Saturday, February 26, 2011

British Sea Power อินดี้คุณภาพ

Technorati Tags: ,

ไม่นานมานี้ ผมได้ซีดีมาแผ่นนึง ที่ทำให้ผมอยากเขียนถึงวงดังกล่าวมาก เพราะว่า แม้จะเป็นวงที่ไม่ได้ดังมากนัก (โดยเฉพาะในบ้านเรา) แต่เป็นวงอินดี้มีคุณภาพมากๆ และยังอยู่อย่างเหนียวแน่นแม้ว่าวงอื่นหลายวงจะจากวงการไปแล้วก็ตาม พวกเขาคือ British Sea Power ครับ

British Sea Power กำเนิดขึ้นจากการรวมตัวกันของเด็กหนุ่มจาก Kendal นั่นคือ Yan (ยาน ร้องนำ กีตาร์) ที่เป็นพี่น้องกับ Hamilton (แฮมิลตัน เบส) และเพื่อนกับ Wood (วู้ด กลอง) พวกเขาเล่นกันในวงนั้นวงนี้ ก่อนที่ยานจะเข้ามกาวิทยาลัย และพบกับ Noble (โนเบิ้ล กีตาร์) และตั้งวงขึ้นมา และดึงเพื่อนเก่าสองคนเข้าร่วม และก็ค่อยดึงเอา Abi Fry (เอบี้) มาเล่นวิโอล่าให้กับวง

bsp1

พวกเขาเริ่มผลิตเดโม โดยเรียกตัวเองว่า British Sea Power และย้ายมา Brighton เดโมที่ผลิตขึ้นมานั้น ต่อมามันจะกลายเป็นเพลงในอัลบั้มที่ชื่อว่า Carrion พวกเขาเริ่มเป็นที่รู้จักจากการจัดปาร์ตี้ของตัวเองที่เรียกว่า Club Sea Power ที่มีวงหลากหลายสไตล์เข้าร่วม (วงในอังกฤษชอบทำครับ ที่ดังๆก่อนหน้านี้ก็อย่าง Kaiser Chiefs ก็ชอบทำ ไม่เหมือนบางประเทศ ที่ร้องเพลงคนอื่น เอาขึ้น youtube แล้วดังได้ ความสร้างสรรค์มันต่างกันครับ)

พวกเขาออกซิงเกิ้ลแรก Fear of Drowning ในปี 2001 ซึ่งเป็นเพลง post-punk เต็มไปด้วยเสียงกีตาร์ที่ไพเราะไปทั้งเพลง และโครงสร้างเพลงที่แสนอลังการ และจากการแสดงสดของพวกเขา ทำให้พวกเขาไปเข้าตาแมวมองของค่ายเพลง Rough Trade สุดเท่ และก็ได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินของค่ายไป

และก็เป็น Rough Trade นี่เอง ที่ให้โอกาสพวกเขาออกอัลบั้มแรกในปี 2003 ชื่อ The Decline of British Sea Power ที่กลายเป็นงานที่ประสบความสำเร็จแบบปากต่อปากไป แม้จะไม่ได้ทำยอดขายได้แบบโดดเด่น แต่มันก็มีหลายเพลงที่ถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลและทำอันดับได้ดี ไม่ว่าจะเป็น Remember Me ที่เป็นเพลงกีตาร์สุดเท่ห์และอลังการ ชวนนึกถึง Echo and the Bunnymen อีกเพลงที่เดินมาในแนวทางเดียวกันคือ The Lonley เพลงที่เป็นซิงเกิ้ลแต่ไม่ได้อยู่ในอัลบั้มฉบับขายในอังกฤษอย่าง Childhood Memories ก็ยอดเยี่ยมจนเล่นเอาผมตะลึงไปเลยครับ จริงๆแล้วผมได้ฟังเพลงนี้ตั้งแต่ยังเป็นเดโมตัวอย่าง และทำให้สนใจวงนี้ขึ้นมาทันที เสียดายที่พวกเขาไม่เอาใส่ไว้ในอัลบั้มด้วย ส่วนซิงเกิ้ลที่ทำยอดขายได้ดีสุด คงเป็น Carrion ที่ผมเคยบอกไป เสียงแหบสเน่ห์ของยานนี่เท่มากๆครับ ส่วนเพลงที่ควบกันมาอย่าง Apologies To Insect Life ก็เป็นเพลงโพสต์พังค์ที่ค่อนข้างจะดุเดือด บ้าคลั่ง เหมือนกับ Joy Division ครับ The Decline of British Sea Power อาจจะไม่ใช่งานที่คุณหลงรักทันที เป็นเป็นงานที่จะค่อยๆซึมเข้ามาในชีวิตคุณครับ

นอกจากโทนเพลงที่ทำให้พวกเขาออกจะแตกต่างจากวงเน้นบันเทิงแบบที่ฮิตกันในยุคนั้น (ดู The Libertines และวงอื่นที่มี The) เวลาพวกเขาเล่นสด พวกเขาชอบตกแต่งเวทีด้วยนกสตัฟฟ์เต็มไปหมด บางทีก็ทำเหมือนค่ายหลบภัยยุคสงคราม และที่ขาดไม่ได้คือ พวกเขาชอบแต่งตัวในเครื่องแบบทหารยุคสงครามโลกครั้งที่สองเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของวงไป

หลังจากความสำเร็จของชุดแรก พวกเขาก็ออกงานชุดที่สอง Open Season ในปี 2005 ที่มันก็ยังได้รับคำชมเหมือนงานชุดแรกและยังมีซิงเกิ้ลที่ฟังง่ายขึ้นอย่าง It Ends in Oily Stage ที่ทำให้ช่วยให้วงประสบความสำเร็จในวงกว้างมากขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงเพลงอย่าง Please Stand Up ที่ชวนให้ฮึกเหิมอีกด้วย

พวกเขาประสบความสำเร็จสูงสุดกับงานชุดที่ 3 ชื่อ Do You Like Rock Music? ในปี 2008 ที่เป็นงานที่ยอดเยี่ยมเข้าถึงง่าย และต้องขอบคุณซิงเกิ้ลที่สุดทรงพลังอย่าง Waving Flags ที่ทั้งอลังการและงดงามอย่างไร้ที่ติ มันใช้โครงสร้างเพลงคล้ายกับเพลงปลุกใจ และควรจะถูกนำไปใช้เชียร์ทีมชาติอังกฤษเสียเหลือเกินครับ อีกซิงเกิ้ลอย่าง No Lucifer เองก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน และพวกมันก็ช่วยส่งอัลบั้มนี้ขึ้นไปติด Top 10 อัลบั้มของเกาะอังกฤษจนได้

หลังจากนั้นพวกเขาไปทำเพลงบรรเลงประกอบDVDสารคดีเก่าเก็บเรื่อง Man of Aran ก็อาร์ตไปอีกแบบครับ และมาออก EP ที่ชื่อ Zeus ในปีที่แล้ว ที่จะมีเพลง Cleaning the Rooms ไปรวมในอัลบั้มใหม่

british-sea-power-valhalla-dancehalla

และในที่สุด ปีนี้ ค่าย PMD บ้านเราก็ออกวางขายอัลบั้มล่าสุดของพวกเขา Valhalla Dancehall ที่นำมาด้วยซิงเกิ้ลที่แสนยอดเยี่ยมอย่าง Living is So Easy ที่ได้เสียงคีย์บอร์ดมาสร้างบรรยากาศในเพลงได้อย่างดี และเพลงที่ชวนแหกปากตามอย่าง Who’s In Control? ที่ปลุกวิญญาณขบถในตัวขึ้นมาได้ดีจริงๆครับ Mongk II ก็เท่ไม่เบาครับ ส่วน We Are Sound ก็มากับเสียงกีตาร์แตกพร่าแบบที่ทำให้เราหลงรักพวกเขามาตลอด

Vahalla Dancehall คืองานที่ทำให้เรายังคงรักและอยากเชียร์วงอินดี้ที่โคตรเท่วงนี้ต่อไป แม้พวกเขาจะไม่เข้าข่ายวงประเภทฮิปสเตอร์ แต่นั่นแหละที่ทำให้เราได้รู้ว่า พวกเขาคือของจริงที่สามารถยืนหยัดในวงการนี้มาได้อย่างยาวนานในขณะที่ฮิปสเตอร์กลับบ้านกันไปหมดแล้ว

Remember Me
Carrion
It Ended in an Oily State
Waving Flags
No Lucifer
Living Is So Easy

Monday, February 21, 2011

Deftones สวรรค์ล่มปากอ่าว

Technorati Tags: ,

ตอนที่เขียนบทความนี่ คือเกือบ 24 ชม. หลังจากเหตุการณ์ที่จะเป็นจุดด่างพร้อยอีกจุดหนึ่งของวงการเพลงสากลบ้านเรา ผมเองที่อยู่ในเหตุการณ์ยังงุนงง ช๊อค โกรธ และเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดแบบไม่รู้จะหาคำบรรยายอย่างไรดี กับการที่คอนเสิร์ตมาถูกยกเลิกเอาในช่วงเวลาที่แฟนเพลงรอกันมานานแสนนาน ผมขอสรุปเหตุการณ์จากมุมมองของผมก่อนล่ะครับ

ผมเองรอคอนเสิร์ตนี้มานาน หลังจากรับตั๋วสื่อ ก็ไปเจอกับเพื่อนสมัยเรียนที่ฟังวงนี้มาด้วยกันตั้งแต่เรียนปี 1 เมื่อสิบกว่าปีก่อน แถมยังตั้งวงพยายามเล่นเพลงของพวกเขาด้วย ซึ่งเพื่อนก็ลงทุนลางานบึ่งมาจากอุดรหลายชั่วโมง อีกคนพึ่งแต่งงาน ใช้วันลาแต่งงานมาดูคอนเสิร์ตจนเมียแอบเคือง ถ่อมาไกลเหมือนกัน ดูสถานที่จัดงาน ก็มีแต่คอร๊อคของแท้ ไม่มีพวกเด็กไม่รู้เรื่องที่กะมาแต่งตัวเท่ๆทำเกรียนเหมือนคอนเสิร์ตอื่น เหมือนงานรวมแฟนพันธุ์แท้ เพราะอย่างที่ทราบคือ Deftones ไม่ใช่วงที่ดังแบบตลาด แต่มีแฟนเหนียวแน่นเยอะมาก พวกเราก็ดื่มรอเรื่อยๆอย่างใจเย็น แม้จะเลตมาก และวงก็ยังไม่มา จนเลยเวลามานาน พวกมีตแอนด์กรีตก็ยังไม่ได้เจอ แต่ก็เริ่มงงเมื่อมีกลุ่ม VIP ฮือออกมาและบึ่งรถกลับบ้าน

จุดนั้น คนเริ่มสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้น และไม่นาน ทางทีมงานก็เริ่มประกาศเรื่องการยกเลิกคอนเสิร์ต ทั้งๆที่เลยเวลาที่ต้องเริ่มเล่นไปนานมากแล้ว ซึ่งการแถลงการสั้นมาก ทำให้แฟนเพลงที่อยู่บริเวณนั้นยังงุนงง ก่อนที่จะเริ่มโห่ฮา และพอมีคนเริ่มขว้างปาของ เท่านั้นและครับ การจราจลย่อยๆก็เกิดขึ้นทันที และยาวไปเกือบ 20 นาที กว่าจะมีตำรวจสองนายเข้ามาดูแล แต่คนก็ยังไม่พอใจกันอยู่ดี ส่วนผมก็ขอตัวกลับก่อน ทิ้งซากความวุ่นวายไว้เบื้องหลังครับ ทีนี้ มาดูกันว่า ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้

IMG_7845

เหตุผล 1 ทางวงเหนื่อย และไม่พร้อมและขอเลื่อนการแสดงเพราะการเตรียมงานช้า และไม่อยากนอนดึก นี่คือข่าวลือแรกที่ผมได้ยินตอนที่ไปถึงที่งาน เพราะวงยังไม่ออกมาเลย ซึ่งก็เป็นอีกข้ออ้างที่ว่าการเตรียมงานช้า ทำให้เริ่มเล่นได้ช้า และกลัวไม่ได้พัก ซึ่งตรงนี้ ผมว่าตัดไปได้ เพราะวงก็เล่นมาแบบปกติดี และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ความผิดเรื่องการเตรียมงานช้าควรจะเป็นความผิดของใครกันครับ

เหตุผล 2 คือเหตุผลที่ฟังจากผู้จัดที่ออกมาให้สัมภาษณ์วันก่อน บอกว่าอุปกรณ์ขาดไปอยู่ “ชิ้นหนึ่ง” ซึ่งก็หามาให้จนได้ แต่ก็มีปัญหาเรื่องระบบไฟไม่ตรงกัน และทางผู้จัดการวงห่วงเรื่องความปลอดภัยและตัดสินใจไม่เล่น ซึ่งเท่าที่ฟัง เหมือนกับจะโบ้ยว่าวงเรื่องมาก แต่ที่ผมสงสัยคือ “อุปกรณ์ชิ้นเดียว” ที่ว่านั่นคืออะไร และทำไมไม่ได้เตรียมไว้ก่อน หายไปไหน นั่นคือความผิดพลาดที่ทางวงไม่ควรรับผิดชอบครับ ผมเองก็เคยทำงานอีเวนต์กับต่างชาติมาก่อน การเตรียมของไมได้ตามที่ต้องการ ถือเป็นเรื่องใหญ่มากครับ เพราะมันจะเข้ากับอุปกรณ์ที่ทางต่างชาติถือมาไม่ได้เลย

เหตุผลที่ 3 คือเหตุผลที่ผมทราบจากทวิตของ Sergio Vega มือเบสชั่วคราวของทางวง ซึ่งพวกเขาบอกว่า ความแตกต่างของแรงดันไฟไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาเกิดจากระบบจ่ายไฟของทันเดอร์โดม ที่ทีมงานของทางวงพยายามซ่อมตั้งแต่ ตี 5 แล้ว แต่ทีมงานคนหนึ่งก็ถูกช๊อตจนเกือบตาย (Electrocuted) และมันเสี่ยงเกินไปสำหรับทางวง สำหรับเหตุผลนี้ ก็พอจะฟังขึ้นว่าทางวงเองก็ไม่อยากเสี่ยง เพราะถ้าเสี่ยงแล้วเกิดอะไรขึ้น มันไม่คุ้ม แต่ผมสงสัยว่าเกิดเหตุแบบนี้ได้อย่างไร ในเมื่องทันเดอร์โดมก็ถูกใช้จัดคอนเสิร์ตเสมอ วงต่างขาติก็มาไม่น้อย ทำไม่มีปัญหาแบบนี้ได้ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ากรณีนี้ ใครควรจะเป็นคนรับผิดชอบจริงๆ

เหตุผลที่ 4 และเหตุผลสุดท้ายที่ผมทราบจาก ทวิตของ ASTV เรื่องมีอยู่ว่า ผู้จัดพยายามลดคอสต์ด้วยการใช้ของที่คุณภาพไม่ตรงกับที่ขอมา โดยไปยืมจากวงไทย และบอกว่า วงมาแล้วก็ต้องเล่น ซึ่งการเตรียมของไม่ตรงนี่ ไม่ใช่ครั้งแรกในไทยหรอกครับ มีมาเรื่อยๆ ซึ่งทำให้ทางวงไม่พอใจ และยกเลิกไป ซึ่งถ้าข้อนี้เป็นจริง ทางผู้จัดก็ควรรับไปเต็มๆครับ เพราะถือว่าไม่ทำตามสัญญา และวงเดฟโทนส์เป็นวงที่เน้นเซาวด์อยู่แล้ว ถ้าของไม่ตรง พวกเขาจะกลายเป็นวงป๊อกแป๊กไปในทันทีครับ ไม่แปลกอะไรที่ทางวงไม่อยากขึ้นเล่นแบบส่งๆ เพื่อให้คนหิวเงินรับผลประโยชน์ไป

ทุกเหตุผลที่ผมยกมา สุดท้าย ก็ไม่รู้ว่าอะไรคือความจริงกันแน่ และมันคงกลายเป็นปริศนาต่อไป ทิ้งให้แฟนเพลงที่ผิดหวัง ต้องเซ็งกับสวรรค์ที่มาล่มปากอ่าวเอาแบบนี้จริงๆ ผมเข้าใจแฟนเพลงที่ก่อนจราจลย่อยๆนะครับ แม้จะไม่เห็นด้วย แต่เงื่อนไขมันพร้อมมากครับ ทั้งเครื่องดื่มมึนเมาที่ขายกันเต็มที่ อารมรณ์ที่สร้างกันมานาน การรอที่แสนนานและความผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เหตุการณ์ครั้งนี้ก็จะเป็นรอยด่างในวงการเพลงต่างชาติไทยอีกครั้งที่ทุกคนควรจำไว้เป็นบทเรียนที่ดีครับ

Monday, February 14, 2011

Cee Lo Green - The Lady Killer

Technorati Tags: ,

งานเดี่ยวชุดที่สามของศิลปินคุณภาพผู้โด่งดังจากการร่วมงานกับคนอื่นอีกคนครับceelo

Cee Lo Green เริ่มต้นชีวิตศิลปินด้วยการเป็นสมาชิกกลุ่มฮิปฮอป Goodie Mob จสกแดนใต้อย่าง Atlanta ที่มีแนวทางของตัวเองต่างไปจาก LA และ New York โดยได้ปีกของรุ่นพี่อย่าง Outkast คอยช่วยหนุนแรง และเมื่อเริ่มดัง Cee Lo ก็พยายามจะออกงานเดี่ยว แต่น่าเสียดายที่ความพยายามครั้งแรกของเขาต้องจบลงด้วยงานแค่สองอัลบั้ม ส่วนอนาคตกับ Goodie Mob ก็ไม่แน่นอน แต่สิ่งที่ช่วยจุดประกายให้กับเขาคือ การร่วมงานกับ DJ Danger Mouse เจ้าของงานรีมิกซ์สารพัดที่พวกเขาเคยร่วมงานกันมาก่อน และตัดสินใจร่วมงานจริงจังในนาม Gnarl Barkley ที่กลายเป็นคู่หูที่ฮิตสุดๆจากเพลงเปิดตัวอย่าง Crazy ที่ดังไปทั่วทุกแห่งหน และการแต่งตัวแบบบ้าๆบอๆ ก็เรียกความสนใจได้อย่างมาก และทำให้ Cee Lo Green ได้กลับเข้ามาอยู่ในสปอตไลต์อีกครั้ง

cee-lo-green-the-lady-killer-cover

และ The Lady Killer ก็กลายเป็นความพยายามครั้งใหม่ในการเริ่มต้นอาชีพศิลปินเดี่ยวของเขาอีกครั้ง และมันกลายเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เอามากๆครับ เริ่มตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Fuck You กลายเป็นงานโซลป๊อปที่ติดหูและดังไปทั่วทุกแห่งจริงๆครับ (ยังมีเวอชั่น Forget You จะได้ไม่เรตเกินไปด้วยครับ) ผมแอบชอบการเปรียบเปรยสารพัดในเพลงนี้จริงๆครับ (ผลงานของ Bruno Mars นั่นแหละครับ) อีกเพลงที่เท่จริงๆก็คือ Bright Lights, Bigger City ที่ดนตรีประกอบข้างหลังมันล้ำลึกเอามาก It’s OK ก็มากับซาวด์แบบย้อนยุคหน่อยๆแบบที่ Paul Epworth โปรดิวเซอร์มือทองถนัด เช่นกันกับ No One's Gonna Love You ที่เท่เอามากครับ อีกเพลงที่แนะนำคือ Fool For You เพลงโซลที่ได้ตำนานโซลดิสโก้อย่าง Phillip Bailey จาก Earth, Wind and Fire มาร่วมร้อง คลาสสิกครับ

Bruno Mars – Doo-Wops and Hooligans

Technorati Tags: ,

งานเพลงเปิดตัวของหนุ่มน้อยมากความสามารถจอมขโมยซีน ที่โด่งดังจากการไปร้องเสริมให้นักร้องคนอื่น บรูโน มาส์ (ชื่อจริง ปีเตอร์ จีน เฮอนันเดซ) โตขึ้นมาในฮาวาย โดยที่ในวัยเด็กเขาได้รับอืทธิพลจาก Elvis Presley เป็นอย่างมาก และครอบครัวเขาเองก็เป็นครอบครัวนักแสดงอยู่แล้ว และนั่นก็ทำมให้เขาได้รับโอกาสแสดงบ้างและเป็นการสร้างรากฐานศิลปินที่ดีในอนาคต

bruno_20100928_aatheory

เขาย้ายมาที่ลอสแองเจลิส และเริ่มต้นอาชีพนักดนตรี เขาได้เซ็นสัญญากับคายดังอย่างโมทาวน์ และ แม้จะไม่ได้ออกงานเพลง แต่เขาก็ได้พัฒนาทักษะการเขียนเพลงของเขาเป็นอย่างดี และทำให้เขาได้โอกาสวิเคราะห์แนวทางของตัวเองด้วย กลายเป็นช่วงค้นหาตัวเองที่ดีสำหรับเขา และต่อมา ค่าย Atlantic ก็ตามล่าลายเซ็นของเขาจนได้ และหลังจากสั่งสมประสบการณ์มาพอ เขาก็พร้อมจะบินเดี่ยวแล้ว

แต่ถึงกระนั้น แทนที่เขาจะดังจากการออกงานเดี่ยวเลย กลับกลายเป็นงานที่เขาไปร้องเสริมให้กับศิลปินคนอื่น ที่ช่วยฉายแสงมาที่เขากลายเป็นจอมขโมยซีนไป แม้ในงานสองงานแรกที่เขาไปร่วมร้องด้วยจะไม่ดังนั้น แต่เพลงที่สามอย่าง Nothing On You ของ B.O.B. นั้นกลายเป็นเพลงที่สุดดังและทำให้คนรู้จักเขาทันที และอีกเพลงคือ Billionaire ของ Travie McCoy นักร้องจาก Gym Class Heroes และทำให้เขากลายเป็นคนดังไปในทันทีBruno-Mars-Doo-Wops-Hooligans-Full-Album-Stream

หลังจากส่งคนอื่นมานานแล้ว ก็ได้เวลาเขาฉายเดี่ยว ด้วยผลงานอัลบั้ม Doo-Wops and Hooligans ที่เป็นงานเพลงป๊อปชั้นเยี่ยมอีกงานในปีที่ผ่านมา มันเต็มไปด้วยแนวเพลงหลากหลายที่ส่งอิทธิพลมาตลอดชีวิตเขา และกลายเป็นงานเพลงคุณภาพจริงๆ ตั้งแต่เพลงเปิด Grenade ที่เหมือนจับ Michael มาร้องโดยมี Kid CuDi ทำเพลงให้ ส่วนเพลงป๊อป R&B หวานๆอย่าง Just The Way You Are ก็เยี่ยมสมกับที่มันครองอันดับ1ในหลายๆประเทศเลยทีเดียวครับ อีกเพลงหนึ่งที่ดังไม่แพ้กันคือ Marry You ที่เป็นเพลงที่คล้ายกับเป็นฝาแฝดที่นิ่มนวลกว่าของ Fuck You ของ Cee Lo Green และมันยังถูกนำไปคัฟเวอร์เป็นเพลงแต่งงานในเรื่อง Glee อีกด้วยครับอีกสองเพลงเด่นของอัลบั้มคือ Liquor Store Blues ที่ร่วมงานกับ Damian Marley กลายเป็นเพลงเรกเก้ดับที่ฟังได้สบาย กับเพลง The Other Side ที่ได้คนรู้ใจกันอย่าง B.O.B. และ Cee Lo Green มาร่วมงาน

Doo-Wops and Hooligans คืองานเพลงป๊อปที่มีคุณภาพเหมาะกับคนที่ต้องการหาอะไรฟังสบายๆแต่ไม่โหลเหมือนกับวงป๊อปดาดๆครับ

Monday, February 7, 2011

Deftones ในที่สุดก็มาไทย

Technorati Tags: ,

ดูรายชื่อคอนเสิร์ตที่จะมาในปีนี้ บอกตรงๆว่า เอาใจคนรุ่นใหญ่จริงๆครับ เพราะทีมา มีแต่รุ่นเก๋ามีพระกาฬทั้งนั้น ซึ่งก็น่ายินดีกับแฟนเพลงรุ่นเก๋า แต่กับรุ่นกลางแบบผม บอกตรงๆว่าเมื่อได้ข่าวว่า Deftones จะมาเมืองไทย ก็ดีใจจนลิงโลด เพราะว่าเป็นวงที่ผมฝังมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ก็เลยได้โอกาสแนะนำวงเพื่อเตรียมพร้อมไปมันกันครับ

Deftones เกิดขึ้นเมื่อ Stephen Carpenter (สตีเฟ่น กีตาร์) ถูกรถชนตอนเล่นสเก๊ตบอร์ด และต้องนั่งรถเข็น หนุ่มไฟแรงอย่างเขาจึเอกหัดกีตาร์เพื่อฆ่าเวลา และพอหายดี เขาก็ได้รู้จักกับ Chino Moreno (ชิโน่ ร้องนำ) และ Abe Cunningham (อาเบะ กลอง) ในวงเด็กสเก๊ตที่สคราเมนโต้ และเมื่อทราบว่าสตีเฟ่นเล่นกีตาร์ พวกเขาก็ตัดสินใจตั้งวง ก่อนที่จะได้ Chi Cheng (ชิเช็ง เบส) มาเล่นเบสหลังจากลองมาหลายคน และเรียกตัวเองว่า Deftones พวกเขาเริ่มเขียนเพลง และออกเล่นสด จนทำให้ค่าย Maverick ติดใจ และเซ็นสัญญากับพวกเขาPromo pic

พวกเขาออกงานชุดแรก Adrenaline ในปี 1995 โดยร่วมงานกับ Terry Date โปรดิวเซอร์คู่บุญ แม้มันจะไม่ได้รับแรงหนุนจากสื่อ แต่การทำงานหนักของพวกเขาทำให้มันเป็นที่นิยมในหมู่แฟนพันธุ์แท้ และทำยอดขายได้ในระดับน่าพอใจ ผลานของพวกเขาแม้จะถูกจัดเข้ากลุ่ม Nu-Metal เหมือนพวก Korn ที่เริ่มเป็นที่นิยมในช่วงนั้น แต่ว่าดนตรีของพวกเขาก็แตกต่างออกมา แล้วเพลงอย่าง 7 Words และ Engine No. 9 จะเป็นเพลงที่อัดหนักแบบไม่ยั้งก็จริง แต่อีกเพลงเด่นอย่าง Bored หรือ One Weak ก็แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของวงอย่าง Radiohead ที่มีต่อเพลงพวกเขาอีกด้วย

พวกเขาสร้างชื่อได้อีกเมื่อไปทำเพลง Teething ประกอบหนังเรื่อง The Crow ภาคสอง และยิ่งดังไปอีก เมื่ออัลบั้มขุดที่สอง Around The Fur ที่ออกวางขายในปี 1997 ประสบความสำเร็จส่งพวกเขาเป็นวงแถวหน้าในวงการในทันทีโดยเฉพาะความสำเร็จจากซิงเกิ้ลอย่าง My Own Summer (Shove It) และ Be Quiet and Drive (Far Away) ที่ทั้งหนักหน่วง และล่องลอย ทำให้พวกเขาได้รับความนิยมในวงการเพลงอย่างมาก

แต่ในงานชุดที่สาม พวกหเขากลับทำสิ่งที่ท้าทายเอามากๆ เนื่องจาก แทนที่พวกเขาจะทำงานเพลงหนักๆแบบเดิม พวกเขากลับเลือกแนวทางที่แปลกไปกว่าเดิม งาน White Pony ในปี 2000 เป็นงานที่ออกจะหลอนมากกว่าเดิมมาก ไม่ว่าจะเป็นซิงเกิ้ลอย่าง Change (In the House of Flies ที่ล่องลอยสุดๆ หรือเพลง Digital Bath ที่ใช้จังหวะทริปฮอป บวกกับเนื้อเพลงสุดโรคจิต หรือ Knife Party เกี่ยวกับการเสพยา กระทั่ง Passengers ที่ได้ Maynard James Keenan จาก Tool มาร่วมงานด้วยก็กลายเป็นเพลงที่หลอนแบบสุดๆเกี่ยวกับเซ็กซ์บนรถ และมันกลายเป็นงานที่ท้ายทายเผ็นอย่างมากและทำให้พวกเขาฉีกตัวเองออกมาจากวง Nu-Metal วงอื่นๆได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้แล้ว ยังเป็นอัลบั้มแรกที่ Frank Delgado (แฟรงค์ DJ คีย์บอร์ด) ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการหลังจากทำหน้าที่สแครตข์ในสองอัลบั้มแรก พวกเขายังฝากผลงาน EP เสริมชื่อดังอย่าง Back To School ที่โคตรเท่ให้เราได้ทึ่งอีกชุด

deftones

ในปี 2003 พวกเขาได้ออกงานชุดที่ 4 ชื่อ Deftones โดยที่มันยิ่งขยายขอบเขตของงานกว้างออกไปยิ่งขึ้น โดยมีจุดเด่นที่ซาวด์หลอนๆและเสียงกีตาร์ที่เป็นเอกลักษณ์ และ Frank ก็หันเหจากบูทดีเจ มาเป็นคีย์บอร์ดและ ซินธิไซเซอร์ ทำให้ได้ซาวด์ที่กว้างขึ้นกว่าเดิม ซิงเกิ้ลอย่าง Minerva และ Hexagram ก็เป็นเพลงหนักๆหลอนๆสะใจเหมือนเก่า ส่วน Lucky You ก็เป็นงาน Trip Hop อย่างเต็มตัว และยังมีเพลงช้าๆอย่าง Anniversary of an Uninteresting Event แต่ถ้าอยากอัดหนัก ก็ต้อง When Girls Telephone Boys ที่ไม่ทิ้งลายเดิมจริงๆ

แต่มา พวกเขาก็ออกงานเพลงชุดใหม่ Saturday Night Wrist ในปี 2007 หลังจากพักงานมานาน และ มันเป็นงานชุดแรกที่ Chino มารับบทมือกีตาร์ที่สองเต็มตัว ทำให้พวกเขาได้เสียงใหม่ๆอีก และมันก็มีเพลงเด่นอย่าง Hole in the Earth ที่ล่อยลอยแบบหนักหน่วง Pink Cellphones ที่แหวกแนวมาก ส่วน Rats!Rats!Rats! ก็หนักหน่วงสะใจจริงๆ

หลังจาก SNW พวกเขาก็เริ่มอัดงานเพลงชุดใหม่ แต่ Chi Cheng ประสบอุบัติเหตและตกอยู่ในสภาพโคม่า ทำให้พวกเขาโละงานทิ้งหมด และให้ Sergio Vega เข้ามาช่วยงานแทน และเล่นคอนเสิร์ตการกุศลหาเงินช่วยเพื่อน ก่อนจะออกงานใหม่ Diamond Eyes ในปี 2010 ที่กลับไปหนักเหมือนงานชุดแรกๆ เพราะพวกเขาไม่อยากทำงานเศร้าๆเพราะความเจ็บป่วยของเพื่อน และกลายเป็นงานที่ได้รับคำชมเป็นอย่างมาก ทั้งเพลงอย่าง Diamond Eyes ที่ทำให้เรานึกถึงงานเก่าๆของพวกเขา Rocket Skates ก็เป็นอีกเพลงที่หนักหน่วงและสะใจจริงๆ Sex Tapes ก็เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ผมประทับใจมาก Diamond Eyes เป็นเหมือนงานเพลงที่จับเอาความยอดเยี่ยมจากทุกอัลบั้มที่ผ่านมามาผสมกันจนออกมาเป็นงานชั้นเยี่ยมที่เป็นการกลับมาอย่างงดงามของพวกเขาจริงๆ

และหลังจากรอมานาน พวกเขาก็จะมาเล่นคอนเสิร์ตที่บ้านเราซะทีครับ วันที่ 15 เดือนนี้ ที่ทันเดอร์โดม เมืองทองธานีครับ แฟนรุ่นเก๋าอย่างผมก็ไม่พลาดแน่ ส่วนแฟนรุ่นใหม่ก็ไม่ควรพลาดเด็ดขาดครับ อุตส่าห์เอาของมันๆแบบนี้มาเสนอซะที จะพลาดได้ไงครับ