Monday, December 10, 2012

Led Zeppelin ในโรงหนัง

Technorati Tags: ,

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังจากทำงานส่วนตัวเสร็จ ผมก็มุ่งหน้าไปยัง Esplanade เพราะได้รับบัตรเชิญให้เข้าชมบันทึกการแสดงสดของวงดนตรีระดับตำนานที่กลับมารวมตัวกันเพื่อแสดงสดครั้งงเดียวตั้งแต่พวกเขายุบวงมาตั้งแต่ปี 1980 ซึ่งงานคอนเสิร์ตระดับตำนานนี้ แม้จะเป็นบันทึกการแสดงสดที่มาดูในโรงหนัง แต่คงมันสะใจกว่าดูในบ้านตัวเองล่ะครับ (แถมไม่ต้องเกรงใจคนข้างบ้านด้วย)

Led-Zeppelin

กล่าวย้อนไปถึง Led Zeppelin เผื่อคนรุ่นใหม่หน่อย พวกเขาคือวงร๊อคที่ได้รับอิทธิพลจากแนวเพลงบลูส์ และกลายเป็นหนึ่งในวงที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลไปแล้ว พวกเขาประกอบด้วย Robert Plant (โรเบิร์ต ร้องนำ) Jimmy Page (จิมมี่ กีตาร์) John Paul Jones (จอห์น เบส คีย์บอร์ด) และ John Bonham (จอห์น กลอง) ที่ทั้งสี่คนถือเป็นเทพของสิ่งที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่จริงๆ แม้ผมจะไม่ใช่สาวกฮาร์ดคอร์ แต่ก็มีแผ่นของวงเก็บไว้หลายแผ่นเหมือนกัน แต่ละเพลงทำออกมาได้อย่างลงตัวคลาสสิกมากๆ แม้จะผ่านไปหลายสิบปี บทเพลงดังๆของพวกเขาก็ไม่เคยอ่อนแรงลงเลย ไม่ว่าจะเป็น Whole Lotta Love, Misty Mountain Hop, Kashmir, Rock and Roll, Immigrant Song และเพลงระดับคลาสสิกในใจหลายๆคนอย่าง Stairway to Heaven และเพลงโปรดที่ผมชอบเปิดดังๆในรถอย่าง Trampled Under Foot และ Achilles Last Stand กับเพลงช้าหวานๆอย่าง All My Love

เวลาฟังเพลงของพวกเขา มันเหมือนกับไม่มีใครเด่นไปกว่าใครเลย แต่ละคนปล่อยของกันเต็มที่ เป็นเคมีในวงที่หาได้ยากยิ่ง เวลาพวกเขาเล่นดนตรี พวกเขาเป็นเหมือนกับสิ่งมีชิวิตที่เกิดจากการประสานงานของทั้ง 4 คน ดังนั้น เมื่อ John Bonham จากไปก่อนเวลาอันควรในปี 1980 ด้วยการที่อาเจียนจากการดื่มหนักไปขัดหลอดลม ทำให้ตำแหน่งมือกลองว่า และแทนที่พวกเขาจะหาสมาชิกใหม่มาแทน สมาชิกที่เหลือตัดสินใจยุบวงซะ เพราะว่าไม่มีอะไรจะมาแทนอวัยวะที่เสียไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ แทนที่จะประคองๆไปเพื่อหากินต่อ พวกเขาเลือกปิดตำนานอย่างงดงามเสียดีกว่า ปล่อยให้คนรุ่นหลังเสียดายไม่มีโอกาสได้ดูพวกเขาเล่นสด

แต่ฝันก็เป็นจริงสำหรับหลายๆคน เมื่อปี 2007 ได้มีคอนเสิร์ตเพื่อระลึกถึง Ahmet Ertegun อดีตผู้บริหารค่าย Atlantic ที่จากไป ซึ่งเขาเป็นคนที่ค้นพบวงหลายวงอย่าง Clapton, Phil Collin, Ray Charles, the Rolling Stones และที่พลาดไม่ได้คือ Led Zeppelin ซึ่ง เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา Led Zeppelin ได้ตัดสินใจ กลับมารวมตัวกันแบบ One Night Only เพื่อเล่นในคอนเสิร์ตครั้งนี้ และกลายเป็นคอนเสิร์ตที่มีผู้ต้องการหาซื้อตั๋วมากที่สุดเป็นประวัติกาล ใครก็อยากดูตำนานของจริงครับ ตอนได้ยินข่าวทีแรกผมก็ตื่นเต้นแล้ว แถมได้ดูคลิปบางส่วนในข่าวทีวีที่เป็นช่วงที่เล่นเพลง Black Dog ก็ขนลุกแล้ว ได้แต่รอให้ DVD ออกวางขาย ซึ่งก็ใช้เวลาถึง 5 ปีกว่าจะออกมาเป็นอัลบั้ม Celebration Day นี่ และการที่ได้ดูในโรงภาพยนต์ยิ่งทำให้ได้อารมณ์มากจริงๆครับ

ก่อนจะฉาย ก็มีกูรูวงการเพลงไทยมาพูดถึง Led กันด้วยความชื่นชม ช่วยบิวด์อารมณ์ได้เป็นอย่างดี และพอเริ่มฉาย เหล้าลุงๆก็ค่อยๆเดินออกมากัน ลุงแพลนต์ยังหัวหยิกฟูเหมือนเดิม ส่วนลุงเพจหงอกไปทั้งหัว แต่ยังคงมาดจิ๊กโก๋ได้เป็นอย่างดี ลุงโจนส์ดูเหมือนลุงแก่มาดดุนิ่งๆกว่าคนอื่น และคนที่มาทำหน้าที่ตีกลองแทนลุงบอนแน่มคือ เจสัน ลูกชายของลุงเอง ที่คงพยายามฝึกแทบตายเพื่อขึ้นมาทำหน้าที่อันหนักอึ้งแทนพ่อของเขา ผมเคยฟังเขาตีกลองครั้งเดียวก็ในอัลบั้ม Stairway to Heaven Highway to Hell ที่ตีได้เมามันไม่เบาครับ

จากนั้นก็อัดกันแบบไม่ยั้งตั้งแต่เพลง Good Time Bad Times และขนเพลงดังๆมากันอย่างไม่หยุด ตั้งแต่ Ramble On, Trample Under Foot, No Quarter แลที่พลาดไม่ได้คือ Stairway to Heaven ที่เล่นเอาหลายๆคนเฮเลย แม้พวกลุงๆจะอายุมากขนาดนี้แล้ว แต่พลังไม่เคยหายไปเลย ยังเล่นได้แน่น มั่นคงดีเหมือนเดิม อาจจะมีบ้างที่ลุงแพลนต์ต้องหลบเสียง เพราะการร้องคือสิ่งที่ถูกผลกระทบจากอายุได้ง่ายสุด แต่ก็ยังถ่ายทอดพลังออกมาได้ดีมากๆ จนขนาดดูแห้งยังขนลุกได้เลย ก่อนจะปิดท้ายช่วงด้วยสองเพลง Misty Mountain Hop ที่เจสันได้ร่วมร้องด้วย กับ Kashmir สุดอลังการ แล้วค่อยกลับมาใหม่อีกครั้งกับ Whole Lotta Love ที่ยังคงทรงพลังไม่เปลี่ยนแปลง และกลับไปอีก แล้วมาส่งท้ายจริงๆด้วยเพลง Rock and Roll ที่แสนจะจิ๊กโก๋ แต่โมเมนต์ที่ผมประทับใจสุดๆจริงๆคือตอนท้ายเพลงที่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม หันหลังให้เวที กลับไปยิ้มให้เจสัน รอให้เขาหวดกลองส่งท้าย ช่างดูเป็นเหมือนการหันไปชมบอกว่าทำหน้าที่แทนพ่อได้ดีมากๆ ประทับใจขนาดออกจากโรงแล้วยังไม่หายปลื้มเลย ซึ่งก็ได้แต่กลับมาดูอีกครั้งกับแผ่นที่ได้มาแบบ 2 ดีวีดี 2 ซีดี ให้ดูให้ฟังกันแบบจุใจไปเลย

No comments: