Thursday, August 27, 2009

In Case of Fire

Technorati Tags: ,

วงร๊อคหน้าใหม่มาแรงจากประเทศ ไอร์แลนด์เหนือ ที่ได้รับการดันสุดๆจากนิตยสารของหนักกะโหลกอย่าง Kerrang! ของฝั่งอังกฤษ พวกเขาคือสองพี่น้อง Steven Robinson (สตีเวน ร้องนำ กีตาร์) Colin Robinson (โคลิน กลอง) และ Mark Williamson (มาร์ค เบส) พวกเขาทั้งสามเริ่มต้นตั้งวงในปี 2005 และได้เซ็นสัญญากับค่าย Search and Destroy ที่มีเพื่อนร่วมค่ายอย่าง Fightstar และเริ่มสร้างชื่อจนได้ออกอัลบั้มเต็มที่ชื่อ Align the Planets ที่มาแรงสุดๆในปีนี้
In Case of Fire icofmask

สมกับที่มาแรงครับ เพราะ Align the Planets คืออัลบั้มร๊อคที่มันสะใจ และเต็มไปด้วยพลัง ดนตรีของพวกเขาคือเพลงร๊อคที่มีรากมาจากเพลง Progressive และ Hardcore ด้วยพลังเสียงกีตาร์และการแหกปากของ Steven ทำให้เพลงของพวกเขาโดดเด่นจากความหนักหน่วงของมัน ซึ่งพิสูจน์ได้ตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรก This Time We Stand ที่อัดกันอย่างหนักหน่วง ส่วนซิงเกิ้ลที่สอง The Cleansing ก็สับกันอย่างเมามันจนบางทีทำให้เรานึกไปถึง Taking Back Sunday และยังมีเพลงเด่นอย่างๆเพลงที่ผสมจังหวะดนตรีเต้นรำอย่าง Landslides จนได้มิติความแปลกใหม่เพิ่มเข้าไปอีก ส่วนเพลง Enemies ก็ชวนแหกปากตะโกนตามไปกับเพลงเสียเหลือเกิน แนวเพลงของพวกเขาคงเหมือนกับ Muse ที่อยากใส่ชุดหนังสีดำ หรือ Mars Volta ในวันที่มีสติครบถ้วน


และจากความแรงของมัน ทำให้พวกเขาได้รางวัล Spanking New จาก MTV2 และ ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมปี 2009 ของ Kerrang! มาแรงขนาดนี้ ใครชอบโยกหัวก็ลองไปหามาฟังกันครับ

 

The Dead Weather

Technorati Tags: ,

วงหน้าใหม่ จากคนหน้าเก่าวงนี้ จะเรียกว่าเป็น Super Group ของวงการเพลงของอเมริกาเลยก็ว่าได้ เพราะว่าสมาชิกของวงก็คือ Jack White (แจ๊ค) จาก The White Stripes, Alison Mosshart (อลิสัน) ที่เรามักจะรู้จักเธอในชื่อ VV จากวง the Kills, Dan Fertita (แดน) จาก Queen of the Stone Age และ Jack Lawrence (แจ๊ค) ที่ร่วมงานกัน Jack White ใน The Raconteurs พวกเขาแต่ละคนก็เป็นที่รู้จักจากผลงานเพลงของตัวเองอยู่แล้ว นอกจากนี้ ก็ยังเคยมีผลงานที่ร่วมกันทำมาก่อนอย่าง The Raconteurs อีกด้วย หลังจาก The Raconteurs ออกผลงานมาได้สองอัลบั้ม ปี2009 นี้

thedeadweather1

The Dead Weather ก็เริ่มต้นด้วยการแจมกันเล่นๆในสตูดิโอ Third Man ของ Jack White ในเดือนมกราคมปีนี้ และจากการแจมกันเล่นๆ มันก็กลายเป็นการแต่งและอัดเพลงยาวสองอาทิตย์กว่า ซึ่งก็เกิดเป็นวง The Dead Weather ระหว่างขั้นตอนการอัดเพลงนั่นเอง (ดีนะครับ เล่นๆก็กลายเป็นงาน เป็นเงินได้) ซึ่ง White ก็ได้ ให้ความเห็นไว้ว่า “มันเกิดขึ้นมาเอง เราไม่ได้มีทิศทางอะไร เราแค่อัดเพลงกัน วันละเพลง สองเพลง อะไรก็ได้ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เราไม่มีเวลาคิดว่ามันคืออะไร มันโผล่มาเอง” และหลังจากที่ไปปรากฏตัวสร้างกระแสตามเทศกาลดนตรีต่างๆ ในที่สุด ผลงานที่เกิดขึ้นแบบไม่ตั้งใจก็กลายมาเป็นอัลบั้มแรกที่ชื่อ Horehound ที่พึ่งวงแผงหมาดๆเมื่อเดือนที่แล้วนี่เองครับ

และแน่นอนว่าเมื่อมันออกวางขาย ก็เป็นที่สมหวังของแฟนๆครับ เพราะว่ามันยังคงความดิบในแบบของ Jack White ได้เป็นอย่างดี และจากการที่ได้สมาชิกวงแนวอื่นมาร่วมงานด้วย ทำให้ขอบเขตของงานกว้างมากขึ้นกว่าเดิมตั้งแต่ซิงเกิ้ลเปิดตัว Hang You from the Heavens เปิดเพลงมาด้วยจังหวะกลองดิบๆแบบ The White Stripes บวกกับ กีตาร์สไตล์บลูส์แบบที่ Jack White ถนัด แต่แนวทางมันก็กว้างกว่างานของ the White Stripes ออกมาเหมือนกัน โดยไม่ลืมความดิบกร้านในแบบที่พวกเขาถนัด นอกจากนี้ พวกเขายังไปหยิบ New Pony งานเก่าของ Bob Dylan มาทำใหม่ได้อย่างเปรี้ยวจ๋า แต่ก็ยังไม่เปรี้ยวเท่า Bone House ที่โคตรมันและสะใจ แหกปากกันกระจุยกระจายทั้งเพลงบนจังหวะที่ชวนเต้นได้บวกกับเสียงกีตาร์บาดหู ส่วนอีกเพลงที่เด่นไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับท่านผู้อ่านที่ชอบเสียงกีตาร์ นั่นคือเพลง Treat Me Like Your Mother ที่เสียงกีตาร์ชวนให้เรานึกไปถึงไอ้ Tom Morello อดีตขุนขวนจอมเทคนิคแห่ง Rage Against The Machine เลยทีเดียว นอกจากนี้ ช่วงที่แจมกันนี่ มันแบบโคตรๆเลยครับ สำหรับสาวกของวงเหล่านี้ รีบๆไปหามาฟังได้เลยครับ รับรองไม่ผิดหวัง อีกวง Super Group ที่น่าจะพอลุ้นให้ออกมาสู้กันได้ก็น่าจะเป็น Them Crooked Vultures ของพี่ Dave Grohl (Foo Fighters) Josh Homme (Queens of the Stone Age) และป๋า John Paul Jones (Led Zeppelin) ที่กำลังทำเพลงกันอยู่นั่นแหละครับ

Friday, August 21, 2009

Florence and the Machine อีสาวมาแรงแห่งปี

แป๊บๆปีนึงก็ป่านมาซะขนาดนี้แล้วนะครับ จู่ๆ รู้สึกตัวอีกทีก็เดือนสิงหาคมแล้ว และแต่ละปีๆก็มีศิลปินเกิดใหม่มาเรื่อยๆ เลยต้องขอเอามาแนะนำให้ได้รู้จักกันอย่างไม่ขาดตอนนะครับ และที่จะมาแนะนำในวันนี้คือ Florence and the Machine ที่เป็นศิลปินหญิงที่ร้อนแรง และได้รับการจับตามองจากสื่อในอังกฤษอย่างต่อเนื่องครับ

florence2

Florence and the Machine คือชื่อของ Florence Welsh กับศิลปินที่ร่วมเป็นวงสนับสนุนให้เธอกลายเป็นหนึ่งในศิลปินที่ถูกจับตามองมากที่สุดในปีนี้ Florence (ฟลอเรนส์) คือเด็กสาวที่โตขึ้นมาในทางตอนใต้ของกรุงลอนดอนโดยแม่ของเธอกล่อมเธอด้วยเพลงของ The Smiths เพื่อให้เธอนอนหลับ (เป็นแม่ที่แนวมาก) และจากการทีมีพ่อแม่แนวๆแบบนี้ ทำให้เธอได้ฟังดนตรีหลากหลายโดยเฉพาะนักร้องระดับตำนานตั้งแต่ Tom Jones ยัน Etta James ทำให้ชีวิตของเธอจะตกอยู่ในวังวนของดนตรีเสมอ นอกจากจะร้องเพลงตอนอยู่โรงเรียนเสมอแล้ว เธอยังร้องทุกที่เท่าที่จะทำได้ จนได้โอกาสเรียนร้องเพลงอย่างจริงจังเมื่ออายุ 11 แต่พอโตขึ้นหน่อย เธอก็กลายเป็นสาวก Nirvana และ Green Day และเริ่มรับอิทธิพลของพังค์มา ถึงขนาดเข้าร่วมวงพังค์ด้วย จากนั้นก็ไปซึมซับความดิบกร้านของการาจจาก The White Stripes ต่อมา จนทำให้เรารู้ได้ว่ารากของดนตรีของเธอนั้นผสมหลากหลายมาก (ไม่เหมือนในบางประเทศที่ถ้าไม่เป็นป๊อปเบาๆผสมฟังค์นิดๆกับเนื้อเพลงหวานๆ ก็เปลี่ยนแนวตามโปรดิวเซอร์ โดยที่เราไม่เคยรู้เลยว่าแต่ละคนมันฟังเพลงอะไรมาก่อนเข้าวงการ)

ต่อมาเธอก็เริ่มตั้งวงกับเพื่อน และจากชื่อยาวๆ ก็ถูกย่อมาเหลือแค่ Florence and the Machine ซึ่ง The Machine กลายเป็นวงซัพพอร์ทให้เธอไปแทน โดยที่ในอดีตสมาชิกหลักของ The Machine คือ Devonte Hynes จาก Lightspeed Champion (หรืออดีตวงโคตรแรงอย่าง Test Icicles) แต่ตอนนี้ก็เป็นนักดนตรีรายอื่นสลับมาเล่นแทน นอกจากนี้ กองหลังที่สนับสนุนเธอเป็นอย่างดีอีกหนึ่งแรงก็คือดีเจสุดเปรี้ยวอย่าง Queen of Noize ที่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการให้เธออีกแรง

florence16 

เธอเริ่มสร้างผลงานด้วยการออกซิงเกิ้ลชื่อแสบอย่าง Kiss with a Fist กับค่าย Moshi Moshi ที่เป็นเพลงการาจดิบๆบวกกับเสียงร้องแบบบลูส์ของเธอ ทำให้มันเป็นที่จับตามองของนักวิจารณ์ทันที และ กลายเป็นหนึ่งในซิงเกิ้ลมาแรงของวงการอินดี้ปี 2008 และในปีนี้เธอก็ยิ่งก็กลายเป็นศิลปินใหม่ที่มาแรงสุดๆ เมื่อเธอออกซิงเกิ้ลที่สองคือ Dog Days Are Over ที่สุดแสนจะอาร์ท จากการที่เพลงค่อยๆโหมโรงมาผ่านเครื่องดนตรีทีละชิ้นๆ จนเมื่อกลองดังขึ้นแหละครับ ที่ทำให้เราแทบจะเผลอกระโดดเล่นบนเตียงของเราไปตามเพลงเลย

แต่เพลงที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักกันไปทั่วเกาะอังกฤษคือซิงเกิ้ลที่สาม นั่นคือ Rabbit Heart (Raise It Up) ที่ช่างแปลกและแหวกแนว ด้วยความที่มันเต็มไปด้วยบรรยากาศพิลึกๆตลอดทั้งเพลง ยิ่งบวกกับมิวสิควิดีโอ ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับถูกดึงเข้าไปในงานเลี้ยงน้ำชาสุดเพี้ยนในโลกของอลิซในแดนมหัศจรรย์ ผมยังคิดเลยว่า ต่อให้ใช้คำทั้งหมดที่มีในพจนานุกรม ยังไม่พอที่จะเอามาบรรยายความยอดเยี่ยมของเพลงๆนี้ได้เลยด้วยซ้ำ และจากเพลงนี้เองที่ส่งให้เธอเป็นดาวโรจน์มาแรงของวงการเพลงอังกฤษอย่างแท้จริง

และในที่สุด อัลบั้มแรกของเธอ Lungs ก็ออกวางขายในปีนี้ และไม่เกินเลยอะไรถ้าจะพูดว่ามันคืออัลบั้มที่นักวิจารณ์และแฟนดนตรีเฝ้ารอกันมาตลอดปีนี้ แต่น่าเสียดายไปหน่อยที่ เธอไม่อาจะเติมเต็มความคาดหวังของทุกคนได้ แม้มันจะไม่ใช่อัลบั้มที่แย่ แต่เทียบกับความ Hype รอบๆตัวเธอแล้ว มันน่าจะทำได้ดีกว่านี้ครับ 3 เพลงแรกของอัลบั้มอย่าง Dog Days Are Over, Rabbit Heart และ I am not calling you a liar นั้นเยี่ยมไร้ที่ติ เป็นการประสานงานที่งดงามไม่ต่างจากกองหลังเอซี มิลานยุคแคลสสิคจริงๆ

florence-and-the-machine 

แต่ว่าที่น่าเสียดายคือนอกเหนือจากสามเพลงนั้นแล้ว เพลงที่เหลือออกจะซ้ำซาก วนเวียนไปหน่อย ซึ่ง เท่าที่อ่านสัมภาษณ์ ก็อาจจะเป็นเพราะว่า เธอต้องการให้งานเพลงออกมามีความไหลลื่น เป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งเป็นไอเดียที่ไม่เลว เพียงแต่ มันอาจจะได้ผลดีเกินไปหน่อย เลยเป็นเหมือนเพลงเดิม ซ้ำไปมาแทน

แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังเป็นศิลปินที่น่าลุ้นมากๆครับ เพราะตอนนี้ก็จ่อชิงรางวัล Mercury Prize ไปเรียบร้อยแล้วครับ นอกจากนี้ยังชนะรางวัลย่อยๆอย่างอื่นอีกด้วย แถมยังได้เล่นสดในเทศกาลระดับยักษ์อย่าง Glastonbury และ Carling Leeds and Reading Festival อีกด้วยครับ ใครจะเชื่อว่ามาแรงได้ขนาดนี้ ปีนี้คงต้องแย่งกันแล้วล่ะครับ ว่าระหว่างเธอกับ Lady Gaga ใครจะเป็นศิลปินหญิงหน้าใหม่ที่มาแรงกว่ากัน

 

Maxwell: เสียงกระซิบจากเทพบุตร

Technorati Tags: ,

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านๆมาค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับผม เพราะเปิดทีวีมาก็เจอแต่ข่าวหมีแพนด้า กับข้อมูลที่ไม่ค่อยจะเที่ยงตรงเกี่ยวกับไข้หวัด แต่อย่างน้อยยังดีที่ จู่ๆ ข่าวที่น่ายินดีเป็นอย่างมากก็มาเตะหู นั่นคือการกลับมาอย่างไม่น่าเชื่อของนักร้องผิวสีเสียงดีระดับเทพที่ชื่อ Maxwell เพราะว่าเขาเงียบหายไปจากวงการไปเกือบสิบปีแล้ว และที่ทำให้ผมดีใจได้เป็นเพราะว่า เขาคือหนึ่งในศิลปินคุณภาพคับแก้วชนิดที่เรียกได้ว่า ไม่เคยทำให้เราผิดหวังกับผลงานของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

maxwell bw 

Maxwell น้อยนั้นเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เขากลายเป็นเด็กขี้อายและเคร่งในศาสนามาก เขาเริ่มร้องเพลงในโบสถ์ ต่อมาเขาจึงเริ่มหันมาจริงจังกับการร้องและแต่งเพลงเต็มตัว เมื่อได้คีย์บอร์ดถูกๆจากเพื่อนเมื่อตอนอายุ 17 เขาจึงเริ่มแต่งเพลงของตนเอง โดยได้รับอิทธิพลของดนตรี R&B ในยุค 80’ และเขาก็เริ่มออกแสดงตามคลับในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เพื่อนๆของเขาต้องงง เพราะว่าไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้าเด็กขี้อายจะกล้าแสดงออกต่อหน้าคนได้ แต่การตัดสินใจของเขานั้นเป็นเรื่องดีไป เมื่อค่าย Columbia มาเซ็นสัญญากับเขา

ซึ่งเขาเองก็ไม่ยอมเสียเวลา โดยเริ่มอัดผลงานในปีนั้นทันที โดยได้ร่วมงานกับนักแต่งเพลงอย่าง Leon Ware เคยร่วมงานกับ Marvin Gaye ตำนานเพลงโซล และ Wah Wah Watson แต่เมื่ออัลบั้มเสร็จ Columbia กลับไม่มั่นใจกับคุณภาพของมัน ทำให้ตัดสินใจเลื่อนการออกวางขายไปก่อน และค่อยนำมันออกมาวางขายในปี 1996

3633523087_17104753ea

ดูเหมือนว่า Columbia จะคาดการถูกในทีแรก เพราะว่ายอดขายของอัลบั้ม Urban Hang Suite นั้นค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวาเลย แม้ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Til The Cops Come Knockin’ จะสร้างชื่อได้บ้าง แต่พอซิงเกิ้ลถัดมาอย่าง Ascension (Don’t Ever Wonder) เป็นเพลงฮิต ทำให้อัลบั้มเองก็ขายดีระดับ Platinum

จริงๆแล้ว Urban Hang Suite ควรจะเป็นอัลบั้มที่ทำยอดขายถล่มทลายแต่แรกเลย เพราะมันคืออัลบั้มเพลงโซลที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกชิ้นเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ มันรับเอาอิทธิพลด้านการแต่งเพลงของ Marivin Gaye เข้ามาผสมกับความทันสมัยของ Prince ได้อย่างงดงาม รวมทั้งเนื้อเพลงที่เรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับรักอันบริสุทธิ์ พูดง่ายๆคือ มันคือความสมบูรณ์แบบ และส่งเขาไปอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับศิลปิน Neo-Soul ร่วมรุ่นอย่าง D’Angelo และ Erykah Badu ในทันที แต่ที่ Columbia เลือกดองมันไว้ก่อนเพราะคิดว่าแนวเพลงรักอันบริสุทธิ์ไม่น่าจะเอาชนะความเสเพลในแบบของศิลปินผิวสีในยุคนั้นได้ แต่สุดท้ายแล้ว รักอันบริสุทธิ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันเอาชนะได้ทุกอย่าง

maxwell 

Urban Hang Suite เต็มไปด้วยเพลงชั้นเยี่ยมชนิดที่ตัดมาเป็นซิงเกิ้ลได้ทุกเพลง ขนาดเพลงบรรเลงเปิดปิดอัลบั้มยังเต็มไปด้วยความ Cool แบบไม่มีวันจบ Ascension ก็โชว์ความงดงามของเสียงเขาได้อย่างดี ส่วน Somethin’ Somethin’ ก็ทำให้วลีว่า ‘Rock with you’ กลับมาเท่อีกวาระ Suitelady ก็โชว์พลังเสียงของเขาได้อย่างงดงาม แต่ที่งดงามราวกับราตรีที่เต็มไปด้วยแสงดาวก็ต้องเป็น Whenever Wherever Whatever ที่เป็นเพลงรักที่แสนโรแมนติกและงามอย่างไร้ที่ติ มันคืออัลบั้มที่คุณควรมีติดรถไว้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพาหญิงคนรักไปขับรถในเมืองเวลากลางคืน ถ้าหากเธอไม่ระทวยไปกับอัลบั้มที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ผมขอแนะนำให้เลิกคบผู้หญิงไร้อารมณ์คนนั้นดีกว่า

และเมื่อเขาดังไปทั่ว ค่ายเพลงก็ตัดสินใจออกอัลบั้ม MTV Unplugged ในปีถัดมา ที่ทำให้เขาเป็นที่สนใจนอกวงการเพลงโซลอีกด้วย เพราะว่าเขาเลือกคัฟเวอร์เพลงอย่าง This Woman’s Work ของ Kate Bush และ Closer ของ Nine Inch Nails

เมื่ออัลบั้มที่สอง Embrya ออกมา มันยังคงความยอดเยี่ยมไว้เช่นเคย แต่ครั้งนี้ เขาเริ่มค้นหาแนวเพลงใหม่ๆมาผสมลงไป บวกกับชื่อเพลงที่ข้นข้างเสแสร้ง ทำให้นักวิจารณ์หลายคนไม่ชอบมันนัก แต่เขาก็คืนฟอร์มกลับมาได้อย่างงดงามใน Now อัลบั้มปี 2001 ที่นอกจากมีเพลงช้าๆอย่าง Lifetime ที่แสนโรแมนติกแล้ว ยังมี Get to Know Ya ที่ไร้ที่ติโดยสิ้นเชิง ก่อนที่เขาจะเงียบหายไปถึง 8 ปี

Style: "BLUE03"

และเขาเลือกจะออกอัลบั้มใหม่ BLACKsummers'night เป็นส่วนหนึ่งของไตรภาคมาก่อนในปีนี้ และเขาไม่ได้ทำให้เราผิดหวังเลย เพราะมันคือการกลับมาอย่างงดงาม เพราะนอกจากจะมีเพลงช้าๆสวยๆอย่าง Pretty Wings ซิงเกิ้ลแรกแล้ว ยังมีเพลงโซลที่สุดสวยอย่าง Fistful of Tears และ Stop the World อีกแล้ว ถามยังมีเพลงที่ upbeat ขึ้นอย่าง Love You และเพลงบรรเลงปิดอัลบั้มอย่าง Phoenix Rise ที่ super-cool จริงๆครับ

แม้เขาจะว่างเว้นจากการทำเพลงไปนาน แต่เมื่อกลับมาก็สามารถครองตำแหน่งราชาได้อย่างทันที และบัลลังก์ของเขาคงยังจะมั่นคงต่อไปอยู่อีกนานด้วยอีกสองอัลบั้มที่กำลังเตรียมคลอดในปีหน้าอีก

Placebo: เบี่ยงเบนบนดนตรี

Technorati Tags: ,

หลังจากเห็นข่าวว่ามีวัดแจกน้ำมนต์เพื่อช่วยรักษาโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ ทำให้ผมนึกถึงปรากฏการณ์ที่หมอหลอกให้คนไข้กินน้ำตาล แล้วบอกว่าเป็นยารักษามะเร็ง ผลก็คือ คนไข้ที่เชื่อดังนั้นกลับหายจากมะเร็งจริงๆ ทำให้เชื่อว่า ใจอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ ที่เริ่มต้นแบบนี้ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แต่ว่า การรักษาด้วยวิธีดังกล่าวเรียกว่า Placebo ซึ่งก็คือชื่อของวงที่ผมจะมาแนะนำในสัปดาห์นี้แหละครับ

กำเนิดของวง Placebo ออกจะเหมือนนิยายน้ำเน่าหน่อย สองแกนนำหลักของวงคือ Brian Molko (ไบรอัน ร้องนำ กีตาร์) หนุ่มฝรั่งเศส และ Stefan Olsdal (สเตฟาน เบส) หนุ่มสวีเดนนั้น เคยเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน แต่ก็ไม่รู้จักกัน จนบังเอิญได้มาเจอกันที่อังกฤษ โดยที่ Brian ชวน Stefan มาดูเขาเล่นสนในบาร์ และ Stefan เห็น Brian มีศักยภาพล้นเหลือจึงตัดสินใจว่า ควรจะเริ่มตั้งวงกับไอ้หมอนี่ พวกเขาได้ Robert Schutlzberg (โรเบิร์ต) หนุ่มสวีเดนที่รู้จักกันกับ Stefan มาก่อน มาเล่นกลองให้ ในที่สุด วงนานาชาติชื่อ Placebo ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

Music_Placebo_004027_ 

พวกเขาได้สัญญากับค่ายเพลงอย่างรวดเร็ว และเริ่มกระหน่ำออกซิงเกิ้ล และอัลบั้มแรกของพวกเขาในปี 1996 ที่ใช้ชื่อเดียวกับวง ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย และได้รับคำชมจากทั่วสารทิศ และกลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการทันที ความสำเร็จนั้นเป็นส่วนผสมกันระหว่าง ดนตรีที่ได้รับอิทธิพลจากกรันจ์ที่ผสมเอาความฟู่ฟ่าของแกลมลงไปด้วย ให้มันไม่เหมือนใครเลย นอกจากนี้ แล้วสำเนียงอังกฤษของคนที่โตมาในฝรั่งเศสของ Brian ก็มีส่วนสร้างเอกลักษณ์ของพวกเขาด้วย แต่ที่เป็นที่น่าโจษจันมากที่สุดก็คือภาพลักษณ์เรื่องเพศของพวกเขา Brian ไอ้หนุ่มร่างเล็กหน้าสวยประกาศตัวเองอย่างชัดเจนว่าเป็นเสือไบ ส่วน Stefan ไอ้หนุ่มร่างโย่ง ก็เป็นเกย์อย่างเปิดเผย ซึ่งสำหรับสังคมอังกฤษแล้ว มันเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาก

ความเบี่ยงเบนทางเพศนั้นแสดงออกอย่างชัดเจนในเพลงเปิดตัวอย่าง Nancy Boy โดย Brian บอกว่า เขาไม่ได้บอกให้คนเป็นเกย์ แต่อยากให้ทุกคนยอมรับในตัวของตัวเอง และในคนอื่นด้วย นอกจากนี้แล้วเพลงอื่นๆในอัลบั้มยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างชัดเจน แต่ว่า มันก็ยังเป็นอัลบั้มชั้นเยี่ยมที่บรรจุความดิบ ความโกรธของวัยรุ่น ที่แสดงผ่านออกมาทางความฟู่ฟ่าได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพลงเด่นอย่าง Teenage Angst, 36 Degrees หรือ Bruise Pristine นั้นมันสะใจทุกครั้งที่เราได้ฟัง ส่วน Hang on to your IQ และ I Know เพลงช้าก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน และจากการที่มันออกวางขายได้ถูกที่ถูกเวลา เพราะมันเป็นช่วงบูมของ Brit Pop อยู่ ทำให้พวกเขาดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง และเป็นหนึ่งในไม่กี่วงที่รอดจากวิกฤตการณ์ฟองสบู่แตกมาได้จนถึงทุกวันนี้

placebo4xs2

แต่ว่าหลังจากเริ่มดัง Robert ก็โดนไล่ออกจากวง เพราะว่าเขานิสัยรุนแรงเกินไป พวกเขาเลยดึงเอา Steve Hewitt (สตีฟ) เพื่อนเก่าที่เคยร่วมเล่นกันด้วยสั้นๆกลับเข้ามาในวงแทน แต่ใครจะคิดว่าการเปลี่ยนมือกลองจะส่งผลได้เกินคิด เพราะ Robert เป็นมือกลองที่มือหนักกว่า Steve มาก ทำให้ดนตรีของพวกเขาขาดความหนักหน่วงไปในทันที

พวกเขาออกอัลบั้มที่ 2 Without You I’m Nothing ในปี 1998 ที่มีเพลงดังอย่าง Pure Morning หรือ You Don’t Care About Us ที่มันสะใจ Every You, Every Me ส่งให้พวกเขาดังไปถึงอเมริกาได้ และเพลง Without You I’m Nothing ที่ถึงขนาดดึงความสนใจของ David Bowie ให้มาร่วมงานตอนเล่นสดได้ นอกจากนี้พวกเขายังได้ทำเพลงให้กับหนังโคตรแกลมและเกย์อย่าง Velvet Goldmine ที่พวกเขาไปโผล่นิดๆในเรื่องด้วย

placebo_1024

แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มเสื่อมความนิยมลงในอังกฤษ เพราะว่า Brit Pop เริ่มเป็นเรื่องตลกไปแล้ว Black Market Musicอัลบั้มที่ 3 ในปี 2000 ไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนเก่า แม้พวกเขาจะพยายามผสมดนตรีฮิปฮอป และแดนซ์เข้าไปในเพลง เช่น Spite and Malice และ Taste In Men แต่มันก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร แม้จะมีเพลงเด่นอย่าง Special K แต่มันก็ไม่ได้รับความนิยมเหมือนเก่า พวกเขาเลยหันเหจากตลาดอังกฤษไปสู่ทั่วยุโรปแทน

สองอัลบั้มต่อมาอย่าง Sleeping with Ghosts ในปี 2003 ที่มีเพลงเด่นอย่าง English Summer Rain และ Meds ในปี 2006 ที่มีเพลงเด่นอย่าง Because I Want You นั้น เงียบในอังกฤษแต่ก็ยังได้รับความนิยมจากตลาดยุโรปเช่นเคย

และล่าสุดพวกเขากลับมาในปีนี้กับอัลบั้มใหม่ Battle for the Sun ที่ผมว่าเป็นการคืนฟอร์มได้อย่างสวยงาม และโชว์ความเก๋าสมกับที่อยู่ในวงการมาได้เกิน 10 ปีเป็นอย่างดี เพราะมันมีเพลงเจ๋งๆอย่าง Ashtray Heart ที่มันสะใจในแบบคลาสสิกของพวกเขา Bright Lights และ Never Ending Why ที่ทำให้เรารู้สึกดีที่ทุกครั้งที่ฟัง และ Speak in Tongues ที่ทรงพลังและยอดเยี่ยมจริงๆ ทำให้เราคิดว่า พวกเขาคงจะยังอยู่ในวงการได้อีกนาน และสร้างความสะใจให้กับเราได้ทุกครั้งที่ปรากฏตัวบนเวทีได้เสมอ

Kasabian: ห้าว กร้าว ดิบ

Technorati Tags: ,

จั่วหัวแบบนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหนังใหม่น้องจีจ้า ที่มีตัวอย่างให้ดูว่านางเอกเจ็บจริง (อีกแล้ว) โดยที่ยังไม่รู้ว่าเนื้อเรื่องเป็นไงกันแน่ แต่ว่าจะมาเขียนถึงวงอีกวงหนึ่งที่ติดตามมานาน และมันก็ห้าว กร้าว ดิบ และแสบสมที่จั่วหัวไว้ นั่นคือ Kasabian ไอ้เด็กห้าวจากเมืองเหนือของอังกฤษนั่นเอง

kasabian 

Kasabian เริ่มต้นด้วยการรวมตัวกันของเพื่อนวัยรุ่นจากเมือง Leicester ประเทศอังกฤษ ที่รู้จักกันในโรงเรียนมัธยม โดยเริ่มต้นด้วย Tom Meighan (ทอม ร้องนำ) Sergio Pizzorno (เซอจิโอ กีตาร์) Chirs Edwards (คริส เบส) Chris Karloff (คริส คีย์บอร์ด กีตาร์) Ash Hannis (แอช กลอง) พวกเขาเริ่มทำงานเพลงกันตั้งแต่อายุยังไม่จบม.ปลายกันแล้ว โดยทีแรกพวกเขาเรียกตัวเองว่า Saracuse และเริ่มทำงานเพลงอย่างจริงจังถึงขนาดอัด EP ออกมาได้แล้ว ก่อนที่ Sergio ที่เป็นเหมือนสมองหลักของวงไปเจอกับชื่อ Linda Kasabian คนที่ทำหน้าที่ขับรถพา Charles Manson หนีหลังจากฆ่าคนตาย เขาคิดว่ามันเป็นชื่อที่ฟังดูดี และติดหู เลยเลือกเปลี่ยนชื่อวงมาเป็น Kasabian แทน โดยไม่ได้เป็นการแสดงความชื่นชม Charles Manson แต่อย่างใด (ดีแล้วล่ะครับที่เปลี่ยน เพราะจินตนาการวงที่มีชื่ออย่าง Saracuse ดังไม่ได้เลย)

หลังจากสะสมประสบการณ์มานาน พวกเขาก็เริ่มออกซิงเกิ้ลแรกในปี 2003 คือ Processed Beat และตามด้วย Reason is Treason ที่ทำให้พวกเขาเริ่มเป็นที่จับตามองของสื่อแม้จะยังไม่ได้รับความนิยมในตลาดมากนัก เพราะความสดใหม่ของดนตรีของพวกเขาที่เป็นการผสมผสานดนตรีหลายแนวเขาด้วยกัน อย่าง Processed Beat ที่เป็นเพลงลูกผสมระหว่าง ร๊อค อีเล็กโทรนิกส์ กับบรรยากาศแบบไซคีเดลิกกลายๆ ได้อย่างลงตัว ส่วน Reason Is Treason ก็เป็นร๊อคเร็วๆ หลอนๆ ที่มันสะใจคล้ายๆกับงานของวง Primal Scream ยุค XTRMNTR ที่เป็นลูกผสมระหว่าง ร๊อคกับอีเล็กโทรนิกส์อย่างลงตัวที่กระแสธารของเบสที่ต่อเนื่องแบบไม่มีวันหมดนั้นชวนเราเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วจริงๆ อนาคตของพวกเขาทำท่าจะสดใสทันที แต่ว่ามือกลองก็มาขอลาออกจากวงซะก่อน

dxcik1449362

แม้เหลือ 4 คน พวกเขาก็เริ่มเป็นข่าวลงนิตยสารมากขึ้นจากการที่ขยันจัดกิ๊ก (แสดงสดแบบย่อย ไม่ใช่แบบของคนไทย) แบบกองโจร และได้ลงนิตยสาร NME ในส่วนของวงที่น่าจับตามองโดยมีเพื่อนร่วมรุ่นเท่าที่จำได้คือ The Ordinary Boys (ดังเพราะรีอัลลิตี้โชว์มากกว่า) Glitterati (ขยันเอามากกว่าทำเพลง) Keane (ดังในหมู่ชนชั้นกลาง) YOURCODENAMEIS:MILO (หัวหน้าวงไปอยู่ The Automatic แล้ว) ซึ่งเท่าที่เห็น ดูเหมือนจะมีแค่ Kasabian เท่านั้นที่ยังสร้างชื่อในวงการร๊อคได้

แต่เพลงที่ทำให้พวกเขาดังระเบิดก็คือ ซิงเกิ้ลที่ 3 คือ Club Foot ที่ส่งพวกเขาดังไปทั่ว เพราะมันคือเพลงที่โคตรมันจากการผสมผสาน ร๊อค อีเล็กโทรนิกส์ แบ๊กกี้ และ ความห้าวแบบไอ้หนุ่มเมืองเหนือ (Lad) ที่ออกมาลงตัวเหลือเกิน และอาจจะเป็นเพราะว่าในช่วงนั้นกระแสไอ้หนุ่มสำอางแบบลอนดอนของ The Libertines มาแรงเหลือ คนเลยต้องการแบบห้าวๆบ้าง ซึ่ง Tom ก็เหมือนร่างจุติของไอ้ Liam Gallagher อยู่ด้วย ยิ่งซิงเกิ้ลต่อมา LSF ทำให้เราต้องนึกถึงไอ้เลียมจริงๆ เมื่ออัลบั้มเต็มชื่อเดียวกับวงออกขายในปี 2004 ก็สรุปได้เลยว่า Lad Rock กลับมาแล้ว

kasabian2- 

ในปี 2006 พวกเขาก็กลับมาพร้อมอัลบั้มใหม่ Empire โชว์ความทะเยอทะยานมากยิ่งกว่าเดิม ตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรกและเพลงเปิดอัลบั้มที่ชื่อเดียวกัน Empire ที่เป็นเพลงร๊อคที่เต็มไปด้วย Ego ที่ใหญ่พอเติมเต็มเวมบลีย์เลยทีเดียว แต่เมื่อได้ยินซิงเกิ้ลต่อมาอย่าง Shoot the Runner ที่มันสะใจสุดแล้ว ทำให้เราได้รู้ว่า จริงๆพวกเขาเล็งถึงขนาดยึดเกาะอังกฤษมากกว่า เพราะมันมโหฬารขนาดล้นเกาะเลยครับ แนะนำให้เปิดโวลุ่มเต็มแม๊กซ์เลย นอกจากนั้นยังมีเพลงที่โคตร road อย่างเพลง Stuntman ที่ชวนเหยียบอีกแล้ว แล้วยังตามด้วยเพลง Search and Destroy มันไม่แพ้กัน แล้วยังมีเพลงที่โคตรไซคีเดลิกอย่าง Me Plus One มาให้หลอนกันเล่นอีก

tom-meighan-of-kasabian-1 

หลังจากพวกเขาออก EP Fast Fuse ที่โคตรมันแบบร๊อคแอนด์โรลมาชิมลางในปี 2007 ปีนี้พวกเขาก็ออกอัลบั้มเต็มชุดใหม่ West Ryder Pauper Lunatic Asylum (ยาวชิ) มาให้เรามันสะใจอีกรอบ และงวดนี้มันยิ่งห้าวกว่าเดิมครับ เพราะแต่ละเพลงมันทั้งมัน สะใจยังกะช้างแอฟริกาแตกโขลงเลยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น Fire ที่ยังคงแนวดนตรีห้าวๆของพวกเขา แต่ผสมเอาดิสโกลงไปด้วย Where Did All The Love Go ที่เหมือนการขับรถข้ามรัฐ Take Aim ก็เหมือนงานทดลองของ Beastie Boys ส่วน Swarfiga ก็คือเพลงเชื่อมที่สุดจะวินาศสันตะโร แต่ที่เยี่ยมสุดคือ Vlad The Impaler ที่นอกจากชื่อเพลงจะเท่แล้ว ยังเป็นการผสมผสานดนตรีสารพัดชนิดได้อย่างลงตัว (ขนาดฮิปฮอปยังมีเลยครับ) นึกไม่ถึงเลยว่าเล่นสดจะมันแค่ไหน ผมจำกัดความอัลบั้มนี้ได้สั้นๆด้วยคำว่า Excellent

หลังจากออกอัลบั้มเด็ดๆแบบนี้ออกมาแล้ว ที่เหลือที่เราอยากมีโอกาสได้เห็นคงเป็นการแสดงสดของเขาเท่านั้นแหละครับ

Thursday, August 20, 2009

Heineken Green Space One World Party

20:12 น. ของวันที่ 11 สิงหาคม คืนก่อนวันแม่ (ถ้าเป็นฝรั่งต้องเรียกว่า Mother Day Eve) ผมเร่งรถ โตโยต้า แคมรี่มังกรขาวคู่กายไปตามถนนเพชรบุรีหลังเลิกงาน เพื่อให้ทันงานคอนเสิร์ตระดับโลกที่เริ่มต้นตั้งแต่ 19:00 น. แน่นอนว่าผมเลทไปเรียบร้อย แต่อย่างน้อย ด้วยความยาวของคอนเสิร์ต ทำให้ผมไม่ยอมถอดใจ เพราะว่ามันคืองาน Heineken Green Space One World Party นั่นเอง (ครั้งนี้เกี่ยวกับ อบายมุข กรุณาอ่านหลังสี่ทุ่ม เดี๋ยวคนเขียนจะโดนกระทรวงไดโนเสาร์โวย)

ตั้งแต่ได้ข่าวงานนี้ ผมก็สนใจเอาเรื่อง เพราะเห็นทาง Heineken ตั้งใจจัดงานแนวนี้มาตลอด โดยมี เจ มณฑล ดีเจ ไฟแรงของบ้านเราเป็นหัวหอก แต่ผมไม่เคยมีโอกาสไปร่วมงานซักที (ครั้งที่จะได้ไป ก็เลือกไปดู Ken Ishii มาเปิดแผ่นแทน) แต่งานนี้ เนื่องจากมันใหญ่ขนาดบักเอ้บจริงๆ (ถามความหมายเพื่อนอีสานเอา) เลยพยายามหาตัว แต่ก็ไม่ได้ซะที จนจะวันงาน เกิดทางสว่างเมื่อเพื่อนที่ไทยโพสต์บอกว่าพีอาร์ของ Phillip Morris ให้ตั๋ว VIP มา ก็เลยสมใจ แต่ก็ต้องรีบบึ่งแบบนี้แหละครับ

IMG_4091

ที่บอกว่างานมันใหญ่มากเพราะนอกจากวงไทยจะขึ้นเล่นหลายวงแล้ว ยังมี Super Group ไทย ชนต่างชาติให้สนุกกันด้วย แถมวง Tahiti 80 จากฝรั่งเศส และ Brand New Heavies วงระดับตำนานจากอังกฤษ ก็มาร่วมงานด้วย เลยพลาดไม่ได้แน่นอนครับ

พอไปถึงงานที่ Central World เมื่อลิฟท์เปิดออก ก็เจอคนเพียบเลยครับ เลยสงสัยว่างานมันเริ่มแล้วจริงๆเหรอ พอถามเพื่อน มันก็บอกว่าเริ่มแล้ว แต่คนก็ออกมาหาเบียร์กิน ดูดบุหรี่ คุยกันไปเรื่อย เลยทำให้ผมสงสัยหลายๆคนว่า มันมาฟังเพลง หรือมาทำตัว แนวๆ ตามแบบ Hipster กันแน่ แต่ก็ช่างศีรษะเขาไป เพราะตอนที่ผมเข้าไป ก็ได้ยินเสียเพลง Black Or White ของ Michael Jackson กระหึ่มออกมาแล้ว พอเข้าไป ก็เจอ เบน ชลาธิศ ร้องนำให้กับ Super Group ของเมืองนอกอยู่ ซึ่งเท่าที่ทราบมาก็เป็นนักดนตรีเซสชั่นจากหลายๆที่มาแจมกัน แต่ละคนก็ฝีมือไม่ธรรมดาเลยครับ ฟังแล้วเพลินมาก แต่จริงๆน่าจะให้นักร้องเจ้าของภาษามาร้องน่าจะดีกว่า วงเล่นอีกเพลงของ Queen แล้วก็ลาจากแฟนครับ หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเบรกแสนยาวนาน เลยรับเบียร์ฟรี และไปยืนอัดบุหรี่ฟรีหน่อย ของฟรี ปฏิเสธไม่ลงครับ PR ของค่าย Phillip Morris รู้ใจจริงๆ

ผมขอออกตัวไว้ก่อนว่า เป็นคนที่ไม่ได้ตามเพลงไทย และไม่ฟังวิทยุ เลยไม่ค่อยรู้จักวงการนี้เท่าไหร่นัก ข้อมูลเลยไม่แน่น ต้องขอโทษด้วยครับ จะว่ากระแดะก็ได้ครับ

IMG_4010

จากนั้น ก็เป็นคิวของ Super Group ไทย ที่มีสมาชิกอย่าง Squeeze Animal สมเกียรติ Z-Mix มาแจมกัน โดยเพลงแรกได้ นุ้ย จาก Peach Band มาร้อง ซึ่งทำให้ผม แฮปปี้มาก เพราะหลงรักเสียงเค้ามานานแล้วครับ ตามมาด้วย Stamp และ คัตโตะจากลิปตา และที่เซอไพรส์สุดคือ จากนั้น พี่น้อยวงพรูก็ออกมาร้องและเต้นเพลง Billie Jean อย่างเมามัน ถึงขนาดจากลีลาไมเคิล ไปๆมาๆ กลายเป็นหนุมานไปซะ น่าจะเรียก เสก โลโซมาแจมเลยดีกว่า สุดท้ายก็เป็นเบน ชลาธิศอีกครั้ง ตามด้วย บี้ พีระพัฒน์ ครับ ก่อนจะเบรกยาวๆ ให้คนไปหาเบียร์มากระแทกปากอีก

IMG_4046

หลังจากเบรก ก็เป็นคิวของ Tahiti 80 วงพ๊อพฟังค์ ฟังสบายจากฝรั่งเศสที่โด่งดังในบ้านเราจากเพลง Hearbeat ที่ขึ้นมาก็เล่นได้อย่างเมามัน สะใจจริงครับ ผมว่าความมันไม่ต่างจาก Maroon 5 เมื่อปีที่แล้วเลย สนุก สะใจจริงๆครับ พวกเขาขนเพลงดังๆมาเล่นทั้งหมด 8 เพลง โดยที่เพลงสุดท้ายได้ วง Tattoo Color วงดังจากขอนแก่นบ้านเดียวกันมาแจมอย่างสะใจอีกเพลงครับ

และ Tattoo Color ก็ขึ้นเล่นต่อทันที จัดว่าเป็นมวยลำบาก เพราะเล่นต่อวงใหญ่ขนาดนั้น แถวเวลาเช็คซาวนด์ก็น้อย เสียงเลยไม่ดี แม้จะพยายามเต็มที่ แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่เต็มร้อยครับ

IMG_4073

จนถึงเวลาที่ผมรอคอยคือ Brand New Heavies ที่ออกมาโชว์ฝีมืออย่างเต็มที่ และการที่ได้ Davenport นักร้องยุคก่อตั้งกลับมาร่วมงาน ทำให้ผมได้แต่ดูและชื่นชมพวกเขาอย่างหมดใจจริงๆครับ ไม่เพียงแค่ทักษะเจ๋งๆที่เขาแสดงให้เห็น แต่วิญญาณของความสนุกนั้นแผ่ออกมาจากริมฝีปากของ Davenport ไปทั่วเวทีจริงๆครับ และการได้ฟังเพลงโปรดอย่าง You Are The Universe แบบสดๆนั้น บอกตามตรงว่าลืมไม่ลงจริงๆครับ ช่วงท้ายพวกเขาเชิญ นุ้ย และ Groove Riders มาแจมด้วย และปิดการแสดงอย่างงดงามครับ จากนั้นผมเลือกกลับก่อนเพราะว่าดึกมากแล้ว ทนรอดู Groove Riders ไม่ไหว ต้องขอโทษด้วยครับ

IMG_4090

งานนี้ ผมชอบที่เอาวงดังๆมาเล่น แต่ส่วนตัวแล้ว ไม่ค่อยชอบแนว Super Group ครับ เพราะรุ้สึกเหมือนไม่จริงจังเท่าเล่นวงหลัก ส่วนที่ขอติอีกหน่อยคือ ช่วงเปลี่ยนวง ช้ามาก ทำให้เวลาเลทมาก ผมดู Taste of Chaos ญี่ปุ่น เล่น 7 วง จบทันเวลา ไม่มีเลทครับ น่าจะแก้ตรงนี้หน่อย นอกนั้นก็ไม่มีอะไรมากครับ เพราะรัก ถึงติครับ หวังว่า ถ้าครั้งหน้ามีอีกก็ชวนกันด้วยแล้วกันนะครับ

 

(ดูรูปทั้งหมดได้ที่ http://www.facebook.com/album.php?aid=143613&id=634175288&l=3e3086d1a3)