Monday, March 5, 2012

Air นิยามแห่งความละมุน

Technorati Tags: ,

ในช่วงต่อยุค 90 สู่ยุค 00 เป็นช่วงเบ่งบานของดนตรีเต้นรำอย่างแท้จริง หลังจากการผุดขึ้นมาของวงอีเล็กโทรนิก้าผงาดไปทั่ววงการ ในขณะเดียวกัน Daft Punk ก็ได้จุดกระแสดนตรี French House ให้โด่งดังไปทั่ว จนทำให้ปารีสกลายเป็นเมืองสัญลักษณ์แห่งดนตรีที่เซ็กซี่ชวนบดขยี้กันอย่างเร่าร้อนด้วยเพลงที่นำเอาดิสโก้และฟังค์มาหยอดความชิคแบบฝรั่งเศส แต่ก็มีอยู่วงหนึ่งที่แหวกแนว สร้างสรรเพลงที่เรียบง่าย ฟังสบาย แต่ยังมีความเก๋แบบย้อนยุค พวกเขาคือ AIR

AIR คือวงของสองหนุ่มปารีเซียง Nicolas Goudin (นิโคลาส) และ Jean-Benoit Dunckel (ฌอน) ซึ่งทั้งสองคนก็เคยร่วมงานกันในวงชื่อ Orange ด้วยกันมาก่อน โดยสมาชิกคนอื่นในวงต่อมาก็กลายเป็นศิลปินมีชื่อเสียงกันอีกหลายราย ไม่ว่าจะเป็น Alex Gopher หรือ Etienne de Crecy แต่จากนั้น นิโคลาส ก็เริ่มทำงานเพลงคนเดียว อย่างเช่นงาน Modular Mix ได้ Etienne de Crecy มาโปรดิวซ์ให้ แต่ท้ายที่สุด เขาก็ร่วมงานกับ ฌอน และตั้งวง Air ในปี 1995

AirPR140111

แม้ว่า ชื่อของวง Air จะฟังดีแล้ว เบาโหวง และ ละมุนละมัย แต่จริงๆแล้ว Air มาจากคำย่อของ Amour, Imagination, Reve หรือ Love, Imagination, Dream ในภาษาอังกฤษนั่นเอง

เริ่มแรก พวกเขาออกงานเพลง EP ชิ้นแรกชื่อ Premiers Symptomes ในปี 1997 ซึ่งเป็น EP ที่บรรจุงานเพลงซิงเกิ้ลของพวกเขาระหว่างปี 1995-1997 ที่ออกกับตราแผ่นเสียงระดับเทพอย่าง Mo’ Wax กับ Source แต่มันก็ได้รับคำชมอย่างสูง จากเพลงที่มีลักษณะเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร

ถ้าจะถามว่างานเพลงขอพวกเขาแตกต่างจากคนอื่นที่ไหน คงอธิบายได้เพียงว่า ในขณะที่ศิลปินคนอื่นมุ่งเน้นที่จะสร้างเพลงเต้นรำที่หนักหน่วงแบบอีเล็กโทรนิก้า หรือไม่ก็เพลงเฮาส์ที่แสนเซ็กซี่ชวนขโยก แต่เพลงของพวกเขากลับไปหยิบเอาอิทธิพลจากงานเพลงประกอบภาพยนต์แบบของ Enino Moricone เจ้าของเพลงภาพยนต์อิตาเลี่ยนหลายเรื่อง วงร๊อคอย่าง Pink Floyd นักประพันธ์อย่าง Burt Bacharach และตำนานสำหรับชาวฝรั่งเศสอย่าง Serge Gainsbourg ผสมเข้ากับเสียงซินธิไซเซอร์และ Moog หยอดบรรยากาศชิลๆผสมความเป็น Futuristic แบบยุค ’70 เข้าไป ก็จะได้เพลงในแบบของพวกเขาเอง ถ้าจะมีศิลปินคนใหนที่ทำเพลงคล้ายพวกเขาในช่วงนั้น คงเป็น Dimitri from Paris ในเวลาที่ไม่หนักดิสโกมากเกินไป

ด้วยผลงานที่โดดเด่น พร้อมทั้งเทรนด์ดนตรีจากฝรั่งเศสกำลังมาแรง ทำให้พวกเขาได้เซ็นสัญญากับค่าย Virgin โดยชิมลางก่อนกับซิงเกิ้ล Sexy Boy ที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง จากอารมณ์เพลงที่แหวกแนวและความชิลของมัน ยิ่งบวกเข้ากับ MV ที่แสนเท่ (กราฟฟิคแบบย้อนยุค) ทำให้มันเป็นเพลงที่โดดเด่นสำหรับนักวิจารณ์ไปในทันที

Air__1327498229_crop_550x496

จากนั้นพวกเขาก็ได้ออกอัลบั้มเต็ม Moon Safari ในต้นปี 1998 ซึ่งกราฟฟิคแบบย้อนยุคยังตามติดมาในงานดีไซน์ ทำให้เราเข้าใจโทนเพลงของเขาได้เพียงแค่ดูจากการออกแบบ Moon Safari ได้ให้กำเนิดอีกสองซิงเกิ้ลคือ Kelly Watches the Stars ที่ก็ยังอบอวลกับบรรยากาศที่ย้อนยุคแต่มีความนุ่มนวลอยู่ กับเนื้อเพลงที่แทบไม่มีอะไร แค่ย้ำไปมาเท่านั้น กับอีกเพลงคือ All I Need ที่ได้ Beth Hirsch นักร้องสาวอเมริกันมาร่วมงาน ทำให้ได้เสียงร้องที่สวยหวานของเธอมาประดับในเพลงให้มันงดงามยิ่งขึ้นไปอีก เช่นเดียวกับเพลง You Make It Easy อีกเพลงหนึ่งในอัลบั้มที่เธอร้องให้ก็งามไม่แพ้กันจนทำให้ได้สัมผัสได้ถึงอิทธิพลของ Burt Bacharach ได้เป็นอย่างดี Moon Safari กลายเป็นงานเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จและสร้างที่ยืนในวงการเพลงให้กับพวกเขาได้อย่างสวยงาม เนื่องจากแทนที่จะทำเพลงตามสมัยนิยม แต่พวกเขากลับเซ็ตแนวเพลงขึ้นมาเอง

จากนั้นในปี 2000 พวกเขาก็ได้ร่วมงานกับ Sofia Coppola (ที่ต่อมาจะดังจาก Lost in Translation) ทำเพลงประกอบภาพยนต์เป็นครั้งแรกในเรื่อง The Virgin Suicides ซึ่งนอกจากเพลงของพวกเขาจะสร้างบรรยากาศที่แสนเท่ได้แล้ว ซิงเกิ้ลอย่าง Playground Love ยังเป็นเพลงที่โดดเด่นเอามากๆโดยเฉพาะเสียงแซ็กโซโฟนที่เคล้าไปกับเพลงเนิบๆบวกเข้ากับเสียงร้องที่เยือกเย็น

ในปี 2001พวกเขาก็ได้ออกอัลบั้ม 10,000 Hz Legend ที่เป็นงานเพลงที่ออกจะเน้นไปในเชิงแนวทดลองมากกว่าเดิม และหนักไปในทางอิเล็กโทรนิกส์มายิ่งขึ้น บรรยากาศความนิ่มนวลลดน้อยลง แต่ความืดหม่นเพิ่มมากขึ้น เพลงเด่นคงจะหนี The Vagabond ที่ได้ Beck มาร่วมร้องนำไม่พ้น แต่อีกเพลงที่พลาดไม่ได้คือ How Does It Make You Feel? และเพลงที่ร๊อคขึ้นอย่าง Don’t Be Light ปีถัดมาพวกเขายังได้ออกอัลบั้ม Everybody Hertz ที่รวมงานรีมิกซ์จากศิลปินเด่นๆอีกหลายราย

เนื่องจากเนื้อที่ไม่พอ จะขอรวบเลยนะครับ หลังจากนั้น พวกเขาก็ออกอัลบั้มติดต่อกันมาอีก3 ชุดคือ Talkie Walkie (2004) Pocket Symphony (2007) และ Love 2 (2009) ซึ่งต่างก็ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์อยู่เสมอ

air

และหลังจากเงียบไปสามปี ปีนี้พวกเขาก็กลับมากับอัลบั้ม Le Voyage Dan La Lune เป็นอัลบั้มที่ 7 ของพวกเขา ซึ่งเป็นงานเพลงที่พวกเขาทำให้กับภาพยนต์เงียบชื่อเดียวกับอัลบั้ม หรือที่เป็นที่รู้จักในชื่อ A Trip to the Moon ซึ่งถ่ายทำในปี 1902 โดย George Melies และหลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน มีการค้นพบฟิล์มที่สมบูรณ์ที่สุดและได้รับการฟื้นสภาพ พวกเขาจึงเข้ามาทำเพลงประกอบให้เพื่อให้มันสมบูรณ์ยิ่งกว่าเดิม และเท่าที่ได้ดูคลิปตัวอย่าง งานเพลงของ Air ช่วยให้ตัวภาพยนต์สั้นๆแต่มาก่อนกาลเรื่องนี้ดูสมบูรณ์ยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะมันสามารถสร้างบรรยากาศช่วยเสริมให้กับภาพยนต์เงียบได้เป็นอย่างดี (เพราะการเอาเสียงพากย์ไปใส่ในภาพยนต์เงียบคงเป็นเรื่องที่งี่เง่ามาก) และแม้ตัวภาพยนต์จะสั้นเพียงแค่ 14 นาที แต่พวกเขาก็นำเอาเพลงเหล่านั้นมาขยายจนได้อัลบั้มที่สมบูรณ์แบบอีกชุด และแค่เพียงเราฟังมันโดยหลับตาและปล่อยให้จินตนาการโลดแล่น ก็สนุกมากเกินพอแล้วครับ

Air คงจะยังเป็นศิลปินที่คงเอกลักษณ์ของตนเองไว้เสมอไป ไม่ว่าจะทำงานเพลงของตัวเองหรือเพลงประกอบให้ผู้อื่น และชวนให้เราได้หลงไหลไปกับบรรยากาศของเพลงของพวกเขาเสมอ

No comments: