Friday, December 25, 2009

Muse อลังการคับโลก

Technorati Tags: ,

คนที่ตามอ่านคอลัมน์นี้คงจะจำได้ดีว่าเหตุการณ์เปลี่ยนสนามบินให้เป็นลานแจกไอติมและโรงแรมชั่วคราวเมื่อปลายปีที่แล้ว ทำให้ผมหัวเสียเป็นอย่างมาก เพราะอดดูวงดีๆ จริงๆแล้ว มันไม่ใช่ครั้งแรกหรอกครับ ก่อนหน้านั้น ช่วงเรามีวันเด็กกลางเดือนกันยายน ปัจจัยหลายๆอย่างทำให้มีข่าวลือว่าเทศกาลดนตรีร๊อคของค่ายน้ำเมาบ้านเราถูกระงับไป และสารพัดวงดีๆก็อดมาในคราวนั้น แต่จากนั้น วงๆหนึ่งที่ลือว่าอยู่ในลิสต์คราวก่อนก็บอกว่าจะมา แล้วก็หักอกเราดังโอ๊ยๆ นั่นคือ วง Muse เกาะอังกฤษนั่นเองครับ

Muse เริ่มต้นขึ้นในช่วงที่พวกเขาเป็นนักศึกษาอยู่ Matt Bellamy (แมต ร้องนำ กีตาร์) ถูกเลือกเข้าร่วมวงของ Dominic Howard (โดมินิค กลอง) และพวกเขาก็วานให้ Chris Wolstenholme (คริส) ให้หันมาเล่นเบสให้แทน จนกลายเป็นวง Muse พวกเขาเข้าประกวด Battle of Bands และชนะเลิศทั้งๆที่ทุบเครื่องดนตรีประชด พวกเขาจึงมุ่งมั่นกับดนตรีและทิ้งทั้งมหาวิทยาลัยและบ้านเกิดของพวกเขา

muse

พวกเขาเริ่มออกเล่นไปในหลายๆที่ และถูกแมวมองดึงตัวเขาสังกัด และ EP แผ่นที่สอง Muscle Museum ของเขาก็ได้ไปเตะหูของนักวิจารณ์ดังๆ ทำให้พวกเขาได้ฤกษ์ออกผลงานชุดแรก Showbiz ในปี 1999

Showbiz คือผลงานที่คลอดตั้งแต่พวกเขายังอายุน้อยอยู่มาก และแม้มันจะได้รับความนิยมเพราะเพลงเด่นๆอย่าง Muscle Museum, Uno และ Unintended ที่เป็นเพลงที่ติดหูเอาเรื่อง แต่นักวิจารณ์หลายรายมักจะมองข้าวพวกเขาเพราะว่ามันเหมือนกับร่างโคลนของ Radiohead ซะมากกว่า (และในยุคนั้นก็มีวงแบบนี้ไม่ใช่น้อยด้วย)

แม้จะเริ่มต้นได้ไม่งามนัก พวกเขาก็กลับมาสู้ต่อด้วยผลงานชุดที่สอง Origin of Symmetry ในปี 2001 ที่เป็นงานที่เติบโตขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก พวกเขาเพิ่มความหนักหน่วงของเสียงกีตาร์ ขยายชุดกลอง และเพิ่มเครื่องดนตรีอื่นเข้าไป ทำให้ซาวนด์ของพวกเขาแน่นขึ้นมาก และเป็นจุดเริ่มต้นของซาวนด์ในแบบของ Muse นั่นเอง เพลงอย่าง Bliss นั้นยิ่งใหญ่พอที่จะเติมเต็มสนามกีฬาได้ทันที ในขณะที่เพลง Feeling Good ก็มีเสียงเปียโนประกอบที่เด่นเหลือเกิน แต่เพลงที่เด่นที่สุดคงเป็นเพลง Plug In Baby เพลงหนักสะใจ ที่สาธยายความรักที่มีต่อกีตาร์ของแมตได้เป็นอย่างดี Muse สามารถสร้างความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างชัดเจน และได้เอาชนะใจทั้งแฟนเพลงและนักวิจารณ์ได้เป็นอย่างดีจากผลงานชุดนี้

muse2

ผลงานชิ้นที่สามในปี 2003 ชื่อ Absolution เปิดตัวที่อันดับหนึ่งและกลายเป็นงานที่ได้รับคำชมจากทั่วสารทิศ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะมันคืองานทีได้รับการกลั่นกรองมาอย่างดี ซาวนด์เฉพาะทางของ Muse นั้นยิ่งอลังการยิ่งกว่าเดิม แต่ละซิงเกิ้ลที่ถูกวางขายก็ทรงพลังเหลือเกินตั้งแต่ Time Is Running Out ที่มีท่อนฮุคเหมือนเตรียมไว้ให้ร้องตามในคอนเสิร์ตแท้ๆ หรือเพลง Stockholm Syndrome ที่เต็มไปด้วยรายละเอียด ความหนักหน่วง และความอลังการ Hysteria ก็มีท่อนเบสที่เด่นเหลือเกิน เช่นเดี่ยวกับการค่อยๆไล่เรียงความหนักหน่วงในเพลง Butterflies and Hurricanes ที่ทำได้อย่างไร้ที่ติ Absolution คืองานเพลงที่ทำให้ Muse กลายเป็น Superstar อย่างแท้จริง

นอกจากอัลบั้มที่เด่นแล้ว การแสดงสดของพวกเขาก็ได้รับคำชมเป็นอย่างมาก หนึ่งในไฮไลต์ของอาชีพของพวกเขาคือการเล่นสดในงาน Glastonbury ปี 2004 ที่เป็นการเล่นสดที่ดีที่สุดของพวกเขา และเป็นการยืนยันสถานะความยิ่งใหญ่ของเขาเป็นอย่างดี เมื่อจบงานพวกเขารู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์ แต่ก็ลงนรกในชั่วขณะต่อมา เพราะพ่อของโดมินิคที่มาดูด้วยเสียชีวิตจากโรคหัวใจ มันกลายเป็นสิ่งที่ช๊อคพวกเขาอย่างมาก แต่พวกเขาก็เลือกเดินต่อไป


ปี 2006 พวกเขาออกงาน Black Holes And Revelations อลังการไม่แพ้งานชุดเดิม มันเต็มไปด้วยเพลงทรงพลังอย่าง Super Massive Black Hole และ Knight of Cydonia ที่ออกแบบมาเพื่อเวทีใหญ่ๆอีกแล้ว ส่วน Starlight ก็เป็นเพลงที่เตรียมไว้เพื่อให้คนร้องและซึ้งตามจริงๆ และยังตามมาด้วยเพลง Invincible ที่ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน

Muse_Live_in_Iceland_03

พวกเขาออกบันทึกการแสดงสด HAARP ที่สนามเวมบลีย์ในปี 2008 และมันคืองานที่ตอกย้ำความยอดเยี่ยมในการแสดงสดของพวกเขาเป็นอย่างดีจริงๆ เพราะมันคือการแสดงสดที่เต็มไปด้วยกำลังจริงๆ และเทคนิคการถ่ายทำก็ยอดเยี่ยมจนบอกได้เต็มปากว่าคุ้มค่ากับการหามาดูครับ

และก่อนที่แฟนๆจะลืม พวกเขาก็กลับมากับงานชุดใหม่ The Resistance ในปีนี้ที่เป็นงานที่ยิ่งอลังการยิ่งกว่าเดิม มันคืองานที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นวงเพื่อการแสดงสดแค่ไหน แต่ละเพลงเน้นเพื่อให้แฟนร้องตามจริงๆ เพลงอย่าง United States of Eurasia ก็ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ส่วน Uprising ก็ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ยังมี Exogenesis: Symphony ที่ถูกแบ่งออกเป็นสามภาคด้วย มันคืองานที่รับเอาอิทธิพลของ Queen มาเต็มๆและเป็นอัลบั้มที่ยอดเยี่ยม น่าเสียดายที่พวกเขามองข้ามอารมณ์ของมนุษย์มากไปหน่อย

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม Muse เป็นวงที่น่าติดตาม และเป็นวงที่ผมอยากดูแบบสดๆมากที่สุดอีกวงหนึ่ง หวังว่าเราชาวไทยจะมีโอกาสได้ดูพวกเขาสักครั้งเถอะนะครับ


Thursday, December 24, 2009

Rage Against The X-Factor อำนาจของเน็ตเวิร์คสังคม

จั่วหัวมาแบบนี้ หลายคนคงงงว่ามันจะมาไม้ไหน หรือจะเปลี่ยนไปเขียนเกี่ยวกับโลกอินเตอร์เน็ตแล้ว จริงๆแล้วผมอยากจะเขียนเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อวงการดนตรี เพื่อเป็นการสรุปยุคปี ’00 ที่กำลังจะจบลงในไม่กี่วันนี้แล้ว แต่ว่าที่อยากจะเอาเรื่องนี้มาเขียนก่อน เพราะยังสะใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหมาดๆในเกาะอังกฤษ ที่เน็ตเวิร์คสังคมที่เลื่องชื่ออย่าง Facebook ได้ออกฤทธิ์ถึงขั้นทำให้พ่อมดแห่งวงการเพลงป๊อปต้องกระอักมาแล้ว

เรื่องเริ่มต้นจากรายการรีลลิตี้ (จริงๆต้อง รีอัลลิตี้) ชื่อดังในเกาะอังกฤษชื่อ The X-Factor ซึ่งมี Simon Cowell เป็นโปรดิวเซอร์มาตลอดและได้รับความนิยมในเกาะอังกฤษแบบมหาศาล ถึงขนาดว่าวันตัดสินรอบสุดท้ายมีแต่คนลุ้นกันทั่วประเทศ (อีกรายการหนึ่งของตานี่คือ Britain’s Got Talent ที่ได้ป้าเฉิ่ม Susan Boyle ทำให้ดังไปทั่วโลกมาแล้วไงครับ) คล้ายๆกับอีกสองรายการในบ้านเราที่ยึดเวลาค่ำของช่องเก้าบ้านเรามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนทำให้ผมสงสัยว่า เราไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้วเหรอ รูปแบบรายการจะต่างจากบ้านเราหน่อยคือ มีการแข่งขันหลายกลุ่มตามประเภท แล้วก็ค่อยคัดเอาผู้ชนะของกลุ่มที่ชนะอีกที และเป็นธรรมเนียมไปแล้วว่า ผู้ชนะจะได้ออกซิงเกิ้ลรับเทศกาลคริสมาส ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของเกาะอังกฤษ และกลายเป็นว่า ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา ผู้ชนะจากรายการนี้คว้าอันดับหนึ่งของยอดขายซิงเกิ้ลช่วงคริสมาสมาตลอด จากการโปรดิวซ์อย่างหัวใสของอีตา Simon นั่นเอง

Simon CowellSimon Cowell พ่อมดวงการเพลง


สำหรับคนทั่วไป ก็อาจจะเฉยๆ แต่สำหรับแฟนเพลงแล้ว มันหมายถึงวงการเพลงถูกครอบงำโดยอำนาจของสื่อและธุรกิจขนาดใหญ่มากกว่าที่จะเป็นคนที่รักดนตรีจริงๆ และเมื่อ Joe McElderry หนุ่มน้อยหน้าใสชนะในปีที่ 6 ของรายการ X-Factor และประกาศจะออกซิงเกิ้ลเพลง The Climb เพลงคัฟเวอร์ของ Miley Cyrus ก็ทำให้นักฟังเพลงสองสามีภรรยาชื่อ Jon และ Tracy Morter ทนไม่ไหวที่จะต้องเห็นเพลงแบบนี้คว้าที่หนึ่งอีก จึงเริ่มต้นแคมเปญ Killing in the Name เพื่อส่งเพลงตามชื่อแคมเปญของวง Rage against the Machine ที่ออกวางขายตั้งแต่ปี 1992 เพื่อคว้าที่หนึ่งแทน โดยการเริ่มต้นใน Facebook นั่นเอง

Joe McElderryสิงโต เอ๊ย Joe McElderry ผู้ชนะรายการ X-Factor ปีล่าสุด


ทำไมต้องเป็นเพลงนี้ ผมคิดว่า เพราะวง RATM มีชื่อเสียงโด่งดังมานานในเรื่องการต่อต้าน พวกเขามีวีรกรรมดังๆมาตลอด เช่น เผาธงชาติ ยืนแก้ผ้าประท้วงPMRC ต่อต้านบุช พวกเขาคือสัญลักษณ์ของการต่อต้าน และ Killing in the Name ยังมีวลีเด็ดคือ “Fuck you, I won’t do what you tell me” ที่บ่งบอกถึงการไม่ยอมแพ้ได้เป็นอย่างดี และเพลงนี้ก็ถูกเลือกมาเพื่อต่อต้านอุตสาหกรรมเพลงนั่นเอง

Rage Against The Machine 1

Rage Against The Machine “We Gotta Take The Power Back” 

หลังจากตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมาใน Facebook วันที่ 15 ธันวาคม BBC ก็รายงานว่ามีสมาชิกกลุ่มถึงกว่า 950,000 คน เรื่องนี้เริ่มกลายเป็นข่าวดังไปทั่ว และศิลปินหลากหลายต่างออกมาสนับสนุนแคมเปญนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัววง RATM เอง หรือ Sir Paul McCartney, Dave Grohl, The Prodigy และ Muse หรือกระทั่ง Steve Brookstein ผู้ชนะรายการ X-Factor คนแรกก็ด้วย ทุกคนต่างออกมาให้สัมภาษณ์สนับสนุนกันหมด ส่วนพ่องานก็บอกว่าจะเอารายได้ไปบริจาคให้กับมูลนิธิเพื่อคนไร้บ้าน

ฝ่ายเพลงป๊อป Simon Cowell ออกมาโจมตีแคมเปญดังกล่าวว่ามันดูถูกผู้อื่น และขี้ตืด ขณะที่ไอ้หนุ่ม Joe บอกว่าไม่รู้จักเพลงนี้มาก่อน แต่พอได้ฟังมัน เขาก็เกลียดมันและบอกว่ามันเป็นเพลงที่เลวร้ายเอามากๆ ต้องไม่ลืมว่า ต้นสังกัดใหญ่ของทั้ง RATM และ Joe ก็คือ Sony เหมือนกัน

เมื่อเสียงนกหวีดดัง แฟนของทั้งสองฝ่ายต่างแย่งกันดาวน์โหลดเพลงของศิลปินที่ตัวเองชอบ โดยที่ RATM ทำคะแนนนำมาตลอดโดยไม่ได้ทิ้งห่างมากนัก และ RATM ก็ออกมาประกาศว่าพวกเขาจะเล่นฟรีคอนเสิร์ตถ้าชนะในครั้งนี้ และไปเล่นเพลงดังกล่าวออก BBC โดยไม่ได้ตัดท่อนที่หยาบคายออกเลย หลายคนมองว่าเมื่อแผ่นซีดีของ Joe ออกวางขาย จะช่วยยอดขายได้มาก แต่สุดท้าย RATM ก็ครองที่หนึ่งไปโดยทำยอดขายทิ้งห่างถึง 50,000 แผ่น กลายเป็นซิงเกิ้ลช่วงคริส มาสเพลงแรกที่ได้ที่หนึ่งจากการดาวน์โหลดอย่างเดียว

Rage Against The Machine 2Rage Against The Machine ภารกิจเสร็จสมบูรณ์ 


ทันทีที่รู้ข่าว สามีภรรยา Morter ก็แทบไม่เชื่อหู พวกเขาดีใจมากและบอกว่า นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่เด็กของ Simon Cowell เท่านั้นที่จะได้ที่หนึ่ง และพวกเขาได้อันดับหนึ่งกลับมาแล้ว RATM เองก็ดีใจเป็นอย่างมากที่ความมุ่งมั่นสามารถเอาชนะอุตสาหกรรมเพลงป๊อปได้ ส่วน Simon Cowell ได้แต่บอกว่ารู้สึกเจ็บใจ แต่ก็ยังเป็นนักกีฬาที่ดี เขาโทรไปแสดงความยินดีกับสองสามีภรรยาและยังเสนองานให้ด้วย แต่ก็โดนปฏิเสธไป ส่วนหนุ่ม Joe ก็ออกมาแสดงความยินดีผ่าน Twitter เช่นกัน ปิดตำนานการแข่งขันที่สนุกและสะใจแฟนเพลงของยุค 2009 ไปได้อย่างงดงาม

ศึกครั้งนี้ทำให้เราได้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของวงการเพลงอย่างชัดเจน ทั้งเรื่องการดาวน์โหลด เพลงที่ออกมานานแล้วยังสามารถขึ้นอันดับหนึ่งได้ และอำนาจของเน็ตเวิร์คสังคม มันคือการที่เดวิดเอาชนะโกไลแอธได้อย่างงดงามจริงๆ และต่อไปคงมีอะไรสนุกๆอย่างนี้มาเรื่อยๆแน่ๆครับ

 

Friday, December 11, 2009

Slipknot: ยังจะหนักได้อีก

Technorati Tags: ,

ช่วงปลายปีแบบนี้ บ้านเราอากาศเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน เล่นเอาสงสัยว่ามันจะฤดูไหนกันแน่ และมักจะเป็นช่วงที่น่าเบื่อ เนื่องจากคนจะเริ่มนิ่งรอปีใหม่ ทำให้ธุรกิจค่อนข้างจะนิ่งตามไปด้วย แต่ก็พอจะมีของที่ทำให้สดชื่นขึ้นมาได้หน่อยคือ แผ่นของ Slipknot ที่ส่งมาที่สำนักงานของผม เลยได้โยกหัวรำลึกอดีตหน่อย 

slipknot-02

Slipknot กำเนิดขึ้นในที่ๆมีแต่ข้าวโพดอย่างรัฐ Iowa สหรัฐอเมริกา โดยตอนแรก สองแกนนำของวง Shawn Carahan (ชอว์น เครื่องเคาะ) และ Paul Gray (พอล เบส) ตั้งวงชื่อ Painface ขึ้นกับเพื่อน แล้วก็ได้ Joey Jordison (โจอี้ กลอง) ตามเข้ามาร่วมวง จนตอนที่ออกเดโมแรก พวกเขาเปลี่ยนชื่อเป็น Slipknot แทน ก็เริ่มทดลองเครื่องแบบที่จะกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาในภายหลัง เมื่อมือกีตาร์ลาออกไป พวกเขาได้ Craig Jones (เครก แซมเปิ้ล) มาแทน ก่อนที่จะย้ายไปเป็นมือแซมเปิ้ลแทนเมื่อวงได้ Mick Thomson (มิค กีตาร์) มาทำหน้าที่ขุนขวานแทน และออกผลงานใต้ดินชุดแรกชื่อ Mate. Feed. Kill. Repeat. และเริ่มตั้งหมายเลขประจำตัวและสวมชุดหมีและหน้ากากตั้งแต่บัดนั้น

ต่อมาพวกก็ดึง Corey Taylor (คอรีย์ ร้องนำ) เข้ามาแทนนักร้องเดิม ตามด้วย Sid Wilson (ซิด ดีเจ) และ Chris Fehn (คริส เครื่องเคาะ) เข้ามาเสริมความแกร่ง และโปรดิวเซอร์มือทองอย่างRoss Robinson ก็ถูกดึงมาช่วยงาน และเมื่อมือกีตาร์คนเก่าออกไป พวกเขาก็ได้ Jim Root (จิม กีตาร์) มาทำหน้าที่แทน และในที่สุด Slipknot 9 คนก็ลงตัวแล้ว

slipknot 

ในที่สุด พวกเขาก็ได้ฤกษ์ออกอัลบั้มเต็มชุดแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับชื่อวงในปี 1999 ซึ่งเป็นช่วงที่กระแส Nu-Metal กำลังพีค และ Slipknot ก็คือการเปิดตัวอย่างงดงามของพวกเขา มันคือความหนักหน่วงที่มาในรูปแบบดนตรี ทุกอย่างมันผสมออกมาได้อย่างลงตัว เสียงร้องสำรอก กีตาร์จากนรก เบสที่จูนสายต่ำ กลองถล่มแบบเดธเมทัล เครื่องเคาะเสริมช่วยความแน่น เสียงแซมเปิ้ลสยอง และเทิร์นเทเบิ้ลที่แทรกมาเป็นจังหวะ ด้วยความที่ขุมกำลังแน่นไปทุกตำแหน่ง ทำให้พวกเขาสามารถสร้างความโกลาหลผ่านเสียงดนตรีได้อย่างที่วงอื่นได้แต่อิจฉา มันคือดนตรีที่เกิดมาเพื่อสร้างความสะใจอย่างแท้จริง เพลงที่แนะนำก็คงไม่พลาดสองซิงเกิ้ล Spit it Out และ Wait and Bleed ที่มันสะใจไม่คลายจนถึงทุกวันนี้ มันกลายเป็นอัลบั้มเปิดตัวระดับตำนานและก็เป็นอัลบั้ม Platinum อัลบั้มแรกของค่าย Roadrunners ของ Ross Robinson ด้วย และเพื่อฉลองครบรอบสิบปี ค่าย Warner ก็ได้ออกเวอร์ชั่นพิเศษเพิ่มเพลงเด็ดอย่าง Wait And Bleed (Terry Date Mix) และ Spit It Out (Hyper Version) บวกกับ DVD รวม MV แสดงสด และเบื้องหลังอีกด้วย โคตรคุ้มครับ

slipknot-pictures

พวกเขาไม่ได้ดื่มด่ำกับความสำเร็จอย่างเมามัน แต่พวกเขาเลือกออกทัวร์อย่างหนักเพื่อสร้างชื่อเสียง และนั่นเป็นความคิดที่ถูกเพราะว่า ดนตรีของพวกเขาจะถูกปลดปล่อยอย่างเต็มที่ก็เมื่อมันถูกเล่นสดๆ ผู้คนต่างเฝ้ารอผลงานใหม่ของพวกเขา และก็ไม่ผิดหวังเมื่ออัลบั้มที่สอง Iowa ออกวางขายในปี 2001 เพราะแค่เพลง People=Shit ก็ทำให้เรามันแบบหาชิบไม่เจอได้แล้ว มันคือการทำลายล้างที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีจริงๆ ส่วนถ้าใครต้องการฟีลแบบ Wait and Bleed ก็ต้องไปหา My Plague และ Left Behind ที่ชวนโยกอย่างสะใจ ส่วน Heretic Anthem ก็เหมือน White Zombie หลังล่อกระทิงแดงไปสามขวด Iowa คืองานเพลงที่เหนือกว่าอัลบั้มแรก มันหนักกว่า มืดกว่า และสะใจกว่า ไม่แปลกอะไรที่มันได้รับคำชมจากทั่วสารทิศและติดอันดับอัลบั้มยอดเยี่ยมของหลายสื่อ

หลังจากอัลบั้มที่สอง สมาชิกบางคนก็ออกไปทำผลงานของตัวเองอย่าง Stone Sour หรือ Murderdolls จนทำให้แฟนๆกลัวว่าพวกเขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวัง เมื่อหันไปร่วมงานกับ Rick Rubin โปรดิวเซอร์ระดับตำนาน ก่อนจะออกมาเป็น Vol. 3: (The Subliminal Verses) ในปี 2004 ที่ทำให้แฟนเพลงต้องสยบต่อหน้าพวกเขา เพราะมันขยายขอบเขตความสามารถของพวกเขาให้กว้างออกไปกว่าเดิมจริงๆ แต่ละเพลงได้รับการเรียบเรียงให้ละเอียดมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชั้น Before I Forget คือตัวอย่างของเพลงเมทัลที่ดีเอามากๆ Duality ก็ชวนให้เราบ้าคลั่งได้อีกครั้ง ส่วน Pulse Of The Maggots ก็คือเพลงที่ชวนให้เราแหกปากตามในคอนเสิร์ตจริงๆ ส่วน Vermilion แม้จะช้า แต่ก็หนักหน่วงได้ใจจริงๆ

slipknot_worldstage1

และหลังจากเงียบไปสี่ปีอย่างน่าใจหาย พวกเขาก็กลับมาพร้อมกับ All Hope Is Gone อัลบั้มชุดที่ 4 ในปี 2008 โดยถากทางมาก่อนด้วย All Hope Is Gone ที่ สับสับสับและสับแบบไม่ยั้งจริงๆ ต่อด้วย Psychosocial ที่เป็นเพลงชวนเรากระทืบตามจริงๆ Dead Memories ก็เห็นได้ชัดว่าเรียบเรียงมาเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับ Gematria (The Killing Name) และมันก็กลายเป็นอัลบั้มแรกของพวกเขาที่ครองอันดับหนึ่งของ Billboard ได้อย่างสง่างาม

ปัจจุบันนอกจากออกทัวร์แล้ว พวกเขากำลังซุ่มทำผลงานใหม่อยู่ ระหว่างรอ ก็เอาอัลบั้ม Slipknot ชุดฉลองครบ 10 ปีมาชมและฟังเพื่อความสะใจก่อนก็ได้ครับ