Monday, March 19, 2012

Skrillex แรงฉุดไม่อยู่

Technorati Tags: ,

ในตอนนี้ถ้าจะถามว่าดีเจหรือศิลปินเพลงเต้นรำคนไหนมาแรงที่สุด คำตอบที่ได้คงหนีไม่พ้น Skirllex เจ้าของรางวัลแกรมมี่ในปีที่ผ่านมา เพราะนอกจากรางวัลการันตีความสำเร็จแล้ว เขายังเป็นดีเจที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในเวลานี้ ด้วยผลงานเพลง และการไปรีมิกซ์ให้ศิลปินอื่น รวมไปถึงการเป็นที่ถกเถียงถึงความเจ๋งในหมู่นักฟังเพลง จนไม่แปลกอะไรที่จะบอกว่าเขาเป็นดีเจที่มาแรงที่สุดในตอนนี้จริงๆ

Skirllex หรือชื่อจริงคือ Sonny John Moore (ซอนนี่) เติบโตขึ้นมาโดยย้ายไปย้ายมาระหว่างเมืองต่างๆในแคลิฟอร์เนีย งานเพลงแรกๆที่เขาได้เป็นเจ้าของคือ The Fat of The Land ของ The Prodigy และ Come to Daddy ของ Aphex Twins ซึ่งทั้งสองก็เป็นศิลปินเพลงเต้นรำที่โดดเด่นทั้งคู่ และเขาก็สนุกกับการฟังเพลงในคลับตั้งแต่ยังอายุน้อย

skrilex

แต่ว่าเส้นทางดนตรีของเขากลับมีจุดเริ่มต้นที่แปลกมาก เพราะแทนที่จะเริ่มต้นกับเพลงเต้นรำตามความสนใจของเขา เขากลับไปขอร่วมวงเล่นกีตาร์ให้กับวง From First to Last วงร๊อคจากแคลิฟอร์เนียเช่นกัน ก่อนที่เขาจะถูกสลับให้ไป เป็นนักร้องนำแทน เขาอยู่กับวงตั้งแต่ปี 2004 ทั้งที่อายุแค่ 16 แต่ต่อมา เขาก็มีปัญหาทางด้านเส้นเสียง จนต้องถอนตัวจากทัวร์บ่อยๆ แม้เขาจะได้รับการผ่าตัดรักษาจนหาย แต่เขาก็ตัดสินใจลาออกจากวงอย่างเป็นทางการในปี 2007 เพื่อทำงานเดี่ยว

ช่วงเป็นศิลปินเดี่ยว เขาได้ร่วมงานกับศิลปินมากมาย มีโอกาสได้ออกทัวร์กับวงต่างๆ เช่น Team Sleep (ของชิโน่ จาก Deftones) หรือ All Time Low และ Chiodos แม้ท่าทางอนาคตจะไปได้ไม่เลวในนาม Sonny และได้ออก EP ที่ได้รับการยอมรับ สุดท้าย เขาก็ทิ้งงานเพลงร๊อคเหล่านั้นไป ไม่ได้ออกเป็นอัลบั้มเต็ม

เขาทิ้งตัวตนเดิมไป และหันมาเรียกตัวเองว่า Skrillex (สคริลเล็กซ์) และเริ่มทำงานเพลงเต้นรำอย่างเต็มที่ และออก EP ชื่อ My Name Is Skrillex เป็นงานดาวน์โหลดฟรีทางเน็ต และจากนั้นเขาก็ได้เซ็นสัญญากับค่าย mou5trap ของดีเจดัง Deadmou5 และออกทัวร์ร่วมกัน

skrillex-1

และจากการที่เขาเซ็นสัญญากับ mou5trap ทำให้เขาได้ออกงาน EP ชิ้นที่สอง ชื่อ Scary Monsters And Nice Sprites ในช่วงปลายปี 2010 ซึ่ง ซึ่งก็เป็นงานที่สร้างชื่อให้กับเขาอย่างมาก เพราะเพลง Scary Monsters And Nice Sprites กลายเป็นเพลงดังในวงการเพลงเต้นรำและรวมถึงวงกว้าง ด้วยกระแส Dubstep ที่กำลังร้อนแรงในตอนนั้น (ขนาดที่ Rihanna ยังเอ่ยปากว่าเป็นแนวเพลงที่มาแรงจริงๆ) ทำให้เขากลายเป็นดีเจที่ทำให้คนอเมริกันได้รู้จัก Dubstep แม้เอาเข้าจริงๆ เพลง Dubstep จะเริ่มต้นในอังกฤษตั้งแต่ช่วงปี 2004 แล้ว แต่จุดเด่นของ Skirllex ที่ทำให้คนจดจำได้ดีคือ ท่อนเบสระดับพระกาฬ ที่หนักหน่วงราวกับเอารถบรรทุกทุ่มใส่กบาล ทำให้คนทั่วไปคิดว่า Dubstep คือเพลงที่มีท่อนเบรคด้วยเบสที่หนักหน่วงแบบนั้นไป แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม Scary Monsters And Nice Sprites กลายเป็นงานเพลงที่ได้รับความนิยม นอกจากเพลงของเขาเองแล้ว ยังมีฉบับรีมิกซ์เด็ดๆโดย Noisia และเพลงเด็ดอย่าง Scatter หรือเพลงที่หนักไปในทาง Electro อย่าง Kill Everybody ที่พร้อมจะดึงดูดคนไปยังฟลอร์ได้ไม่ยากเลย แถมฉบับรีมิกซ์ของ Boy Noize ที่เจ๋งไม่แพ้ต้นฉบับ

นอกจากงานของตัวเองแล้ว เขายังไปรีมิกซ์ให้กับศิลปินอีกหลายราย โดยเฉพาะบิ๊กเนมอย่าง เช่น Black Eyed Peas และ Lady Gaga ก็ยังต้องเรียกใช้บริการของเขา แต่ที่ผมติดใจคือ เพลง In For The Kill ที่เขาไปรีมิกซ์ให้กับ La Roux ที่เด็ดดวงไม่เบา (แต่ยังแพ้ฉบับของต้นตำรับ Dubstep อย่าง Skream ที่บีทหลอนแบบเย็นยะเยือกจริงๆ)

น้ำขึ้นให้รีบตัก Skrillex ปัดฝุ่นเอางาน Scary Monsters And Nice Sprites กลับมาออกอีกครั้งเป็นอัลบั้มรีมิกซ์ โดยมีเพลงใหม่ 3 เพลงและใช้ชือ EP ว่า More Monsters and Sprites โดยนอกจากมีรีมิกซ์ 4 เวอร์ชั่นของเพลงดังแล้ว (ผมชอบฉบับ Juggernaut ที่หนักสะใจที่สุด) ยังมีเด่นคือ Ruffneck (Flex) - Original Mix ที่โดดเด่นด้วยเสียงเครื่องสายที่คลอไปตามเพลงตลอด

skrillex2

และจากความมาแรงแซงโค้งของเขา ทำให้เขาถูกวง Korn ดึงตัวเข้าไปร่วมโปรดิวซ์ งานเพลงชุดล่าสุด The Path of Totality งานเพลงที่เป็นที่ถกเถียงของวงนิวเมทัลระดับตำนาน ซึ่งโดยส่วนตัว ผมชื่อชอบงานชุดนี้มากที่สุดนับแต่ Follow The Leader มา เพราะมันเต็มไปด้วยความกล้าหาญที่จะแหวกไปจากกับดักเดิมๆที่พวกเขาสร้างมันขึ้นมาเอง คารวะจริงๆ และการได้ Skrillex มาร่วมงานด้วยก็ทำให้ได้งานที่หนักหน่วงสมกับที่ Korn ต้องการจริงๆ

กลับมาเรื่องงานของ Skrillex เมื่อกลายเป็นหนุ่มฮอตขนาดนั้นแล้ว มีหรือที่เขาจะพลาดออกงานใหม่ เขาออก EP ใหม่ชื่อ Bangarang ก่อนสิ้นปี 2011 และมีเพลงใหม่ล้วนๆ 7 เพลง เหตุผลที่เขาออกงานเป็น EP ไม่ได้ออกอัลบั้มเต็ม เพราะเขาต้องการอิสระในการทำงาน ไม่ได้ต้องการถูกผูกมัดกับค่ายเพลงใหญ่ ทุกวันนี้เขาก็ยังคงสถานะศิลปินอินดี้อยู่ดีแม้จะดังเอาเรื่องแล้ว

Bangarang ก็ยังคงรอยงานเพลงของเขาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเพลง Bangarang ที่หนักหน่วงเช่นเคย แต่จังหวะมันเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก หรือ The Devil's Den ที่ก็หนักหน่วงและเร่งเร้าไม่แพ้กัน โดยรวมแล้ว ทั้ง EP เหมือนกับการเอากระทิงแดงมาอัดลงแผ่นซีดีเลย (ไว้อาลัยคุณเฉลียวด้วยครับ) ก่อนจะไปปิดท้ายด้วยงานเพลงที่เบาลงหน่อยอย่าง Summit ที่ร่วมงานกับ Ellie Goulding สาวน้อยมหัศจรรย์ (อีกแล้ว) จากอังกฤษ

และหลังจากสร้างผลงานมานาน ในที่สุดวงการเพลงก็เห็นคุณค่าของเขา ซึ่งในการประกาศรางวัลแกรมมี่ครั้งที่ผ่านมาก เขาได้เข้าชิงถึง 5 สาขา และกวาดรางวัลกลับบ้านทั้งหมด 3 สาขา การันตีความสำเร็จของหนุ่มที่มาแรงสุดๆในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี

No comments: