Wednesday, January 28, 2009

Anthony and the Johnsons: ขอเพียงใครสักคนคอยเคียงข้าง

หลายท่านที่ตามอ่านคอลัมน์นี้มา จะเห็นได้ว่าผมฟังเพลงค่อนข้างหลายแนวโดยจะหนักไปทางร๊อคและแดนซ์เอาซะมาก แต่จริงๆแล้ว ถ้ามีเวลานั่งสงบๆ ผมเองก็ชอบฟังเพลงช้าที่ได้รับการเรียบเรียงเป็นอย่างดี เพื่อสร้างความสงบในใจบ้างเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นศิลปินเก่าๆของ Motown, Frank Sinatra หรือ Johnny Cash ที่สร้างความประทับใจให้ผมได้เสมอ และถึงแม้จะมีเพียงศิลปินยุคใหม่ส่วนน้อยเท่านั้นที่พยายามสร้างดนตรีอันสุดคลาสสิกแบบนั้น อีก แต่ส่วนน้อยนั้นก็ทำออกมาได้ดีเหลือเกิน และหนึ่งในนั้นคือศิลปินกระเทยร่างยักษ์ที่มีชื่อว่า Anthony Hegarty ผู้สร้างสรรค์ผลงานเพลงป๊อปคลาสสิกแบบอลังการในยุคแห่งความเร่งรีบนี้ผ่านชื่อวง Anthony and the Johnsons

anthony_johnsons

Anthony Hegarty เกิดใน Sussex ประเทศอังกฤษ แต่ว่าพออายุได้ 10 ปี เขาก็ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย อเมริกา ซึ่งในช่วงที่เขาเติบโตขึ้นมา เขาได้ซึมซับเอาอิทธิพลของศิลปินแนวซินธ์ป๊อปที่เป็นที่นิยมในยุคนั้น โดยมีศิลปินกระเทยยุคแรกอย่าง Boy Gorge เป็นไอคอนในดวงใจในการร้องเพลงแบบทุ่มอารมณ์ของตนเองเขาไปทั้งหมด ในขณะเดียวกันเขาก็ได้รับอิทธิพลจากดนตรีโฟลค์อีกด้วย ต่อมา เขาย้ายไปนิวยอร์ก และเริ่มเข้ากลุ่มนักแสดงละครเวทีแนวทดลอง จนตั้งกลุ่มของตัวเองชื่อ Blacklips และเริ่มออกแสดงผลงานเชิงศิลปะการแสดงออกไปทั่ว

และเป็นโชคดีของพวกเขาที่มีศิลปินรุ่นพี่มาเห็นอข้า และเสนอโอกาสให้พวกเขาได้ออกอัลบั้มในชื่อวง Anthony and the Johnsons โดยอัลบั้มก็ใช้ชื่อเดียวกันกับวงในปี 2000 แต่มันก็เป็นงานที่ไม่ได้สร้างชื่อเสียงอะไรนัก แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ยังพยายามออก EP มาเรื่อยๆ และความยายามของพวกเขาก็สัมฤทธิ์ผล เมื่อมีแมวมองเอา EP ชื่อ Fell in Love with a Dead Boy ไปให้ศิลปินระดับตำนานอย่าง Lou Reed ฟัง และทำให้ Lou Reed เลือกดึงพวกเขามาร่วมโปรเจคต์ The Raven ทันที และเป็นโอกาสให้พวกเขาได้สร้างชื่อในวงการด้วยการออกทัวร์กับ Reed และได้ถูกดึงตัวเขาสังกัด Secretly Canadian ในเวลาต่อมา

2865962639_b44ce7cedb

พวกเขาได้โอกาสออกอัลบั้มที่สองที่ชื่อ I am a Bird now ในปี 2005 และก็เป็นก้าวกระโดดทางอาชีพศิลปินของพวกเขาจริงๆ เพราะมันได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ทั่วสารทิศ เพราะมันคืออัลบั้มที่รวบรวมเอาบทเพลงป๊อปที่สุดแสนประณีต และอลังการ ราวกับรูปสลักของมิเคลันเจโลอยู่ในเวลาทั้งหมด 35 นาทีของอัลบั้มชุดนี้ มันคือ 35 นาทีที่ตรึงเราอยู่กับอัลบั้มนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น เนื้อเพลงที่เกี่ยวกับประสบการณ์และตัวตนของ Anthony ได้ถูกถ่ายถอดผ่านเสียงร้องอันงดงามและมีเสน่ห์เฉพาะตัวของเขา เพียงแค่เพลงเปิดอัลบั้มที่แสนงดงามในความเศร้าสร้อยอย่าง Hope There’s Someone ก็สามารถเรียกน้ำตาของเราออกมาได้แล้ว For Today I am a Boy ก็คือบทเพลงที่กล่าวถึงมุมมองเพศที่สามของเขาในวัยเด็กได้ไปพร้อมๆกับเสียงเปียโนที่งดงามอย่างน่าตะลึง What Can I Do? ก็ได้ศิลปินแนวเดียวกันอย่าง Rufus Wainwright ร่วมงานและเป็นเพลงสั้นๆที่ยอดเยี่ยมเกินความยาวของยาวของตัวเพลง ในขณะ Fistful of Love ก็ทำให้เรานึกถึง The Blue Nile โดยเนื้อเพลงนั้นกล่าวถึงการพลีร่างกายเข้าแลกกับหมัดของคู่รักโดยเชื่อว่านั่นแลคือกำปั้นแห่งความรักที่แท้จริง แม้เนื้อเพลงจะเต็มไปด้วยประสบการณ์ส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรกร่วมเพศหรือการต้องการใครสักคนในชีวิต แต่มันก็ทำให้เขาสามารถกลั่นอารมณ์ออกมาจากใจได้ และมันคืออัลบั้มที่ทุกๆคนควรมีไว้ในครอบครองเป็นอย่างยิ่ง

ทว่า แม้มันจะเป็นอัลบั้มที่ยอดเยี่ยม แต่ในช่วงแรก มันก็ไม่ได้ทำยอดขายได้ดีนัก แต่เหตุการณ์ทั้งหมดมาพลิกผันเมื่อ พวกเขาคว้ารางวัล Mercury Music Award ในปีนั้นแบบม้ามืด โดยเอาชนะขวัญใจนักวิจารณ์อย่าง Kaiser Chiefs ไปได้ แม้เป็นที่กังขาอยู่บ้างว่า มันคือรางวัลที่มอบให้เฉพาะศิลปินอังกฤษเท่านั้น แต่อย่างน้อย เขาก็เกิดในอังกฤษ เลยเข้าข่ายนี้ได้อย่างโชคดี และทำให้มันกลายเป็นอัลบั้มขายดีไปในทันที และหลังจากนั้น Anthony ก็ได้ไปร่วมงานในโปรเจคต์ Hercules and the Love Affairs ที่เป็นเพลงเต้นรำอีกด้วย

หลังจากทำให้แฟนรอมาเกือบสี่ปี พวกเขาก็กลับมากับอัลบั้มใหม่ที่มีชื่อว่า The Crying Light ที่ยังเปี่ยมแน่นไปด้วยความประณีตเช่นเคย เพียงแต่เนื้อหาของเพลงไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับตัวเองอีกต่อไป หากแต่เป็นมุมมองเกี่ยวกับความรักและชีวิตที่จริงจัง แค่เพลง Kiss My Name นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เราหลงรักอัลบั้มนี้อย่างเต็มตัวแล้ว

หากอัลบั้มชุดที่แล้วคือการเรียกร้องหาความรักที่ไม่เคยสัมผัส และงานชัดนี้คือการมองโลกด้วยประสบการณ์แล้ว เราคงอดสงสัยไม่ได้ว่า เมื่อกลับมาครั้งหน้า Anthony เขาจะมีมุมมองต่อโลกและความรักเช่นไร

Saturday, January 24, 2009

B-Live “Culture ONE” Bangkok International Dance Music

Technorati Tags: ,,,,

(คำเตือน บทความนี้มีเครื่องดื่มมึนเมาเข้ามาเกี่ยวของ ถ้าอายุไม่ถึง 20 ปี ให้เลิกอ่าน และถ้าอายุเกิน ให้อ่านหลังสี่ทุ่ม ตามกฎหมาย เพราะผู้เขียนไม่อยากให้กระทรวงวัฒนธรรมเต่าล้านปีมายุ่ง) _MG_5578

หลังจากที่ปีที่แล้ว พลาดหวังอย่างแรงที่เทศกาลดนตรีร๊อคในบ้านเราต้องถูกยกเลิกเพราะมีคนไปเปลี่ยนสนามเป็นลานแจกไอติมที่มีอาหารอร่อย ดนตรีไพเราะแทนที่จะเอาไว้ให้เครื่องบินขึ้นลงเหมือนก่อน (จะบ่นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆครับ ทำใจได้เลย) แต่อย่างน้อย ก็มีเทศกาลอีกเทศกาลนึงมาปลอบใจครับ นั่นคือ B-Live “Culture ONE” Bangkok International Dance Music ที่ได้รับการอุดหนุนจาก Barcadi หนึ่งในเครื่องดื่มโปรดของผมนั่นเอง และงานนี้ แนวเพลงก็ตามชื่องานเลยครับ แดนซ์กันกระจายแน่ๆ ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สองแล้วครับ โดยที่ครั้งแรกก็จัดที่ Bi-Tec บางนาเหมือนครั้งนี้ล่ะครับ และคงจะเป็นงานเทศกาลดนตรีเต้นรำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่างแน่นอน เพราะคงไม่มีใครกล้าไปกว่านี้แล้วครับ เพราะว่า มีถึง 4 เวทีในงานเดียว ซึ่งแต่ละเวทีก็จะมีดีเจดังๆมาเปิดแผ่นให้ฟังกันอย่างจุใจเลยครับ โดยที่ปีนี้ ฤกษ์งามยามดีคือ วันเสาร์ที่ 31 มกราคมนี้ หรือพูดง่ายๆคือ สุดสัปดาห์นี้นั่นเองครับ

แม้ผมจะเป็นขาร๊อคเป็นหลัก แต่ว่าก็ชอบและฝักใฝ่ดนตรีแดนซ์เหมือนกัน และพอเห็นชื่อศิลปินที่มาเล่นในงานนี้ ก็เล่นเอาน้ำลายสอเลยครับ เพราะว่าเต็มไปด้วยดาราแห่งวงการเพลงเต้นรำจริงๆครับ เลยอยากจะขอเขียนเกี่ยวกับคนที่ชอบๆหน่อยนะครับ

ken-ishii_01

Ken Ishii ดีเจชื่อดังจากแดนปลาดิบและสาเก ที่สร้างชื่อโด่งดังมาตั้งแต่ช่วงกลางยุค 90’ โดยไปออกแผ่นกับตราแผ่นเสียงในเบลเยี่ยม และงานของเขากลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก และมีพัฒนาการมาโดยตลอด ตัวเค้าเองเคยมาฝังตัวที่อีสานบ้านเราซะนาน เพื่อเอาเครื่องดนตรีอีสานไปทำดนตรี จนออกมาเป็นเพลง Khaotic Khaen ที่มีเสียงแคนหึ่งมาแต่ไกลเลยครับ ผมเองยังหลงใหล อัลบั้ม Sunriser อย่างไม่มีเบื่อ และภูมิใจในผลงานของชาวผิวเหลืองที่ไปชนะใจชนชาติอื่นได้จริงๆครับ ขนาดทุกวันนี้ เขาเองยังไม่ค่อยมีโอกาสได้เล่นสดที่ญี่ปุ่น เพราะว่าต้องตระเวนไปทั่วโลกนั่นเองครับ ผมโชคดีที่ได้ดูเค้าเล่นสดทั้งที่ญี่ปุ่น และเมืองไทย และได้มีโอกาสสนทนาสั้นๆด้วย เป็นคนสบายๆจริงๆครับ แถมพอบอกว่าเป็นคนไทย พี่แกดีใจใหญ่เลย มาเมืองไทยครั้งนี้ ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของเค้า แต่ว่า รับรองว่าต้องมันไม่มียั้งเหมือนเดิมครับ

 

seb-fontaine_01 Seb Fontaine ขาใหญ่ที่ทุกคนในวงการต้องรู้จัก เพราะเขาคือดีเจที่มีประสบการโชกโชนกับการแวะเวียนไปเปิดแผ่นให้กับคลับชื่อดังต่างๆทั่วเกาะอังกฤษไม่ว่าจะเป็น Ministry of Sound หรือ Cream ตำนานแห่งเมืองลิเวอร์พูล และยังทดลองกับดนตรีหลายสไตล์ จนกลายเป็นดีเจชื่อดังมาจนถึงทุกวันนี้

dub-pistols_02Dub Pistols แค่อ่านชื่อก็ไม่ต้องบอกแล้วนะครับว่ามาแนวไหน พวกเขาสร้างชื่อกับผลงานแรกอ ย่าง Point Blank ในปี 1997 ที่มีเพลงมันอย่าง Cyclone ครั้งนี้ แนกนำของวงอย่าง Barry Ashworth จะมาเปิดแผ่นให้ทุกคนได้สนุกกันกับดนตรี Dub ที่เขาถนัดครับ

 

sister-bliss_02 Sister Bliss เจ้าแม่แห่งวงการเพลงเต้นรำ หนึ่งในสมาชิกวงแดนซ์ระดับตำนานของเกาะอังกฤษอย่าง Faithless ที่เคยป่าวประกาศว่า God is a DJ ถ้ามีคนบอกว่าชอบเพลงเต้นรำแต่ไม่รู้จักวงนี้ล่ะก็ ตบหน้ามันทีนึงข้อหาโกหกประชาชน มาครั้งนี้ เธอคงหอบดนตรี Progressive House เธอถนักมาสร้างความมันให้กับพวกเรา ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเป็นอย่างมากครับ เพราะดนตรีแนวนี้มันเหมาะกับ arena หรือ stage ใหญ่ๆจริงๆ

นี่ที่ไล่มานี่ยังแค่ส่วนน้อยนะครับ เพราะว่ายังมีบิ๊กเนมอีกหลายรายจนไม่มีปัญญาเขียนถึงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Slacker, Graham Gold, DJ B, Moguai และ AC Slater รวมไปถึงดีเจบ้านเราอย่าง Suharit Siamwala, Gene Futon, Nanue Tipitier และ Dragon ยิ่งไปกว่านี้ ยังมีกิจกรรมต่างๆอีกสารพัดสารพันในงาน ไม่ว่าจะเป็นการแสดง เครื่องเล่น รวมไปถึงการนวด (แผนไทย ไม่ใช่นาบ) อีกด้วย งานนี้ไม่ไปก็เสียดายแย่แล้วครับ งานนี้ต้องขอบคุณ Bacardi ที่จัดงานดีๆให้เราได้สนุกกัน ต่อไปคงต้องขออุดหนุนเหล้ารัมยี่ห้อนี้ไปเรื่อยๆแน่นอนครับ แล้วเจอกันที่ Bi-Tec บางนากัน วันเสาร์นี้นะครับ ตอนนี้ขอไปเต้นวอร์มอัพสลัดไขมันรอก่อนแล้วกันครับ

IMG_1070

Saturday, January 17, 2009

The Best 30 of the Year 2008 (ภาคจบซะที)

Technorati Tags:

ถึงครั้งสุดท้ายแล้วนะครับ ผู้เข้ารอบสิบวงสุดท้ายนี้ รักพี่เสียดายน้องจริงๆครับ ตัดสินลำบาก เอาเป็นว่าไปดูกันเลยแล้วกันนะครับ

Crystal_Castles_-_Self-titled

10. Crystal Castles - Crystal Castles ผลงานแรกของคู่ดูโอต่างเพศจากแคนาดาที่พาเราเข้าไปผจญภัยในโลก 8-Bit ของเครื่องแฟมิคอม มันคือการเอาเสียงจากเกมย้อนยุคมาผสมกับอารมณ์กร้านๆในแบบของพังค์ ทำให้เป็นเพลงเต้นรำเท่ๆ ดิบๆที่สดใหม่ เพลงอย่าง Alice Practice ยังคนหลอนอยู่ในสมองเราเช่นเดียวกับเพลง Vanished

Music For An Accelerated Culture

9. Hadouken! - Music For An Accelerated Culture งานชุดแรกของวงGrindie จากลีดส์ ที่ผสมจังหวะอันดิบเถื่อนของ Grime เข้ากับความเป็นอินดี้ได้อย่างยอดเยี่ยมและสุดมัน งานของพวกเขาคือการทดลองอันน่าสนใจและเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองฝั่งสีผิวได้อย่างดี เพลงอย่าง Get Smashed Gate Crash และ Crank It Up ก็มันสะใจในแบบของ Grime ในขณะที่ Declaration Of War ก็เหมือนกับเสียงจากเกมย้อนยุคกลับมาล้างแค้นเรา

Friendly Fires

8. Friendly Fires - Friendly Fires งานชิ้นแรกของวง Indy-Dance จากอังกฤษที่สร้างชื่อมาบ้างแล้วจาก EP ก่อนหน้านี้ แต่อัลบั้มเต็มกลับออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเกินความคาดหมาย พวกเขาเดินตามเส้นทางของรุ่นพี่อย่าง The Rapture ได้อย่างยอดเยี่ยม กลองจังหวะเร้าใจ เบสที่ลื่นไหล กีตาร์แตกๆที่แทรกเข้ามาเป็นจังหวะ นี่คือส่วนประกอบที่สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลบนโลกเต้นตามได้ แนะนำ Paris, Love Sick, In the Hospital

Glasvegas

7. Glasvegas - Glasvegas งานชิ้นแรกของวงร๊อคจาก Glasgow ที่งดงามจนเกินกว่าจะบรรยาย พวกเขาผสมดนตรีที่ได้รับอิทธิพลจาก Jesus and the Mary Chains เข้ากับเนื้อเพลงที่จริงใจและสมจริงที่สุด หาก Geraldine สามารถทำให้น้ำตามาคลออยู่ที่เบ้าตาเราทุกครั้งที่ได้ยินแล้วล่ะก็ Daddy’s Gone ก็ทำให้เราต้องคุกเข่าลงร้องไห้ให้กับความเศร้าโศกและความงดงามไม่ต่างกับยามค่ำคืนอันเดียวดายท่ามกลางหิมะ

Dear Science

6. TV on the Radio – Dear Science งานชิ้นที่สามจากวงExperimental จากอเมริกา สองอัลบั้มที่ผ่านมา ทำให้เราได้รู้จากความยอดเยี่ยมของพวกเขา แต่ในอัลบั้มนี้ ทำให้เราได้รู้จักกับพวกเขาในอีกด้าน นั่นคือการทำเพลงที่ยอดเยี่ยมแต่ยังติดหูและสนุกไปกับมันได้ เป็นการยากที่จะจัดพวกเขาเข้าหมวดหมู่ เพราะงานของพวกเขานั้นเป็นตัวของตัวเองเป็นอย่างมาก ลองฟังเพลงอย่าง Golden Age หรือ Red Dress ดูแล้วกัน

Memory And Humanity [Bonus Tracks]

5. Funeral for a Friend - Memory And Humanity งานชุดที่สี่ของเด็กเส้นตลอดกาลของผมครับ พวกเขากลับมาในครั้งนี้ได้อย่างงดงาม หลังจากที่อัลบั้มที่แล้วเพลงเบาลงอย่างมาก ชุดนี้พวกเขาเลยกลับไปหารากของดนตรีHardcore Punk แบบดั้งเดิมของ Jawbreaker ที่ Matt ชื่นชมเป็นอย่างมาก แม้ Gary จะลาออกจากวง แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สั่นคลอนเลย ถ้าต้องการความมันสะใจ ก็ไปฟัง Beneath The Burning Tree หรือ Constant Illuminations เลยครับ

Twenty One

4. Mystery Jets – Twenty One งานชุดที่สองของสี่หนุ่มจากอังกฤษที่เอาเพลง Psychedelic ในแบบของพวกเขามาอัพเดทใหม่ด้วยการใส่อิทธิพลของเพลงป๊อปจากยุค 80’ กับเนื้อเพลงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตสังคมยุคใหม่เข้าไป จนกลายเป็นอัลบั้มยอดเยี่ยมอย่างไม่น่าเชื่อ จนถึงทุกวันนี้ สองซิงเกิ้ลอย่าง Young Love เพลงที่มีเนื้อหาน่ารักๆเกี่ยวกับการตามหาสาวรักแรกพบ และ Two Doors Down เกี่ยวกับรักในคอนโดเดียวกันก็ยังก้องอยู่ในหูเราเสมอ

Fast Times At Barrington High

3. The Academy Is… - Fast Time at Barrington High อีกหนึ่งวงที่ผมเชียร์มาเสมอ เพราะว่าผมติดใจพวกเขาตั้งแต่อัลบั้มแรกแล้วครับ มาครั้งนี้กับงานชุดที่สามที่พวกเขายังคงความยอดเยี่ยมไว้ได้เหมือนเดิม ทุกเพลงยังติดหูและยอดพอที่จะเป็นซิงเกิ้ลได้ทุกเพลง ถ้าใครอยากได้เพลงฟังเพลินๆเวลาขับรถทางไกลล่ะก็ อย่าพลาดเด็ดขาดครับ ลองฟังเพลงอย่าง Beware! Cougar!, Summer Hair = Forever Young หรือ About A Girl สิครับ แล้วคุณจะอยากเหยียบคันเร่งลงไปอีก

Viva La Vida or Death And All His Friends

2. Coldplay – Viva La Vida ผมคงไม่ต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้กับอัลบั้มชุดนี้ เพราะว่าพูดมาแล้วถึงสองรอบ แต่ยังไงก็คงต้องสรุปสั้นๆว่า มันคืออัลบั้มที่พลิกความรู้สึกที่ผมมีต่อวงๆนี้ไปอย่างสิ้นเชิง เพราะจากวงที่เคยทำเพลงแบบ Mellow กลายมาเป็นวงที่ทำเพลงได้ทะเยอทะยานและอลังการที่สุด ทุกวันนี้ แค่อินโทรอย่างเพลง Life In Technicolor ก็ทำให้ผมขนลุกแล้ว และเพลง Viva La Vida ก็ทำให้ผมต้องศิโรราบให้กับพวกเขาจริงๆ

Oracular Spectacular

1. MGMT – Time to Pretend อัลบั้มเปิดตัวของวง Neo-Psychedelic จากอเมริกาที่ผมเคยเขียนถึงไปแล้วเมื่อก่อนสงกรานต์ และที่มันกลายเป็นอันดับ1ได้เพราะว่ามันคืออัลบั้มที่ยิ่งฟังก็ยิ่งค้นพบอะไรใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าซิงเกิ้ลที่ออกวางขายทั้งหมดจะไม่ได้ดังแบบตูมตาม แต่ตัวอัลบั้มก็ค่อยๆสั่งสมชื่อเสียงด้วยคำชมจากนักวิจารณ์บวกกับ MV ที่หลอนขนาดต้องเมาควันได้ที่ถึงจะเข้าใจได้ มันเป็นการยากที่จะจัดพวกเขาเข้ากลุ่มใดๆ แต่ที่แน่ๆคือ มันคืออัลบั้มเปิดตัวที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติการณ์อีกหนึ่งอัลบั้ม แนะนำ ทุกเพลงครับ ทุกเพลงจริงๆ

เป็นอย่างไรบ้างครับ กับสามสิบอันดับของผม ถ้าใครอยากดูMV ประกอบก็ไปดูที่บล๊อกผมได้นะครับ เอาขึ้นไว้หมดแล้วครับ

Wednesday, January 14, 2009

NEWS: Porn industry enjoys good sales despite recession

Technorati Tags: ,

This news from www.japantoday.com just made me laugh.

At the end of December, there was a gathering of young sexy girls at the Tokyo International Forum in Yurakucho. Just as many other companies were having year-end parties, this, too, was a year-end party held by a company that produces porn movies.

Insiders say the porn industry is enjoying steady growth despite the economic downturn.

“Prizes for bingo games at the party included travel tickets abroad. A cooking demonstration featuring tuna worth a few million yen was also held. Some top porn actresses, who are affiliated with the company, were given bonuses from half a million to 1 million yen. Everybody enjoyed the party,” said one attendee.

Another guest at the party said, “I have never seen such a lavish party. It’s so conspicuous, considering everybody else is cutting back on entertainment because of the recession.”

Some people might imagine that a porn producer throws a racy party, but that wasn’t the case, said the guest. “I was expecting something sexy, but it wasn’t like that at all. Rather, it was more entertaining with singers.”

Porn industry workers say the company, which invited 800 guests to the party, had its best year ever in terms of sales, thanks to its roster of popular porn actresses. No matter how bad the economy gets, there will always be a demand for their products, they say. (Translated by Taro Fujimoto)

So it Means that no matter horrible economic, we are still horny. Well, it is human nature.

Sunday, January 11, 2009

วันเด็กแห่งชาติ

คำขวัญปีนี้

“เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ที่ดีในวันหน้า ผุ้ใหญ่หมาๆปล่อยมันตายให้หมด” โดยนายก SLJKZ (อย่าให้ได้เป็นมั่งนะมรึ้ง)

คำขวัญประจำใจนายกโอบามาร์ก

“เชื่อผุ้ใหญ้ไว้ เดี๋ยวได้ดีแบบชิวๆ ถ้าคิวไม่มา ก็โวยวายหาคนช่วยไปเรื่อยๆ”

เด็กดีควรยึดเป็นแบบอย่าง ไม่อย่างนั้นผู้ใหญ่จะไม่ชอบใจ ส่งผลให้โดนไล่ออกจากการเป็นหัวหน้าห้อง โดนไล่ออกจากห้องเรียน จนต้องไปฟ้องครูใหญ่ แต่ลืมไปว่าครูใหญ่ก็ไม่อยากยุ่ง ใช้แรงหนุนให้เพื่อนได้เป็นหัวหน้าห้องแทน ก็ไม่ถูกใจครู สุดท้าย ก็เลยต้องกลับบ้านไปก่อนทั้งแก๊งค์ ให้ดช.มาร์กเป็นหัวหน้าห้องแทน ตามที่อาจารย์แกขอมา เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ชวนปวดกบาลจริงๆ โรงเรียนนี้ยังมีรุ่นน้องพวกมรึงที่กำลังจะเลื่อชั้นมาแทนอีกนะโว้ย ทำให้ห้องเรียนมันน่าเรียนหน่อย อย่าเอาแต่ทะเลาะกัน สงสารคนรุ่นหลังด้วย ห้องอื่นๆใกล้ๆกันเค้าไปไกลแล้วโว้ย กูอาย

Saturday, January 10, 2009

Religion for Sale

หลังจากครั้งที่แล้วผมบ่นไปเรื่องการมุ่งเน้นขายศาสนา แบบที่มีการให้คนมาถือป้ายยืนโฆษณา เหมือนganiz2เรื่องบังเอิญที่ที่ญี่ปุ่นก็มีเหมือนกันเป๊ะครับ ไม่รู่ว่าบังเอิญหรือว่ามีองค์การอะไรสั่งให้ทำเหมือนๆกันทั่วโลกดี แต่มันก็ทำให้ผมเป็นห่วงเสมอว่า ทำไมมันต้องทำกันถึงขนาดนี้ด้วย เฮ้อ

จากภาพคือ คนถือป้ายยืนในกินซ่า บอกว่า พระคริสต์คือผู้ใถ่บาปหนึ่งเดียวเท่านั้น

รู้สึกแปลกจริงๆแฮะ

The Best 30 of the Year 2008 (ภาคต่อ)

Technorati Tags:

ถ้าอ่านของอาทิตย์ที่แล้ว ก็คงไม่ต้องเกริ่นอะไรมากนะครับ ไม่อย่าพล่ามมากให้เปลืองเนื้อที่ ไปดูเลยดีกว่าครับว่างานนี้ใครเข้าอันดับบ้าง

Hercules and Love Affair

20. Hercules and Love Affair - Hercules and Love Affair งานเพลงแดนซ์จากค่าย DFA แห่งนิวยอร์ก คือการจับเอาบรรยากาศดนตรีดิสโกสุดบรรเจิดในยุคที่ Studio 54 ที่เที่ยวสำคัญและ Saturday Night Fever คือหนังสุดเท่ มาทำใหม่ให้เข้ากับยุคสมัยได้อย่างแนบแน่น จนเราไม่รู้สึกเชยเวลาฟังมันแม้แต่นิดเดียว โปรเจคต์นี้นำโดยดีเจหนุ่ม Andrew Butler และได้แรงหนุนจากเสียงร้องอันงดงามของ Anthony แห่ง Anthony and the Johnsons เพลง Blind คือหนึ่งในเพลงที่กังวานอยู่ในสมองเราตลอดทั้งปี

The Bronx (III)

19. The Bronx – The Bronx งานชุดที่สามของวง Hardcore Punk จาก California ที่ยังคงใช้ชื่อวงเป็นชื่ออัลบั้มรอบที่สาม (ไม่เปลืองแรงคิดชื่อดี) ที่ยังมากับความหนักหน่วงสะใจเหมือนเดิม ถ้าคุณต้องการดนตรีร๊อคจริงๆ แบบไม่มีอะไรเจือปน นอกจากความหนักหน่วง ดิบ เถื่อน ก้าวร้าว แต่ยังเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ ออกไปหาวงนี้มาฟังเถอะครับ แล้วไปโยกหัวกับเพลงมันๆอย่าง Past Lives และ Young Bloods

Walking_on_a_Dream_cover

18. Empire of the Sun – Walking on a Dream วงหน้าใหม่จากคนหน้าเก่า Luke Steele แห่ง The Sleepy Jackson และ Nick Littlemore แห่ง Pnau (เคยเขียนถึงในฉบับเดือนมิถุนายน) สองหนุ่มจากสองวงในออสเตรเลียหันมาร่วมมือทำดนตรีอีเล็กโทรนิกส์หลอนๆ เต็มไปด้วยความเพ้อฝัน หลุดโลกในแบบของ ฮิปปี้หลงยุค สังเกตได้จากปกซีดีที่ดูเหมือนกับงานศิลปะเชยๆบนปกเกมคอมสมัยต้นยุค 90’ ก็บอกอะไรได้เยอะแล้ว พวกเขาดังจากซิงเกิ้ลแรก Walking on a Dream แต่เป็น Half Mast ที่กุมหัวใจเราไว้ได้โดยสิ้นเชิง

Protest_the_Hero_-_Fortress 

17. Protest the Hero – Fortress งานชุดที่สองจากวง Progressive Metal จากแคนาดา ที่ลีลาการสลับสับเปลี่ยนจังหวะและคอร์ดเล่นเอาเรางงไปหมด ใครชอบหาความแปลกใหม่ เอาไปเลยครับ ผมเองยังงงกับการเล่นของพวกเขาอยู่จนถึงทุกวันนี้ ว่ามันจำกันได้ยังไง นอกจากความดิบหนักแบบซอยถี่ยิบแล้ว ยังได้จินตนาการบรรเจิดอีกครับ ผมไม่ขอยกเพลงเด่นๆมาแล้วกันครับ เพราะต้องไปฟังทั้งอัลบั้มครับ

Partie Traumatic

16. Black Kids - Partie Traumatic งานเปิดตัวของวงหน้าใหม่จาก Jacksonville อเมริกา ที่ทำเพลงป๊อปสุดแสนสนุก ชวนให้เราเผลอโยกตัวและแหกปากร้องตามไปหลายครั้งแล้ว พวกเขารู้ดีว่าการทำให้คนสนุกกับดนตรีนั้น ต้องทำอะไรบ้าง ท่าไม้ตายสารพัดสารพันของวงการเพลงป๊อปถูกงัดออกมาใช้จนทำให้ได้เพลงป๊อปสมบูรณ์แบบเหมือนกับยุค 80’ แห่งป๊อปอันเจิดจรัส เพลงที่ทำให้เราสนุกได้เสมอคือ Hurricane Jane และ I'm Not Gonna Teach Your Boyfriend How to Dance with You แต่เพลงโปรดของผมคือ I'm Making Eyes At You

Fantasy Black Channel

15. Late of the Pier – Fantasy Black Channel ใครว่า New Rave แรงแค่ปีเดียว แม้ปีที่แล้ว Klaxons จะชิงเอาความโดดเด่นไปเกือบหมด แต่ปีนี้เราก็ยังมี Late of the Pier จาก อังกฤษ ที่ยังสร้างความมัน สนุก แบบเปี่ยมไปด้วยแสงนีออน พวกเขขยำเสียงSynthesizer เข้ากับเครื่องดนตรีอื่นๆได้อย่างลงตัว เพลงเด่นอย่าง Space and the Wood ก็ยอดเยี่ยมสมราคา ในขณะที่ Focker คือพายุเสียงสังเคราะห์ที่พัดเข้าหาเราแบบไม่มียั้ง

Vampire Weekend

14. Vampire Weekend – Vampire Weekend อัลบั้มเปิดตัวของสี่หนุ่มที่จบจากมหาวิทยาลัยระดับ Ivy League ในอเมริกา ที่ทำเพลงอินดี้ที่เรียบง่ายและฟังสนุกออกมาให้วงทางฝั่งอังกฤษได้อิจฉา และไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นผลงานของเด็กมาดเนิร์ดเหล่านี้ แค่ความสนุกของ A-Punk ก็เกินคุ้มแล้วครับ

Day & Age

13. The Killers – Day & Age งานชิ้นที่สามของวงร๊อคจากลาส เวกัส ที่กลับมาได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้สองอัลบั้มก่อนหน้านี้ แม้จะขาดเพลงเด่นอย่าง All These Things That I Have Done หรือ When You Were Young แต่อัลบั้มนี้ก็ยังคนยอดเยี่ยมอยู่ดี ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Human นั้นยอดเยี่ยมเกินบรรยายแม้จะมีท่อนคอรัสที่ชวนงงก็ตามที ในขณะที่ Joy Ride ก็ทำให้เรานึกถึง Duran Duran (ในแง่ดี)

OBTN

12. Kings of Leon – Only by the Night งานชุดที่สี่ของวงจาก Nashville อเมริกา งานชุดที่แล้ว ทำให้เรารู้ว่าพวกเขาเติบโตแล้ว ทิ้งเพลงมันๆแบบขี้ยาแดนใต้ไว้ และหันมาทำงานเพลงแบบจริงจัง และงานชุดนี้ เราก็ได้เห็นพวกเขากลายเป็นวงที่พร้อมจะยึดสนามกีฬาทั้งสนามไว้ได้ ใช่ครับ พวกเขากลายเป็นวงสเตเดี้ยมร๊อค กลายเป็นวงร๊อคที่จริงจังไปแล้ว แค่ท่อนคอรัสเพลง Sex on Fire ก็ยอดเยี่ยมจนทำให้คนทั้งสนามพร้อมแหกปากตามแล้วครับ

Nights out

11. Metronomy – Nights Out ดนตรีอิเล็กโทรนิกส์จากอังกฤษ ที่ทั้งอัลบั้มเต็มเปี่ยมไปด้วยการผสมผสานเสียงจากยุคต่างๆจนออกมาลงตัวอย่างน่าทึ่ง เพลงอย่าง Radio Ladio ฟังดูเหมือนกับเพลงปลุกใจก่อกบฏของเหล่าซากหุ่นยนต์ในภูเขาขยะ ในขณะที่ Holiday เป็นเหมือนเสียงวิญญาณแทรกเข้ามาในเทป แต่ที่ยอดเยี่ยมสุดคงเป็น Heartbreaker ที่เป็น 4.15นาทีของการปลอบใจคนที่อกหักได้อย่างยอดเยี่ยม

The Best 30 of the Year 2008 (ภาคต้น)

Technorati Tags:

ผ่านปีเก่าไปแล้วนะครับ และเหมือนเดิมครับ ผมต้องจัดอันดับอัลบั้มที่ตัวเองชอบในปีที่ผ่านมาเหมือนๆกับที่ทำมาตลอดทุกปีครับ สำหรับปีที่ผ่านมา เป็นปีค่อนข้างซวยของผม เพราะเจอแต่เรื่องโชคร้ายหลายเรื่อง จนไม่รู้จะว่ายังไงดี ส่งผลมาจนถึงงานเขียน เพราะปีที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้ฟังเพลงเยอะเหมือนก่อน และเพราะความเบื่อ และเหนื่อยล้า ปีที่ผ่านมา ผมเลยออกจะฟังเพลงประเภทที่สร้างความสบายใจมากกว่า ทำให้ใช้หูและหัวใจฟังมากกว่าสมอง ทำให้โพลปีนี้ อัลบั้มดีๆในดวงใจของหลายๆท่านอาจจะพลาดไปด้วยเหตุผลข้างต้น หรือเป็นว่า เพราะผมหาฟังไม่ได้จริงๆ หรือเพราะว่ายังไม่มีเวลาฟัง ก็ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ครับ พล่ามยาวอีกแล้ว เข้าเรื่องเลยดีกว่า

Does_it_offend_you_yeah-_you_have_no_idea

30. Does It Offend You Yeah? - You Have No Idea What You're Getting Yourself Into อัลบั้มแรกที่ชื่อแสนยาวจากวงพังค์ผสมแดนซ์จาก Reading ประเทศอังกฤษ ที่ทำดนตรีเหมือนกับการให้วง Daft Punk ไปทำเพลงร่วมกับ Muse เพราะมันคือดนตรีแดนซ์ที่หนักหน่วงไปด้วยเสียงเครื่องดนตรีจริงๆที่เหมาะกับการเล่นสดเป็นอย่างมาก และแฟนเพลงของทั้งสองฝั่งก็สามารถสนุกไปกับมันได้ แนะนำ Dawn of the Dead, We Are Rock Stars และ With A Heavy Heart (I Regret To Inform You)

InGhostColours

29. Cut Copy – In Ghost Colours งานเพลงชุดที่สองของวงแดนซ์จากออสเตรเลียที่สร้างชื่อจากงานชุดแรกในปี 2004 และการกลับมาในครั้งนี้ พวกเขาก็กลับมาได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการทำดนตรีแดนซ์ฟังสบายแบบเท่ๆในแบบของตัวเองจนซิงเกิ้ลแรก Heart on Fire โด่งดังคับทวีป แต่อัลบั้มนี้ก็ยังมีทีเด็ดอื่นๆอย่างเพลง Light and Music ที่ฉูดฉาดสุดๆอยู่อีก

image 3

28. Ladyhawke – Ladyhawke สาวเดี่ยวมากความสามารถจากนิวซีแลนด์ ที่โด่งดังไปทั่ววงการเพลงอินดี้จากเพลง Paris is Burning ที่ผสมเพลงแดนซ์จากยุค 80’ เข้ากับดนตรีอินดี้ได้อย่างโคตรเท่ชวนเราโดดลงฟลอร์ไปแหกปากตามได้เสมอ ถ้าให้แนะนำเพลงอื่นอีก ก็ต้องเพลง My Delirium ล่ะครับ เพราะมันเท่ไม่แพ้กันเลย เหมือนกับ Luscious Jackson ได้รับอิทธิพลเพลงยุค 80’ แทน Hip Hop

image

27. Santogold – Santogold ถ้าปีที่แล้วมี M.I.A. ที่เป็นหม้อต้มทางวัฒนธรรม ปีนี้ก็มี Santogold จากอเมริกาที่ทำหน้าที่ผสม ขย่ม เขย่า ดนตรีสารพัดสารพันเข้าด้วยกัน จนเป็นอัลบั้มเปิดตัวที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันมีทั้ง ร๊อค ป๊อป แดนซ์ นิวเวฟ Dub จนไม่น่าเชื่อว่าเธอจะทำมันออกมาได้เนียนขนาดนี้ เพลงโปรดของผมคือ You'll Find A Way, Lights Out และ Say Aha ที่ฟังได้สนุกจริงครับ

image 7

26. British Sea Power – Do You Like Rock Music? วงร๊อคจาก Brighton อังกฤษ ที่แอบดังแบบเงียบๆ (หมายความว่าไงวะ) มานานแล้ว ผมหลงรักพวกเขาจากเพลง Childhood Memories ที่แสนงดงาม และการกลับมาในปี 2008 ของพวกเขา ก็ยังนำเอาเพลงกีตาร์ร๊อคที่แสนเต็มไปด้วยความประณีต แต่ก็ชวนกระตุ้นหัวใจมาฝากเราเช่นเคย เพลง Waving Flags นั้นเป็นเพลงปลุกใจที่อลังการไม่ต่างกับวิหารพาเธนอนเลยทีเดียว ในขณะที่ No Lucifer ก็งดงามไม่ยิ่งหย่อนกันจนไม่ว่าใครที่มีหัวใจคงไม่อาจปฏิเสธทั้งสองเพลงนี้ได้

image 1

25. The Verve – Forth การกลับมาที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ของวงรุ่นเก๋าอย่าง The Verve นั้น เป็นเรื่องที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง การเปิดตัวการกลับมาครั้งนี้ด้วยเพลง Love is Noise นั้นก็เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมจริงๆ เพราะมันคือหนึ่งในเพลงเด่นของปี 2008 เลย แม้อัลบั้มจะไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่า Northern Soul หรือ Urban Hymns แต่มันก็ทำให้วงรุ่นเดียวกันหลายวงต้องทุบหัวตัวเองด้วยความอิจฉาที่ไม่มีปัญญาทำเพลงได้ยอดเยี่ยมเหมือน The Verve

Diamondhooha

24. Supergrass – Diamond Hoo Ha อีกหนึ่งอัลบั้มจากศิษย์เก่า Brit Pop ที่หลายๆคนมองข้าม แต่ผมกลับมองว่ามันเป็นอัลบั้มที่โชว์ความเก๋าของวง Supergrass ได้เป็นอย่างดี พวกเขาผสมความดิบกร้านของเพลงร๊อคเข้ากับดนตรีป๊อปที่ติดหูได้อย่างยอดเยี่ยม จนเราอดทึ่งไม่ได้ทุกครั้งที่ได้ฟัง Bad Blood หรือ Rough Knuckles และยังมีเพลงเด่นๆอย่าง Whisky and Green Tea และ Rebel in Youอยู่อีก

image 6

23. Cold War Kids – Loyalty to Loyalty ผลงานชุดที่สองของวงจาก California ที่ทำให้เราหลงรักจากอัลบั้มชุดก่อนมาแล้ว และพวกเขากลับมาครั้งนี้ด้วยความจริงจังเหมือนเดิมกับดนตรีร๊อคผสมบลูส์อันเข้มข้นไม่ต่างกับกาแฟดำ แค่ซิงเกิ้ลแรก Something is not right with me ทำให้เราปากค้างแล้วยังมีเพลงเด่นๆอย่าง I've Seen Enough และ Dreams Old Men Dreamอยู่อีก

image 4

22. Foals – Antidotes อัลบั้มเปิดตัว (อีกแล้ว) ของวง Indy Punk Funk ผสม Math Rock จาก Oxford อังกฤษ ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนของการเปลี่ยนคอร์ดเกือบตลอดเพลง พวกเขากล้าพอที่จะไม่ใส่ซิงกิ้ลที่ทำให้พวกเขาโด่งดังไปทั่วเมือง Hummer และ Mathletics และเฉดกบาล Dave Sitek ออกจากเก้าอี้โปรดิวเซอร์ แต่มันก็ยังยอดเยี่ยมอยู่ดี Antidotes คืออัลบั้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใหม่ ความกล้าที่จะทดลอง และความสนุกขี้เล่นที่ทำให้เราเพลิดเพลินได้ตลอด เพลงอย่าง Cassius และ Ballons ทำให้เราต้องลุกขึ้นมาโยกตัวเสมอ

Made_in_the_dark

21. Hot Chip – Made in the Dark วง Electropop เด็กเนิร์ดจากลอนดอนที่โดดเด่นมาอย่างสม่ำเสมอ ทุกคนคงจำเพลง Over and Over โคตรจะติดหูจากอัลบั้มที่แล้วได้เป็นอย่างดี และในการกลับมาครั้งนี้พวกเขาก็ยังมีทีเด็ดอย่างเพลง Ready for the Floor ที่สามารถเรียกเด็กแนวทั้งหลายออกมาดิ้นได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับเพลงอย่าง Hold On และ Bendable Poseable

เป็นยังไงบ้างครับ ผ่านไปสิบอัลบั้มแล้ว หวังว่าจะมีอัลบั้มที่คุณๆชอบกันอยู่ในนี้ด้วยนะครับ แล้วเดี๋ยวสัปดาห์หน้ามาลุ้นกับอันดับที่เหลืออยู่อีกครับ

2008 a Year in Music มองย้อนกลับปี 2008

Technorati Tags:

ในตอนที่ทุกท่านอ่านคอลัมน์นี้อยู่ ผมเองคงนอนตีพุงเล่นหลังจากบริษัทเริ่มหยุดยาวแล้ว และแน่นอนครับว่า แต่ละปีที่ผ่านไป เราทุกคนควรจะหันมามองย้อนหลังกลับไปดูว่าปีที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเราบ้าง และในฐานะที่เป็นคนเขียนหนังสือ ผมเองก็อยากจะสรุปเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาในแบบของผมเองบ้าง และที่สำคัญคือ ต้องมีเรื่องอื่นนอกจากเรื่องดนตรีบ้างครับ แต่ก่อนอื่น ต้องขอบอกว่า สำหรับคนรักดนตรีอย่างผมแล้ว ปี 2008 เป็นปีที่ค่อนข้างเงียบเหงาไปนิดนึงสำหรับวงการดนตรี เพราะว่าไม่มีวงที่สร้างคลื่นใหม่ๆให้กับวงการอย่างรุนแรงเหมือนกระแส Nu-Rave ในปีที่ผ่านมาเลย โดยเฉพาะวงการเพลงอังกฤษที่วงดังๆเด่นๆหลายๆวงพากันอู้งาน ไม่ก็เสียฟอร์ม จนกลายเป็นว่าปีที่ผ่านมา จืดไปสนิทเลยครับ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีผลงานดีๆมาให้เราฟังอยู่เหมือนเดิม (ถึงจะน้อยไปหน่อย) ลองดูเลยแล้วกันครับว่าปีที่ผ่านมามีอะไรน่าสนใจบ้าง

วงที่ดีที่สุดของปี รางวัลนี้ ผมคงต้องยอมยกให้วง Coldplayไปเลยอย่างไม่มีข้อแม้ครับ แม้ว่าวงๆนี้จะไม่ใช่วงโปรดในดวงใจของผม แต่ความยอดเยี่ยมของอัลบั้ม Viva La Vida นั้น ทำให้ผมได้รู้ว่าพวกเขากลายเป็นวงระดับโลกไปในแบบเดียวกับ U2 ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะสิ่งที่ Coldplay ทำนั้น แทบจะเป็นแบบเดียวกับสิ่งที่ U2 เคยทำมาเลย ยังไม่รวมการต่อสู่เพื่อการกุศลที่ Chris Martin ทำมาโดยตลอด อีกไม่นานคงได้ฉายา Saint Chris Martin เหมือนกับ Saint Bono นั่งเอง อัลบั้ม Viva La Vida ก็เปลี่ยนทัศนคติของผมที่มีต่อวงนี้ไปเลย จากวงที่ทำเพลงเรื่อยๆเอื่อยๆฟังสบาย กลับกลายมาเป็นวงที่ทำเพลงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยาน และความมุ่งมั่น แม้พวกเขาจะขาดภาพลักษณ์เท่ๆ (ยกเว้นเครื่องแบบของวงที่ออกแบบมาได้ดี) แต่ว่า พวกเขาก็ดีพอที่จะเป็นวงยอดเยี่ยมแห่งปีของปีนี้ไปเลยครับ

coldplay

วงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปี งานนี้ฝั่งอเมริกาเอาไปกินครับ เพราะผมขอยกให้กับวง MGMT (อ่านว่า Management ครับ) จากนิวยอร์ก เพราะว่า จู่ๆพวกเขาก็เหมือนกับโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วก็เอาเพลงหลอนๆในแบบเฉพาะตัวมาให้พวกเราได้ฟังกัน และที่สำคัญคือมันยอดเยี่ยมจนไม่น่าเชื่อเลยว่า อัลบั้ม Oracular Spectacular ของพวกเขาจะเป็นผลงานเปิดตัววงหน้าใหม่ เพราะมันยอดเยี่ยม แหวกแนว กล้าหาญเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเป็นผลงานของวงหน้าใหม่ หลังจากฟังไปหลายรอบแล้ว ผมยังหาข้อบกพร่องของมันไม่เจอเลยซักที ยิ่งได้ดู MV ของวง ที่คิดว่าคงหมดกัญชาไปเยอะกว่าจะออกมาเป็น MV ที่คงต้องใช้กัญชาอีกเยอะในการทำความเข้าใจมันเช่นกัน งานของพวกเขาจะกลายเป็นหลักกิโลชั้นดีให้วงรุ่นน้องพยายามทำผลงานออกมาให้ดีกว่าพวกเขาให้ได้ (วงอื่นๆที่เข้ารอบสุดท้ายคือ Hadouken!, Friendly Fires และ Crystal Castles)MGMT-issue-26

คอนเสิร์ตแห่งปี งานนี้ผมยังสับสนอยู่ครับ เพราะว่าทั้ง Travis Live in Bangkok และ Kylie X ต่างก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน แต่ต่างก็มีจุดเด่นต่างกัน Kylie X คือโชว์ที่สุดแสนตระการตาไม่ต่างกับการระเบิดของดวงดาวบนท้องฟ้า จนทำให้เราสนุกแบบหยุดไม่อยู่จริงๆ ในขณะที่ Travis มาแบบเรียบง่ายจริงๆ (จนเกือบมักง่าย) แต่ความเรียบง่ายที่มากับดนตรีดีๆที่เป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจเรายามอ่อนล้าได้เป็นอย่างดี หากจะเปรียบแล้ว Kylie คงเป็น Star Wars ที่ดูแล้วสนุกสุดๆ ในขณะที่ Travis คือ Billy Elliot ที่ให้กำลังใจเราทุกครั้งที่ดูมัน งานนี้ เสมอกันไปครับ

รอมานานในที่สุดก็ออกมาซะที จะอะไรซะอีกครับ ก็ Chinese Democracy GNRchinesedemocracyอัลบั้มล่าสุดของวงระดับตำนาน Guns n’ Roses ที่มีผลงานออกมาครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1993 (ตอนนั้นผมยังใส่ขาสั้น หัวเกรียนอยู่เลยครับ) เล่นเอาพวกเรารอมานานซะ 15 ปี แม้สมาชิกเดิมจะเหลือแค่ไอ้ Axl คนเดียว แต่ยังไงเราก็อยากฟังอยู่ดี เพราะมันคงจะมีความบ้ามากกว่า Velvet Revolver แน่นอน และมันก็จริงๆครับ ไอ้ Axl ยังหอนได้เหมือนเช่นเคย เพียงแต่มันขาดความดุดันในตัวดนตรี จนทำให้เราผิดหวังไปหน่อย แต่ก็เอาเถอะครับ ม้ายังดีกว่าไม่มา เอาไว้รำลึกอดีตแล้วกัน

น่าผิดหวังที่สุด จะอะไรล่ะครับ ถ้าไม่ใช่การยกเลิกคอนเสิร์ต Bangkok 100 Rock Festival เพราะสาเหตุที่มีคนเอาสนามบินบ้านเราไปเป็นลานแจกไอติมแทน ทำให้ศิลปินมาไม่ได้ ถึงมาได้ ก็คงไม่อยากมาแล้วล่ะครับ ใครจะเชื่อล่ะครับ ว่านี่แหละเมืองพุทธ คิดแล้วอยากย้ายกลับไปอยู่ญี่ปุ่นแทน อย่างน้อยก็สงบกว่าที่นี่ แล้วก็มีศิลปินมาตลอดล่ะครับ เอาเป็นว่าไม่อยากบ่นมาก เดี๋ยวโดนข้อหาไม่รักชาติ พอเท่านี้ครับ

the-dark-knightหนังดีที่สุด The Dark Knight เอาไปเลยครับ เยี่ยมไร้ที่ติ ผมเป็นแฟนแบทแมนมานาน และ  Batman Begins ก็ทำให้ผมประทับใจอย่างมาก แต่ The Dark Knight ทำให้ผมต้องปากค้าง ด้วยเนื้อหาที่มันสะใจ แต่หดหู่สุดๆ และการแสดงอย่างยอดเยี่ยมของนักแสดงทุกๆคนถึงขนาดทำเอาผมขนลุกได้ บวกกับการกำกับของ ทีมพี่น้อง Nolan ทำให้มันเป็นหนังภาคต่อที่ดีกว่าภาคแรกได้เหมือนกับ the Godfather Part II และ The Empire Strikes Back เลยทีเดียว

เซ็งที่สุด ปี2008 เป็นเหมือนปีซวยของผมครับ เพราะรถชนไปสามรอบ ป่วยบ่อยผิดปกติ และที่ซวยสุดๆคือ ฮาร์ดดิสก์ที่เก็บข้อมูล เพลง หนัง รูปถ่าย ของผม พังโดยไม่มีทางกู้ ตอนนี้เลยกลายเป็นแค่ที่ทับกระดาษไปครับ ทุกๆคน ทำแบคอัพไว้สองที่เป็นอย่างน้อยนะครับ เข็ดจริงๆ เอาเป็นว่าไม่อยากบ่นมากกว่านี้แล้ว เจอกันครั้งหน้าจะเอา Best 30 of 2008 มาฝากกันครับ

Trivium: ขอโทษที่ทำให้สะใจ

Technorati Tags: ,

หลังจากที่ต้องอารมณ์เสียที่งาน Bangkok 100 Rock Festival ต้องถูกยกเลิกด้วยเหตุผลที่ไม่น่าเชื่ออย่างการที่สนามบินบ้านเราถูกยึดเป็นลานแจกไอติมไป ทำให้ไฮไลท์ช่วงปลายปีของผมต้องหายไปอย่างน่าเสียดายไม่ต่างกับการพาสาวมาค้างแล้วไม่ทำอะไรเลย เลยต้องหันมานั่งฟังเพลงอยู่บ้านแทน และค่าย Warner Thailand ก็เหมือนรู้ใจ ส่งหนึ่งในอัลบั้มที่ผมรอฟังอีกหนึ่งอัลบั้มในปีนี้มาทันที นั่นคือ Shogun โดยวงหนักกะโหลกอย่าง Trivium จากอเมริกานั่นเองTrivium-Photo-July-2005-1

Trvium ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ Matt Heafy (แมท) เล่นกีตาร์เพลงของMetallica ในงานโรงเรียนมัธยม ทำให้ Brad Lewter นักร้องติดใจ และลากไปทดลองเสียงที่บ้านของ Travis Young (ทราวิส มือกลอง) ทำให้เขาได้รับเข้าร่วมวง Trivium ทันที แต่ว่าพอเล่นสดตามบาร์ในฟลอริดาไปได้ซักพัก Brad ก็ออกจากวงไป เลยเป็นโอกาสของ Matt ที่ขึ้นมายึดพรรค เอ๊ย ควบตำแหน่งกีตาร์ ร้องนำ และหัวหน้าวงไปด้วยเลย พวกเขาดึงเอา Brent Young เข้ามาร่วมเล่นเบส และในปี 2003 พวกเขาได้อัดเดโม ซึ่งไปเข้าหูของค่าย Lifeforce จากเยอรมัน ทำให้พวกเขาถูกดึงไปออกอัลบั้มทันที ซึ่งก็กลายมาเป็นอัลบั้มแรกของพวกเขาในปีนั้นเอง อัลบั้มแรกของพวกเขา Ember to Inferno ออกวางขายทั้งที่ๆหัวหน้าวงอย่าง Matt ยังมีอายุแค่ 17 ปีเท่านั้นเอง แต่ว่ามันก็ดึงความสนใจจากทั้งวงการได้จากความสดใหม่ แน่น และหนักหน่วงของมัน จนทำให้พวกเขากลายเป็นคลื่นลูกใหม่ของวงการเมทัลไปทันที นอกจากภาคดนตรีที่หนักหน่วงแล้ว เนื้อเพลงที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของการกดขี่ข่มเหง และการพยายามในการโค่นล้มอำนาจมืดก็เป็นที่น่าสนใจอย่างมาก

หลังจากออกอัลบั้มได้ไม่นาน Corey Beaulieu (คอรีย์) ก็เข้ามาร่วมวงในฐานะมือกีตาร์คนที่สอง และได้ Paolo Gregoletto (เปาโล) มาเล่นเบสแทน Brent ที่ลาออกจากวงไป และจากความสำเร็จ (เล็กๆ) ของ Ember to Inferno ทำให้ค่ายเพลงหนักกบาลรุ่นใหญ่ของอเมริกาอย่าง Roadrunner Record ตกเขียวเซ็นสัญญาเข้าร่วมค่ายทันที ทำให้พวกเขารีบเข้าสตูดิโอเพื่อพยายามคลอดอัลบั้มแรกกับสังกัดใหญ่ออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้Trivium_120001_small

พวกเขาอัดผลงานในสตูดิโอที่บ้านเกิดฟลอริดา ภายใต้การดูแลของโปรดิวเซอร์ Jason Suecof และมันก็กลายเป็นอัลบั้มชื่อ Ascendency ที่ออกวางขายในปี 2005 แม้มันจะทำยอดขายในช่วงต้นๆได้ไม่แรงนัก แต่ว่า มันได้รับคำชมจากนักวิจารณ์จากหลายสถาบัน เพราะมันคืออัลบั้มเป็นความหวังของวงการเมทัลเลยทีเดียว พวกเขาทั้ง 4 คนเป็นทีมที่ร่วมกันสร้างดนตรีร๊อคที่ผมคงบรรยายได้สั้นด้วยคำว่า แน่น คำเดียว เพราะมันอัดกระหน่ำตั้งแต่เพลงที่สอง (เพลงแรกยังบรรเลงเบาๆอยู่ครับ) ยันเพลงสุดท้ายจริงๆ ถ้าใครต้องการหาอัลบั้มที่มีกีตาร์เด่นๆในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ผมขอบอกเลยครับว่า ไปหาอัลบั้มนี้มาฟังได้เลยครับ เพราะมันหนักหน่วง และแน่นสมใจแน่ๆครับ ถ้าจะให้ยกเพลงเด่นๆมา ก็คงจะเป็น Rain, Pull Harder On The Strings Of Your Martyr หรือ Like Light To The Flies เสียงจากกีตาร์สองตัวไล่เรียงกันไปมาอย่างสะใจบนเสียงกระหน่ำกลองกระเดื่องคู่ และเสียงสำรอกที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากหนุ่มน้อยหน้าใสอย่าง Matt จากความยอดเยี่ยมของมัน ทำให้นักวิจารณ์เทใจให้ถึงขนาดได้เป็นอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปีของนิตยสาร Kerrang! ของฝั่งอังกฤษเลยทีเดียว และเด็กหนุ่มอย่างพวกเขาก็ได้โอกาสไปเล่นในเทศกาลขาร๊อคอย่าง Download Festival อย่างงดงาม

Trivium05_jpg และด้วยไฟที่ร้อนแรงในตัว ปีต่อมา พวกเขาก็ออกอัลบั้มใหม่ The Crusade ตามมาทันที และมันก็ยังคงความหนักแน่นเช่นเคย เพียงแต่โทนของเพลงเปลี่ยนไปสู่ความเป็นแทรชเมทัลมากขึ้น และการสำรอกก็หายไป โดยเปลี่ยนมาเป็นการร้องในแบบที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับวงที่เขาชื่นชมอย่างMetallicaมากขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเพลง Entrance of Conflagration แต่ความมันสะใจก็ยังคงเดิม เพลงเด่นสุดคงต้องเป็น Anthem (We’re the Fire) ที่วงไทยบางวงชื่นชอบเป็นอย่างมาก

และในปีนี้ พวกเขากลับมากับอัลบั้มใหม่ชื่อญี่ปุ่นว่า Shogun และมาพร้อมซาวนด์ที่หันกลับไปสู่ความหนักแน่นแบบ Ascendency พร้อมทั้งดึงเอาการสำรอกกลับมา มันเป็นอัลบั้มแรกที่พวกเขาร่วมงานกับโปรดิวเซอร์คนใหม่ Nick Raskulinecz และมันเปิดตัวด้วยเพลง Kirisute Gomen ที่เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่า “ขอโทษที่ต้องบั่นคอท่าน” พอค้นไปมา เลยรู้มาว่า Matt เป็นเด็กเชื้อสายญี่ปุ่นโดยมีชื่อกลางคือ Kiichi เลยหายสงสัยว่าทำไมงานเพลงของพวกเขาเกี่ยวกับญี่ปุ่นไม่น้อย อีกเพลงที่โดดเด่นมากๆคือ Into The Mouth Of Hell We March มันสะใจ และยังมท่อนคอรัสที่ชวนแหกปากตามเหมือนเดิม และยังสับกระเดื่องคู่รัวแบบไม่ยั้งเช่นเคย พวกเขาภูมิใจกับอัลบั้มนี้มากโดยกล่าวว่ามันเป็นอัลบั้มที่ออริจินอลที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยทำมา และแน่นอนว่ามันได้รับคำชมจากทั่วสารทิศเลยทีเดียว

ด้วยอายุของหัวหน้าวงเพียง 20 ต้นๆ ทำให้เราอยากจะคอยติดตามไปต่อว่า Trivium จะเติบโตและมีพัฒนาการไปอีกขนาดไหน แต่วันนี้ ขอโยกกบาลกับเพลง Kirisute Gomen ก่อนแล้วกันครับ