Monday, September 27, 2010

Goo Goo Dolls – Something for the Rest of Us

Technorati Tags: ,

art_something งานเพลงชุดใหม่จากวงร๊อครุ่นเก๋าอีกวง ที่บอกว่ารุ่นเก๋า เพราะว่าพวกเขาอยู่ในวงการมาตั้งแต่ปี 1986 แล้ว เกือบ 25 ปีแล้วนะครับ ส่วนผมมารู้จักพวกเขาเอาตอนปี 1995 กับเพลงดัง Name ของพวกเขาในตอนนั้น แต่คนไทยโดยมาจะมารู้จักเอาตอนเพลง Iris จาก อัลบั้ม Dizzy Up The Girl ที่ได้ไปประกอบหนังเรื่อง City of Angels จนดังไปทั่วโลกครับ

และ Something for the Rest of Us คือการกลับมากับผลงานชิ้นที่เก้าของพวกเขา ซึ่งผมคงบอกได้แค่เพียงว่า พวกเขาเต็มไปด้วยความ เก๋าเกม มากๆ และรู้ว่าแฟนเพลงต้องการอะไรเป็นอย่างดีครับ แต่ละเพลงที่พวกเขาแต่งขึ้นมา หากเป็นแฟนของวงแล้ว ไม่แปลกอะไรที่จะตกหลุมรักอัลบั้มนี้ตั้งแต่แรกฟังครับ ตั้งแต่เพลงแรก Sweetest Lie พวกเขาก็ขนอาวุธเด็ดทั้งเสียงกีตาร์เพราะๆกับเสียงร้องที่มีเสน่ห์มาประโคมใส่เราเข้าไปเต็มๆ ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Home ก็แสดงให้เห็นถึงชั้นเชิงในการแต่งเพลงระดับเทพของพวกเขาจริงๆครับ อีกเพลงที่ผมคิดว่าเพราะมากๆคือ Still Your Song ที่ได้เสียงเปียโนเพราะๆมาคลอเคลียไปตลอดช่วงท่อนคอรัสได้อย่างสวยงามครับ ส่วนเพลงโปรดของผมคงต้องเป็น As I Am ที่นอกจากเนื้อเพลงจะชวนซึ้งแล้ว การเรียบเรียงเพลงยังทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วยครับ

Something for the Rest of Us คืองานเพลงที่เหมาะกับคนที่ต้องการฟังเพลงร๊อคที่ได้รับการเรียบเรียงเป็นอย่างดี และสำหรับแฟนของวงก็รับรองไม่ผิดหวังครับ

Linkin Park – A Thousand Suns

Technorati Tags: ,

linkin-park-a-thousand-suns-cover1

งานชิ้นที่สี่ของวงที่อยู่รอดจากยุค Nu-Metal แม้ว่ากระแส Nu-Metal จะจืดจางลงอย่างรวดเร็วและทิ้งวงหลายๆวงไว้เบื่องหลัง แต่ Linkin Park ก็รู้ที่จะเล่นกับเกมเป็นอย่างดี และนอกจากอยู่รอดกันอย่างเหนียวแน่นแล้ว พวกเขายังสร้างผลงานที่น่าประทับใจและแหวกไปจากแนวทางเดิมเรื่อยๆ

งานชุด
A Thousand Suns ก็เป็นงานชุดที่สี่ที่แหวกแนวจากงานเก่ามาก แม้เราจะได้กลิ่นการเปลี่ยนแนวเพลงในอัลบั้มชุด Minutes to Midnight แล้ว แต่งานชุดนี้มันฉีกไปจากแนวเดิมเป็นอย่างมาก จนเรียกได้ว่า คนที่เคยฟังแต่งานชุดแรก แล้วได้มาฟังงานชุดนี้เลย คงอาจะคิดว่าเป็นคนละวงก็เป็นได้ ส่วนตัวผมเอง ก็ไม่ได้ตามวงนี้มากนัก เพราะไม่ใช่แนวถนัด แต่ก็รู้จักและเคยฟังเพลงของพวกเขามาเรื่อยๆ พอมาเจออัลบั้มนี้ ก็เล่นเอางงเหมือนกันครับ เพราะว่าแทบจะไม่เหลือเค้าเดิมเลย

A Thousand Suns ยังเป็นผลงานการโปรดิวซ์ของตำนานอย่าง Rick Rubin และ Mike Shinoda เช่นเดียวกับอัลบั้มที่แล้ว แต่ในครั้งนี้ พวกเขาหันเข้าหาดนตรีสังเคราะห์มากยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า ตัวเพลงต่างๆจึงเปลี่ยนจากเพลงร๊อคที่แหกปากตะโกน และแทรกด้วยการแร๊พเป็นช่วงๆ กับกลายเป็นงานดนตรีอีเล็กโทรนิกส์ที่ผสมความก้าวร้าวเข้าไป คล้ายๆกับ ให้ Junior Boys ที่โกรธกับเมียมาทำเพลงก็ว่าได้ครับ มันเลยทำให้ผมกลัวหน่อยๆว่า แฟนดั้งเดิมของพวกเขาจะรับได้หรือไม่ครับ

แม้อัลบั้มนี้จะมีเพลงถึง 15 เพลง แต่เนื่องจากหลายเพลงเป็นเพลงคั่นสั้นๆ ทำให้มันยาวแค่ 47 นาทีเท่านั้น แต่มันก็เป็นงานที่ยังฟังได้สนุกครับ โดยที่สำหรับผมแล้ว เพลงเด่นๆจะไปกองอยู่ที่ครึ่งค่อนหลังของอัลบั้มเอาซะมากครับ ตั้งแต่เพลง Blackout ที่แม้จะเต็มไปด้วยเสียงแหกปาก แต่ดนตรีประกอบข้างหลังนี่เยี่ยมไม่เบาเลยครับ แถมยังมีบีทที่หนักหน่วงเอาเรื่องอีกต่างหาก ส่วน Wretches And Kings ก็เป็นการผสมเพลงฮิพฮอพที่ใช้เสียงสังเคราะห์หนักๆมาเป็นตัวให้จังหวะ ออกจะไปคล้ายกับงานของ Public Enemy ถูกนำมาทำให้ทันสมัยมากขึ้น ส่วนซิงเกิ้ลแรกอย่าง The Catalyst ก็เป็นงานเพลงร๊อคผสมกับอีเล็กโทรนิกส์ที่ทำออกมาได้อย่างน่าสนใจ บวกกับเสียงสังเคราะห์แบบเพลง Trance คงจะทำให้ดีเจหลายคนอยากเอาไปรีมิกซ์มาก แต่ที่น่าทึ่งที่สุดคงเป็นเพลงปิดท้ายอัลบั้มThe Messenger ที่เป็นเพลงกีตาร์โปร่ง ออกไปคล้ายๆกับเพลงแนวที่วงแฮร์แบนด์ชอบทำ ฟังไปเกือบเผลอจุดไฟแช๊คครับ

A Thousands Suns เป็นการเปลี่ยนแนวอย่างกล้าหาญของพวกเขามากๆ เพราะเป็นการทิ้งแทบจะทุกสิ่งที่สร้างชื่อให้พวกเขามา อาจจะเทียบได้กับ Kid A ของ Radiohead ได้เลยครับ ใครเป็นแฟนก็ลองหามาฟังกันดูครับ

Monday, September 20, 2010

Glee ละครเพลงฉบับทีวี

Technorati Tags: ,,

โดยส่วนตัวแล้ว ผมเป็นคนที่ดูทีวีค่อนข้างน้อย โดยส่วนมากก็จะดูแค่ข่าว รายการกีฬา และสารคดี แต่ก็มีอีกอย่างหนึ่งที่เล่นเอาผมติดงอมแงมได้เสมอ นั่นก็คือละครทีวี แต่ผมไม่ได้ติด วณิดา หรืออะไรประเภทนั้นนะครับ (ไม่เคยดูเลย) แต่ที่ผมติดแบบถอนตัวไม่ขึ้นคือละครทีวีของทางฝั่งอเมริกากับอังกฤษที่สนุกสุดๆหลายเรื่องอย่าง Dexter หรือ Heroes แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่ทีแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่พอได้ดูทางทีวีเรื่อยๆ ก็สนุกและติดจนถอนตัวไม่ขึ้นอีกเหมือนกัน เรื่องที่ว่าคือ Glee ครับGlee

ทีนี้ ถ้าเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเพลง ผมคงไม่กล้าเอามาเขียนในคอลัมน์นี้หรอกครับ แต่ที่อ ยากเอามาเขียนเพราะว่า Glee คือเรื่องที่เกี่ยวกับดนตรีเต็มๆเลยครับ จริงๆแล้ว คำว่า Glee หมายถึง เพลงที่ใช้ในการร้องประสานเสียงครับ และเรื่อง Glee ที่ว่านี้ก็เกี่ยวกับการร้องประสานเสียงแบบเต็มๆ เพียงแต่ว่า ถ้าหากเป็นเพลงประสานแบบดั้งเดิม คงจะไม่มีใครสนใจมากนัก และคงถูกขอให้ไปร้องช่วงคริสมาสแทน แต่ที่มันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าแทนที่จะใช้เพลงแบบดั้งเดิม พวกเขาเอาเพลงสมัยใหม่มาเรียบเรียงใหม่เพื่อทำการร้องประสานได้อย่างแนบเนียน

Glee เป็นเรื่องของอาจารย์มัธยมหนุ่มที่ได้มารับช่วง Glee Club ชมรมนักร้องประสานเสียงที่เขาเคยเป็นตัวเด่นสมัยเป็นนักเรียนอยู่ แต่พบว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป การอยู่ในชมรมนี้ไม่ได้หมายถึงความเท่เหมือนเก่า แต่กลับกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะแทนสำหรับโรงเรียนอเมริกันในตอนกลางประเทศ เขาต้องพยายามรวบรวมนักเรียนมาเข้าชมรม ซึ่งก็ได้ทั้งเด็กพิการ สาวเจ้าเนื้อ สาวติดอ่าง หนุ่มมาดแต๋วจนต้องใช้ลูกเล่นหลากหลายเพื่อรวบรวมสมาชิก จนได้คนดังอย่างนักกีฬาและเชียร์ลีดเดอร์ เข้ามาร่วมทีม (อย่างมีนัยยะสำคัญ) แต่ก็มีปัญหาเกิดเข้ามาเรื่อยๆให้ได้ลุ้นกันให้สนุกสนาน ได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ผอ.ขี้งก อ.พละขี้อิจฉา นักเรียนรักๆเลิกๆ ปัญหาส่วนตัวของตัวละครแต่ละตัว เรื่องรักร่วมเพศ รวมไปถึงประเด็นแรงๆ อย่างการท้องในวัยเรียนอีกด้วย ทำให้เป็นเรื่องที่ดูได้เพลินแบบหยุดไม่อยู่เหมือนกันครับglee_56992

แต่สาเหตุหลักอีกอย่างที่ทำให้ผมชอบมากคือ แทนที่จะเอาเพลงเก่าๆมาร้อง พวกเขาเอาเพลงร่วมสมัยมาทำใหม่ให้เป็นฉบับประสานเสียง ทำให้เราได้ฟังเพลงฮิตทั้งหลายทั้งในยุคนี้และยุคเก่าหน่อยในฉบับร้องประสานเสียงได้อย่างสนุกสนาน และนอกจากฉากซ้อมร้องเพลงแล้ว หลายๆฉากในเรื่องก็เล่าเรื่องด้วยการร้องเพลงของตัวละครแทนการเล่าเรื่องแบบปกติ จนกลายเป็นละครเพลงหลายช่วงมากๆ และเพลงที่เลือกมาก็เข้ากับบรรยากาศของเรื่องตอนนั้นเป็นอย่างดี พูดง่ายๆคือเป็นการเล่าเรื่องด้วยเพลงได้อย่างสนุกสนานเอามากๆครับ (บางครั้งก็เหมือนหนังแขกไปเลย)

เพลงที่เลือกมา แม้จะมีเพลงจากละครบรอดเวย์ดังอย่างเพลง Defying Gravity (กลายเป็นฉากโปรดของผมในเรื่อง) แต่ก็มีเพลงป๊อป เพลง R&B และเพลงร๊อคดังๆ ดังๆสารพัดเพลงครับ คนที่ชอบเพลงอย่างผมก็เพลินกับแอบร้องตามไปกับละครอย่างมาก สารพัดเพลงดังถูกเลือกออกมาใช้ได้อย่างน่าสนใจ กระทั่งบางตอนก็เป็นการทริบิวต์ให้กับนักดนตรีดังอย่าง Madonna หรือ อีสาวซ่ารุ่นน้องอย่าง Lady Gaga ไปเลยทีเดียว นักแสดงทั้งหลายก็ทำหน้าที่ตรงจุดนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะโดยมากก็มักจะมีพื้นฐานมาจากการเป็นนักร้องแต่เดิมอยู่แล้ว ขนาดนักแสดงที่รับบทเป็นอาจารย์ก็ผ่านงานละครบรอดเวย์มาก่อนทีเดียว ทำให้เราสามารถสนุกกับเพลงได้อย่างไม่รู้สึกสะดุดอะไรเลย เพลงดังสารพัดที่ถูกประโคมมาก็อย่างเช่น Dream On (Aerosmith), Physical (Olivier Newton John), One (U2), Loser (Beck), Jump (Van Halen), Gold Digger (Kanye West) รวมไปถึงเพลงอมตะอย่าง Bohemian Rhapsody ของ Queen ที่เอามาปรับเข้ากับเนื้อเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยมในฉากสำคัญของเรื่องGLEE-CONCERT-ARIZONA-MAY-15-2010-glee-12236542-2560-17932

ส่วนเพลงที่เป็นเพลงธีมหลักของเนื้อเรื่องในปีแรกของละครเรื่องนี้ คงต้องเป็น Don’t Stop Believin’ ของวง Journey ที่แต่เดิมก็เป็นเพลงยอดนิยมสำหรับคาราโอเกะอยู่แล้ว พอมาได้ตัวแสดงในเรื่องมาร้องประสานเสียงกันอย่างยอดเยี่ยม มันก็น่าประทับใจและชวนสนุกให้เราร้องตาม (เพลงนี้โดยมากคนอเมริกันรู้จักกันหมดครับ) เป็นการเลือกเพลงที่ดีมากๆ และความหมายของเพลงยังสื่อให้เราอย่ายอมแพ้ อย่าล้มเลิกในสิ่งที่เราเชื่อมั่น เหมือนตัวละครในเรื่องที่แม้จะมีอะไรเกิดขึ้น ก็ต้องไม่ท้อถอย และสู้ต่อไปครับ (American Spirit จริงๆ) และทำให้เราแอบเอาใจช่วย Underdog ทั้งหลายในเรื่องไม่ได้ครับ

ไหนๆเขียนชมมาขนาดนี้แล้ว วานคนสนใจ เอามาทำเป็นแผ่นขายหน่อยครับ จะได้เก็บเป็นชิ้นเป็นอันหน่อยครับ ส่วนคนที่สนใจฟังเพลง บ้านเราก็มีอัลบั้มรวมเพลงขายแล้วนะครับลองหากันมาดูได้ ขอแนะนำอย่างแรงครับ

Monday, September 13, 2010

Harlem - Hippies

Technorati Tags: ,

HippiesHarlem อัลบั้มที่สอง แต่เป็นชุดแรกที่ออกกับค่ายเพลงอย่างเป็นทางการของวงดนตรีสามชิ้นจากออสติน เท็กซัส ซึ่งมันเป็นอัลบั้มที่เต็มไปด้วยเพลงที่แสนติดหูกับริฟฟ์ที่ทำให้คุณอยากออกมาเต้น

พวกเขาคือสามหนุ่ม ไมเคิล คูมเมอร์ส (ร้องนำ กีตาร์ กลอง) เคอติส โอมาร่า (ร้องนำ กีตาร์ กลอง) และ โฮเซ่ โบเยอร์ (เบส) ซึ่งรวมตัวกันในเมืองออสติน และด้วยความชอบดนตรีเป็นอย่างมาก พวกเขา ถึงกับออกงานชุดแรก Free Drugs ในปี 2008 ด้วยตัวเองมาแล้วครับ และด้วยความพยายามนั้น พวกเขาก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายเลงสุดเท่จากฝั่งอเมริกาอย่าง Matador

ส่วนแนวทางการทำเพลงของพวกเขา หลักๆก็คือเพลงการาจที่เต็มไปด้วยความดิบสดเหมือนเดกวัยรุ่นเล่นซนกับเครื่องดนตรี บวกเขากับทักษะในการเรียบเรียงเพลงแบบของ The Beatles เจือกลิ่น Rockabilly เข้าไปอีกนิด ก็จะกลายเป็นดนตรีในแบบเฉพาะของพวกเขาขึ้นมาได้ครับ

และ Hippies งานชุดที่สองของพวกเขาที่ได้มาวางจำหน่ายในบ้านเรา ก็เป็นงานที่สดใหม่เอาอย่างมากครับ พวกเขาเอาความสดใสของวัยหนุ่มมาใส่ไว้ในเพลงได้ลงตัวจริงๆ ตั้งแต่ Someday Soon ที่เป็นเพลงเปิดตัวอัลบั้ม ก็ได้ทำให้เรารู้ว่าพวกเขาจะมาไม้ไหนกับเรา ด้วยเพลงกีตาร์ป๊อปที่ดิบแบบการาจบวกด้วยท่อนคอรัสเพราะๆแบบ The Beatles ทำให้มันกลายเป็นงานเพลงชั้นเลิศไปได้เลยทีเดียว ซึ่งพวกเขาก็ใช้เทคนิคเดียวกันนี้กับเพลง Number One ที่เท่เหลือเกินครับ คล้ายกันกับเพลง Be Your Baby ที่ติดหูสุดๆ ผสมกับโทนเพลงหนุงหนิงเรียบง่ายแบบ The Drums ทำเอาเราอยากไปดีดกีตาร์ร้องเพลงนี้ให้หญิงคนรักฟังเลยครับ ส่วน Gay Human Bones ก็ได้ความดิบมาผสมจนเหมือนวงพังค์ที่ไม่เคร่งเครียดมากเลยครับ ส่วน Friendly Ghost ก็ได้อารมณ์เพลงแบบ Rockabilly มาผสมทำให้มันชวนขยับขโยกไปตามจังหวะเพลงจริงๆครับ ส่วน Tila & I ก็ใช้ท่อนคอรัสแบบแนวเซิร์ฟร๊อคออกมาอย่างได้ผลจริงๆครับ

Hippies คืองานเปิดตัวในวงกว้างชั้นเยี่ยมของวงวัยรุ่นสามคนจากเท็กซัสที่มันยอดเยี่ยมถึงกับเข้าโผอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปีของนิตยสารฝั่งอังกฤษอย่าง NME ไปแล้วครับ

Magic Kids - Memphis

Technorati Tags: ,

Magic-Kids-Memphis-560x560 อัลบั้มเปิดตัวของวงหน้าใหม่จากเมริกา พวกเขามาพร้อมกับดนตรีป๊อปที่สดใสใต้แสงอาทิตย์แบบที่วงรุ่นพี่ (หรือรุ่นพ่อ) อย่าง The Beach Boys ได้ทำไว้ บวกความหนุงหนิงของ Belle and Sebastian ซึ่งบรรยากาศของมันก็เหมือนกับการบันทึกแสงแดด สายลม ฟองคลื่น ออกมาเป็นเสียงดนตรีในที่มีความยาว 28 นาทีชุดนี้

เนื่องจากพวกเขาเป็นวงหน้าใหม่มากถึงขนาดทำให้ผมหาข้อมูลพวกเขาบนเว็บหากินอย่าง Wikipedia ไม่ได้ เลยมีข้อมูลคร่าวๆเพียงว่าพวกเขาคือ เบ็นเน็ต (ร้องนำ) อัล (กีตาร์) เบ็น (เครื่องเคาะ) ไมเคิล (เบส) วิล (เปียโน) และ อลิซ (ไวโอลิน) และพวกเขาคือหนุ่มสาวจากเมือง เมมฟิส เทนเนสซี่ (ซึ่งนอกจากเป็นที่มาของชื่ออัลบั้มแล้ว ยังเป็นเมืองในตำนานที่ตั้งของ Sun Studios อีกด้วยครับ)

แม้ว่าผมจะเกริ่นไว้ว่าพวกเขาทำดนตรีออกมาเหมือนวง The Beach Boys แต่พวกเขาก็ไม่ใช่แค่วงหน้าใหม่ที่ก๊อบเอาไอเดียจากวงรุ่นพี่ดื้อๆ แต่พวกเขากลับสามารถทำมันออกมาได้อย่างเฉพาะตัวในแบบของพวกเขา จนเป็นเหมือนการตีความวงดนตรีแบบเซิร์ฟจากมุมมองของคนรุ่นใหม่ซะมากกว่า นอกจาก The Beach Boys แล้ว อีกวงที่ผมคิดว่าเหมือนกับพวกเขาอย่างน่าหระหลาดใจคือ Super Furry Animals วงรุ่นเก๋าจากเวลส์ที่อาจจะเหมือนกันได้เพราะบรรยากาศแบบล่องลอยหน่อยๆ และเสียงร้องที่คล้ายกับ Gruff Rhys อย่างมากครับ

แม้ผมจะไม่อยากยกเพลงไหนซักเพลงมาเป็นเพลงเด่นในอัลบั้มเลย เพราะมันคืออัลบั้มที่คุณควรจะยัดใส่ในเครื่องเล่นซีดีในรถขณะที่คุณกำลังขับรถไปเที่ยวชายหาดในวันที่แดดกำลังดี (ถ้าเป็นเมืองหนาว จะได้ฟีลมาก แต่บ้านเรา ร้อนตับแลบครับ) แล้วเปิดมันวนไปวนมาเพื่อสร้างบรรยากาศก่อนไปถึงทะเล แต่ถ้าต้องยกเพลงเด่นๆมา ก็คงต้องขอยกเพลงอย่าง Summer ที่เป็นซิงเกิ้ลแรกที่จับเอาบรรยากาศของฤดูร้อนมาใส่ในเพลงได้อย่างงดงาม พร้อมกับโปรดัคชั่นแบบ Phil Spector ที่แสนละเมียด ในขณะที่เพลงอย่าง Good To Be ก็เต็มไปด้วยความสดใส และกระตือรือร้นของวัยหนุ่มสาวที่แสนจะสดชื่น ส่วน Superball ก็มีการเรียบเรียงที่เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็กน้อย

Memphis คืองานเปิดตัวที่แสดจะงดงามและยอดเยี่ยมของวงน้องใหม่ Magic Kids อย่างที่ผมบอกไว้ครับ พวกเขาไม่ใช่วงก๊อปปี้รุ่นพี่ลวกๆ แต่พวกเขาเหมือนกับเด็กวัยรุ่นที่เจอผลงานเด็ดจากคอลเลคชั่นของพ่อ และอยากจะทำดนตรีแบบนั้นเพื่อโชว์ความเจ๋งของมันให้เพื่อนๆได้รู้จักครับ