Monday, October 22, 2012

Muse จากที่เคยเป็นแค่โคลน

Technorati Tags: ,

วงดนตรีหลายวงเริ่มต้นจากการเลียนแบบวงที่พวกเขาชอบ ทำให้หลายครั้งถูกมองว่าเป็นแค่โคลนของวงที่ดังมาก่อน ซึ่งบางวงก็จบแค่ตรงนั้น แต่หลายวงก็พัฒนาตนเองขึ้นมา จนฉีกตัวออกมาสร้างผลงานเพลงที่เป็นตัวของตัวเองได้ ซึ่ง Muse ก็เป็นหนึ่งในวงที่ก้าวออกมาได้อย่างงดงามครับ

muse2

Muse เริ่มต้นขึ้นในช่วงที่พวกเขาเป็นนักศึกษาอยู่ Matt Bellamy (แมต ร้องนำ กีตาร์) ถูกเลือกเข้าร่วมวงของ Dominic Howard (โดมินิค กลอง) และพวกเขาก็วานให้ Chris Wolstenholme (คริส) ให้หันมาเล่นเบสให้แทน จนกลายเป็นวง Muse พวกเขาเข้าประกวด Battle of Bands และชนะเลิศทั้งๆที่ทุบเครื่องดนตรีประชด พวกเขาจึงมุ่งมั่นกับดนตรีและทิ้งทั้งมหาวิทยาลัยและบ้านเกิดของพวกเขา

พวกเขาเริ่มออกเล่นไปในหลายๆที่ และถูกแมวมองดึงตัวเขาสังกัด และ EP แผ่นที่สอง Muscle Museum ของเขาก็ได้ไปเตะหูของนักวิจารณ์ดังๆ ทำให้พวกเขาได้ฤกษ์ออกผลงานชุดแรก Showbiz ในปี 1999

Showbiz คือผลงานที่คลอดตั้งแต่พวกเขายังอายุน้อยอยู่มาก และแม้มันจะได้รับความนิยมเพราะเพลงเด่นๆอย่าง Muscle Museum, Uno และ Unintended ที่เป็นเพลงที่ติดหูเอาเรื่อง แต่นักวิจารณ์หลายรายมักจะมองข้ามพวกเขาเพราะว่ามันเหมือนกับร่างโคลนของ Radiohead ซะมากกว่า (และในยุคนั้นก็มีวงแบบนี้ไม่ใช่น้อยด้วย)

แม้จะเริ่มต้นได้ไม่งามนัก พวกเขาก็กลับมาสู้ต่อด้วยผลงานชุดที่สอง Origin of Symmetry ในปี 2001 ที่เป็นงานที่เติบโตขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก พวกเขาเพิ่มความหนักหน่วงของเสียงกีตาร์ ขยายชุดกลอง และเพิ่มเครื่องดนตรีอื่นเข้าไป ทำให้ซาวนด์ของพวกเขาแน่นขึ้นมาก และเป็นจุดเริ่มต้นของซาวนด์ในแบบของ Muse นั่นเอง เพลงอย่าง Bliss นั้นยิ่งใหญ่พอที่จะเติมเต็มสนามกีฬาได้ทันที ในขณะที่เพลง Feeling Good ก็มีเสียงเปียโนประกอบที่เด่นเหลือเกิน แต่เพลงที่เด่นที่สุดคงเป็นเพลง Plug In Baby เพลงหนักสะใจ ที่สาธยายความรักที่มีต่อกีตาร์ของแมตได้เป็นอย่างดี ประหนึ่งจะร่วมรักกับกีตาร์ได้เลย Muse สามารถสร้างความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างชัดเจน และได้เอาชนะใจทั้งแฟนเพลงและนักวิจารณ์ได้เป็นอย่างดีจากผลงานชุดนี้

ผลงานชิ้นที่สามในปี 2003 ชื่อ Absolution เปิดตัวที่อันดับหนึ่งและกลายเป็นงานที่ได้รับคำชมจากทั่วสารทิศ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะมันคืองานทีได้รับการกลั่นกรองมาอย่างดี ซาวนด์เฉพาะทางของ Muse นั้นยิ่งอลังการยิ่งกว่าเดิม แต่ละซิงเกิ้ลที่ถูกวางขายก็ทรงพลังเหลือเกินตั้งแต่ Time Is Running Out ที่มีท่อนฮุคเหมือนเตรียมไว้ให้ร้องตามในคอนเสิร์ตแท้ๆ หรือเพลง Stockholm Syndrome ที่เต็มไปด้วยรายละเอียด ความหนักหน่วง และความอลังการ Hysteria ก็มีท่อนเบสที่เด่นเหลือเกิน เช่นเดี่ยวกับการค่อยๆไล่เรียงความหนักหน่วงในเพลง Butterflies and Hurricanes ที่ทำได้อย่างไร้ที่ติ Absolution คืออัลบั้มที่ส่งให้ Muse กลายเป็น Superstar อย่างแท้จริง

นอกจากอัลบั้มที่เด่นแล้ว การแสดงสดของพวกเขาก็ได้รับคำชมเป็นอย่างมาก หนึ่งในไฮไลต์ของอาชีพของพวกเขาคือการเล่นสดในงาน Glastonbury ปี 2004 ที่เป็นการเล่นสดที่ดีที่สุดของพวกเขา และเป็นการยืนยันสถานะความยิ่งใหญ่ของเขาเป็นอย่างดี เมื่อจบงานพวกเขารู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์ แต่ก็ลงนรกในชั่วขณะต่อมา เพราะพ่อของโดมินิคที่มาดูด้วยเสียชีวิตจากโรคหัวใจ มันกลายเป็นสิ่งที่ช๊อคพวกเขาอย่างมาก แต่พวกเขาก็เลือกเดินต่อไป

muse

ปี 2006 พวกเขาออกงาน Black Holes And Revelations อลังการไม่แพ้งานชุดเดิม มันเต็มไปด้วยเพลงทรงพลังอย่าง Super Massive Black Hole และ Knight of Cydonia ที่ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มเวทีระดับมหึมาอีกแล้ว ส่วน Starlight ก็เป็นเพลงที่เตรียมไว้เพื่อให้คนร้องและซึ้งตามจริงๆ และยังตามมาด้วยเพลง Invincible ที่ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน

พวกเขาออกบันทึกการแสดงสด HAARP ที่สนามเวมบลีย์ในปี 2008 และมันคืองานที่ตอกย้ำความยอดเยี่ยมในการแสดงสดของพวกเขาเป็นอย่างดีจริงๆ เพราะมันคือการแสดงสดที่เต็มไปด้วยกำลังจริงๆ และเทคนิคการถ่ายทำก็ยอดเยี่ยมจนบอกได้เต็มปากว่าคุ้มค่ากับการหามาดูครับ

หลังจากคอนเสิร์ต พวกเขาก็กลับมากับงานชุดใหม่ The Resistance ในปี2009 ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งอลังการยิ่งกว่าเดิม มันคืองานที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นวงเพื่อการแสดงสดแค่ไหน แต่ละเพลงเน้นเพื่อให้แฟนร้องตามจริงๆ เพลงอย่าง United States of Eurasia ก็ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ส่วน Uprising ก็ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ยังมี Exogenesis: Symphony ที่ถูกแบ่งออกเป็นสามภาคด้วย มันคืองานที่รับเอาอิทธิพลของ Queen มาเต็มๆและเป็นอัลบั้มที่ยอดเยี่ยม น่าเสียดายที่พวกเขามองข้ามอารมณ์ของมนุษย์มากไปหน่อย

หลังจากที่แฟนรอมานาน พวกเขาก็อ่อยเหยื่อด้วยการทำเพลง Survivฟส ประกอบการแข่งขันโอลิมปิกที่ลอนดอน ซึ่งค่อยๆไล่ความอลังการได้เป็นอย่างดี อีเวนต์ระดับยักษ์แบบนี้ก็เหมาะกับวงดนตรีที่ทำเพลงยิ่งใหญ่แบบนี้ล่ะครับ

หลังจากชิมลางกับ Survival ไปแล้ว พวกเขาก็บอกกับแฟนๆว่า งานชุดใหม่ของพวกเขาจะได้รับอิทธิพลจากแนวเพลง Dubstep ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในตอนนี้ ซึ่งเมื่อได้อัลบั้มเต็ม The 2nd Law ก็รีบเปิดฟังโดยพลัน

แต่เพลงแรก Supremacy ก็เป็นบัลลาดที่ค่อยๆลากจนหนักขึ้นเรื่อยๆแบบที่พวกเขาถนัด ก็เลยยังงงหน่อยครับ จนมาเพลง Madness ที่เป็นซิงเกิ้ลต่อจาก Survival ค่อยมีเสียงแบบอีเล็กโทรนิกส์เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้เป็นดับสเต็ปอะไรนัก เป็นบีทเนิบๆ เรื่อยๆ จนสำหรับผมมองว่าราบเรียบไปนิดนึง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเพลงต่อมาอย่าง Panic Station ที่เอาบีทเพลงดิสโก้มาใส่ในงานเพลงจนแตกต่างไปจากเพลงเก่าๆของพวกเขา ชอบครับ และดีใจที่จะได้เป็นซิงเกิ้ลต่อไปด้วย จนมา Follow Me นั่นล่ะครับ กลิ่นของ Dubstep/Brostep โชยมาเชียวครับ บีทกระชากตู้มๆ แหวกดีครับ แต่ก็ไม่ได้กระจายไปทั้งอัลบั้มนะครับ หลายเพลงยังมาในแนวถนัดของพวกเขาอยู่ แต่ก็มีเสียงสังเคราะห์เพิ่มเข้ามามากขึ้น ฉีกตัวเองไปจากแนวเพลงเดิมๆของพวกเขาได้เป็นอย่างดี กลายเป็นก้าวย่างที่น่านสนใจของพวกเขามากๆ

จากที่เคยถูกสบประมาทว่าเป็นแค่วงโคลนของเรดิโอเฮด Muse เติบโตขึ้นมาอย่างงดงามและกลายเป็นวงที่สามารถยืนได้อย่างโดดเด่นเป็นสง่าในวงการเพลงอังกฤษและรวมไปถึงระดับโลก ต้องขอคารวะจริงๆครับ

No comments: