามาทำบ้าอะไรอยู่ ทำไมต้องมาทรมานตัวเอง ตากแดด เสี่ยงกับความเร็ว สับขาขึ้นเนิน แทบหมดสภาพ แต่พอเข้าเส้นชัย คำตอบมันก็ชัดเจนครับ ทุกอย่างที่ผมทรมานตัวเองมา เมื่อแลกกับโมเมนต์แห่งความสุขเมื่อเข้าเส้นชัย มันคุ้มเกินคุ้มครับ นอกจากทำเวลาได้ดีกว่าที่ตั้งเป้าไว้แล้ว การทำเป้าหมายประจำปีของตัวเองสำเร็จได้นี่มันยิ่งกว่ามีความสุขอีก เรียกได้ว่า Sky High เลยทีเดียว <p align="justify">เหรียญรางวัลเข้าร่วมแข่งขันที่ได้มา มันคือเครื่องเตือนความทรงจำว่าเราทำสำเร็จ แต่ยังเทียบกับความสุขของการเอาชนะตัวเองไม่ได้ครับ ปีหน้าก็คงต้องตั้งเป้าหมายใหม่ล่ะครับ แล้วคุณล่ะครับ ปีหน้ามีเป้าอะไรบ้างครับ <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/vG6TKk_NLuk?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/TV94k0kFG2w?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/7TFT4lrtB7o?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-80566234094568693202013-12-09T22:40:00.000+07:002013-12-27T22:41:02.194+07:00Death from Above 1979 คู่หูนรกพร้อมกลับมาแล้ว<p align="justify">วงดนตรีหลายวงเกิดแล้วแตกดับไปตลอดเวลา แต่ก็มีหลายวงที่ดับไปแล้วยังกลับมารวมตัวกันใหม่ได้ และหนึ่งในวงที่กลับมาใหม่ที่ผมรอคอยผลงานเอามากๆก็คือ Death from Above 1979 ที่เป็นวงสุดคัลต์ในตำนานอีกวงหนึ่ง <p align="justify"><a href="http://lh5.ggpht.com/-ZAZOQPaT0Mk/Ur2feDtvSMI/AAAAAAAAMVc/p-Gme_i4Vbc/s1600-h/Death%25252BFrom%25252BAbove%25252B1979%25255B4%25255D.jpg"><img title="Death From Above 1979" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="Death From Above 1979" src="http://lh6.ggpht.com/-o7O3uYS8yC8/Ur2fgIvcLXI/AAAAAAAAMVk/4o5HkLMUR9o/Death%25252BFrom%25252BAbove%25252B1979_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="337"></a> <p align="justify">Death from Above 1979 ถือกำเนิดจากการโคจรมาพบกันของสองหนุ่มชาวแคนาดา Jesse F. Keeler (เจส เบส ซินธ์) อดีตสมาชิกวง Black Cat #13 และ Sebastien Grainger (เซบาสเตียน ร้องนำ กลอง) ในคอนเสิร์ตของ Sonic Youth และก็ตัดสินใจร่วมกันทำงานเพลงในนาม Death from Above โดยทะลึ่งพอที่จะไม่เอามือกีตาร์ที่แทบจะเป็นสัญลักษณ์ของวงร๊อคทั่วไปมาอยู่ในวง โดยให้เหตุผลง่ายๆว่า “ไม่จำเป็น” และ “ไม่อยากแบ่งค่าตัว”</p> <a name='more'></a> <p align="justify"> <p align="justify">และ พวกเขายังอยากทดลองด้วยว่า ในเมื่อดนตรีสายอื่นอย่างฮิพฮอพหรือแดนซ์ ยังใช้เครื่องดนตรีแค่นี้ ยังทำเพลงได้ เลยอยากรู้ว่าจะใช้แค่เบสกับกลองทำดนตรีได้ไกลแค่ไหน <p align="justify">พวกเขาเริ่มออกตัวด้วยการออก EP ที่ชื่อ Heads Up กับตราแผ่นเสียง Ache Records ในปี 2002 ซึ่งมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานของพวกเขาเป็นอย่างดี แต่ละเพลง สั้น แต่หนักหน่วงสะใจ เหมือนกับการยื่นกลองและเบสให้กับฝูงกอริลลาไปตีเล่น ความหนักหน่วงนั้นสะท้อนออกมาเป็นอย่างดีกับการที่ภาพปกเป็นภาพของพวกเขาสองคนมีงวงเหมือนช้าง เพราะซาวด์ของพวกเขาคือโขลงช้างที่วิ่งทะลวงลำโพงออกมานั่นเอง <p align="justify">หลังจากสร้างชื่อเสียงในระดับหนึ่งกับEPแรก พวกเขาก็ออก EP ต่อมา Romantic Rights ในปี 2004 ซึ่งเป็นงานที่ส่งให้พวกเขาเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เพลงหลักอย่าง Romantic Rights นั้นได้แสดงให้เห็นถึงซาวนด์ของพวกเขาอย่างชัดเจนจริงๆ ทั้งลูกเบสที่หนักหน่วง กับจังหวะกลองที่ถ้าลองเปลี่ยนแปลงมันอีกนิดเดียวก็กลายเป็นเพลงแดนซ์ได้ทันที บวกกับเสียงร้องที่ออกมาจากหัวใจของหนุ่มกลัดมันที่พร่ำร้องว่า “I don’t need you, I want you” มันก็สื่ออะไรได้มากเกินต้องการแล้ว ส่งให้กลายเป็นงานคลาสสิกไปในทันที <p align="justify">ทว่า พวกเขาถูกตราแผ่นเสียง DFA ของ James Murphy ฟ้องร้องให้เลิกใช้ชื่อ Death from Above เพราะว่าเวลาย่อลงแล้วจะเหลือแค่ DFA เหมือนกัน พวกเขาไม่พอใจ แต่ก็เลือกเติม 1979 ลงไปในชื่อวง เพราะเป็นปีเกิดของ Sebastien นั่นเอง โดยให้เหตุผลเท่ๆว่า มันเป็นปีสุดท้ายของยุคสุดคูล และเป็นปีที่ Off the Wall และ Pleasure Principle ออกวางขาย จากนั้น พวกเขาก็คือ Death from Above 1979 <p align="justify">หลังจากปัญหาพวกเขาก็ได้ออก อัลบั้มเต็มชุดแรก (และชุดเดียว) ชื่อ You’re a Woman, I’m a Machine ซึ่งสานต่อความยอดเยี่ยมของงานก่อนหน้านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยจริงๆ แน่นอนว่า Romantic Rights ที่ถูกมิกซ์ใหม่ให้แน่นขึ้นต้องอยู่ในอัลบั้มนี้แน่นอน พวกเขาเปิดอัลบั้มด้วยเสียงลึกลับๆ ก่อนที่จะกระหน่ำกลองและเบสในเพลง Turn In Out ได้รุนแรงไม่ต่างจากสายฟ้าของมหาเทพซูสเลย และก็เป็นแบบนี้แทบทุกเพลงครับ ไม่ว่าจะเป็น Going Steady, Pull Out หรือ Go Home, Get Down ที่ตามกันมา ส่วนซิงเกิ้ลอย่าง Blood on Our Hands และเพลง Sexy Results ก็ผสมความเป็นดนตรีเต้นรำลงไปในท่อนเบสได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะที่ Little Girl และ Cold War ก็ทำให้เรานึกไปถึง Deep Purple ยุคเก่าได้เลย เพลงYou're A Woman, I'm A Machine ก็คือการระเบิดของพละกำลังทั้งหมดที่พวกเขามี และเพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่าง Black History Month ที่พวกเขาผสมผสานดนตรีแนวต่างๆจนออกมาได้อย่างลงตัวไร้ที่ติใดๆทั้งปวง แน่นอนว่า You're A Woman, I'm A Machine คืออัลบั้มที่คลาสสิกจากความคิดสร้างสรรค์ ความดิบ ความห้าว ความงุ่นง่าน และความกล้า และจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลังได้เป็นอย่างดี <p align="justify"><a href="http://lh4.ggpht.com/-SCyfNFXbm9E/Ur2fhU35P2I/AAAAAAAAMVs/mpR602GxltM/s1600-h/DEATH-FROM-ABOVE-1979-COACHELLA%25255B4%25255D.jpg"><img title="DEATH-FROM-ABOVE-1979-COACHELLA" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="DEATH-FROM-ABOVE-1979-COACHELLA" src="http://lh5.ggpht.com/-xxqO37rkYDM/Ur2fi6dow8I/AAAAAAAAMV0/04tIAnQRE4U/DEATH-FROM-ABOVE-1979-COACHELLA_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="440"></a> <p align="justify">ในปี 2005 พวกเขาตามติดความสำเร็จด้วยการออกอัลบั้ม remixed version กับb-side ที่ชื่อ Romance Bloody Romance เพื่อแสดงให้เห็นถึงรากของเพลงเต้นรำที่อยู่ในดนตรีของพวกเขา ซึ่งนอกจากจะได้ศิลปินดังๆหลายแนวอย่าง Alain Braxe, Erol Alkan, Justice, Josh Homme (Queens of the Stone Age)และ Sammy Danger (Test-Icicles)มารีมิกซ์เพลงของพวกเขา ยังมีเวอร์ชั่นของเพลงต่างๆที่DFA1979 มิกซ์แยกกันในนามโปรเจ็กต์ส่วนตัวของแต่ละคน ทั้ง Girl on Girl ของ Sebastian มาร่วมมือกับ Final Fantasy ของ Owen Palette (Arcade Fire) ทำเพลง Black History Month และ MSTRKRFTของ Jesse ที่ทำ Sexy Resultsและ Little Girl ใหม่ และยังมีเพลงแถมเก่าอย่าง Better off Dead และ You're Lovely (But You've Got Problems) ที่ดิบเถื่อนสะใจไม่แพ้กัน แต่ว่าในปีเดียวกันนั้น พวกเขาก็ตัดสินใจแยกวง เพราะแนวทางไม่ตรงกัน จึงหันไปทำโปรเจคต์ส่วนตัวสารพัด ทิ้งให้แฟนๆเฝ้ารอ (แต่ยังมีเมลมาขายของที่ระลึกเป็นประจำ) <p align="justify">หลังจากต่างคนต่างอยู่กันมานาน ต้นปี 2011 พวกเขาก็ประกาศแบบฟ้าผ่าว่า จะกลับมาร่วมงานกันอีก และการแสดงสดครั้งแรกของพวกเขาในปีต่อมาในเทศกาล EdgeFest เล่นเอาคนถึงทะลักออกมาจากเต็นท์ เพราะมันคือการกลับมาของวงดนตรีสุดคัลต์ในตำนานจริงๆ และหลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาในการทำงานเพลงใหม่ และออกเดินสายทัวร์ แต่ก็ยังไม่มีอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอันเสียที <p align="justify">แต่ระหว่างนั้น พวกเขาก็ยังทำงานเพลงส่วนตัวออกมาด้วย Sebastien ก็เพิ่งออกงานชุดใหม่ ซึ่งก็มีกลิ่นของ DFA1979 ให้ได้แก้เหงาไม่น้อย อย่างไลน์เบสในเพลง Waking Up Dead นี่มันใช่เลย แต่เมื่อเทียบกับงานของ Jesse แล้ว งานของ Sebastien จะเป็นงานที่หลากหลายกว่า เน้นการผสมผสานดนตรีหลากแนว ทั้งร๊อค แดนซ์ ฮิพฮอพ ดิสโก AOR ร๊อค หรือกระทั่งพ๊อพยุค 80 เมื่อเทียบกันแล้ว จะเห็นได้ชัดว่า บทบาทของทั้งสองคนใน DFA1979 นั้นชัดเจนมาก Sebastien รับหน้าที่เป็นหัวใจ ขณะที่ Jesse เป็นเครื่องจักร แฟนเพลงอย่างเราก็ได้แต่รอว่า เมื่อไหร่ทั้งสองอย่างจะออกผลงานที่เป็นการร่วมมือระหว่างจิตใจและเครื่องจักรเสียที <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/_FkLL4rS7T8?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/DN6bNk-bW6w?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-71926828673903379202013-12-02T22:26:00.000+07:002013-12-27T22:26:45.551+07:00Placebo ฉันจะคัลต์ใครจะทำไม<p align="justify">สำหรับวงดนตรีที่ไม่ได้โด่งดังในตลาดเมนสตรีมมาก เมื่อทำวงไปได้ถึงจุดหนึ่ง จะเริ่มเจอกำแพงคือ ทำยังไง เพลงก็ไม่ดังไปกว่าเดิม หลายวงก็ท้อจนเลิกวง แต่บางวง ก็สามารถปรับสถานะกลายเป็นวงคัลต์ ทำเพลงเพื่อรับใช้ฐานแฟนเพลงของตัวเองเป็นหลัก วงประเภทหลังมักจะอยู่ในตลาดได้นานกว่า ซึ่ง Placebo ก็เป็นอีกหนึ่งวงที่อาศัยแนวทางนี้ <p align="justify"><a href="http://lh5.ggpht.com/-6THQg1fI1tY/Ur2cFKpvZFI/AAAAAAAAMU4/_j6Jt2pHN_A/s1600-h/PLACEBO1%25255B4%25255D.jpg"><img title="PLACEBO1" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="PLACEBO1" src="http://lh5.ggpht.com/-_uwb6V-wwMM/Ur2cG8IIFXI/AAAAAAAAMVA/Am0VFzFvHEY/PLACEBO1_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="481" height="500"></a> <p align="justify">กำเนิดของวง Placebo ออกจะเหมือนนิยายน้ำเน่าหน่อย สองแกนนำหลักของวงคือ Brian Molko (ไบรอัน ร้องนำ กีตาร์) หนุ่มฝรั่งเศส และ Stefan Olsdal (สเตฟาน เบส) หนุ่มสวีเดนนั้น เคยเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน แต่ก็ไม่รู้จักกัน จนบังเอิญได้มาเจอกันที่อังกฤษ โดยที่ Brian ชวน Stefan มาดูเขาเล่นสนในบาร์ และ Stefan เห็น Brian มีศักยภาพล้นเหลือจึงตัดสินใจว่า ควรจะเริ่มตั้งวงกับไอ้หมอนี่ พวกเขาได้ Robert Schutlzberg (โรเบิร์ต) หนุ่มสวีเดนที่รู้จักกันกับ Stefan มาก่อน มาเล่นกลองให้ ในที่สุด วงนานาชาติชื่อ Placebo ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น</p> <a name='more'></a> <p align="justify"> <p align="justify">พวกเขาได้สัญญากับค่ายเพลงอย่างรวดเร็ว และเริ่มกระหน่ำออกซิงเกิ้ล และอัลบั้มแรกของพวกเขาในปี 1996 ที่ใช้ชื่อเดียวกับวง ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย และได้รับคำชมจากทั่วสารทิศ และกลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการทันที ความสำเร็จนั้นเป็นส่วนผสมกันระหว่าง ดนตรีที่ได้รับอิทธิพลจากกรันจ์ที่ผสมเอาความฟู่ฟ่าของแกลมลงไปด้วย ให้มันไม่เหมือนใคร สำเนียงติดกลิ่นฝรั่งเศสของไบรอันก็เป็นอีกจุดเด่น แถมพวกเขายังแสดงความเสรีทางเพศอย่างเต็มที่ Brian ประกาศตัวว่าเป็นเสือไบ ส่วน Stefan ก็รับว่าเป็นเกย์ และเนื้อเพลงอย่าง Nancy Boy ก็แสดงถึงความเบี่ยงเบนชัดเจนโดย Brian บอกว่า เขาไม่ได้บอกให้คนเป็นเกย์ แต่อยากให้ทุกคนยอมรับในตัวของตัวเอง และในคนอื่นด้วย นอกจากนี้แล้วเพลงอื่นๆในอัลบั้มยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างชัดเจน แต่ว่า มันก็ยังเป็นอัลบั้มชั้นเยี่ยมที่บรรจุความดิบ ความโกรธของวัยรุ่น ที่แสดงผ่านออกมาทางความฟู่ฟ่าได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพลงเด่นอย่าง Teenage Angst, 36 Degrees หรือ Bruise Pristine นั้นมันสะใจทุกครั้งที่เราได้ฟัง ส่วน Hang on to your IQ และ I Know เพลงช้าก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน และจากการที่มันออกวางขายได้ถูกที่ถูกเวลา เพราะมันเป็นช่วงบูมของ Brit Pop อยู่ ทำให้พวกเขาดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง และเป็นหนึ่งในไม่กี่วงที่รอดจากวิกฤตการณ์ฟองสบู่แตกมาได้จนถึงทุกวันนี้ <p align="justify">แต่ว่าหลังจากเริ่มดัง Robert ก็โดนไล่ออกจากวง เพราะว่าเขานิสัยรุนแรงเกินไป พวกเขาเลยดึงเอา Steve Hewitt (สตีฟ) เพื่อนเก่าที่เคยร่วมเล่นกันด้วยสั้นๆกลับเข้ามาในวงแทน แต่ใครจะคิดว่าการเปลี่ยนมือกลองจะส่งผลได้เกินคิด เพราะ Robert เป็นมือกลองที่มือหนักกว่า Steve มาก ทำให้ดนตรีของพวกเขาขาดความหนักหน่วงไปในทันที <p align="justify">พวกเขาออกอัลบั้มที่ 2 Without You I’m Nothing ในปี 1998 ที่มีเพลงดังอย่าง Pure Morning หรือ You Don’t Care About Us ที่มันสะใจ Every You, Every Me ส่งให้พวกเขาดังไปถึงอเมริกาได้ และเพลง Without You I’m Nothing ที่ถึงขนาดดึงความสนใจของ David Bowie ให้มาร่วมงานตอนเล่นสดได้ นอกจากนี้พวกเขายังได้ทำเพลงให้กับหนังโคตรแกลมและเกย์อย่าง Velvet Goldmine ที่พวกเขาไปโผล่นิดๆในเรื่องด้วย <p align="justify">แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มเสื่อมความนิยมลงในอังกฤษ เพราะว่า Brit Pop เริ่มเป็นเรื่องตลกไปแล้ว Black Market Music อัลบั้มที่ 3 ในปี 2000 ไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนเก่า แม้พวกเขาจะพยายามผสมดนตรีฮิปฮอป และแดนซ์เข้าไปในเพลง เช่น Spite and Malice และ Taste In Men แต่มันก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร แม้จะมีเพลงเด่นอย่าง Special K แต่มันก็ไม่ได้รับความนิยมเหมือนเก่า พวกเขาเลยหันเหจากตลาดอังกฤษไปสู่ทั่วยุโรปแทน <p align="justify">สองอัลบั้มต่อมาอย่าง Sleeping with Ghosts ในปี 2003 ที่มีเพลงเด่นอย่าง English Summer Rain และ Meds ในปี 2006 ที่มีเพลงเด่นอย่าง Because I Want You นั้น ไม่เปรี้ยงปร้างในอังกฤษแต่ก็ยังได้รับความนิยมจากตลาดยุโรปและกลุ่มแฟนเพลงเช่นเคย <p align="justify">ในปี 2009 พวกเขาเปลี่ยนมือกลองเป็น Steve Forrest และออกอัลบั้มใหม่ Battle for the Sun ที่เป็นการคืนฟอร์มได้อย่างสวยงาม และโชว์ความเก๋าสมกับที่อยู่ในวงการมาได้เกิน 10 ปีเป็นอย่างดี เพราะมันมีเพลงเจ๋งๆอย่าง Ashtray Heart ที่มันสะใจในแบบคลาสสิกของพวกเขา Bright Lights และ Never Ending Why ที่ทำให้เรารู้สึกดีที่ทุกครั้งที่ฟัง และ Speak in Tongues ที่ทรงพลังและยอดเยี่ยม มือกลองใหม่ ก็ทำหน้าที่ได้อย่างโดดเด่น พวกเขายังคงรักษาฐานแฟนเดิมมากกว่าที่พยายามปรับตัวเข้ากับวงกว้าง ถือเป็นความมุ่งมั่นที่ดีของพวกเขา <p align="justify"><a href="http://lh5.ggpht.com/-vIbgITidtCU/Ur2cKTT2_PI/AAAAAAAAMVI/qq7trPE5JnM/s1600-h/Placebo-live%25255B5%25255D.jpg"><img title="Placebo-live" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="Placebo-live" src="http://lh6.ggpht.com/-cSkVDlwOcVY/Ur2cMuEK0LI/AAAAAAAAMVQ/7TzFAMvHihg/Placebo-live_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="393"></a> <p align="justify">หลังจากอัลบั้มใหม่ พวกเขาก็มีโอกาสมาเยือนเมืองไทยถึงสองครั้ง ทั้งในงาน Tiger Translate และ Sonic Bang ซึ่งก็ทำให้ได้สัมผัสพลังในการแสดงสดของพวกเขาเป็นอย่างดี ทั้งสองงานพวกเขาเล่นแบบจัดเต็ม ได้ใจแฟนๆไปเยอะมากครับ ส่วนตัวชอบเจ๊ Fiona Brice ที่มาเล่นคีย์บอร์ดและเธเรมินในคอนเสิร์ตด้วย เท่ดี เจ๊รับหน้าที่เรียบเรียงออเคสตราให้วงในอัลบั้มด้วยครับ <p align="justify">ยิ่งเวลาผ่านไป พวกเขาก็ยิ่งทำเพลงเพื่อฐานแฟนเพลงตัวเองขึ้นเรื่อยๆ เพลงที่ออกมาจึงไม่ได้เน้นขายวงกว้าง แม้จะดูเหมือนพวกเขาเงียบไป แต่การมีฐานแฟนเพลงที่แน่นหนานี่ล่ะครับ ที่ทำให้พวกเขาทำเพลงได้โดยไม่ต้องแคร์ใคร สามารถรักษาสถานการณ์เป็นวงคัลต์ได้ และ Loud Like Love งานใหม่ในปีนี้ ก็มาในแนวทางที่เขาถนัด ตั้งแต่เพลงแรก Loud Like Love ที่มีเสียงกีตาร์แบบคอลเลจร๊อคคลอไปตลอดเพลง ขณะที่ Hole On To Me ก็ได้เสียงของ Brian มาทำให้มันเป็นบัลลาดที่เด่นมากๆ อีกเพลงที่แฟนเพลงรุ่นดั้งเดิมน่าจะชอบคือ Too Many Friends ที่ค่อยๆไล่อารมณ์ได้ยอดเยี่ยม Exit Wounds ก็เต็มไปด้วยบีทที่หนัก และพลังที่เต็มเปี่ยม Begin The End ก็เป็นอีกเพลงที่เรียบเรียงได้อย่างยอดเยี่ยมมาก Loud Like Love เป็นงานที่ทำไม่ทำให้แฟนผิดหวังแน่นอนครับ (เวอร์ชั่นที่ขายในไทยมี DVD เล่นสดในสตูด้วยครับ) <p align="justify">ตามที่จั่วหัวไปว่า วิธีการเอาตัวรอดในวงการเพลงของแต่ละวงก็ไม่เหมือนกัน Placebo เลือกที่จะรักษาสถานะวงคัลต์ มากกว่าจะเอาใจมวลชน ซึ่งก็อาจจะเป็นคำตอบที่เหมาะสำหรับพวกเขา เพราะทำให้พวกเขาได้ทำเพลงตามใจเต็มที่จริงๆ <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/PBxuq_eWW94?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/yFzJInAINxA?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/-rcYWtxrSOg?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/-6FvsKo162U?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/WO9ewCO7TYI?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/Y5cZvbOisk4?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-40512721994789929142013-11-25T22:17:00.000+07:002013-12-27T22:19:45.345+07:00The Naked and Famous ดาวเด่นจากแดนกีวี<p align="justify">หลายครั้งที่วงจากประเทศอื่นที่ไม่ใช่แค่อเมริกาหรือทางยุโรป สามารถไปเจาะตลาดใหญ่ทั้งสองประเทศได้ ที่ผ่านมาเท่าที่ผมจำได้ตั้งแต่มัธยมก็ Silverchair หรือ Pendulum รวมไปถึงที่เพิ่งเขียนถึงไปหมาดๆอย่าง Empire of the Sun ซึ่งที่ไล่มาก็มาจากออสเตรเลียหมด แต่ยังมีประเทศใกล้ๆกันอย่าง New Zealand ที่เคยส่ง The Datsuns มาให้เรามันส์ แต่คราวนี้จะเขียนถึงอีกวงที่เป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆอินดี้ในตอนนี้ นั่นคือ The Naked and Famous</p> <p align="justify"><a href="http://lh3.ggpht.com/-m0-ct3_HDPc/Ur2agDaNtjI/AAAAAAAAMUU/cTCUsA-Yd-M/s1600-h/The%25252BNaked%25252Band%25252BFamous%25255B4%25255D.jpg"><img title="The Naked and Famous" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="The Naked and Famous" src="http://lh3.ggpht.com/-Yvr2ExV903Y/Ur2ahVjcKVI/AAAAAAAAMUc/_0rw9V0N7vo/The%25252BNaked%25252Band%25252BFamous_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="393"></a></p> <p align="justify">The Naked and Famous คือวงที่มีแกนกลางหลักของวงคือ Alisa Xayalith (อลิสา ร้องนำ คีย์บอร์ด) และ Thom Powers (ทอม ร้องนำ กีตาร์ สารพัด) ส่วนสมาชิกที่เหลือ ปัจจุบันคือ Aaron Short (แอรอน คีย์บอร์ด) David Beadie (เดวิด เบส) และ Jesse Wood (เจส กลอง) สองสมาชิกหลักเริ่มฟอร์มวงในปี 2008 โดยเลือกชื่อวงมาจากเนื้อเพลงของ Tricky ที่เสียดสีวัฒนธรรมการเป็นเซเล็บ</p> <a name='more'></a> <p align="justify"> <p align="justify">เมื่อฟอร์มวงได้ ทั้งสองก็เริ่มต้นทำงานเพลงทันทีด้วยการอัด EP แรกออกมา ซึ่งได้แอรอนช่วยดูแลให้ จนออกมาเป็น EP ชื่อ This Machine ในช่วงกลางปี 2008 นั่นเลย ซึ่งตั้งแต่เพลงแรก Kill The Littleblackdots เราก็จะได้สัมผัสเสียงที่ผสมกันระหว่างดนตรีอีเล็กโทรนิกส์กับโพสต์พังค์จากต้นยุค 80 ได้อย่างลงตัว ทั้งเสียงสังเคราะห์หลอนๆตลอดทั้งเพลงบนจังหวะกลองที่เรียบง่ายกับเสียงร้องเก๋ๆ แต่เพลงโปรดใน EP นี้ของผมคงต้องเป็น Meeting People Sucks ที่แม้การเดินเพลงจะคล้ายๆกัน แต่เสียงกีตาร์ที่ไล่มาตลอดเพลงนี่เจ๋งจริงๆครับ เท่สุดๆ <p align="justify">หลังจากออกงานชุดแรกได้ไม่กี่เดิน พวกเขาก็ออก EP ชุดที่สองออกมาติดๆกัน นั่นคือ No Light ที่เพลงเปิด Dadada นั้นเบสหนัก เร็ว บวกกับเสียงสังเคราะห์ในช่วงแรกเล่นเอานึกไปถึง Death from Above 1979 เลย แถมมีท่อนเบรกคล้ายๆกันอีก มันครับ ส่วน Cheek ก็เป็นเพลงพ๊อพร๊อคเก๋ๆแบบที่เราเคยเพลินกัน Elastica ส่วน Part 2 ก็ล่องลอยได้เพลินๆ ขณะที่เพลงปิด Bells ก็ฟังดูสวยหวานขึ้นมาหน่อยด้วยเสียงเปียโนที่ไล่คลอ แต่พอเข้าท่อนริฟฟ์กีตาร์ก็เท่ไม่เบาครับ <p align="justify">EP ทั้งสองแผ่นได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง ทั้งสองเลยเพิ่มสมาชิกเข้ามาเพื่อการแสดงสด และเริ่มทำงานเพลงต่อ พวกเขาโฟกัสไปที่การทำงานอัลบั้มเต็ม Passive Me, Aggressive You ซึ่งออกวางขายในปี 2010 ผ่านค่ายเพลงของตัวเอง โดยมี Young Blood เป็นซิงเกิ้ลแรก <p align="justify">และการเปิดตัวอัลบั้มของพวกเขาก็ส่งผลออกมาอย่างงดงาม เนื่องจาก Young Blood เปิดตัวในอันดับหนึ่งของชาร์ตเพลงนิวซีแลนด์ทันที เป็นการเปิดตัวในวงกว้างที่โดดเด่น ตัวเพลงเองก็เป็นเพลงที่ชวนให้เสพติดได้ง่ายมาก มันเหมือนกับเพลงโพสต์พังค์ยุค 80 ที่ถูกเร่งจังหวะขึ้น พร้อมกับเสียงสังเคราะห์ที่งดงามไล่เลียงไปทั้งเพลง บวกกับท่อนฮุคแสนติดหูว่า “เย้ เย้ เย้ เย้” ชนิดที่ใครร้องตามก็ได้ <p align="justify">เมื่อดูตัวอัลบั้ม มันก็ยังมีเพลงเด่นอีกมากให้เราได้หลงรัก ตั้งแต่เพลงแรก All of This เพลงที่จังหวะกลองเร่งเร้าเหลือเกิน ผสมกับเสียงร้องล่องลอยคลอไปกับเพลง ฟังไปก็นึกถึง Primal Scream ยุค Evil Heat ที่ช่างทริปเสียเหลือเกิน และแน่นอนว่า ขาดเพลงโปรด Punching in a Dream ไม่ได้แน่ เพลงที่เดินด้วยเบสบวมๆ ผสมกับเสียงสังเคราะห์ไปตลอดเพลง คล้ายกับ M83 ติดหูชนิดที่ฟังครั้งเดียวก็จำไปได้ตลอด เสียงร้องของอลิสามันช่างเต็มไปด้วยเสน่ห์เหมือนเด็กสาวขี้เล่นแต่จริงจังพร้อมกัน ขณะที่ทอมก็ครวญเพลงไปพร้อมกันได้อย่างดี เพลงอื่นที่ไม่ควรพลาดในอัลบั้มก็อย่าง Eyes หรือ Girls Like You ที่เร้าใจและติดหูไม่แพ้กันครับ เพลงของพวกเขาเหมาะทั้งเปิดฟังเองเพลินๆ หรือจะหยิบไปเปิดในคลับ ก็ทำได้เนียนหู ไม่สะดุดแน่นอน <p align="justify"><a href="http://lh5.ggpht.com/-R6eVxf0L-dw/Ur2aivV1x1I/AAAAAAAAMUk/AsR5uCHoDJA/s1600-h/10072560166_ecd7be820a_z%25255B4%25255D.jpg"><img title="10072560166_ecd7be820a_z" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="10072560166_ecd7be820a_z" src="http://lh3.ggpht.com/-yzjW5u0JmX0/Ur2ajx8SAwI/AAAAAAAAMUs/sL0Go7ufTK8/10072560166_ecd7be820a_z_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="468"></a> <p align="justify">ความสำเร็จของ Passive Me, Aggressive You ในประเทศได้ก้าวข้ามน้ำข้ามทะเล ไปดังต่อถึงทางฝั่งยุโรป และอเมริกา พวกเขาออกทัวร์ทั่วโลกเป็นเวลานาน เก็บเกี่ยวความสำเร็จจากผลงานชิ้นแรกและชนะใจแฟนเพลงจากหลายๆชาติ และกลายเป็นความสำเร็จระดับอินเตอร์ ถึงขนาดที่พวกเขาเลือกย้ายที่มั่นไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนียแทน และเริ่มทำผลงานชุดใหม่ โดยพยายามจะลดทอนการใช้ Backing Track และทำให้สามารถเล่นเพลงแบบสดได้เองมากขึ้น จนออกมาเป็น In Rolling Waves ในปีนี้ <p align="justify">In Rolling Waves เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ลแรก Hearts like Ours ที่งดงามอย่างยิ่ง เพลงค่อยๆไล่เรียงบรรยากาศขึ้นไปเรื่อยๆ จากเนิบๆ แล้วเสียงต่างๆก็ค่อยเผยตัวออกมา พอเข้าถึงท่อนคอรัส ก็คงหาคำอื่นมาบรรยายได้ไม่เหมาะเท่า Epic เลยจริงๆ แต่ละเพลงในอัลบั้มปรับเปลี่ยนไปจากเดิมไม่น้อยตามที่บอกไปแล้ว พวกเขาเน้นเล่นสด ทำให้มีเพลงที่เป็นอคูสติกด้วย แต่ก็ไม่ลืมแนวเพลงที่ทำให้พวกเขาดังขึ้นมาก อย่าง I Kill Giants ก็เดินตามรอยความสำเร็จเดิมของพวกเขาอย่างงดงาม และติดหูเสมอ เช่นเดียวกับ The Mess ที่ทั้งอลิสาและทอม ครวญเพลงคู่กันไล่โทนของเพลงได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะที่เพลงอย่าง Waltz ช่างมินิมอลมาก เหมือนกับฟัง The XX อยู่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี ส่วน What We Want นั้นเริ่มต้นได้มินิมอลได้พอๆกันแต่ค่อยๆไล่โทนเพลงขึ้นมาเรื่อยได้อย่างยอดเยี่ยม In Rolling Waves คืองานเพลงที่อาจจะดูเหมือนเรียบลงกว่าเดิม แต่จริงๆแล้ว มันเกิดจากการเติบโตขึ้นของวงมากกว่า และสิ่งที่มาชดเชยก็คือความลึกในการทำเพลงนั่นเอง <p align="justify">มาคิดดูแล้ว บางทีก็อิจฉานะครับ ที่ประเทศเล็กๆอย่างนิวซีแลนด์สามารถสร้างศิลปินเจ๋งๆมาประดับวงการได้ไม่น้อย และยังไปดังถึงตลาดใหญ่อย่างทางยุโรปและอเมริกาเลยทีเดียว เคยคิดว่าถ้าวงไทยจริงจังกับการทำเพลงภาษาอังกฤษบ้างจะเป็นยังไงกันนะครับ <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/kC29pd_5sQU?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/0YuSg4mts9E?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/gqUJdcCjUIA?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/1I56yYHxP2k?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-1801692843753858632013-11-18T23:23:00.000+07:002013-11-20T23:24:33.517+07:00Coldrain สายหนักจากนาโกย่า<p align="justify">ตามที่เล่าไปเมื่อสัปดาห์ก่อนครับว่าผมเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ญี่ปุ่นเกือบสัปดาห์ ภารกิจที่ว่าคือ ไปจัดงานแต่งงานที่ญี่ปุ่นครับ เป็นฝั่งเป็นฝาซะที แหม่ แล้วสถานที่ไปก็คือก็คือ จังหวัดกิฟุ บ้านของแฟนผม ซึ่งติดอยู่กับจังหวัดไอจิ ที่ผมไปเรียนที่นาโกย่า เมืองหลวงของจังหวัดเป็นเวลาหลายปี ซึ่งก็ได้แวะเดินเที่ยวเล่นในนาโกย่าก่อนกลับวันสองวัน ไปสัมผัสกับถิ่นเก่าที่เคยอยู่ในบรรยากาศลมเย็นของฤดูใบไม้ผลิ ก็เพลินๆดีนะครับ <p align="justify"><a href="http://lh4.ggpht.com/-aP1ra_xbo6U/UoziInaVR_I/AAAAAAAAMPQ/S4rHjiBzmJs/s1600-h/coldrain%25255B6%25255D.jpg"><img title="coldrain" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="coldrain" src="http://lh5.ggpht.com/-rm5Vg0lVP_4/UoziJ151vgI/AAAAAAAAMPY/DaHhdni5fac/coldrain_thumb%25255B3%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="393"></a> <p align="justify">แน่นอนว่าด้วยความรักดนตรี สมัยที่อยู่นาโกย่า ผมก็เพลิดเพลินไปกับมิวสิคซีนในนาโกนย่า ไม่ว่าการจะไปดูคอนเสิร์ตวงดนตรีทั้งจากต่างประเทศและวงดนตรีท้องถิ่น ไปดูเทศกาลต่างๆที่มีดนตรีสดเล่น และรวมไปถึงการไปเที่ยวคลับต่างๆที่มีดีเจท้องถิ่นเปิดแผ่นอย่างเพลิดเพลิน แน่นอนว่า ด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ท้องถิ่นสามารถแข่งกับเมืองหลวงได้ ศิลปินจากนาโกย่าหลายรายก็สามารถไปขายระดับประเทศได้ โดยเฉพาะในนาโกย่าที่ซีนฮิพฮอพจัดว่าเข้มข้นใช้ได้ มีศิลปินท้องถิ่นดังอย่าง Nobodyknows+ และ Home Made Kazoku เป็นตัวชูโรง แต่ที่จะมาแนะนำในวันนี้ ถึงจะมาจากนาโกย่า แต่ก็ไม่ใช่วงฮิพฮอพ แต่เป็นสายร๊อค โพสต์ฮาร์ดคอร์ ชื่อ Coldrain ที่ผมเพิ่งได้ฟังไม่นานนี้ แต่ติดใจมาก คิดว่าเด็ดไม่แพ้วงที่ดังในบ้านเราอย่าง One OK Rock แน่นอน</p> <a name='more'></a> <p align="justify"> <p align="justify">Coldrain คือวงที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของอดีตสมาชิกท้องถิ่นในนาโกย่า วง Aver ที่แตกวง แล้ว Masato (มาซาโตะ ร้องนำ) ลูกครึ่งญี่ปุ่นอเมริกันซึ่งรับหน้าที่แต่งเนื้อเพลงภาษาอังกฤษล้วนๆ กับ Katsuma (คัตซึมะ) มือกลอง ร่วมกันตั้งวงใหม่ โดยดึงเอา Y.K.C หรือ โยโคจิ มือกีตาร์, Sugi หรือ สุกิ มือกีตาร์อีกคน และ RxYxO หรือ เรียว มือเบส อดีตนักร้อง ทั้งสามคนมาจากวง Wheel of Life รวมเข้าเป็นวงใหม่ Coldrain แห่งนาโกย่าในปี 2007 <p align="justify">ซึ่งแค่ในปีต่อมา พวกเขาก็ได้ออกผลงานซิงเกิ้ลแรกในฐานะวงเมเจอร์ (ข้ามขั้นไม่ต้องเป็นอินดี้เลย) โดยซิงเกิ้ลแรกของพวกเขาคือ Fiction เพลงโพสต์ฮาร์ดคอร์ๆที่แน่นด้วยเสียงกีตาร์ถล่มหนักไล่เรียงไปทั้งสองไลน์ แล้วก็รู้จักใช้ท่อนเบรกโทนเพลงให้เบาลงก่อนจะอัดหนังได้อย่างยอดเยี่ยม เสียงร้องภาษาอังกฤษของมาซาโตะก็เปล่งออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมทั้งท่อนสครีมที่แหกปากได้มันพองาม ท่าทางพวกเขาพร้อมติดเครื่องแล้ว <p align="justify">พอปี 2009 ซิงเกิ้ลที่สอง 8AM ก็ถูกนำไปใช้เป็นเพลงปิดอนิเมะเรื่อง ก้าวแรกสู่สังเวียน ซึ่งมันเป็นเพลงร๊อคสายอเมริกันที่ฟังง่าย คล้ายๆกับ Taking Back Sunday ไม่แปลกที่จะฮิตครับ แถมยังได้ไปเล่นในงาน Summer Sonic Festival อีกด้วย ก่อนที่จะออกงานอัลบั้มเต็มชุดแรกในช่วงปลายปี ซึ่งในอัลบั้มก็มากับเพลงร๊อคสายอเมริกันแบบที่เราคุ้นกันอยู่แล้ว ทำให้ฟังได้เพลิน แทบไม่รู้สึกเลยว่าเป็นวงญี่ปุ่น (ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีรึเปล่านะ) และมีเพลงเด่นอย่าง Counterfeits & Lies และ 24-7 ที่ฟังแล้วเพลินเหลือเกิน <p align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgEuwWr0HFtcwCoPmMkknaDEHSSNzE79yHGDpvrj5DdRtllLta3abGVwARSDcfxxPfo5gKeMYTjHAWBirDSwxYRtnImXCIkUuaDjFtoRTAGmieKo-SrYJLnZaSfLPqM03thnl9aWIU6Xjoi/s1600-h/coldrain-1%25255B4%25255D.jpg"><img title="coldrain-1" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="coldrain-1" src="http://lh6.ggpht.com/-fLHXeIh6Q8c/UoziNdB0dZI/AAAAAAAAMPo/mJiiOlD46_c/coldrain-1_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="362"></a> <p align="justify">ปี 2010 พวกเขาออกมินิอัลบั้ม Nothing Lasts Forever ที่มีเพลงถูกนำไปใช้ในอนิเมะและเกมอีกแล้ว นั่นคือ We are not alone ที่อัดหนักรัวๆ ก่อนที่จะเบรกด้วยท่อนที่จังหวะเบาลงเหมาะกับการโยกตามอีก <p align="justify">ปีถัดมา พวกเขาก็จัดหนักกับอัลบั้ม The Enemy Inside ทีมีเพลงเด่นอย่าง New Fate ที่อัดหนักเหลือเกิน โดยเฉพาะท่อนรัวไปพร้อมกับกีตาร์นั้นทำให้ผมนึกไปถึงวงรักอย่าง Funeral for a Friend ได้ทันที ขณะที่ To Be Alive ที่ถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลก็ยังทำให้เราอยากตะโกนแหกปากตามอย่างเมามัน ส่วนเพลง The Maze ก็ได้เสียงร้องรับเชิญจากเพื่อนร่วมวงการที่สลับแหกปากกับร้องตลอด เล่นเอานึกถึง FFAF อีกรอบล่ะครับ ไลน์กีตาร์เจ๋งๆกับกลองที่รัวขนาดนี้ มันได้ฟีลจริงๆ <p align="justify">เว้นไปนิดนึง พวกเขาก็ออกมินิอัลบั้มอีกครั้งชื่อ THROUGH CLARITY ซึ่งดึงเอา David Bendeth จากอังกฤษไปอัดเสียงถึงอเมริกา และมีเพลงเด่น Six Feet Under ที่โคตรรรรรรเจ๋งงงงงง เป็นเพลงโพสต์ฮาร์ดคอร์แบบที่ชอบมากๆ อัดหนัก มีท่อนพลิ้วงามๆ แล้วเบรกมาหนัก สับไม่ยั้ง เพลงนี้จะเรียกว่าเป็นเพลงที่ผมชอบที่สุดก็ว่าได้ครับ แม้จะเดินตามแพทเทิร์นไปหน่อย</p> <p align="justify"><a href="http://lh4.ggpht.com/-Upg28uRDy5k/UoziO1GkbhI/AAAAAAAAMPw/sbByHtEDu9E/s1600-h/url%25255B4%25255D.jpg"><img title="url" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="url" src="http://lh4.ggpht.com/-byho4FH_kS8/UoziP2WocgI/AAAAAAAAMP4/oYM5N7eqs50/url_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="340" height="500"></a></p> <p align="justify">ท่าทางพวกเขาจะชอบผลงานโปรดิวซ์ของเดวิดมากๆ เลยดึงมาโปรดิวซ์อัลบั้มใหม่ที่ออกในปีนี้อย่าง The Revelation ซึ่งก็ยังอัดหนักจัดไม่ยั้งเช่นเคย ไลน์เพลงต่างๆจึงเป็นโพสต์ฮาร์ดคอร์ที่หนักกว่างานเดิมๆ ไม่ว่าจะเพลงไตเติ้ลแทร็ค The Revelation ที่รัวไม่หยุด ส่วน The War is On ที่เปิดอัลบั้มนี่ก็เหมาะกับประกอบหนัง 300 จริงๆ เพลงของพวกเขานอกจากจะแน่นขึ้นแล้ว ด้วยการโปรดิวซ์และมิกซ์ดาวน์ทำให้เสียงออกมาได้อย่างเต็มไปด้วยรายละเอียด เนียนทุกขึ้น ไม่ควรพลาดจริงๆครับ <p align="justify">Coldrain น่าจะได้แฟนในต่างประเทศมากกว่านี้ เพราะเล่นเพลงเป็นภาษาอังกฤษด้วย แถมเพลงก็เจ๋งไม่น้อย ถ้าเพิ่มกิมมิคกว่านี้อาจจะดังตาม Crossfaith วงจากโอซาก้าก็ได้นะครับ และพวกเขาก็ได้แสดงให้เห็นว่าวงจากต่างจังหวัดก็สามารถดังไปทั่วญี่ปุ่นได้ จริงๆมีวงจากนาโกย่าอีกวง คือ Shark Ethic ที่หนักเอาเรื่อง แต่ยังไม่ดังมาก ถ้ามีโอกาสจะเขียนอีกครับ เพราะวงนี้คือวงของเพื่อนสมัยเรียนผมเอง แฮ่ <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/GM64P4yglZE?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/oeFMiVbuJi0?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/kZbALa9CVgA?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-47135781716005630272013-11-11T00:54:00.000+07:002013-11-21T00:54:43.775+07:00N’Shukugawa Boys ขอเขียนถึงอีกครั้ง<p align="justify">ขณะที่ท่านกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้อยู่ ผมก็กำลังมีความสุขกับการชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น เพราะมาที่นี่เพื่อภารกิจส่วนตัวพอดีครับ และแน่นอนว่า เมื่อมาญี่ปุ่น ก็ต้องขอจัดธีมให้มันเข้ากันหน่อย ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นโอกาสดีของวงสุดเก๋ N'Shukugawa Boys เพราะพวกเขากำลังมาแรงเลย จะได้รู้ว่า ญี่ปุ่นไม่ได้ผลิตแต่ไอดอลหน้าใสนะครับ แหม่ <p align="justify"><a href="http://lh6.ggpht.com/-mfysNsHqqwg/UoztiKU93aI/AAAAAAAAMT0/M1MQnZdceHM/s1600-h/03_shukugawa_p%25255B4%25255D.jpg"><img title="03_shukugawa_p" style="border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; background-image: none; border-bottom-width: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; display: block; padding-right: 0px; border-top-width: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="03_shukugawa_p" src="http://lh3.ggpht.com/-pVi85aZI_r0/UoztklIoWvI/AAAAAAAAMT8/-0TPJQzqCbw/03_shukugawa_p_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="393"></a> <p align="justify">N'夙川BOYS หรือ N’Shukugawa Boys (อ่านว่า อึ้น ชุคุกาว่า บอยส์) คือวงอินดี้ ที่ก่อตั้งในแถบโกเบ โดยสมาชิกก็คือ สองหนุ่มจากวง King Brothers นั่นคือ มายะ เลิฟ (กีตาร์ ร้องนำ กลอง) และ ชินโนะสุเกะ บอยส์ (กลอง กีตาร์) แยกออกมาทำไซด์โปรเจคต์ร่วมกับ ลินดา ดาดา (กีตาร์ ร้องนำ กลอง) นางแบบสาว ในปี 2007 โดยได้รับการดูแลจาก มาซาฮิดะ ซาคุมะ โปรดิวเซอร์ที่ทำเพลงพังค์ร็อคจากยุค 80 ทำให้ซาวด์ของพวกเขาใกล้เคียงกับวงพังค์ระดับตำนานของญี่ปุ่นอย่าง The Blue Hearts<a name="more"></a> ส่วนชื่อวง N’ มาจากร้านกาแฟของป้าของมายะ ส่วน Shukugawa คือแม่น้ำแถวบ้าน <div align="justify"> <a name='more'></a></div> <p align="justify"> <p align="justify">แต่ สิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างออกไปก็คือ พวกเขาผสมผสานความเป็นเพลงป๊อปแบบหวานๆ ทำให้ได้แนวเพลงที่แหวกแนวอิอกมาจากวงอื่น เหมือนการให้ Nina Persson แห่ง The Cardigans มาร้องนำให้กับ The Sex Pistols เป็นเพลงพังค์ที่บวกความก๋ากั๋นเข้าไป ทำให้กลายเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของวง คงเป็นเพราะความเก๋แบบนางแบบของลินดา ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเธอไม่เหมือนสาวหวาน แต่กลับดูเหมือนสาวรักสนุกที่รู้ดีว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่ต้องสนใจเทรนด์ของโลก แต่ทำตามแค่ที่ใจตัวเองอยาก ส่วนอีกสองหนุ่ม มายะ ก็ปกติหน้าตาเหมือนพนักงานกินเงินเดือน แกก็อุตส่าห์ทาสีหน้า ทำตัวพี้ยนๆ แหกปากไปเรื่อย ส่วนชินโนะสุเกะ ก็เหมือนร่างจุติของเอลวิสที่ญี่ปุ่น ซึ่งพอมารวมกัน กลับลงตัวเป็นอย่างดี แถมยังเก๋ขึ้นไปอีกเมื่อพวกเขาสลับเครื่องดนตรีกันเล่นตามฟีลในคอนเสิร์ตแต่ละวัน อาร์ตแตกมาก <p align="justify">พวกเขาออกงานสองชุดแรกกับสังกัดอินดี้ คือ N’Shukugawa Boys ในปี 2009 ซึ่งก็เป็นเพลงในแบบของคงเครื่องสองชิ้นที่ออกจะดิบสด คล้ายกับให้ Yeah Yeah Yeahs ทำเพลงประกอบให้โตเกียวดิสนีย์แลนด์ เพลงเด่นคือ Candy People เพลงป๊อปพังค์ ที่ฟังติดหูกับเสียงลูกแมวของลินดา <p align="justify">ส่วนงานเพลงชุดที่ สอง Love Songs ในปี 2010 มีเพลงเด่นอย่าง Monogatari Wa Chito Fuantei (เรื่องราวมันยังไม่แน่นอน) เป็นเพลงดูเอ็ต น่ารักๆของสาวลินดากับหนุ่มมายะ ก่อนที่จะสับเอฟเฟคต์ให้เสียงแตกพร่าและหนุ่มมายะก็แหกปากซะมัน แปลกและสนุกดีจริงๆครับ <p align="justify">หลังจากทำงานอินดี้มาได้สองชิ้น พวกเขาก็ได้ย้ายบ้านไปอยู่ค่ายใหญ่อย่างวิคเตอร์ และได้ปรากฏตัวในหนังเรื่อง Moteki ทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น จนได้ออกอัลบั้มชุดที่ 3 Planet Magic ในปี 2011 <p align="justify">ถึง แม้อัลบั้มนี้ จะมีเพลงจริงๆแค่ 8 เพลง (อีก 2 เป็นแค่อินโทร) แต่มันก็ลงตัวเอามากๆ ซิงเกิ้ลแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับอัลบั้ม ช่างแสนจะติดหูเหมือนเพลงวงพังค์ต้นยุค 80 ที่ได้เสียงร้องของลินดาที่เปลี่ยนแนวมาร้องแบบเท่ๆ ก่อนที่มายะจะออกมาตะโกนเป็นจังหวะ จนกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวสุดๆ จังหวะของเพลงช่างชวนให้เราหยิบกุญแจพาสาวคนรักซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ออกไปโดย พลัน แต่ช้าก่อน เพราะเพลงต่อมาอย่าง Midnight Angel จะพาคุณพีคในอารมณ์จริงๆ เพราะมันคือเพลงพังค์ที่เหมาะกับการซิ่งมอเตอร์ไซค์เป็นที่สุด ทั้งจังหวะที่ย่ำสม่ำเสมอ กับเสียงกีตาร์ที่ไล่เลียง ราวกับการขับมอเตอร์ไซค์ผ่านใต้แสงไฟถนนที่สาดมาเป็นจังหวะ มันช่างเป็นสวรรค์ของคนชอบซิ่งจริงๆ นอกจากสองเพลงนี้ เพลงอื่นๆในอัลบั้มก็แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของพวกเขาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น Futatsume no Kakumei ที่จังหวะออกจะย้อนยุค เหมือนได้ฟัง The Raveonettes ส่วน MY DEAR GIRL ก็มากับเสียงร้องแบบบลูส์กับจังหวะเรียบๆเท่ๆ ขณะที่ TRY AGAIN ~boys and girls~ ก็เป็นอีกเพลงที่ชวนให้เราออกไปซิ่งจริงๆอัลบั้ม Planet Magic แม้จะขาดความดิบสดแบบงานสองชุดที่ผ่านมา และถูกเกลาจนกลายเป็นงานที่ประณีตขึ้นกว่าเดิม แต่มันก็เป็นงานที่ลงตัวมาก <p align="justify">พวกเขาเริ่มดัง และปีต่อมาก็ออกอัลบั้มเต็มตัวในฐานะวงเมเจอร์เป็นครั้งแรก ชื่อ 24 Hours Dreamers Only! ซึ่งพวกเขาก็ยังคงแนวเพลงถนัดของพวกเขาได้เป็นอย่างดี เพลงอย่าง 24 คือเพลงร๊อคก๋ากั๋น เต็มไปด้วยความสด ไลน์เบสคล้ายกับแนวเพลง Jersey Shore ของ Gaslight Anthem ขณะที่เพลงอย่าง Homework ก็เพี้ยนสนุกหลุดโลก แบบโครมครามด้วยเสียงกลองและเสียงโหวเหวกสนุกเอาเรื่อง <p align="justify"><a href="http://lh4.ggpht.com/-k-lgUghX1zo/UoztI2kIXjI/AAAAAAAAMTk/PctWro2H58k/s1600-h/clip_image001%25255B5%25255D.jpg"><img title="clip_image001" style="border-left-width: 0px; border-right-width: 0px; background-image: none; border-bottom-width: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; display: block; padding-right: 0px; border-top-width: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="clip_image001" src="http://lh3.ggpht.com/-AU5UiPC_8fU/UoztKE-6G4I/AAAAAAAAMTs/W3TwrSA7tVE/clip_image001_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="393"></a> <p align="justify">เมื่อน้ำขึ้น ก็ต้องรีบตัก แค่หกเดือนต่อมา หรือต้นปีนี้ พวกเขาก็ออกอัลบั้มรวมเพลงฮิตชื่อ Thank You ซึ่งรวมงานเด่นๆของพวกเขาตั้งแต่ยุคแรกไว้ครบ แหม่ ไวจัง แต่ก็เหมาะกับการแนะนำวงให้กับแฟนเพลงหน้าใหม่ให้รู้จักได้ง่ายขึ้นครับ <p align="justify">เมื่อเริ่มเปิดตัวในวงกว้างขึ้น ก็ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นที่รู้จักของตลาดวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนล่าสุด พวกเขาออกซิงเกิ้ลใหม่ชื่อ Hello 999 เกี่ยวกับรถไฟอวกาศ 999 (อายุ 30 อัพคงรู้จักกันดี) ที่พาพุ่งทะยานไปสู่ความฝันอย่างไม่กลัวอะไร ตัวเพลงก็เร่งเร้า เด่นด้วยเสียงเปียโนที่ไหลลื่น เหมาะกับการซิ่งอีกแล้วครับ แหม่ เล่นเอาอยากถอยมอไซค์ใหม่จริงๆ ส่วนเพลงแถม อาจจะดังกว่าอีก เพราะ Zenryoku Joshi (สาวน้อยสุดกำลัง) คือเพลงช้าลง ฟังเพลง ให้ลินดาได้ร้องฉายเดี่ยว เนื้อเพลงให้กำลังใจสาวน้อยทั้งหลายให้สู้ต่อ มันได้เป็นเพลงธีมของอีเวนต์ชิบูยะคัลเจอร์ของห้าง Parco ในชิบูยะด้วย แถมในอีเวนต์ยังมีดิสเพลย์เกี่ยวกับพวกเขาอีก ไม่นานคงได้เห็นพวกเขาในทีวี(ญี่ปุ่น) มากขึ้นล่ะครับ) <p align="justify">N’Shukugawa Boys ค่อยๆสั่งสมชื่อเสียงมาเรื่อยๆ ด้วยแนวเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา เป็นตัวอย่างที่ดีว่า ถ้าหาแนวทางของตัวเองชัด และพร้อมจะยืนหยัดไปกับมัน ซักวันต้องประสบความสำเร็จครับ <p align="justify"></p> <p align="justify"><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/DBddnWs4-Ag?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p align="justify"><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/8OyGoNreQpk?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p align="justify"><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/4hycSNrDJZA?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p align="justify"><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/LEk_qpGlem0?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p align="justify"><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/vGcHt5GuLgg?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p align="justify"><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/0trF6tgxOEw?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p align="justify"><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/FeyNeFIhiVI?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-19360871487936642582013-11-04T23:27:00.000+07:002013-11-20T23:28:05.050+07:00เสพหนัง ฟังเพลง : About Time<p align="justify">นอกจากการฟังเพลงแล้ว ความสุขของผมสามารถเกิดได้จากการดูหนังหรืออ่านหนังสือ และมันจะยิ่งสุขมากขึ้น เมื่อได้ดูหนังดีๆที่มีเพลงประกอบเพราะๆ เข้ากันกับหนัง <p align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgNgdDB03hlU7ygGZc4G23RoiMpkg__iHF2_xqD6xMg7WLHkwtoEQz3Wl1I4nMiDr6acT13TnegI4GveD2BZUXNoN68VxxfADxSUwQ1DMe9IDTgAtIUQb7zx_UVixRa_PfaK3F-A8PN0KtF/s1600-h/about_time%25255B4%25255D.jpg"><img title="about_time" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="about_time" src="http://lh4.ggpht.com/-wUl56q8gxgY/UozjC9SQ63I/AAAAAAAAMQI/ZCVDRK8ZmMA/about_time_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="323" height="500"></a> <p align="justify">และเมื่อพูดถึงหนังที่เพลงประกอบเข้ากันกับเนื้อเรื่องมากๆแล้ว ส่วนใหญ่ผมจะมองไปที่ทางหนังฝั่งอังกฤษมากกว่าทางฮอลลีวู้ด เพราะส่วนใหญ่ หนังฮอลลีวู้ดจะยัดเพลงประกอบเข้ามาเพื่อเน้นขายเพลงควบไปกับหนัง โดยพยายามใส่เข้าไปในฉากต่างๆแบบบางทีก็แค่ เปิดวิทยุมาเจอเพลงบ้าง เปิดในคลับบ้าง แล้วก็เฟดหายไป แต่หนังฝั่งอังกฤษ มักจะเลือกเพลงที่ตรงกับเนื้อเรื่องตอนนั้น และใช้มันได้อย่างยอดเยี่ยม จนติดตราตรึงหูเรามาตลอด ไม่ว่าจะเป็น ฉากเสพยาจนโอเวอร์โดสไปกับเพลง Perfect Day ใน Trainspotting เพลงดิสโก้สุดเหวี่ยงใน The Full Monty หรือ Billy Elliot กับฉากเจ้าหนุ่มน้อย อัดอั้นตันใจ จนต้องระบายกับเพลง A Town Called Malice และหนึ่งในผู้กำกับชาวอังกฤษที่มีขื่อเสียงมากกับการสร้างหนังที่มีเพลงเด่นคนหนึ่งก็คือ Richard Curtis</p> <a name='more'></a> <p align="justify"> <p align="justify">ผลงานกำกับหนังของผู้กำกับคนนี้มีมากครับ แต่ที่ทิ้งเพลงประกอบหนังเด่นๆให้เราได้รู้จักกันคงต้องยกให้ Notting Hill หนังรักที่เพ้อฝันมากๆ แต่กลับทำออกมาได้ลงตัว เพราะจังหวะการเดินเรื่อง และเพลงประกอบสุดฮิต She ของ Elvis Costello ก็กลายเป็นเพลงดังแบบสุดๆมาแล้ว ถ้าย้อนไปก่อนหน้านั้น ก็มี Four Weddings and a Funeral ที่ทำให้เพลง Love is All Around ของ Wet Wet Wet กลายเป็นเพลงดังระเบิด และครั้งนี้ เขาก็กลับมากับผลงานหนังโรแมนติกที่มีเพลงประกอบสุดเด็ดอย่าง About Time อีกแล้ว <p align="justify">ตัวหนังยืนโรงฉายมานานแล้ว แต่คงต้องขอสรุปสั้นๆหน่อยแล้วกันว่า ตัวเอกของเรื่อง เกิดมาในครอบครัวที่ สมาชิกชายของครอบครัว สามารถย้อนเวลากลับไปในอดีตได้ ซึ่งเขาได้เรียนรู้ความลับนี้จากพ่อของตัวเอง ซึ่งเขาก็ได้ใช้มันเพื่อให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แม้จะไม่ได้เปลี่ยนอดีตจนกลายเป็นคนรวยหรือประสบความสำเร็จ (จนหลายคนบอกว่าไม่น่าเชื่อเลย) เขาก็ใช้การย้อนอดีตนั้น เพื่อจัดการให้ตัวเองได้รับกับหญิงที่ตัวเองพบ ก่อนที่จะค่อยๆเรียนรู้ว่า การย้อนเวลา อาจจะมีผลกระทบต่อชีวิตมากกว่าที่เขาคิดได้ <p align="justify">เอาเข้าจริงๆ ไอเดียของหนังก็ไม่ได้ใหม่ เนื้อเรื่องก็มีจุดบอดบ้าง (อย่างที่บอกไปแล้ว) แต่ว่า เพราะจังหวะการเล่าเรื่อง และการทำเสนอ ที่ทำออกมาได้ดีมากๆ ทำให้เราสามารถดูมันได้โดยไม่สะดุด และออกมาจากโรงอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ใครได้ไปดูกับคนรัก รับรองจะอินเลิฟยิ่งขึ้นกว่าเดิมแน่นอนครับ และที่เด่นมากๆ ก็ต้องยกให้บรรดาเพลงประกอบ ที่ทำหน้าที่เล่าเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม สังเกตว่า ตัวละครในเรื่องพูดคุยกันเรื่องของเพลงที่โผล่มาในฉากสำคัญของหนังเช่นกัน <p align="justify">เมื่อได้ซีดีมา พออ่านปกใน (MP3 ทำแบบนี้ไม่ได้นะจ๊ะ แบบนี้เราได้รู้ว่าเค้าคิดยังไงกันตอนทำเพลง) มีบทความสั้นจากผู้กำกับเขียนไว้ด้วย ซึ่งก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่าเขาทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไร Richard Curtis บอกเองเลยว่า เวลาเขียนบทหนัง มักจะมีเพลงต่างๆที่อยากนำมาใช้ในหนังอยู่แล้ว ซึ่งบางทีก็มีปัญหาว่า ช้าไปบ้าง ยาวไปบ้าง แต่เรื่อง About Time นั้นโชคดีมากๆที่มันตรงกันไปหมด <p align="justify">ตอนที่เขียนบทเรื่องนี้ เขามีเพลง The Luckiest ของ Ben Folds, Into My Arms ของ Nick Cave and the Bad Seeds, Il Mondo ของ Jimmy Fontana, Gold in Them Hills ของ Ron Sexsmith และ How Long Will I Love You ของ the Waterboys อยู่ในใจอยู่แล้วตอนเขียนบท ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเพลงเหล่านี้จึงโผล่มาในฉากสำคัญๆของเรื่องทั้งนั้น และกลมกลืนไปกับเนื้อหาของเรื่องเป็นอย่างดี <p align="justify"><a href="http://lh5.ggpht.com/-dQ7MENvxaaY/UozjD415rlI/AAAAAAAAMQQ/BCpYvo2UvOA/s1600-h/About-Time-trailer---vide-001%25255B4%25255D.jpg"><img title="About-Time-trailer---vide-001" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="About-Time-trailer---vide-001" src="http://lh4.ggpht.com/-3SLY4gi7Tds/UozjE9U0BpI/AAAAAAAAMQY/lDvzaQShyQE/About-Time-trailer---vide-001_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="580" height="335"></a> <p align="justify">แต่ละเพลงที่ไล่มา ถูกปล่อยออกมาในจังหวะที่เด่นมากๆ อย่าง Into My Arms เพลงที่ผมรักมาตลอดสิบกว่าปี ตอนที่เพลงนี้ขึ้นมาในฉากสำคัญ เท่านั้นล่ะครับ ระงับน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไป เพราะมันช่างลงตัวแบบไร้ที่ติด ขณะเดียวกัน How Long Will I Love You เพลงเก่าของ The Waterboys ที่ถูกนำมาใช้ในฉากที่เป็นการตัดสรุปเรื่องราวความรักของพระเอกและนางเอก ก็ถูกคัฟเวอร์ใหม่ให้นิ่ม กระชับ และติดหู เข้ากับฉากที่ตัดไปมา ฉายความน่ารักของทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี ส่วน Il Mondo นั้น ผู้กำกับก็บอกว่า รักเพลงนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว และอยากจะใช้เพลงนี้มากๆ ซึ่งแม้มันจะแปลก แต่ก็เข้ากับฉากงานแต่งงานเป็นอย่างดี The Luckiest ก็ทำหน้าที่ของมันในฉากสำคัญได้อย่างทรงพลังมากๆ เช่นเดียวกับ Gold in Them Hills ที่เหมือนบทสรุปธีมของหนังว่า ไม่ว่ามันจะออกมาในทางไหน เราก็สามารถพบกับความงดงามในสิ่งนั้นๆได้เสมอ เพลงเหล่านี้ส่งให้หนังออกมาโดดเด่นจริงๆ <p align="justify">แต่ไม่ใช่แค่เพลงเด่นเหล่านี้เท่านั้นที่ยอด เพลงอื่นๆที่เลือกมาประกอบหนังก็เด่นไม่แพ้กันครับ ไม่ว่าจะเป็น Mid Air งานเดี่ยวของ Paul Buchanan แห่ง The Blue Nile และเพลงบรรเลงธีมของเรื่องโดย Nick Laird-Clowes ที่เด่นไม่แพ้กัน นอกจากนี้ยังมีเพลงต่างๆที่แสดงให้เห็นถึงยุคนั้นๆได้เป็นอย่างดี (อย่าง t.A.T.u. ก็เล่นเอาเราแอบฮา) อีกเพลงที่ใส่มาในหนังแล้วน่ารักมากๆคือ Friday I’m In Love ของ The Cure ที่ฟังกี่ครั้งก็ต้องอมยิ้มจริงๆ <p align="justify">สรุปแล้ว About Time แม้จะเป็นหนังที่ไม่มีอะไรลึกมาก แต่กลับให้ความสุข และความรู้สึกอบอุ่นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสำหรับคนชอบฟังเพลงแล้ว หนังเรื่องนี้คงสร้างความสุขให้ได้ไม่น้อย ว่าแล้วก็หยิบแผ่นมาเปิดฟังอีกรอบรอบลูเรออกอีกที :) <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/T7A810duHvw?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/2uYOT7fNJhE?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3123243427410955404.post-90829832594199135042013-10-28T23:34:00.000+07:002013-11-20T23:37:03.874+07:0020 ปี In Utero<p align="justify">เวลาผ่านไปไวแบบไม่น่าเชื่อครับ แป๊บๆ อัลบั้ม In Utero ที่ออกวางขายในปี 1993 ก็มีอายุครบ 20 ปีล่ะ นี่ ผมเองแก่ขนาดนั้นแล้วเหรอ จากหนุ่มน้อยในตอนนั้น ตีนกาก็เพิ่มตามมา แต่งานดนตรีนี่มันเหมือนไวน์ครับ ของดีๆ ยิ่งผ่านกาลเวลาที่เนิ่นนาน มันก็ยิ่งเพิ่มคุณค่า และ In Utero ก็เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ทรงคุณค่าเสมอ แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน <p align="justify"><a href="http://lh4.ggpht.com/-JWyqHONC9-U/UozlISRyqmI/AAAAAAAAMQk/Wg0MF3Vi3RU/s1600-h/Nirvana-In-Utero%25255B3%25255D.jpg"><img title="Nirvana-In-Utero" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="Nirvana-In-Utero" src="http://lh6.ggpht.com/-bAB5TWtunkE/UozlJNjR4NI/AAAAAAAAMQs/nTSjBKJNiMw/Nirvana-In-Utero_thumb.jpg?imgmax=800" width="244" height="241"></a> <p align="justify">ก่อนอื่น ผมต้องขอออกตัวว่า ผมไม่ใช่แฟน Nirvana เหมือนหลายๆคน ที่โตมาในยุคนั้น เพราะว่า ผมดันเริ่มฟังเพลงกับสายกีตาร์ฮีโร่ ร๊อคผมหยอยยาวทั้งหลาย แล้วพอเข้าม.ปลาย ก็หันมาสายอังกฤษแบบเต็มตัวเลย ไม่ค่อยได้แตะสายกรันจ์ แต่ตอนเล่นดนตรีกับเพื่อน ก็เล่นเพลง Nirvana นะครับ เพราะสมาชิกวงต้องการเล่นด้วย ผมยึดเสียงข้างมากครับ แหม่</p> <a name='more'></a> <p align="justify"> <p align="justify">แต่ ในขณะเดียวกัน แม้จะไม่ใช่แฟน แต่ผมก็สนใจ Nirvana ไม่น้อย เพราะว่า เคิร์ต โคเบน นอกจากจะเป็นฮีโร่ของหลายๆคนในยุคนั้น (ชนิดที่ ในนิตยสารเพลงต้องมีคนเขียนไปพูดเรื่องเคิร์ตประหนึ่งเป็นเพื่อนเรียนร่วมรุ่นกันเลยทีเดียว) เขายังเป็นเหมือนตัวแทนของยุคที่เต็มไปด้วยศิลปินที่โทษตัวเอง จากยุคที่ศิลปินร๊อคทั้งหลายสนุกกับยาและผู้หญิง พอเปลี่ยนมาเป็นยุคกรันจ์ แม้จะคลุ้งยาเหมือนเดิม แต่ว่า มุมมองที่มีต่อโลกนั้นเปลี่ยนไปมาก <p align="justify">ไอคอนทั้งหลายของยุคนี้ ไม่ได้เป็นศิลปินแบบยอดชายนายอีโก้ แต่เป็นเหล่าชายผู้อ่อนไหว โทษตัวเอง รังเกียจตัวเอง รู้สึกผิดต่อคนรอบข้าง พร้อมที่จะทำร้ายตัวเอง จมอยู่กับความเศร้า และจบชีวิตอย่างน่าเศร้า ลองมองดูดีๆ ยุค 90 น่าจะเป็นยุคที่มีศิลปินจากไปทั้งที่ยังหนุ่มไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเคิร์ต เพื่อนร่วมแนวกรันจ์อย่าง เลย์น สแตนลีย์ แห่ง Alice in Chains เจฟฟ์ บัคลีย์ ผู้หายไปกับสายน้ำ ริตชีย์ เอ็ดเวิร์ด แห่ง Manic Street Preachers ที่หายไปไม่มีใครพบได้อีก แทบทุกคนมักจะจมอยู่กับความเศร้า และยาหรือเหล้า นอกจากนั้นยังมีศิลปินดังอย่าง Radiohead หรือ Beck ที่นำเสนอภาพความเป็นผู้แพ้ คนนอก ดูเหมือนว่า ยุค 90 จะเป็นยุคทองของความหดหู่จริงๆ (แน่นอนว่าวัยรุ่นยุคนั้นอย่างผมก็ได้อิทธิพลมาไม่น้อยครับ) <p align="justify">แต่ในทั้งหมดนั้น คนที่ดังที่สุดก็คงต้องยกให้เคิร์ต นอกจากบทเพลงของเขาแล้ว บุคลิกที่ดูเหมือนคนซึมเศร้า แต่กลับระเบิดเหมือนคนคลั่งบนเวที เป็นภาพที่ขัดแย้งกัน สายตาของเขาดูเหมือนคนที่โกรธ และเศร้าในขนะเดียวกัน ด้วยความคมคายของใบหน้า ทำให้เขาเป็นโปสเตอร์บอยของวงการไป ใครๆก็จำชายผมบลอนด์ยาว เสื้อตัวโคล่ง กางเกงยีนส์ขาดๆ กีตาร์เฟนเดอร์ และรองเท้าคอนเวิร์สได้ และยิ่งเขาจากไปด้วยการฆ่าตัวตาย ยิ่งทำให้สถานะของเขาแทบจะกลายเป็นพระเจ้าไปเลย <p align="justify">แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้น งานเพลงของพวกเขาคือสิ่งที่ทำให้พวกเขากลายเป็นฮีโร่ของยุคอย่างแท้จริง จากความระเบิดความกราดเกี้ยว ในอัลบั้มสร้างชื่อ Never Mind พวกเขา ก็กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ของวงการเพลง เพราะพวกเขาคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ตรงข้ามกับแฮร์แบนด์ที่เริ่มเสื่อมในยุคต้น 90 แล้ว แนวเพลงที่กราดเกรี้ยว ดิบ ติดดิน ของพวกเขา เป็นเหมือนกระบอกเสียงของวัยรุ่นยุคที่โตมากับสังคมที่เริ่มสงบบนบาดแผลที่คนเจเนอเรชั่นก่อนก่อไว้ (สงครามเวียดนามและฟอล์คแลนด์) พวกเขาคือ Gen X ที่ขัดแย้งกับคนยุคเบบี้บูมก่อนหน้า <p align="justify">และแค่อัลบั้มเดียว พวกเขากลายเป็นวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกวงนึงไปในชั่วข้ามคืน วัยรุ่นยกให้พวกเขาเป็นฮีโร่ เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ได้คาดคิดมาก่อน และอาจจะไม่ได้ต้องการซะด้วยซ้ำ เมื่อสถานะของพวกเขาเปลี่ยนไป คำถามต่อมาคือ แล้วงานต่อไปจะเป็นเช่นไร <p align="justify">ผลที่ออกมาคือ In Utero ในปี 1993 งานเพลงที่สร้างเรียกเสียงวิจารณ์ได้หลายแง่ แน่นอนว่าการสร้างผลงานตามหลังความสำเร็จครั้งใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ที่น่าสนคือ พวกเขาไม่ได้เลือกเดินตามความสำเร็จเดิม แต่พวกเขาเลือกเปลี่ยนโปรดิวเซอร์ และทำงานเพลงที่ไม่เกรี้ยวกราดเช่นเคย ซาวด์ของอัลบั้มนี้ สะอาดขึ้นกว่าเดิม เล่นเอาแฟนเพลงที่ต้องการความดิบช๊อค คิดว่าพวกเขาขายวิญญาณให้กับค่ายเพลงใหญ่ไปแล้ว แต่ตัวเคิร์ตเองก็คิดไว้แล้วว่า ใครที่ชอบ Never Mind คงไม่ชอบงานชุดนี้ กระทั่งค่ายเพลงยังคิดว่ามันน่าจะล้มเหลวในแง่ยอดขาย (ซึ่งก็คิดผิดโดยสิ้นเชิง) แต่สำหรับตัวเขา มันคงเป็นเหมือนอนุทินที่จะทิ้งไว้ก่อนจบชีวิตตัวเอง เพราะมันคืองานที่เขามองย้อนกลับเข้าไปหาตัวเอง จนน่าจะเรียกได้ว่าเป็นงานที่เป็นส่วนตัวที่สุดของเขา ภายในเวลาไม่ถึงปีหลังจากอัลบั้มวางขาย เคิร์ตก็จากโลกนี้ไปด้วยฝีมือของตัวเอง ปล่อยให้ In Utero เป็นงานสตูดิโออัลบั้มชิ้นสุดท้ายของพวกเขา และแน่นอนว่า คนที่ฟังมันหลังจากเหตุการณ์ที่น่าเศร้านั่น ต้องมองว่ามันเป็นจดหมายลาตายของเคิร์ตก่อนจากโลก ซึ่งมันก็คงเป็นจดหมาดลาตายที่ทรงพลังเสียเหลือเกิน (จนกระทั่งส่งอิทธิพลให้กับ Holy Bible ของ MSP จดหมายลาชั้นเลิศอีกชิ้น) <p align="justify"><a href="http://lh5.ggpht.com/-zjcEkKPcac0/UozlKWcPJ8I/AAAAAAAAMQ0/fNbghGrGm_s/s1600-h/017255%25255B4%25255D.jpg"><img title="017255" style="border-top: 0px; border-right: 0px; background-image: none; border-bottom: 0px; float: none; padding-top: 0px; padding-left: 0px; margin-left: auto; border-left: 0px; display: block; padding-right: 0px; margin-right: auto" border="0" alt="017255" src="http://lh4.ggpht.com/-kYwdRiJTnek/UozlLezqySI/AAAAAAAAMQ8/4n4jlzQ95oI/017255_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="356" height="500"></a> <p align="justify">และเมื่อเวลาผ่านไปอีก 20 ปี เข้าสู่ยุคดนตรีแบบดิจิตอล จะมีอะไรดึงบรรยากาศวันเก่าๆกลับมาได้ดีเท่ากับการเอาอัลบั้มชั้นยอด กลับออกมาวางขายอีกครั้ง ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ ก็เรียกได้ว่าจัดเต็ม เพราะในฉบับซีดีคู่ ก็มีทั้งเพลงเดโม เพลงB-Sidesเดิม เพลงฉบับรีมิกซ์ใหม่ และมิกซ์ที่ไม่เคยออกวางขาย จัดเต็มสมใจแฟนเพลงแน่นอน แถมยังมีแบบ 3 แผ่นซีดี 1 DVD ขนาดยักษ์ที่มีหนังสือประกอบเล่มโตสำหรับสาวกตัวจริง ซึ่ง DVD ที่ว่าคือ บันทึกการแสดงสด Live and Loud ที่ซีแอตเทิ้ลในปลายปี 1993 ซึ่งถูกทำออกขายเป็นครั้งแรก ส่วนบ้านเรา มี DVD ต่างหากให้ตามเก็บด้วย ถ้าเป็นแฟนก็ไม่ควรพลาดเด็ดขาดครับ <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/UThKn_TmfmM?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> <p><iframe height="360" src="//www.youtube.com/embed/-CK6_DIMyIY?feature=player_detailpage" frameborder="0" width="640" allowfullscreen></iframe></p> Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510814424397743531noreply@blogger.com0