ในวงการเพลงฮิปฮอป ส่วนใหญ่ศิลปินที่ครองตลาดได้ มักจะต้องเป็นแนวโชว์เก่า โชว์พาว ข่มคนอื่น จนทำให้รู้สึกว่า บางคนมันไม่ได้แร๊พเป็น แค่พูดเกรียนไปเรื่อยๆ ส่วนบางชาติ ยิ่งแล้วใหญ่ ทำตัวเป็นคนผิวดำยิ่งกว่าคนผิวดำเสียอีก บอกตรงๆครับ ดูแล้ว อนาถ แต่ในกลุ่มนั้นก็มี-พวกแหวกแนวออกมา กลายเป็นพวกแร๊ปเปอร์ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มแร๊ปเปอร์เด็กเรียนไป และ Lupe Fiasco ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนั้นด้วยครับ
Lupe Fiasco (ลูเป้ เฟียสโค) เกิดในครอบครัวชาวผิวดำนับถืออิสลามในชิคาโก โดยมีชื่อจริงว่า Wasalu Muhammad Jaco โดยตอนเด็กพ่อแม่ของเขาแยกทางกัน แต่พ่อแม่ของเขาก็ยังทำหน้าที่ของพ่อแม่ที่ดีได้ พ่อเขาให้เขาฟังเพลงหลากหลายแนว จนกลายเป็นเบ้าหล่อหลอมเขา ละแวกที่เขาโตมาจัดเป็นย่านเสื่อมโทรมมีทั้งพวกค้ายา ประเวณี แต่ในบ้านเขาก็เต็มไปด้วยหนังสือหนังหาไว้อ่านหาความรู้เหมือนกัน
ทีแรก เขาไม่ชอบดนตรีฮิปฮอปเพราะภาษาที่หยายคาย และสนใจที่จะเล่นเพลงแจ๊ซมากกว่า แต่สุดท้าย อัลบั้มที่โดดเด่นเรื่องการเล่นคำและใช้ภาษาอย่าง It Was Written ของ Nas ก็เปลี่ยนใจเขาได้อย่างสิ้นเชิง เขาเริ่มสนใจการแร๊ปและใช้ฉายาต่างๆทำเพลงกับเพื่อนๆ โดยมาลงตัวกับชื่อ Lupe Fiasco ที่ Lupe มาจากคำท้ายชื่อเขา (Lu) และ Fiasco ที่แปลว่าล้มเหลว ก็คือการเตือนตัวเองเสมอ
ทีแรก พ่อของเขาไม่ค่อยเห็นด้วยกับการจะเป็นแรปเปอร์ของเขา แต่ก็ยอมให้ใช้บ้านเป็นสตูดิโอ ลูเป้และเพื่อนออกงานเพลงกับเพื่อนในนาม Da Pak และได้ออกซิงเกิ้ล แต่ก็ต้องแยกตัวไป ตัวเขาเองสุดท้ายก็ไม่พอใจกับเนื้อเพลงที่พูดถึงแต่เรื่องปืน ยา และผู้หญิงแบบแกงสเตอร์ ทำให้เริ่มหันเหมาทางการแร๊ปสายเนื้อหาแทน ต่อมาเขาได้สัญญาเป็นศิลปินเดี่ยวกับค่าย Arista แต่ก็หลุดสัญญาเมื่อประธานค่ายถูกปลด แม้จะน่าเสียดาย แต่ก็สร้างโอกาสให้เขาได้พบกับ Jay-Z ซึ่งประทับใจในตัวเขามาก และช่วยให้เขาได้สัญญากับค่าย Atlantic ต่อไป
เมื่อเขาเริ่มทำเพลงของตัวเอง เขาเริ่มเป็นที่ฮือฮาจากทำมิกซ์เทปคือ Fahrenheit 1/15 และการเอาเพลง Jesus Walks ของ Kanye West ทำใหม่เป็น Muhammad Walks ไปซะ เท่านั้นยังไม่พอ เขายังไปหยิบเอาเพลง Diamonds from Sierra Leone มาทำใหม่เป็น Conflict Diamonds และนั่นทำให้ Kanye สนใจในตัวเขา จนเชิญมาแร๊ปร่วมในเพลง Touch The Sky อีกซิงเกิ้ลเยี่ยมจากผลงานชิ้นที่สองของ Kanye และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว
และนั่นก็ทำให้ค่ายเพลงต้องรีบตักตวง ด้วยการเร่งคลอดซิงเกิ้ลแรกของเขา Kick, Push ก่อนกำหนด ซึ่งมันก็กลายเป็นความสำเร็จที่งดงาม เนื้อเพลงเกี่ยวกับคู่รักนักสเกตบอร์ด (ชื่อเพลงก็บอกแล้ว) แถมจังหวะของเพลงยังเป็นแบบโอลด์สคูล ทำให้นึกไปถึงงานเก่าของ Nas ได้เลย ยิ่งบวกกับกลิ่นของดนตรีแจ๊ซที่เจอมาในเพลงแล้ว ทำให้มันโดดเด่นจริงๆ และแสงก็ฉายไปที่ตัวเขาอย่างเต็มๆ
จากนั้น อัลบั้มแรกของเขา Lupe Fiasco's Food & Liquor ก็ได้ออกวางขายในปี 2006 โดยมี Jay-Z มาช่วย โปรดิวซ์ให้ ชื่ออัลบั้มสื่อถึงการรักษาสมดุลระหว่างความดีและเลว ตัวอัลบั้มเต็มไปด้วยจังหวะฮิปฮอปแบบโอลด์สคูล เจือกลิ่นของแจ๊ซ ต่างไปจากศิลปินอื่นๆที่เป็นที่นิยมในช่วงนั้น นอกจากซิงเกิ้ลแรกอย่าง Kick Push แล้ว ยังมี He Says She Says ที่แซมเปิ้ล Burt Bacharach Daydreamin’ ที่ร่วมงานกับ Jill Scott และ The Cool ที่เท่สมชื่อครับ งานชุดนี้กลายเป็นงานที่ได้รับเสียงเชียร์จากนักวิจารณ์ และยังก้าวไกลไปถึง ได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่หลากสาขา
ด้วยความขยัน ปีต่อมา เขาก็ได้ออกอัลบั้มที่สอง The Cool ซึ่งงานชุดนี้ยังเต็มไปด้วยแขกรับเชิญและสไตล์เฉพาะตัวของเขา โดยมีเพลงเด่นอย่าง Superstar ที่สุดเท่กับเสียงร้องของ Matthew Santos ซิงเกิ้ลที่ 3 อย่าง Paris, Tokyo แต่ถ้าชอบเพลงฟังค์โจ๊ะๆ ก็ต้อง High Definition ที่ได้เฮีย Snoop Dogg มาร่วมงานด้วยเลยครับ The Cool ยังรักษามาตราฐานได้เป็นอย่างดีและได้รับคำชมมากมายเหมือนเดิมครับ
และในปี 2011 นี้ เขาก็กลับมากับอัลบั้ม LASERS ซึ่งเต็มไปด้วยแขกรับเชิญเหมือนเดิมและก็เป็นอัลบั้มที่เด่นอีกอัลบั้มหนึ่งเลยล่ะครับ มีเพลงเด่นไม่น้อยเลย โดยเฉพาะ I Don’t Wanna Care Right Now ที่โจ๊ะได้ใจ Never Forget You ที่ร่วมกันก็ John Legend ก็หวานไม่เบา แล้วยังมี Break The Chain ที่ได้ Sway กับ Eric Turner มาร่วมงานโดยมี iShi โปรดิวซ์ให้จนแทบจะเป็นชุดเดียวกับ Tinie Tempah เลย แล้วยังมี The Show Goes On ซิงเกิ้ลแรกที่มาในแนวถนัดของเขาอีกด้วย
ถ้าใครอยากลองฟังเพลงฮิปฮอปแบบที่ไม่ต้องกระโชกโฮกฮาก ไล่ยิงกัน โชว์พาว ก็ลองหันมาฟังแนวสร้างสรรแบบนี้ก็ได้ครับ
No comments:
Post a Comment