Tuesday, August 30, 2011

Lupe Fiasco ฮิปฮอปเด็กเรียน

Technorati Tags: ,

ในวงการเพลงฮิปฮอป ส่วนใหญ่ศิลปินที่ครองตลาดได้ มักจะต้องเป็นแนวโชว์เก่า โชว์พาว ข่มคนอื่น จนทำให้รู้สึกว่า บางคนมันไม่ได้แร๊พเป็น แค่พูดเกรียนไปเรื่อยๆ ส่วนบางชาติ ยิ่งแล้วใหญ่ ทำตัวเป็นคนผิวดำยิ่งกว่าคนผิวดำเสียอีก บอกตรงๆครับ ดูแล้ว อนาถ แต่ในกลุ่มนั้นก็มี-พวกแหวกแนวออกมา กลายเป็นพวกแร๊ปเปอร์ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มแร๊ปเปอร์เด็กเรียนไป และ Lupe Fiasco ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนั้นด้วยครับ

Lupe Fiasco (ลูเป้ เฟียสโค) เกิดในครอบครัวชาวผิวดำนับถืออิสลามในชิคาโก โดยมีชื่อจริงว่า Wasalu Muhammad Jaco โดยตอนเด็กพ่อแม่ของเขาแยกทางกัน แต่พ่อแม่ของเขาก็ยังทำหน้าที่ของพ่อแม่ที่ดีได้ พ่อเขาให้เขาฟังเพลงหลากหลายแนว จนกลายเป็นเบ้าหล่อหลอมเขา ละแวกที่เขาโตมาจัดเป็นย่านเสื่อมโทรมมีทั้งพวกค้ายา ประเวณี แต่ในบ้านเขาก็เต็มไปด้วยหนังสือหนังหาไว้อ่านหาความรู้เหมือนกัน

lupe-fiasco

ทีแรก เขาไม่ชอบดนตรีฮิปฮอปเพราะภาษาที่หยายคาย และสนใจที่จะเล่นเพลงแจ๊ซมากกว่า แต่สุดท้าย อัลบั้มที่โดดเด่นเรื่องการเล่นคำและใช้ภาษาอย่าง It Was Written ของ Nas ก็เปลี่ยนใจเขาได้อย่างสิ้นเชิง เขาเริ่มสนใจการแร๊ปและใช้ฉายาต่างๆทำเพลงกับเพื่อนๆ โดยมาลงตัวกับชื่อ Lupe Fiasco ที่ Lupe มาจากคำท้ายชื่อเขา (Lu) และ Fiasco ที่แปลว่าล้มเหลว ก็คือการเตือนตัวเองเสมอ

Monday, August 22, 2011

Patrick Wolf – Lupercalia

Technorati Tags: ,

หนึ่งในอัลบั้มที่เตรียมชิงอันดับหนึ่งในปีนี้ของผมคืองานชุดล่าสุดของ Patrick Wolf ชุดนี้ที่แสดงความเหนือชั้นในการแต่งเพลงป๊อปที่แสนละเมียดละไมแต่ยังลึกซึ้ง ราวกับหลุดมาจากยุค '80 ที่เต็มไปด้วยเพลงป๊อปที่เจิดจรัส นี่คือผลงานที่งดงามไม่ต่างจากรูปปั้นหินอ่อนที่ได้รับการแกะสลักอย่างปราณีต

One of my contenders for the best album this year is the latest album by Patrick Wolf, Lupercalia. It is such a wonderful album that reminded me of perfect pop music from the ‘80. It was well-crafted like a statue that was deliberately carved by a genius craftsman.

Saturday, August 20, 2011

X-Japan มาไทยแลนด์ซะที

Technorati Tags: ,

ในที่สุด ในที่สุด คอนเสิร์ตนึงที่แฟนเพลงชาวไทยคงรอคอยมาอย่างยาวนานสองสามนาน ไปจนถึงหลายๆนาน ก็เป็นจริงๆแล้วครับ กว่าที่จะเกิดคอนเสิร์ตนี้ได้ แฟนเพลงชาวไทยก็เฝ้ารอจนคอยืดคอยาว หลายๆคนคงเลิกล้มความตั้งใจไปตามวัยและภาระที่เพิ่มมากขึ้น บางคนก็แอบน้อยใจ หันไปเป็นติ่งหูเกาหลีรุ่นอาวุโสแทน แต่ไม่ว่าจะยังไง อีกไม่นาน วง X-Japan วงญี่ปุ่นที่มือชื่อเสียงในเมืองไทยที่สุดก็จะพาตัวเป็นๆมาเล่นให้เราดูกันสดๆแล้วล่ะครับ

สำหรับเด็กรุ่นใหม่วัยมัธยม อาจจะไม่ค่อยรู้จักว่า X-Japan ยิ่งใหญ่แค่ไหน เลยขอสรุปให้ง่ายๆล่ะกันครับว่า ในยุคที่อินเตอร์เน็ตและโซเชี่ยลมีเดียยังไม่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ขนาดนี้ วง X-Japan คือวงดนตรีต่างชาติวงหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในบ้านเราแบบยิ่งใหญ่จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นกระแส หรือยอดขาย เรียกได้ว่าฮิตไปทั่ว และสร้างกระแสความนิยมดนตรีเฮวี่เมทัลแบบญี่ปุ่นในบ้านเราได้อย่างยิ่งใหญ่มากๆครับ

พวกเขารวมวงกันมานานตั้งแต่สองสมาชิกหลักอย่าง Yoshiki (โยชิกิ มือกลองและเปียโน) ร่วมตั้งวงกับ Toshi (โทชิ ร้องนำ) ตั้งวงตั้งแต่สมัยมัธยม ก่อนที่จะได้ Hide (ฮิเดะ กีตาร์) Pata (พาตะ กีตาร์) และ Taiji (ไทจิ เบส ก่อนจะออกจากวงและได้ Heath ฮีธมาแทนในภายหลัง) มาฟอร์มวงกันอย่างเป็นทางการในชื่อ X ในปี 1987 ยุคที่วงแกลม และเฮวี่เมทัล เบ่งบานไปทั่วโลก

xjapan0127

พวกเขาได้เข้าสังกัดค่ายโซนี่ และเริ่มโด่งดังกับอัลบั้มที่สอง Blue Blood โดยมีเพลงเด่นอย่าง Kurenai และ Endless Rain ในช่วงปี 1989 แต่ก็ต้องเพิ่ม Japan เข้าไปในชื่อวงเนื่องจากไปชนกับวงพังค์อเมริกัน หลังจากนั้น อัลบั้มต่อมาอย่าง Jealousy ก็สร้างชื่อให้กับพวกเขาอีกครั้ง ด้วยเพลง You Say Anything และ Silent Jealousy

Tuesday, August 16, 2011

Friendly Fires ปลุกสัญชาติญาณการแดนซ์

Technorati Tags: ,

ผมเคยพูดมาหลายครั้งแล้วว่า ทุกวันนี้ เส้นที่กันแบ่งระหว่างแนวเพลงต่างๆมันเริ่มบางลงเรื่อยๆ แต่ละวงเริ่มข้ามขอบเขตของแนวเพลงตัวเองไปหาแรงบันดาลใจจากแนวเพลงอื่นๆ ทำให้เราได้แนวเพลงที่หลากหลายที่ถือกำเนิดจากแนวเพลงที่มีมาแต่เดิมแล้ว จนเราแทบแยกแยะแนวเพลงไม่ออก และ Friendly Fires ก็เป็นอีกวงที่จัดแนวเพลงลำบากเหลือเกินครับ

Friendly Fires

Friendly Fires คือวงที่มาจาก St. Albans ประเทศอังกฤษ ประกอบด้วย Ed Macfarlane (เอ็ด หรือ EdMac ร้องนำ และคีย์บอร์ด) Edd Gibson (เอ็ด กีตาร์) และ Jack Savidge (แจ๊ค กลอง) ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาเริ่มต้นจากการทำวง Post Hardcore ชื่อ First Day Black เมื่ออายุ 14 ปี ก่อนจะยุบไปตอนเข้ามหาวิทยาลัย ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย EdMac ได้ออกงานเพลงของตัวเองอีกด้วย และเมื่อเรียนจบ พวกเขาก็รวมตัวตั้งวงดนตรีอีกรอบ โดยมีอิทธิพลจาก เพลงเต้นรำ ทำนองแบบวงชูเกซ ผสมเพลงป๊อป โดยพวกเขายกให้ค่ายเพลงมินิมอลเทคโน Kompakt จากเยอรมัน Prince และ Cark Craig เป็นแรงบันดาลใจหลัก และพวกเขาเรียกตัวเองว่า Friendly Fires จากชื่อเพลงของพวกเขาเอง

พวกเขาเริ่มเป็นที่จับตามองในปี 2006 จากการแสดงที่น่าตื่นตา และได้ออก EP แรกที่ชื่อ Photobooth ผ่านค่ายอินดี้ People in The Sky ในปลายปี 2006 และตามด้วย Cross The Line ในช่วงหน้าร้อนปี 2007 และยังเป็นวงแรกที่ได้ออกรายการ Transmission ทาง Channel 4 โดยที่ยังไม่มีสังกัดด้วยซ้ำ

ความดังของพวกเขา ทำให้ค่ายอินดี้ชื่อดัง Moshi Moshi จับพวกเขาไปออกซิงเกิ้ลที่ 3 ชื่อ Paris ในช่วงปลายปี 2007 และมันกลายเป็นความสำเร็จที่งดงาม พวกเขาได้รับคำชมเป็นอย่างมากจากสื่อ และกลายเป็นเพลงฮิต ส่งให้พวกเขาได้โอกาสไปเล่นเปิดให้กับวงดังอย่าง Interpol ก่อนที่จะถูกค่ายเพลงอินดี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกค่ายหนึ่งในอังกฤษอย่าง XL ดึงตัวไปเป็นศิลปินในค่าย

FriendlyFires-02-big

เมื่อมีค่ายมาโอบอุ้ม พวกเขาก็เริ่มต้นทำงานอย่างเต็มที่ โดยระหว่างนั้นก็ได้ไปทัวร์กับ Noise Tour ที่จัดขึ้นโดยนิตยสารทรงอิทธิพลอย่าง NME อีกด้วย ระหว่างที่ทำงานเพลง ซิงเกิ้ลเก่าของพวกเขาอย่าง On Board ก็ถูกนำไปใช้ประกอบโฆษณา WiiFit ด้วย และงานอัลบั้มเต็ม ที่ใช้ชื่อเดียวกับวงก็ออกมาในช่วงปลายปี 2008 โดยมี On Board และ Paris เป็นซิงเกิ้ลนำร่อง และมีซิงเกิ้ลที่ 3 ชื่อ Jump In The Pool ผลงานการโปรดิวซ์ของพ่อมดอินดี้ Paul Epworth เป็นเพลงแรกของพวกเขาที่ติดชาร์ต Top 100 ซึ่งมันก็เป็นเพลงที่มากับจังหวะโจ๊ะๆ เบสไลน์ที่เบียบเข้ามาเป็นระยะบวกกับเสียงร้องที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่อเหมือนกับการได้กระโดดเข้าใส่สระว่ายน้ำกลางฤดูร้อนจริงๆ

ซิงเกิ้ลต่อมาอย่าง Skeleton Boy ก็เริ่มต้นด้วยเสียงแบบเทคโนย้อนยุคก่อนจะเบรคด้วยกีตาร์แตกๆ กลายเป็นเพลงที่ชวนเราโยกย้ายร่างกายตามแบบไม่หยุดจริงๆ เพลงที่ไม่ใช่ซิงเกิ้ลอย่าง In The Hospital ก็คืกการผสมกันอย่างลงตัวของจังหวะเพลงฟังค์กับกีตาร์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆครับ นอกจากนี้ เพลงอื่นๆอย่าง White Diamonds ก็มันไม่แพ้กัน ส่วน Strobe ก็กลายเป็นงานมินิมอลเทคโนยุคใหม่ไปเลยครับ

Friendly Fires กลายเป็นงานเพลงที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์มากๆ เพราะมันคืองานที่ชวนให้คนปลุกสัญชาติญาณการแดนซ์ออกมาแบบไม่ต้องเกรงใจมนุษย์คนอื่นเลย ราวกับพวกเขารู้วิธีอัดความสนุกเข้าไปในงานเพลงทั้งอัลบั้ม

ในปี 2009 พวกเขาออกอัลบั้มนี้อีกครั้งโดยมีEP แถมที่มีเพลงที่ยอดเยี่ยมอย่าง Kiss Of Life ที่เป็นเหมือนความสดชื่นที่ได้รับจากจูบที่ริมทะเลยามเย็นจริงๆ และความสำเร็จเหล่านี้ก็ส่งให้พวกเขาได้เข้าชิงรางวัล Mercury เลยทีเดียว

friendly-fires

และในปีนี้ พวกเขาก็กลับมาด้วยอัลบั้มชุดที่สอง Pala ที่บอกตรงๆว่า มันคืองานเพลงที่ต้องติดหนึ่งในอัลบั้มยอดเยี่ยมของปีนี้จริงๆครับ ประสบการณ์สอนให้พวกเขาแตกฉานในเรื่องการปลุกเร้าอารมณ์ความสนุกในตัวมนุษย์จริงๆ แต่ละเพลงคือส่วนผสมของจังหวะเพลงเต้นรำ กีตาร์เพลงร๊อคและความติดหูของเพลงป๊อปได้อย่างลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

ตั้งแต่เพลงแรก Live Those Days Tonight ที่เหมือนกับบอกให้เราเต้นรำแบบไม่ต้องสนวันพรุ่งนี้อีกต่อไป (ลองหา MV นี้ดูครับ) ส่วนซิงเกิ้ลที่สองอย่าง Hawaiian Air ก็คือการอัดเอาความสดชื่นของฮาวายลงมาอยู่ในเพลงที่ยาว 4.16 นาที ชวนให้เราปลดปล่อยทุกสิ่งออกไปจากตัวจริงๆ ว่าที่ซิงเกิ้ลต่อไป Hurting ก็เป็นเพลงป๊อปฟังสบาย เพลงเด่นเพลงอื่นในอัลบั้มก็อย่าง 3 เพลงติด Show Me Lights ที่ชวนให้เราสนุกกับจังหวะที่แสนติดหู True Love ที่มีท่อนเบสแสนเร้าใจ ส่วน Pull Me Back To Earth ก็เหมือนการระเบิดความสุขออกมาจากทุกอณูพร้อมๆกัน ถ้าจะให้สรุปคือ Pala คืองานเพลงที่เข้าใจสัญชาติญาณความสนุกของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี และพน้อมจะดึงทุกชีวิตลงไปที่แดนซ์ฟลอร์ครับ

อากาศร้อนๆแบบนี้ ไม่ลองหางานชิ้นนี้ไปฟังที่ทะเลดูเหรอครับ ผมลองดูแล้วและบอกได้คำเดียวว่า เข้ากันจริงๆครับ

Monday, August 8, 2011

Utada Hikaru – WILD LIFE อำลาเวที

Technorati Tags: ,
จริงๆแล้ว แม้ผมจะเป็นศิษย์เก่าญี่ปุ่น และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมานาน ผมเองไม่ได้หลงไหลไปกับดนตรีญี่ปุ่นมากอะไรนักหนา จำนวนแผ่นที่มีก็น้อย ยิ่งศิลปินหญิงแล้ว ส่วนใหญ่ ผมจะมองเป็นแค่ตุ๊กตาของค่ายเพลง ที่พอไม่มีค่ายเพลง ก็ไร้ปัญญาหากินเองต่อไปซะมากกว่า แต่มีคนนึงที่เป็นข้อยกเว้นสำหรับผม นั่นคือ Utada Hikaru ที่ผมชื่อชมเป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องเสียงร้อง และความสามารถในการแต่งเพลงเอง จนเรียกได้ว่า สมกับที่ควรเรียกว่าศิลปินตัวจริง และที่คนญี่ปุ่นยกให้เธอเป็น Uta Hime หรือ เจ้าหญิงแห่งดนตรี เลยทีเดียวครับ (จริงๆแล้ว ผมเคยเขียนถึงเธอไว้แล้วถึงสองตอนล่ะครับ เลยไม่อยากจะเขียนซ้ำ ขอปูพื้นเรื่องหน่อยก็พอล่ะครับ)
แต่ก็เป็นที่น่าตกใจที่ ศิลปินที่มีคุณภาพขนาดนั้น กลับเลือกที่จะพักงานบันเทิงโดยไม่มีกำหนด โดยที่เธอประกาศผ่านทางทวิตเตอร์ของเธอ เมื่อเดือนสิงหาคมปีก่อน โดยที่เหตุผลคือ อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา กลับไปเป็นตัวของตัวเองบ้าง แต่เธอก็ได้บอกให้แฟนเพลงยกโทษให้ด้วย เธออาจจะออกเดินทางไปไกล และจะกลับมาในซักวันหนึ่ง ซึ่ง เธอบอกว่า ไม่อยากแก่ตัวลงไปเป็นป้าอายุ 50 ปี ที่ทำอะไรเองไม่เป็น อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีผู้จัดการส่วนตัว แล้วก็อยากไปทำงานการกุศลในต่างประเทศ
ในช่วงเดียวกัน ก็มีการประกาศอัลบั้มรวมเพลงอัลบั้มที่ 2 ของเธอ ซึ่งมี 5 เพลงใหม่ด้วย และตามด้วการประกาศแสดงคอนเสิร์ตเพื่อการสั่งลาของเธอ ชื่อ WILD LIFE ที่จัดขึ้นที่ โยโกฮาม่ามารีน่า ระหว่างวันที่ 8 และ 9 ธันวาคม ปีที่แล้ว ซึ่งก็กลายมาเป็นดีวีดีแผ่นที่จะมาพูดถึงในวันนี้ครับ สำหรับตัวผมเองที่ยอมรับว่าเป็นแฟนเพลงเหมือนกัน ก็ดีใจที่ได้ดู แต่ก็เสียดายที่จะไม่ได้ฟังงานใหม่ๆของเธอไประยะหนึ่งล่ะครับ
wildlife_bdb
ดีวีดีแผ่นนี้เปิดด้วยงาน CG การผจญภัยของหมี (คาดว่าคนในฮอลล์คงได้ดูเหมือนกัน) ก่อนที่จะเวทีจะค่อยๆเปิดขึ้นมา ให้เห็นเธอยืนสง่าในชุดเดรสฟูฟ่องสีม่วงอ่อน บนแท่นยกพื้น ขับขานเพลง Goodbye Happiness เพลงใหม่ของเธอ ซึ่งยอมรับเลยครับว่าเป็นการเปิดตัวอย่างสง่างามจริงๆครับ อีกจุดที่ผมชอบคือ เธอกลับไปตัดผมสั้น ดูทะมัดทะแมงเหมือนเดิม และท่าทางจะลดน้ำหนักไปได้เยอะด้วยครับ หลังจากจบเพลง ก็ตามติดด้วยเพลงโปรดของผมอย่าง travelling ที่ฟังกี่ครั้งก็เพลินติดหูไม่เคยเปลี่ยนครับ และหลังจากจบเพลง ค่อยทักทายแฟนเพลงทุกๆท่านด้วย “บองชูว์” ไปทั่วครับ และค่อยกลับมากับเพลง Take 5 (ผมขอเปลี่ยนจากภาษาญี่ปุ่นเป็นอังกฤษหมดนะครับ) ตามด้วย Prisoner of Love เพลงประกอบละครดัง Last Friends แล้วค่อยเป็นเพลง COLORS อีกเพลงสร้างชื่อของเธอจากงานชุดที่ 3 ตามด้วยเพลง Letters ก่อนที่จะแนะนำเพลงต่อไปว่า เป็นเพลงที่ เธอแต่งเนื้อเอง แต่ทำนองเอามาจากเพลงของคนอื่น นั่นคือเพลง Hymne a l’amour ~Ai no Anthem ซึ่งมาจากเพลงเก่าของ Edith Piaf นั่นเองครับ (และเป็นหนึ่งในเพลงใหม่ของอุทาดะ)
ต่อมา เธอหันไปเล่นเปียโนไปพลาง ร้องเพลง Sakura Drops ที่ได้อเรนจ์ใหม่ให้เข้ากับเปียโน ก่อนจะมีคั่นเบรคสั้นๆด้วยเพลง Eclipse ที่เป็นการโชว์ฝีมือของวงดนตรีเต็มที่ ก่อนที่เธอจะกลับมากับเพลง Passion ในชุดสีแดงอ่อน ซึ่งความอลังการของเพลงนี้ มันเหมาะกับการเล่นในฮอลล์เสียจริงๆครับ แล้วก็ตามติดด้วยเพลงยุคเดียวกันอย่าง BLUE ก่อนที่จะตามด้วยเพลง Show Me Love (Not A Dream) และ Stay Gold
news_large_utada_wildlife
แล้วเธอก็เปลี่ยนโทนด้วยเพลง Boku Wa Kuma (ผมคือหมีน้อย) ที่เป็นเพลงเด็กที่เธอแต่งเป็นครั้งแรก น่ารักมากครับ แล้วค่อยตามติดด้วยสองเพลงดังอย่าง Automatic และ First Love จากงานชุดแรก แล้วตามด้วย Flavors Of Life เพลงแสนเศร้าในฉบับบัลลาด และ Beautiful World จากอัลบั้มเดียวกัน และเพลงอัพบีทอย่าง Hikari และปิดท้ายด้วยเพลงใหม่ Niji Iro Bus (Rainbow Bus) ที่เธอแต่งมาโดยหวังให้คนในโลกเข้าใจในความแตกต่างของกัน แล้วเธอจึงจากเวทีไป
แน่นอนครับว่าต้องมีอังคอร์ เธอกลับมาในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์สบายๆ และมานั่งดีดกีตาร์โปร่ง ในเพลง Across The Universe เพื่อเป็นเกียรติให้กับจอห์น เลนนอนที่เสียชีวิตในวันนั้น ก่อนจะร้องเพลงเข้าบรรยากาศคือ Can’t Wait Til Christmas เพลงแรกของเธอที่มีธีมเป็นเทศกาล ที่เธอโชว์พลังเสียงร้องไล่เรียงไปกับเสียงเปียโนนิ่มๆ แล้วจึงปิดท้ายอย่างเป็นทางการด้วยเพลง time will tell เพลงแรกที่เธอแต่งในชีวิตศิลปินครับ แล้วจึงค่อยๆลาเวทีไปท่ามกลางเสียงเชียร์ของแฟนเพลง
การแสดงสดครั้งนี้ นอกจากจากในฮอลล์แล้ว ยังถูกถ่ายทอดสดไปที่โรงหนัง 64 โรงทั่วประเทศ และยังสตรีมสดผ่าน USTREAM ทำยอดผู้ชมสูงสุดเป็นสถิติครับ เรียกได้ว่า ใครก็อยากชมครับ สำหรับเรา ก็สัมผัสจาก DVD ได้ครับ แถมยังมี แผ่นเบื้องหลังเสริมให้อีกครับ คุ้มและเพลินเลยครับ สำหรับแฟนๆ

Monday, August 1, 2011

Amy Winehouse ดวงดาวที่ดับแสง

Technorati Tags: ,

ใจจริง ผมเองมีแผนที่จะเขียนเรื่องอื่นอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่า เกิดเหตุอันไม่คาดฝันทำให้ผมต้องเปลี่ยนหัวข้อในการเขียนมาเป็นเรื่องที่อยากเขียนน้อยที่สุด นั่นคือการเขียนไว้อาลัยให้กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของศิลปินที่ชื่นชอบ ซึ่งในครานี้ ก็คือ Amy Winehouse ศิลปินหญิงมากความสามารถ แต่ชีวิตกับถูกสิงด้วยเหล้าและยาเสพติดแบบที่เธอหนีจากมันไม่พ้น จะต้องจบชีวิตลงด้วยวัยสาวเพียงแค่ 27 ปี เท่านั้น

amy_winehouse-1311444225

ชีวิตอันแสนสั้นของ เอมี่ ไวน์เฮาส์ เริ่มต้นในครอบครัวชาวยิวที่พ่อคนขับแท็กซี่ของเธอชอบร้องเพลงคลาสสิกให้เธอฟังเสมอๆ แม้ครอบครัวจะแตกแยก แต่เธอก็ได้โอกาสเข้าเรียนในโรงเรียนศิลปะการแสดง ก่อนจะถูกไล่ออกมาทีหลัง แต่เพชรก็ยังเป็นเพชร ความพยายามในการแต่งเพลงของเธอไปเข้าตาค่ายเพลง ก่อนที่จะได้ไซมอน ฟูลเลอร์ พ่อมดนักปั้นศิลปินมาดูแล ก่อนที่เธอจะกลายเป็นต้นเหตุของศึกระหว่างค่าย Island และ EMI ที่แย่งตัวเธอกันเพราะเห็นความน่าสนใจและจุดขายที่ต่างจากศิลปินดาดๆในยุคนั้น

หลังจากได้ค่ายเพลงอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน เธอก็เริ่มต้นสร้างสรรค์เพลงของตนเอง ซึ่งผสมผสานกันระหว่าง เพลงโซล แจ๊ซ และ R&B แบบคลาสสิก ซึ่งเธอแต่งเพลงเองทั้งหมดและบรรจงร้องออกมาด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ทรงพลังของเธอ ซึ่งหากได้ยินแค่เสียง อาจจะนึกว่าเป็นงานของนักร้องผิวสีที่หลุดมาจากยุค ’60 เอาก็ได้ นอกจากเสียงแล้ว รสนิยมเรื่องแฟชั่นของเธอ ยังแหวกแนวแบบไม่ซ้ำรอยใคร เธอหลงไหลแฟชั่นย้อนยุคมาก และทำผมทรงรังผึ้ง (beehive) แบบย้อยยุค บวกกับการเขียนตาแบบพระนางคลีโอพัตรา นอกจากนี้ เธอยังมีความห้าวและแสบแบบสาวพังค์ร๊อคอยู่ในตัว ทำให้เธอเหมาะสมกับความเป็นซูปเปอร์สตาร์แห่งยุคอีกคนจริงๆ

อัลบั้มแรกของเธอ Frank ออกในปี 2003 และมันก็เป็นอัลบั้มที่ทำได้ดีทั้งยอดขายและเสียงวิจารณ์ในประเทศอังกฤษ ทำให้ชื่อของเธอกลายเป็นทีรู้จักไปทั่ว ด้วยอานิสงค์จากซิงเกิ้ลเด่นๆอย่าง Stronger Than Me หรือ Pumps ด้วยความที่มันเป็นช่วงฟื้นฟูของดนตรีอังกฤษพอดี ตลาดวงการเพลงเต็มไปด้วยความสดชื่นและศิลปินอินดี้ทยอยออกอัลบั้มมาก ความแปลกใหม่ของเธอทำให้เธอกลายเป็นแนวหน้าและเป็นผู้เบิกทางให้กับศิลปินสาวมากกความสามารถรุ่นหลังอย่าง Adele หรือ Lilly Allen ถึงขนาดที่ Adele ยังบอกว่า ไม่มีเอมี่ ก็ไม่มีเธอในวันนี้

แต่สิ่งที่ตามมาคือ ความสำเร็จกลายเป็นสิ่งที่ลากเธอเข้าหาเหล้าและยาเสพติด เธอเริ่มมีปัญหาเสพติดทั้งสองสิ่งอย่างรุนแรง จนทั้งคนรอบตัวและค่ายเพลงเป็นห่วงและบังคับให้เธอเข้ารับการบำบัด แต่เธอก็ไม่ยอม

และเธอนำประสบการณ์ดังกล่าวมาเขียนเป็นเพลง Rehab เพลงที่กลายมาเป็นเพลงสร้างชื่อในระดับโลกให้เธอ มันกลายเป็นเพลงฮิตไปทั่ว ไม่เพียงแค่ในเกาะอังกฤษ เธอยังกลายเป็นศิลปินหญิงเดี่ยวอังกฤษที่ไปเจาะตลาดอเมริกาได้อย่างงดงาม และยังดังไปทั่วโลก Rehab กลายเป็นเพลงประจำตัวเธอไป จะว่าไป มันคงเป็นเพลงที่แสดงตัวตนของเธอได้อย่างชัดเจนที่สุด

และอัลบั้ม Back to Black ตามมาในปี 2007 ก็กลายเป็นงานมาสเตอร์พีซของชีวิตนักดนตรีของเธอ มันกลายเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จในทุกๆด้าน และยังเข้าชิงและคว้ารางวัลทางด้านงานเพลงจากหลายๆสถาบัน และส่งให้เธอกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ตัวจริงเสียงจริงอย่างเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ

แต่ในด้านมืด มันก็ไม่ต่างจากเพลงของเธอ เธอมีปัญหาการเสพติดอย่างเรื้อรัง ไม่หยุดหย่อน และชีวิตคู่ของเธอ กับสามีขี้ยา ก็กลายเป็นตัวเร่งให้เธอวิ่งตรงดิ่งสู่ขุมนรกของยาเสพติดเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนคนรอบตัวต้องจับทั้งสองแยกจากกัน ก่อนที่เขาจะต้องเข้าไปอยู่ในคุกจากคดีอื่น แม้จะดีขึ้นบ้าง แต่สุดท้าย เธอก็จมอยู่ในวงเวียนของการใช้ยาและเหล้า จนภาพเธอเมาเหล้าหมดสภาพมีเห็นได้ตามหนังสือพิมพ์หัวสีอยู่ตลอด

amyES1407_468x642

แม้จะพยายามสร้างสรรค์งานเพลง แต่ดูเหมือนเธอจะหมดเวลาไปกับการเมาหัวราน้ำเสียมากกว่า แม้จะเข้ารับการบำบัด แต่เมื่อออกมาจากสถานบำบัด เธอก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม ก่อนหน้าที่จะเสียชีวิต เธอเดินทางไปเล่นคอนเสิร์ตที่เซอร์เบีย ก่อนจะถูกโห่ไล่ลงจากเวที เนื่องจากเมามายหมดสภาพจนจำเนื้อเพลงไม่ได้

หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็กลับมาอังกฤษ พยายามรักษาตัว และมีนัดหมายกับแพทย์หลายราย แต่ในเช้าวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา เธอร้องและเล่นคนตรีในห้องของเธอจนเช้า ก่อนที่คนดูและจะมาเห็นว่าเธอหลับไปในตอนเช้า เมื่อเขาเข้ามาเช็คอีกทีในตอนบ่าย ก็พบว่าเธอเสียชีวิตเสียแล้ว แม้เหตุผลของการเสียชีวิตของเธอจะไม่แน่ชัด แต่ก็คงพูดได้ว่า การใช้ชีวิตที่ผ่านมาของเธอมีผลไม่น้อย และดวงดาวที่ส่องแสงก็ลาลับฟ้าไปอีกหนึ่งดวง

มันเป็นเรื่องตลกร้าย ที่การไม่ยอมรักษาตัวของเธอ กลายเป็นที่มาของเพลงดังที่สุดและสร้างชื่อให้กับเธอ ในขณะเดียวกัน มันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของเธอไปด้วย ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมเองก็อยากรู้ว่า เธอจะเลือกเดินเส้นทางเดิมหรือไม่ RIP Amy Winehouse