Monday, December 13, 2010

My Chemical Romance: แวมไพร์กลายเป็นฮีโร่ (ภาคจบ)

Technorati Tags: ,

หลังจากที่ประสบความสำเร็จในวงกว้าง และถูกเกลียดโดยสื่อและคนหัวโบราณที่มองพวกเขาว่าเป็นแค่เด็ก Emo ขี้แพ้ เรียกร้องความสนใจเท่านั้น คำถามคือ พวกเขาจะทำอะไรต่อไป และผลที่ออกมาก็คือ อัลบั้มชุfที่สามที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะคิดไว้ได้

พวกเขาเก็บรายละเอียดของอัลบั้มนี้ไว้เป็นความลับ และในคอนเสิร์ตก่อนเปิดอัลบั้ม พวกเขาเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น The Black Parade เพื่อปูทางให้เข้ากับอัลบั้มใหม่ที่ชื่อเดียวกันนั่นเอง และมันก็ไม่มีแวมไพร์อีกต่อไป แต่ Gerard กลับออกมาด้วยภาพลักษณ์ที่น่าตกใจ เพราะเขากัดสีผมตัวเองเป็นสีขาวโพลน เพื่อให้เข้ากับคอนเซ์ปต์ของอัลบั้ม เพราะสำหรับงานครั้งนี้ มันคือเรื่องราวของชีวิตผู้ป่วยโรคมะเร็งขั้นสุดท้ายMy-chemical-romance_stopmusique

The Black Parade ได้ Rob Cavallo โปรดิวเซอร์มือทองเจ้าของ American Idiot มาร่วมงาน และเขาก็ช่วยพัฒนาแนวคิดคอนเซ็ปต์อัลบั้มของวงได้เป็นอย่างดี The Black Parade คือการเดินทางครั้งสุดท้ายของ The Patience ตัวละครเอก ผู้ป่วยมะเร็งขั้นสุดท้ายที่นอนซมในโรงพยาบาล ตั้งแต่เพลงแรก The End ที่เปรยถึงจุดจบของชีวิตเขาเอง ไปจนเพลงสุดท้าย มันเปิดตัวด้วยเพลง Welcome to The Black Parade ซิงเกิ้ลแรกที่เกี่ยวกับภาพหลอนของพาเหรดที่ตัวเอกเคยชมสมัยเด็ก มาปรากฎตรงหน้าเขาก่อนที่เขาจะสิ้นใจไป มันคือพังค์ร๊อคโอเปร่าแบบอลังการเหมือนกับเอาวง Queen มาผสมกับ Sex Pistols และเป็นการเปิดตัวอัลบั้มอย่างงดงามเหลือเกิน ด้วยความยิ่งใหญ่ของเพลงนี้ ทำให้เรารู้แล้วว่า วิสัยทัศน์ของพวกเขานั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ทั้งอัลบั้มวนเวียนอยู่กับจิตใจของ the Patience ทั้งอัลบั้ม ไม่ว่าจะเป็น Mother ที่พูดถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับแม่เขา Teenagers เพลงที่เกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่นของเขา ส่วน I Don’t Love You เป็นบัลลาดซิงเกิ้ลที่โคตรเศร้า เพราะเขาขอร้องคนรักของเขาให้จากเขาไป โดยให้เธอบอกว่า ไม่รักอีกต่อไปแล้ว เพื่อที่เธอจะได้มีชีวิตทีดีกว่า อีกเพลงที่เศร้าไม่แพ้กันคือ Cancer ที่บรรยายภาพชีวิตของคนเป็นมะเร็งออกมาได้อย่างชัดเจน บรรยากาศความเศร้ามันอบอวลไปทั่วเพลง

และเนื้อเพลงที่ค่อยๆคลี่คลายเรื่องราวปานนิยาย ขมวดถึงจุดจบในเพลง Famous Last Words ที่ เป็นซิงเกิ้ลสุดท้าย ที่ทิ้งปริศนาให้เรางงว่า The Patience เป็นเช่นไร ในเมื่อเขาประกาศก้องในวินาทีสุดท้ายว่า เขาไม่กลัวที่จะมีชีวิตต่อไป และไม่กลัวที่จะต้องก้าวเดินอย่างเดียวดาย แต่โดยรวมแล้วมันคืออัลบั้มที่ยอดเยี่ยม ยิ่งใหญ่ และสมบูรณ์แบบจนคนที่เคยโจมตีพวกเขาไว้ต้องหันกลับมามองอีกที พวกเขากลายเป็นวงร๊อคระดับ Monster ไปในทันที (เส้นทางคล้ายกับ Green Day ที่เคยถูกมองว่าเป็นแค่วงพังค์โง่ๆมาก่อน)

พวกเขาสนุกกับความสำเร็จและขยายฐานแฟนออกไปกว้างมาก แต่ความสำเร็จจากงานชุดนี้ทำให้หลายคนสงสัยว่าพวกเขาจะเดินไปในทางไหนต่อ และคำใบ้ก็อยู่ในงาน Desolation Row ที่อยู่ในหนัง Watchmen ที่เป็นงานคัฟเวอร์เพลงเก่ามาเป็นเพลงพังค์แบบดิบๆ มันสะใจไปอีกแบบ

หลังจากเงียบไปให้แฟนๆรอเกือบสี่ปี พวกเขาก็กลับมาทำงานชุดใหม่ และแฟนๆก็ได้ตะลึงอีกครั้ง เพราะหลังทำเรื่องเครียดของคนเป็นมะเร็งมาแล้ว พวกเขาเลือกทำเพลงร๊อคเบาสมองเกี่ยวกับโลกอนาคตที่ถูกเหล่าร้ายครอบงำ และพวกเขาคือฮีโร่ที่จะมากอบกู้โลกใบนี้ ผมสีขาวถูกย้อมเป็นสีส้ม พร้อมกับเสื้อผ้าหลุดโลก และเพลงร๊อคแบบที่พร้อมจะเติมเวทีขนาดยักษ์ได้ทุกแห่ง และชื่อของงานชิ้นนี้คือ Danger Days: The True Lives of the Fabulous Killjoys

header-you-are-not-in-this-alone-killjoys2

พวกเขาเปลี่ยนโทนของเพลงจากที่มืดหม่น มาเป็นเพลงที่แหกคอก และสร้างความหวังให้กับโลกที่มืดหม่นแทน มันคือการ์ตูนไซไฟแอคชั่นชั้นดีที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเพลงก็ว่าได้ เริ่มตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรก Na Na Na ที่เป็นเพลงพังค์เบาสมองแบบไม่ต้องคิดอะไรเลย คล้ายกับเพลงอื่นๆในอัลบั้มที่เป็นเพลงพังค์สะใจเช่นกัน เช่น Party Poison และ DESTROYA เพลงที่แหวกแนวออกมามากๆคือ Planetary (GO!) ที่มีส่วนผสมของดิสโกผสมลงไปด้วย Bulletproof Heart ก็ทำให้ผมนึกถึง The Who ขึ้นมาตะหงิด เพลง Summertime ก็เป็นเพลงที่น่าจะสดใสที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยทำออกมาแล้ว คล้ายกับเพลง The Kids From Yesterday ที่น่าฟังขณะขับรถทางไกลจริงๆ ถ้าอยากจะได้บรรยากาศเก่าก็ต้องเพลง Save Yourself, I'll Hold Them Back ส่วนเพลงที่น่าจะเติมเต็มเวทีใหญ่ๆได้สบายก็อย่าง The Only Hope For Me Is You และ Sing ซิงเกิ้ลที่สองที่ชวนแฟนเพลงแหกปากตามได้เป็นอย่างดี Danger Days คือก้าวใหม่ที่กล้าหาญของพวกเขาที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งครับ ยิ่งถ้าพยายามตามเรื่องทั้งหมดแล้วจะสนุกเอาเรื่องเลย ลองดู MV ใน Youtube ก็ได้ครับ โคตรสนุก

My Chemical Romance - danger-days-true-lives-fabulous

My Chemical Romance ผ่านอะไรมาเยอะกว่าจะได้เป็นขวัญใจของคนในวงกว้าง ด้วยความสร้างสรรค์อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยของพวกเขาจริงๆ ทำให้การรอคอยอัลบั้มแต่ละชิ้นของพวกเขาเป็นความสนุกอย่างแท้จริงครับ

Saturday, December 4, 2010

My Chemical Romance: แวมไพร์กลายเป็นฮีโร่ (ภาคต้น)

Technorati Tags: ,

ในชีวิตของคนที่ฟังเพลง มักจะมีวงที่สำคัญต่อชีวิตเป็นอย่างมากด้วยสาเหตุแตกต่างกัน สำหรับผม มีหลายวงเหมือนกัน และอีกวงหนึ่งที่ผมรักมาก จนอยากจะเขียนถึงแบบมือกระดิกแทบไม่หยุด แต่ก็หาจังหวะไม่ได้ซะที จนในที่สุด พวกเขาก็ออกอัลบั้มใหม่ออกมา ไม่มีตอนไหนเหมาะกว่านี้อีกแล้วครับ เชิญพบกับ My Chemical Romance สองตอนรวดครับ0904_my_chemical_romance_b

การจะพูดถึง My Chemical Romance (MCR) คงต้องเริ่มต้นที่ชีวิตของนักร้องแกนนำของวง Gerard Way (เจอราร์ด)ก่อน เพราะเขาเป็นเหมือนทุกอย่างของวงเลยทีเดียว Gerard โตมาในย่านชานเมืองนิวเจอร์ซีย์ ที่ไม่ปลอดภัยนัก เขาเคยโดนทั้งเอาปืนจ่อกบาล เจอศพของแก๊งที่ยิงกันตายมาแล้ว แต่เขาก็ยังมีศรัทธา ด้วยความชอบงานศิลปะ เขาก็ได้เป็นนักวาดการ์ตูนให้ Cartoon Network (หาดู Magic Breakfast Monkey ได้ครับ) แต่เหตุการณ์ 9/11 ที่เขาเห็นมันเกิดขึ้นต่อหน้าตัวเอง ทำให้เขาคิดได้ว่า ชีวิตสั้นเกินกว่าที่จะปล่อยไปวันๆ เขาจึงตัดสินใจทำสิ่งที่อยากทำมาตลอด นั่นคือ ตั้งวงดนตรี

เขาเริ่มวงกับ Matt Pelissier (แมตต์ กลอง) และดึงเอา Ray Toro (เรย์) มาเล่นกีตาร์ ตามมาด้วย Mikey Way (ไมกี้)น้องชายของ Gerard มาเล่นเบส ก่อนจะได้ Frank Iero (แฟรงค์) มาเล่นกีตาร์อีกคน กลายเป็นจุดเริ่มต้นของวง พวกเขาเรียกตัวเองว่า My Chemical Romance จากชื่อหนังสือที่ Mikey เจอ

0904_my_chemical_romance_aพวกเขาเริ่มแต่เพลงของตัวเอง โดยแนวเพลงของพวกเขาคือพังค์ผสมกับเมทัล ส่วนเนื้อเพลงมักจะปนเปกันไป ทั้งเรื่องชีวิต ผีดิบ และ แวมไพร์ พวกเขาได้สัญญากับค่าย Eyeball Records และออกผมงานชิ้นแรกในลักษณะอินดี้ ชื่อว่า I Brought You My Bullets, You Brought Me Your Love ในปี 2002

ในช่วงแรก พวกเขายังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แม้ว่ามันจะเป็นอัลบั้มที่น่าสนใจมาก แต่มันยังไม่โดดเด่นกว่าวงอื่นมากนัก พวกเขาผสมเอาสารพัดสิ่งที่พวกเขาชอบลงไปในงานเพลงของพวกเขา แม้แนวหลักจะเป็นพังค์ แต่พวกเขาก็ใส่ไลน์กีตาร์สวยๆจากฝีมือของ Ray เข้าไปเสมอ ทำให้มันได้อารมณ์แตกต่างไป ยิ่งตัวอย่างเช่นท่อนอินโทรเพลง Headfirst For Halos นั้นเหมือนกับมาจาก Van Halen บวกกับ Queen จริงๆครับ ส่วน Vampires Will Never Hurt You ที่เป็นซิงเกิ้ล ก็มันแบบไม่หยุดหย่อนเหมือนกัน แล้วยังมีเพลงเจ๋งๆอย่าง Skylines And Turnstiles ที่เกี่ยวกับ 9/11 และ Cubicles ที่เกี่ยวกับความรักในออฟฟิส อีกด้วยครับ

พวกเขาเปิดตัวได้ไม่เปรี้ยงปร้างนัก แต่ก็เริ่มดังแบบปากต่อปาก ผมเองก็รู้จักพวกเขาจาก NME ที่แนะนำ Gerard ใน Cool List ปี 2003 ว่าเหมือนกับร่างจุติของ Billy Corgan (ทั้งหน้าทั้งเสียง) กับปกใน Funeral for a Friend ที่สมาขิกวงสวมเสื้อของ MCR ด้วย ดูท่าทางว่า เส้นทางของพวกเขาจะมีแสงสว่างอยู่รำไรเหมือนกัน

พวกเขากลับไปทำงานชุดที่สอง ที่เป็นงานชิ้นแรกกับค่าย Reprise ค่ายเพลงเมเจอร์ที่เซ็นสัญญากับพวกเขามา และมันก็กลายเป็นงานที่ชื่อ three Cheers For Sweet Revenge ที่เป็นงานที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย พวกเขาถูกตราว่าเป็นวง Emo เพราะเนื้อเพลง และภาพลักษณ์ที่เริ่มมียูนิฟอร์มและแต่งหน้า แต่ใครจะสนเมื่อพวกเขาทำเพลงที่โคตรมันได้ขนาดนี้ ส่วนตัวอัลบั้มนั่น เป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่เกี่ยวกับชายหนุ่มที่จะพยายามต่อสู้เพื่อเอาชีวิตของแฟนสาวเขาคืนมาจากซาตาน ซิงเกิ้ลแรก I’m Not Okay (I Promise) กลายเป็นเพลงชาติของEmoไปเรียบร้อย เพลงเด่นเพลงอื่นก็อย่าง Helena ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ Thank You For The Venom ที่โชว์ฝีมือกันเต็มที่ (ชุดนี้กีตาร์ทั้งสองเด่นมากครับ) ส่วนอีกเพลงโปรดผมที่ค่อนข้างน่าขนลุกคือ Cemetery Drive อัลบั้มนี้ใส่อารมณ์ความสะใจกันเต็มๆครับ และเนื้อเพลงแบบทำลายตัวเองและความตายของพวกเขาก็ทำให้พวกเขากลายเป็นเป้าโจมตีของสังคมไป แต่สุดท้าย พวกเขาก็ถือว่าประสบความสำเร็จในวงกว้างอย่างงดงามครับ และพร้อมที่จะครองโลกในอีกไม่ช้า0604_my_chemical_romance_a

แม้จะเป็นวงร๊อค แต่เนื้อใน พวกเขาเป็นเด็กเนิร์ดชนิดเข้าใส้ พวกเขาเลือกเล่นเกมแทนไปเมาเหล้า และเป็นพวกสบายๆจริงๆกว่าที่คิดครับ ปี 2004 ผมอยู่ที่ญี่ปุ่น พวกเขามาเล่นคอนเสิร์ต ตอนที่พึ่งออกอัลบั้มที่สอง เลยยังไม่ดังมาก ผมกับเพื่อนอเมริกันไปเดินเล่นก่อนเริ่ม ดันไปเจอ Ray กับ Mikey ที่ร้านรองเท้า พอเข้าไปทัก พวกเขาก็คุยโคตรดี แถมให้ผมช่วยพูดภาษาญี่ปุ่นหารองเท้าคอนเวิร์สสีชมพูให้แฟนอีกตะหาก ติดดินโคตรๆครับ ส่วนตอนเล่นคอนเสิร์ตในไลฟ์เฮาส์ Gerard ก็ตะโกนมาเล่นกับเพื่อนผมฝรั่งบ้านเดียวกันอย่างสนุก แถมรับมุข America! Fxxk Yeah! จาก Team America ซะด้วย ไม่รักไม่ได้ครับ และผมก็ดีใจมากๆที่วงที่เชียร์มาตั้งแต่ยังไม่ดังเลย กลายเป็นวงดังระดับบิ๊กเบิ้มไปแล้ว

แต่ผมพลาดไปหน่อยตรงที่ พวกเขาจะยิ่งใหญ่กว่าที่ผมคาดคิดไว้ซะอีกครับ เพราะอะไร ติดตามตอนต่อไปครับ