Monday, June 18, 2012

The Hives: ร๊อคบ้าพลัง

Technorati Tags: ,

วงดนตรีหลายวง แม้จะเริ่มต้นด้วยความเป็นวงสุดซ่า แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็สุญเสียความซ่าของวงไป และเปลี่ยนเป็นวงวัยกลางคนที่ทำเพลงที่จืดชืดและอ่อนพลังลง แต่บางวง แม้เวลาผ่านไปหลายปี ก็ไม่เคยสูญเสียความซาบซ่า (ไม่ใช่โซดา) แต่กลับยังคงความแสบไว้ได้เหมือนเดิม โดยพาะอย่างยิ่งเวลาเล่นสด หนึ่งในศิลปินที่คงความซ่ามาได้ตลอดเวลาหลายสิบปีคือ Iggy Pop บรรพบุรุษแห่งวงการเพลงพังค์ที่ถ้าเป็นเมืองไทยก็ควรได้รางวัลศิลปินแห่งชาติไปแล้ว และอีกวงหนึ่งคือวงรุ่นหลายที่ถูกนำไปเทียบกับปู่อิกกี้บ่อยๆ และพวกเขาก็ผ่านการทำเพลงมาสิบกว่าปีแล้ว แต่การกลับมาครั้งล่าสุดของพวกเขาก็ยังคงความแสบซ่าเหมือนเดิม พวกเขาคือ The Hives

The_Hives_4

The Hives คือวงการาจพังค์ของเหล่าเด็กหนุ่มจากสวีเดน ดินแดนที่เวลาพูดถึงดนตรีจากประเทศนี้ ถ้าไม่เป็นสวีดิชป๊อปหวานใส ก็คงเป็นเพลงเมทัลสายโหดหินสไตล์ไวกิ้งไปเลย แต่พวกเขากลับทำเพลงต่างไปจากคนอื่นๆ

ประวัติของวง ออกจะดูแปลกประหลาดหน่อย เมื่อพวกเขาบอกว่า พวกเขาแต่ละคนได้รับจดหมายจาก Randy Fitzsimmons (แรนดี้) ในปี 1993 บอกว่าพวกเขาควรตั้งวง โดยที่มีแรนดี้ทำหน้าที่ผู้จัดการและแต่งเพลงทั้งหมดของวง แต่จนทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีการเปิดเผยตัวบุรุษลึกลับผู้อยู่เบื้อหลังคนนี้เสียที สมาชิกที่ถูกรวบรวมมาในครั้งนั้นคือ Howlin’ Pelle Almqvist (ฮาวลิ่น เพล ร้องนำ) และน้องชายของเขา Nicholaus Arson (นิดโคลาส กีตาร์) Vigilante Carlstroem (คาร์ลสตรอม กีตาร์) Dr. Matt Destruction (แมต เบส) และ Chris Dangerous (คริส กลอง) ซึ่งตอนนั้นพวกเขายังเป็นเด็กวัยรุ่นกันอยู่เลย และต่อมาพวกเขาก็ได้สัญญากับค่ายเพลงพังค์ในสวีเดนและเริ่มออกผลงานเพลงชุดแรกคือ EP ชื่อ Oh Lord! When? How? คือเพลงดิบๆที่เริ่มต้นด้วยเสียงเบสดิบๆกับจังหวะที่หนักหน่วง ก่อนที่จะตัดมาด้วยเสียงกีตาร์และเสียงร้องที่ไม่ค่อยต่างไปจากการตะโกนโหวกเหวกเท่าไหร่นัก

พวกเขาตามมาด้วยการออกอัลบั้มเต็มชุดแรกในปี 1997 เกือบสี่ปีก่อนที่กระแส Garage Revival จะโด่งดังเพราะ The Strokes มันชื่อว่า Barely Legal และอัดไปด้วยเพลงที่เปี่ยมด้วยพละกำลังอย่างล้นเหลือ แต่ละเพลงช่างดิบกร้าว สั้น รวดเร็ว ฉับไว แบบไม่มียั้ง เพลงเด่นคือ A.K.A. I-D-I-O-T ซึ่งพวกเขาตัดออกมาเป็น EP ในภายหลังอีกทีและ Here We Go Again ที่ชวนให้เราเต้นไปตามจังหวะจริงๆ Barely Legal เป็นการเปิดตัวที่โดดเด่นและส่งให้พวกเขามีโอกาสได้ไปทัวร์ในอเมริกาอีกด้วย

TheHives01

หลังจากกลับไปทำงานได้ไม่นาน พวกเขาก็กลับมากับงานชุดที่ 2 ชื่อ Veni Vidi Vicious ในปี 2000 ซึ่งเป็นงานที่จะส่งให้พวกเขาดังทะลุโลกไปในเวลาต่อมา จากซิงเกิ้ลเด็ด Hate To Say I Told You So ที่ส่งให้พวกเขาดังทะลุฟ้าจากความที่มันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง Iggy Pop และ Mick Jagger และยังมีเพลงที่เร็วสะใจอย่าง Die, All Right! ที่สับแหลกแบบไม่ยั้ง Main Offender ที่ท่อนริฟฟ์ชวนติดหูเสียจริงๆ และที่พลาดไม่ได้คืออีกเพลง Supply And Demand ที่ชวนชูมือและแหกปากตามไปตลอด Veni Vidi Vicious ยังคงเป็นอัลบั้มที่อัดพลังงานไว้อย่างเต็มเปี่ยมเช่นเคย

และเป็นงานชุดนี้ที่ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เมื่อ Alan McGee อดีตบอสค่าย Creation แห่งยุคบริตป๊อปผู้ค้นพบ Oasis ได้เห็นพวกเขาในทีวีที่เยอรมัน จึงเร่งไปเซ็นสัญญาเอาพวกเขาเข้าค่ายเพลงใหม่ Poptones และแนะนำให้โลกได้รู้จักกับพวกเขาด้วยอัลบั้ม Your New Favorite Band ซึ่งรวมเพลงเด่นๆจากงานเพลงสองชุดแรก และกลายเป็นอัลบั้มที่ขายได้ในวงกว้างของพวกเขา และจากกระแสะเพลงการาจที่กำลังบูม ส่งให้พวกเขากลายเป็นหนึ่งดวงดาวแห่งยุคไปในทันที และได้เซ็นสัญญากับค่าย Universal

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นคือการแต่งกายที่ทั้งวงแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบเดียวกันหมดและมักจะเป็นสูทไม่ก็เสื้อเชิร์ตสีขาวดำ เพื่อให้ดูเป็นเหมือนทีมอย่างชัดเจนและทำให้พวกเขาโดดเด่นต่างไปจากวงอื่น และการคอยดูธีมของเสื้อผ้าในแต่อัลบั้มก็เป็นเรื่องสนุกอีกด้วย

Style: "HivesRingflash"

หลังจากประสบความสำเร็จจากงานเก่า ก็ถึงพวกเวลาที่พวกเขาต้องออกงานใหม่ โดยเป็นงานในปี 1994 ที่มีชื่อว่า Tyrannosaurus Hives ซึ่งเป็นการกลับมาอย่างงดงามไม่เสียแรงที่รอคอย โดยเปิดตัวด้วยซิงเกิ้ลที่โครมครามเอามากๆอย่าง Walk Idiot Walk ที่อลังการโครมครามไม่ต่างกับทีเร็กซ์บุกสมชื่อเสียจริง ซึ่งงานชุดนี้ก็ยังเต็มไปด้วยพลังไม่ต่างจากงานชุดเดิมๆเลย เพลงอย่าง A Little More for Little You เป็นเหมือนเพลงบอลรูมสำหรับคู่รักชาวร๊อค Diabolic Scheme เป็นเพลงช้าที่แหวกไปจากงานเก่าๆของพวกเขา ขณะที่ Two-Timing Touch and Broken Bones ก็ยังสะใจเหมือนเดิม ก่อนปิดท้ายด้วย Antidote ที่ฟังสบายๆเพราะเสียงกีตาร์กับเสียงประสานที่น่ารักนั่นเอง และก็เป็นงานชุดนี้เองที่ Randy ได้ปรากฎตัวซะที โดยเราจะได้เห้นเท้าของเขาในปกหลังเป็นเท้าคู่ที่ 6

และแม้กระแสการาจจะซาไปไม่ต่างกับฟองสบู่หุ้น ในปี 2007 พวกเขาก็ยังกลับมาด้วย The Black And White Album แบบเหมือนกับไม่สนโลกภายนอกแต่กะจะมันอย่างเดียว ซึ่ง Tick Tick Boom ซิงเกิ้ลแรกก็ยังคงเป็นเพลงดังไม่ต่างจากเดิม แถมยังมีความแหวกแนวด้วย T.H.E.H.I.V.E.S. ที่เล่นจังหวะเป็นเพลงดิสโก้อย่างเมามัน และพวกเขาก็ยังคงความท๊อปฟอร์มด้วยการแสดงสดที่เปี่ยมไปด้วยพลังอย่างล้นเหลือ จนไม่ว่าใครที่มีโอกาสได้ชมต้องติดใจกันหมด (ผมพลาดตอนที่เค้ามาแสดงที่ญี่ปุ่นเพราะจองตั๋วไม่ทัน แต่แฟนผมได้ดูสดที่ฟินแลนด์)

และหลังจากออกงานชุดแรกมาได้ 15 ปี พวกเขาก็กลับมาในปีนี้กับ Lex Hives ที่ทำให้ผมต้องทึ่งว่า พวกเขาไม่ได้ผ่อนแรงลงแม้แต่น้อย ตั้งแต่เพลงแรก Come On! ที่ตะโกนคัมมอนซ้ำไปมาอย่างเมามัน ส่วน I Want More ก็ทำให้แอบนึกไปถึง I Love Rock and Roll ส่วน These Spectacles Reveal The Nostalgics ก็ยังมันไม่แพ้งานเก่า ไม่น่าเชื่อว่าเวลาผ่านไปขนาดนี้พวกเขายังจะคงท๊อปฟอร์มได้ขนาดนี้

แม้เวลาจะผ่านไปนาน และเทรนด์ที่ทำให้พวกเขาโด่งดังจะไม่ได้รับความนิยมเหมือนเดิมแล้ว ทว่า พวกเขาก็ยังสามารถผลิตผลงานเพลงที่เปี่ยมคุณภาพออกมาได้ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองและพลังงานที่ล้นเหลือจริง

No comments: