Monday, April 2, 2012

Earth Wind & Fire: Live in Bangkok

Technorati Tags: ,

คอนเสิร์ตดีๆ บางทีก็มาแบบไม่รู้ตัวเหมือนกัน เผลอๆ ก็มีวงระดับโลกมาแสดงให้เราได้ชม นั่นก็คือ Earth Wind & Fire วงระดับตำนาน ที่ผมไม่อยากระบุว่าเล่นเพลงแนวอะไร เพราะเพลงของพวกเขาผสมผสานแนวเพลงหลากหลายเหลือเกิน ทั้ง R&B แจ็ซ ดิสโก ฟังค์ จนการระบุว่าพวกเขาเล่นเพลงแนวอะไรไปเลยอาจจะเป็นการเสียมารยาทกับเจตนารมณ์ของวงที่ต้องการก้าวข้ามผ่านเส้นกันของแนวเพลงให้ได้

DSC_0257

ส่วนตัวผมเอง คงเรียกตัวว่าเป็นแฟนเพลงของ EWF ไม่ได้ เพราะไม่ได้ฟังแบบเจาะลึกมากนัก แต่ก็ฟังเพลงของวงมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เพราะตอนนั้นกระเสเพลงเฮาส์มาแรง และเพลง September ของวงก็จัดว่าเป็นเพลงที่ถูกนำมารีมิกซ์กลายเป็นเพลงฮิตอีกรอบ ยิ่งพอได้ฟังเพลงของวง ทำให้ทึ่งกับความสามารถแบบครบเครื่องและลูกเล่นที่แพรวพราวของพวกเขา กับเสียงร้องแบบไร้เทียมทานของ Philip Bailey ที่เป็นเจ้าของเสียงหลบที่สูงแต่ช่างน่าหลงไหล นอกจากเพลงดังอย่าง Boogie Wonderland กับ Let’s Groove แล้ว เพลงที่ผมคิดว่าสมบูรณ์แบบอย่างไร้เทียมทานที่สุดของพวกเขาคือ Fantasy ที่เรียบเรียงออกมาได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ

พอถึงวันงาน เท่าที่สังเกตดู เป็นคอนเสิร์ตที่ผู้ใหญ่เอามากๆ อายุเฉลี่ยคนดูค่อนข้างสูง ก็ไม่แปลกล่ะครับ คงจะหาวัยรุ่นที่ฟังเพลงรุ่นเก๋าแบบนี้น้อยน่าดู ขนาดผม 30 กว่าแล้ว คนรอบตัวยังไม่ค่อยรู้จักกันเลย แถมคอนเสิร์ตจัดวันจันทร์ สถานที่ชนกับงานถ่ายรูปสาวเพรตตี้ เอ๊ย งานมอเตอร์โชว์ ก็ได้แต่หวั่นๆว่าคนดูจะน้อย เอาเข้าจริงๆ เต็มฮอลล์เลยทีเดียว ทำเอาตกใจเหมือนกันครับ

หลังจากรอซักหน่อย พวกเขาก็เริ่มทยอยออกมาจนครบวง ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกรุ่นใหม่ที่ร่วมทัวร์กับวง มีสมาชิกรุ่นดั้งเดิมสามคนคือ Verdine White (เวอร์ดีน เบส) น้องชายของ Maurice White ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าวงที่เลิกทัวร์กับวงแล้ว (อายุไม่น้อยกันทั้งนั้นนะครับ 70 กันแล้ว) Ralph Johnson (ราล์ฟ ร้องและเครื่องเคาะ) และที่ขาดไม่ได้คือ Philip Bailey (ฟิลิป ร้องนำ) ที่พาลูกชายของเขามาด้วย พวกเขาเล่นเพลงอินโทรซักหน่อย ก็กระตุ้นพวกเราด้วยเพลงดังอย่าง Boogie Wonderland ที่เล่นเอาคนทั้งฮอลล์ฮือฮากัน เพราะปล่อยของกันตั้งแต่เพลงแรกเลย ขนาดแต่ละคนอายุไม่น้อยแล้ว ยังยักย้ายส่ายสะโพกกันอย่างเต็มที่ พวกสมาชิกรุ่นใหม่ก็เล่นกันอย่างมันสุดๆจริงๆครับ

พอจบเพลงแรกก็ต่อด้วยเพลงดังอีกเพลงคือ Sing a Song เพลงที่ฟังสบายๆหน่อย ช่วงกลางเพลงมีการหรี่ไฟมืด เล่นกับเงา และอิมโพรไวส์กันเพลินเลยครับ เหมือนงานนี้พวกเขาจะขนเพลงดังมาให้พวกเราได้เพลินกัน เพราะต่อด้วยเพลง Shining Star อีกเพลงทันที

เพลงต่อจากนั้นคือ Serpentine Fire ที่ เวอร์ดีน ได้โอกาสฉายเดี่ยวโซโล่เบสแบบเต็มๆให้แฟนเพลงได้กรี้ด ก่อนที่จะต่อด้วยเพลง Sun Goddess เพลงที่ยอมรับตรงๆว่าผมไม่เคยฟังมาก่อน บรรยากาศออกไปในทางฟิวชั่นแจ๊ซซะมาก และช่วงกลางเพลงมีโซโล่แซกโซโฟนให้เราได้เคลิ้มอีกรอบครับ

ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ผมอาจจะไล่เรียงเพลงหรือจำพลาดหน่อย เพราะเริ่มสนุกแล้ว เพลงต่อมา ฟิลิปหยิบเอาเครื่องดนตรีหน้าตาประหลาด แต่พอมองดีๆ และได้ฟังเสียง ก็นึกออกว่าเป็นเครื่องดนตรีที่เคยฟังมาแล้ว จนตอนกลับบ้าน ต้องมาหาข้อมูลเพิ่ม มันคือคาลิมบา หรือเปียโนมือ ที่เป็นเครื่องดนตรีแอฟริกัน ใช้นิ้วหัวแม่โป้งทั้งสองดีดแท่งโลหะคล้ายกล่องดนตรี และให้เสียงไปก้องในตัวกล่อง เสียงของมันเพราะมากครับ ฟิลิปเล่นอยู่ซักพักจึงเข้าสู่เพลง Kalimba Story เพลงที่อาจจะไม่ได้ดังมาก แต่โชว์ฝีมือคนแต่งเพลงอย่างมอริซได้เป็นอย่างดี

พวกเขาขนเพลงดังต่อด้วย Heart of Fire เพลงที่โชว์พลังเสียงของฟิลิป และต่อด้วย That’s the way of the World ซึ่งคนดูก็ค่อยๆอินเรื่อยๆ บรรยากาศในฮอลล์เริ่มจะไต่ลำดับอารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะตามด้วยเพลงเศร้าซึ้งอย่าง After the Love has gone ที่ได้เพลินกับเสียงของฟิลิปอีกรอบ ก่อนที่เขาจะไปอัดแบบเต็มสูบสุดๆจริงๆในเพลง Reasons ที่เขาเปล่งเสียงสูงปรี้ดจนเราขนลุก คนทั้งฮอลล์ฮือฮากันอย่างพร้อมใจกับเสียงสวรรค์ของเขาจริงๆ

พออารมณ์คนดูพีคขนาดนั้น มือเก๋าอย่างพวกเขาก็รู้งาน บอกให้คนดูมาสนุกกันที่หน้าเวที เท่านั้นล่ะครับ เก้าอี้ที่เคยเรียงเป็นระเบียบ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เมื่อคนกรูกันไปยืนออกันเต็มหน้าเวทีกันหมด ไม่มีใครนั่งติดเก้าอี้แล้ว

พวกเขาเล่นเพลง Got to get You ไปพลางเดินทักทายแฟนเพลงไปพลาง เรียกได้ว่าเอาใจกันขนาดนี้แล้ว จะไม่รักกันได้ไงครับ ตอนนี้คนติดลมกันหมดแล้ว พวกเขาวอร์มอัพคนดูซะหน่อย ก็ปล่อยทีเด็ด พอเสียงอินโทรขึ้นมา คนก็กรี้ดกันหมด เพราะมันคือ Fantasy ใครมันจะทนกันไหวล่ะครับ ยิ่งได้ฟังการประสานเสียงร้องระดับเทพแบบสดๆ เล่นเอาขนลุกเลยครับ

แค่นั้นยังหนำใจไม่พอ ยังตามซ้ำด้วยกระบี่ต่อไปอย่าง September ที่ทำให้คนทั้งฮอลล์แหกปากร้องไปเต้นไปแบบลืมแก่เลยทีเดียว (ผมล่ะคนนึง) ช่างมีความสุขเสียจริงๆ เราก็นึกว่าเขาจะปล่อยให้เราได้พักบ้าง แต่พออินโทรเพลงต่อมาดังขึ้น ก็หมดโอกาสพักล่ะครับ เพราะมันคือ Let’s Groove อีกเพลงดังของพวกเขา ก็ต้องออกแรงกันต่ออีกรอบครับ

หลังจากพีคสุดๆแล้ว พวกเขาเลือกตามด้วยเพลง Mighty Mighty ก่อนจะปิดท้ายด้วยเพลงที่เบาแต่โชว์ฝีมืออย่าง In The Stone ให้ได้สบายๆก่อนกลับ เรียกได้ว่าพวกเขาเล่นคอนเสิร์ตครั้งนี้แบบเอาอยู่และคุมคนดูได้อยู่หมัดจริงๆ

จบงานแบบไม่มีอะไรตกค้างครับ เต็มอิ่มสุดๆ นึกไม่ถึงว่าคนแก่รุ่นยิ่งกว่าพ่อผมจะเล่นคอนเสิร์ตได้ทรงพลังซะขนาดนี้ เต็มสูบจริงๆครับ ขอคารวะชุดใหญ่

ชมภาพทั้งหมดได้โดยคลิกที่ลิงค์ Gallery ข้างล่างเลยครับ

No comments: