Monday, December 15, 2008

Religion for Sale; มีศาสนามาให้เลือกครับ

อย่างนึงที่ทำใหผมสงสัยมากในช่วงนี้คือ เวลาขอับรถไปใหนมาใหนช่วงเย็นๆ ก็มักจะเจอคนถือป้ายของศาสนาคริสต์ พร้อมกับเปิดเครื่องเสียงคำสอนเกี่ยวกับพระคริสต์ ที่ดังขนาดผมเป็นคนชอบฟังเพลงในรถเสียงดังๆ ยังได้ยิน มันทำให้ผมสงสัยว่า พวกเขา ทำไปทำไม และทำไมต้องมาทำช่วงนี้

ผมมักจะรู้สึกเสมอเวลาเจอเรื่องแบบนี้ว่า มันแทบจะไม่ต่างกับการทำ propaganda ของลัทธิเหมาสมัยก่อนเลย ผมสงสัยเสมอว่า เราจำเป็นต้อง recruit คนเข้าศาสนากันถึงขนาดนั้นเลยเหรอ นี่มันยุคสงครามครูเสดกันหรือไง ผมงงทุกทีที่เจอ แล้วทีผมสงสัยมากกว่าคือ คนที่มาถือป้ายยืนตามสี่แยกพวกนี้ เป็นคนที่นับถือสิ่งที่พวกเขาถือจริงไรึเปล่า หรือว่าเป็นแค่ชาวบ้านที่ถูกจ้างมา เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น มันก็ยิ่งน่าอนาถใจมากขึ้นไปอีก ที่คุณสามารถใช้เงิน ให้คนทำเพื่อศรัทธาในศาสนาของคุณด้วยก็ได้ และอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทำไมเขาต้องออกมากันช่วงนี้ หรือว่าศรัทธา และศีลธรรมของคนในบ้านเรามันถึงจุดตกต่ำได้ที่ จนเค้าคิดว่า นี่แหละ โอกาสหาสาวกเพิ่ม มันชวนสงสัยจริงๆเลยครับ

ผมเองก็ไม่ใช่คนเคร่งศาสนานัก ถ้าจะเอาจริงๆ หลายๆครั้งยังสงสัยเลยว่าตัวเองนับถือศาสนาอะไร เพราะถึงจะบอกว่าเป็นพุทธ ผมเองก็ท่องบทสวดไม่ค่อยได้ วัดก็ไม่ค่อยไป แถมยังทำใหนสิ่งที่พุทธบริสุทธ์ไม่ทำอีกด้วย นั่นคือการแขวนพระที่คอ เพราะพุธทจริงๆแล้ว ขนาดพระยังไม่เอาเข้าบ้าเลยครับ เพราะถือว่าไม่ควรมีอยู่ในบ้าน มันพึ่งมาบิดเบือนเอายุคหลังๆนี่เอง ถึงจะพยายามระกษาศิลห้า แต่ก็เผลอฆ่าแมลงสาบประจำ เหล้าก็กินเป็นวาระ เลยรักษาไม่ค่อยได้ซักที ถ้าจะเอาจริงๆ ผมอยากจะเรียกตัวเองว่าคนไร้ศาสนา ที่พยายามไม่เบียดเบียนคนอื่นมากกว่า บางที การทำแบบนี้มันอาจจะดีกว่าการตีตราตัวเองว่าเป็นคนศาสนาอะไร แล้วพยายามเบียดเบียนคนที่ต่างจากเรา ถ้าเป็นแบบนี้ ผมว่าเราเลิกตีตรากันดีกกว่ามั้ย

Saturday, December 13, 2008

Hope of the States: ขบถผู้พ่ายแพ้

หลายครั้งที่ผมเขียนถึงวงดนตรีที่แยกวงไปแล้ว หรือศิลปินที่เสียชีวิตไปแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าผมชอบที่จะทำหน้าที่คนที่ฉายแสงไฟให้กับพวกเขาเหล่านั้น เพื่อที่ว่าจะได้ยังมีที่ยืนในความทรงจำของผู้คนยุคปัจจุบันในสังคมแห่งการบริโภคที่ทุกอย่างเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และอีกวงหนึ่งที่เป็นอดีตไปแล้วที่ผมอยากเอาเรื่องของพวกเขามาเสนอคือ เหล่าขบถที่พ่ายแพ้ Hope of the States

เรื่องราวของ Hope of the States เริ่มขึ้นเมื่อกลุ่มเพื่อนวัยเด็กที่โตขึ้นมาด้วยกันใน Chichester ประเทศอังกฤษ ทั้ง Sam Herlihy (ร้องนำ) Amthony Theaker (กีตาร์) James Lawrence (กีตาร์) ซึ่งเติบโตมาในยุดที่ดนตรีบริทป๊อปกำลังเบ่งบาน จึงไม่แปลกอะไรเลยที่พวกเขาเลือกที่จะหยิบเครื่องดนตรีขึ้นมาและตั้งวงดนตรีเหมือนกับวัยรุ่นอีกนับไม่ถ้วนในยุคนั้น พวกเขาได้ Paul Wilson (เบส) เข้ามาร่วมวงและแชร์ความสนใจในดนตรีกันมากขึ้นกว่าเดิม พวกเขาพยายามจนได้สัญญากับทางค่าย Parlophone แต่มันก็เป็นความล้มเหลว แม้พวกเขาจะไฟแรง แต่ความเป็นเด็กของพวกเขา ทำให้พวกเขาใช้เวลาไปกับการเติมแอลกอฮอล์ลงกระเพาะมากกว่า แม้พวกเขาจะพยายามหนีเรียนไปอัดเพลง แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันHopeOfTheStatesPIC1

หลังจากเติบโตขึ้น และแน่นอนว่าฉลาดขึ้น แซมได้รวบรวมเพื่อนกลุ่มเดิม เพื่อตั้งวง Hope of the States การกลับมาในครั้งนี่ พวกเขาเอาจริงด้วยการยึดเครื่องแบบทหาร เป็นเครื่องแบบของวงเพื่อแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวของทีม พวกเขาดึง Mike Siddel (ไวโอลิน) และ Simon Jones มาร่วมวง เพื่อให้เป็นวงที่สมบูรณ์ และในตอนนี้ แนวทางของพวกเขาก็ชัดเจนแล้วว่า พวกเขาเลือกที่จะเดินคนละทางกับวงอย่าง Coldplay หรือ Travis ที่โด่งดังในช่วงนั้น แต่พวกเขาเลือกรับอิทธิพลด้านดนตรีจากวง Godspeed, You Black Emperor และ Radiohead ส่วนเรื่องเนื้อเพลงนั้นได้รับอิทธิพลด้านการเมืองอันเข้มข้นมาจาก Manic Street Preachers

พวกเขาเริ่มต้นได้อย่างน่าสนใจเมื่อออก EP ชื่อ Black Dollar Bills ในปี 2003 ในรูปแบบจำกัดโดยสมาชิกวงเป็นคนนั่งเย็บกระสอบที่หุ้มปกกันเอง (กลายเป็นสินค้าสะสมเรียบร้อย) และด้วยบรรยากาศสงครามอีกรอบสองในช่วงนั้น ทำให้มิวสิควิดีโอที่พวกเขาได้ Type2Error (ที่ดังมาด้วยกัน) มาช่วยสร้างให้ ต้องถูกแบนออกจาก MTV เนื่องจากมันมีเนื้อหาที่หดหู่และฉายภาพของสงครามชัดเจนเกินไป แต่กลับเป็นการดีเมื่อการแบนทำให้วงของพวกเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้พวกเขาถูกดึงไปเล่นตามเทศกาลดนตรีต่างๆ และเมื่อออกซิงเกิ้ลต่อมา Enemies/Friends พวกเขาก็ได้รับสัญญาจากค่าย Sony และกลายเป็นวงที่น่าจับตามองมากที่สุดแห่งปี

อะไรๆก็เหมือนจะดูดีไปหมด แต่จู่ๆ หลังจากอัดเสียงกันในสตูดิโอ และนั่งพักผ่อนด้วยการดูหนัง James บอกราตรีสวัสดิ์เพื่อน และนั่นคือคำสุดท้ายที่เขาพูด เพราะหลังจากนั้น เขาก็แขวนคอตายในสตูดิโอในคืนนั้นเอง และมันก็เป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนสมาชิกที่เหลือ ที่พราะต้องเสียเพื่อนไปโดยที่ไม่รู้ว่าทำไม และไม่มีโอกาสได้ช่วยเพื่อนเลย แต่พวกเขาก็ยังพยายามเดินหน้าต่อไปโดยได้ Michael Hibbert มาช่วยเล่นกีตาร์แทน

420x300

และเมื่ออัลบั้มแรก The Lost Riots วางขาย มันก็เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่เป็นขวัญใจของนักวิจารณ์เพลงในปีนั้น เพราะมันคือหนึ่งในอัลบั้มเปิดตัวที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานที่สุด พวกเขาไม่ได้หากินกับความเศร้าจากความตายของเพื่อนเลย เพราะอัลบั้มนี้มันเต็มไปด้วยการวิจารณ์สังคมและการเมืองอเมริกันอย่างเข้มข้น บทเพลงทั้งอัลบั้มต่างเต็มได้ด้วยความจริงจังอย่างมาก เพลงอย่าง Black Dollar Bills และ The Red The White The Black The Blue ก็พูดถึงการเมืองอย่างชัดเจน ในขณะที่ Enemies/Friends และ Nehemiah ก็ทำให้เรารู้ว่ายังมีความหวังอยู่ที่ปลายอุโมงค์อยู่ และ Goodhorsehymm ก็เป็นเพลงที่คอยปลอบประโลมผู้พ่ายแพ้ในสังคม The Lost Riots แทบไร้ซึ่งที่ติด แต่น่าเสียดายที่มันออกมาในช่วงที่คนเลือกที่จะหนีจากการเมือง ทำให้วงที่มีภาพลักษณ์เท่ๆอย่าง The Strokes หรือ Yeah Yeah Yeahs ครองวงการอยู่ วงทำเพลงเกี่ยวกับการเมืองอย่างจริงจังอย่างพวกเขา และ Kinesis ก็เลยถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย จนได้รับแค่สถานะวงโปรดนักวิจารณ์เท่านั้น พวกเขากลายเป็นแค่เสียงกระซิบท่ามกลางพายุ

hope_of_the_states

แต่ว่าวิญญาณขบถอย่างพวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ พวกเขาออกอัลบั้มที่สอง Left ในปี 2006 ซึ่งก็ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์อย่างมากเหมือนเดิม เพราะมันเต็มไปด้วยเพลงเด่นอย่าง Blood Meridian, The Good Fight และ Sing It Out ที่ยังชวนปลุกเร้าอารมณ์ของเราให้ลุกขึ้นมาสู้กับความไม่เป็นธรรมอีกครั้ง แม้โทนดนตรีจะหันไปหากีตาร์และเข้าถึงง่ายกว่าชุดที่แล้ว แต่มันก็ยังแตกต่างจากวงรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่ดี

ทว่า ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขากลับเลือกที่จะแยกทางกันในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน โดยไม่มีการกล่าวถึงสาเหตุอย่างชัดเจน แต่อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขารู้ดีว่าถึงแม้จะพยายามแค่ไหน ดนตรีของพวกเขาก็ไม่สามารถสร้างแรงกระทบต่อสังคมได้เหมือนกับวงอื่นๆ ทำให้พวกเขากลายเป็นแกะดำ เป็นขบถของวงการเพลงที่ต้องพ่ายแพ้ไปอย่างน่าเสียดาย และปิดตำนานของ Hope of the States ไว้เพียงเท่านี้

(หากสนใจดู MV ของวงที่เป็นผลงานของ Type2Error ทีมครีเอทีฟมาแรง ลองไปดูได้ ที่นี่)

Friday, December 5, 2008

ตัวโน๊ตแห่งความเศร้า Jeff Buckley (1966-1997)

Technorati Tags: ,

สำหรับคนทั่วไปแล้วโศกนาฏกรรมในชีวิตไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่สำหรับบางคน หรือบางครอบครัวแล้ว มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับว่าโชคชะตาคอยแต่จะกลั่นแกล้งครอบครัวเดิมๆอยู่ร่ำไป และในวงการดนตรี ก็มีครอบครัว Buckley ที่ทั้งพ่อและลูกก็เป็นนักดนตรีที่ได้รับคำยกย่องอย่างมากมายในวงการเพลง แต่กลับต้องจากไปก่อนเวลาอันควรทั้งคู่

ผู้พ่อ Tim Buckley คือศิลปินหัวก้าวหน้าแห่งยุค 60 ที่ไม่ได้ไหลไปกับกระแสดนตรีบุบผาชนของยุคนั้นเหมือนกับศิลปินอื่นๆ แต่เขากลับกล้าตั้งคำถามต่อทั้งฝ่ายรัฐบาลและวัยรุ่น แม้เขาจะฝากผลงานชั้นยอดไว้มากมาย ทว่า สุดท้ายแล้ว เขาก็พ่ายแพ้ต่อธุรกิจดนตรีที่ผันแปรอย่างรวดเร็ว และไม่นานเขาก็จบชีวิตนักดนตรีชื่อ (ไม่) ดัง ด้วยการเสพเฮโรอีนเกินขนาดและน๊อคตายไปต่อหน้าเมียตัวเอง

แต่อย่างน้อย นอกจากบทเพลงชั้นยอดที่เขาทิ้งไว้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เขาทิ้งไว้ให้แก่โลกใบนี้คือ ลูกชายที่เกิดขึ้นกับเมียคนก่อนหน้า หนุ่มน้อย Jeff Buckley ที่ไม่ได้เข้าร่วมงานศพแท้ๆของพ่อตัวเองเพราะไม่มีใครบอกให้รู้ถึงความตายของพ่อแท้ๆ

หนุ่มน้อย Jeff มีชื่อว่า Scott Moorhead ตามนามสกุลของพ่อเลี้ยงของเขา แต่เขาก็เลือกเปลี่ยนชื่อมาเป็น Jeff Buckley หลังจากที่พ่อแท้ๆของเขาตายไป ถึงแม้ว่าพ่อลูกคู่นี้จะไม่เคยมีโอกาสได้ใช้เวลาเป็นครอบครัว แต่ Jeff เองก็รับเอาดวงตาที่เหงาๆ เศร้าสร้อยในแบบของพ่อเขามาด้วย และบางทีมันอาจจะเป็นความเศร้าตรงนี้เองที่ฉุดทั้งคู่ไปสู่จุดจบก่อนวัยอันควรที่ไม่ต่างกันนักJeffBuckley

ถึงจะไม่สนิทกับพ่อแท้ๆ ทว่า แม่ของเขาเองก็เป็นนักดนตรีสายคลาสสิก ส่วนพ่อเลี้ยงก็เป็นคนพาเขาไปรู้จักวงร๊อคต่างๆ ตั้งแต่ The Who ยัน Pink Floyd และเมื่ออายุเพียง 5 ขวบ เขาก็เริ่มพยายามที่จะหัดเล่นกีตาร์แล้ว แม้จะต้องใช้ชีวิตในช่วงวัยเด็กแบบเร่ร่อนไปทั่วด้วยรถแวน แต่ความสนใจของเขาก็ไม่เคยหันเหไปจากดนตรี จนเข้าช่วงมัธยม เขาก็หันความไปสนไปสู่ดนตรีแจ๊ซ และโปรเกรซซีฟอีก พอจบมัธยม เขาก็แพ๊คกระเป๋า เข้าสู่ฮอลลีวู้ด เพื่อเข้าศึกษาในสถาบันดนตรี ที่ภายหลังเขากลับรู้สึกว่าเสียเวลาไปเปล่าๆ

ตามแบบฉบับของหนุ่มไฟแรง เขาตระเวนไปทั่วทุกที่ เล่นดนตรีมันทุกแนวตั้งแต่เรกเก้แดนซ์ฮอลล์ ยัน เฮฟวี่เมทัล เพื่อสั่งสมประสบการณ์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเขาก็ย้ายไปอยู่ที่นิวยอร์กเพื่อทำงานอื่นหาเลี้ยงชีพไปด้วย จนอดีตผู้จัดการของพ่อเขาเสนอออกค่าใช้จ่ายในการอัดเดโมให้ ทำให้เขารีบคว้าโอกาสในทันที และเดโมที่ออกมาก็ไปเข้าหูแมวมองทั้งหลายอย่างรวดเร็ว

jeff_buckleyเขามีโอกาสที่ดีอีกครั้ง เมื่อถูกเชิญไปร้องเพลงในงานที่ระลึกของ Tim พ่อของเขา และเพลงที่เขาเลือกคือ I Never Ask to Be your Mountain เกี่ยวกับตัวเขาและแม่ของเขา เขาไม่ได้เลือกเล่นคอนเสิร์ตนี้เพื่อสร้างชื่อ แต่มันคือการคารวะครั้งสุดท้ายแก่พ่อแท้ๆของเขา และชดเชยการไม่ ได้ไปร่วมงานศพของพ่ออีกด้วย

และหลังจากรวบรวมประสบการณ์มานาน อัลบั้มแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวของเขา Grace ก็เสร็จสมบูรณ์ในปี 1994 ช่วงที่โลกยังอยู่ในกระแสดนตรีกรันจ์อยู่ และถึงแม้ว่างานของเขาจะได้รับโปรดิวซ์และมิกซ์เสียงโดย Andy Wallace คนเดียวกันที่มิกซ์เสียงอัลบั้ม Nevermind ­ของ Nirvana แต่ดนตรีของเขาก็แตกต่างออกไปจากดนตรีกรันจ์เป็นอย่างมาก Grace คือดนตรีกีตาร์ร๊อคที่ได้รับการเรียบเรียงออกมาอย่างประณีต และละมุนละไม เสียงร้องที่ผสมกึ่งแหบห้าวกึ่งสูงอย่างเป็นเอกลักษณ์ของเขาก็ไปได้ดีกับตัวเพลง

บทเพลงทั้งหมดของอัลบั้ม Grace ได้ถูกบรรจงแต่งขึ้นด้วยประสบการณ์ของ Jeff ทำให้มันยอดเยี่ยมไม่แพ้เหล้าที่ได้รับการบ่มเป็นอย่างดีเลยทีเดียว เพลงสร้างชื่อของเขาคือ Last Goodbye ที่เป็นเพลงร๊อคที่พูดถึงการลาจากได้อย่างน่าเศร้าแต่งดงามในเวลาเดียวกัน เพลงแทบทุกเพลงในอัลบั้มแสดงให้เห็นถึงความประณีตราวกับการแกะสลักรูปปั้นหินอ่อน เพลงเก่าที่เขาเอามาทำใหม่อย่าง Hallelujah ก็เป็นการขับร้องออกมากจิตวิญญาณอย่างแท้จริงจนทำให้เรานึกถึงพ่อเขาขึ้นมาทันที Grace คืออัลบั้มแรกของเขา และมันก็ได้รับคำชมเป็นอย่างมาก จนเราคิดว่าเขาน่าจะดีใจน่าดู แต่พอหันไปดูปกซีดี Jeff ยืนสงบกำไมค์ในมือ เขาหลับตาลง หากแต่เราสามารถดูออกได้ว่า เขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งเราก็ไม่อาจรู้ได้

grace

หลังจากได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม เขาก็เงียบหายไปซักพัก ก่อนที่จะเริ่มกลับมาทำงานชุดที่สองในปี 1997 โดยเขาย้ายไปที่สตูดิโอของเขาที่เมมฟิสและในเย็นวันที่ 29 พฤษภาคม เขากับสมาชิกในวงไปสังสรรค์กันที่แม่น้ำมิสซิสซิปปี เขากระโดดลงไปว่ายน้ำทั้งที่ใส่เสื้อผ้าทั้งตัว พร้อมทั้งแหกปากร้องเพลง Whole Lotta Love ของ Led Zeppelin ไปด้วย และทันใดนั้น เขาก็ถูกคลื่นซัดหายไปในทันที ตำรวจพบร่างของเขาในอีก 5 วันให้หลัง เขาไม่ได้มีสารเสพติดอะไรในร่างกายเลย จนทำให้สงสัยว่า ทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น และในที่สุด พิธีศพของเขาก็ถูกจัดขึ้นในที่ๆเดียวกับที่เขาร้องเพลงเป็นที่ระลึกให้แก่พ่อของเขา จบชีวิตศิลปินแววตาเศร้าคนที่จากโลกก่อนวันอันควรเหมือนกับพ่อของเขาเอง

Thursday, December 4, 2008

Kylie X เซ็กซี่สมใจ

Technorati Tags: ,,,

หลังจากที่ไม่มีคอนเสิร์ตให้ไปนั่งดูมาได้ระยะหนึ่ง จู่ๆการประกาศเรื่องการมาทัวร์คอนเสิร์ตของเจ๊สาวสองพันปี Kylie Minogue ก็ทำให้ผมตื่นเต้นขึ้นมาทันทีครับ

ที่ผมต้องตื่นเต้นอย่างมากก็เพราะว่าในความเห็นของผมแล้ว Kylie คือหนึ่งในศิลปินหญิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยุคนี้เลยทีเดียวครับ แม้จะมีหลายคนคอยค่อนขอดว่าเธอก็ดีแต่เลียนแบบมาดอนน่าตั้งแต่ยุค ‘80 แต่สำหรับตัวผมแล้ว Kylie คือศิลปินที่ทำให้เรารู้สึกว่าเข้าถึงง่ายกว่า เธอทำตัวสบายๆกว่ามาดอนน่า ไม่ค่อยมีข่าวเสียหาย ไม่มีศาสนาแปลกๆ เธอเหมือนกับสาวรุ่นพี่ที่เราอยากมีโอกาสชวนไปออกเดทด้วยซักครั้งเพื่อให้เธอสอนอะไรต่อมิอะไรให้เราอีกเยอะ

IMG_2892

ผมคุ้นกับภาพเธอเมื่อสมัยที่เธอพยายามค้นหาแนวทางใหม่ๆสมัยอยู่ในค่าย Deconstruction มาก เพราะว่าเป็นช่วงที่ผมเริ่มฟังเพลงอย่างจริงจัง เธออาจจะเคยเป็นทีนป๊อปมาก่อน แต่เธอก็ได้ลองแนวทางใหม่ๆ กระทั่งไปดูเอ็ตกับเจ้าพ่อเพลงกอธิคอย่างป๋านิค เคฟ และพอเธอกลับมาได้อย่างถูกทีถูกเวลากับอัลบั้ม Fever ที่เป็นการเอาดิสโกมาทำใหม่อีกครั้ง ทำให้คนหันกลับมาสนุกกันอีก จนเธอกลับกลายมาเป็นศิลปินระดับโลกอีกครั้ง แม้เธอจะห่างหายไปเพราะการผ่าตัดมะเร็งเต้านม แต่พอกลับมาเธอก็สร้างแรงกระทบขนาดใหญ่ต่อวงการเพลงอีกครั้ง และการออกทัวร์ Kylie X ไปทั่วโลกก็ทำให้โลกได้ตื่นตะลึงอีกครั้ง

หลังจากสลับตารางโยกหลอกกับงานประจำสำเร็จผมก็โทรติดต่อไปที่ BEC Tero ทันที ซึ่งทีมงานก็ได้ให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วทันใจเหมือนทุกครั้ง น่าประทับใจมากครับ หลังจากนั้นผมก็ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตารอคอนเสิร์ตนี้ แม้จะไม่ใช่แนวเพลงของผมโดยตรง แต่ว่าก็หวังว่าน่าจะเป็นโชว์ที่น่าประทับใจครับ เพราะเธอเคยถูกเชิญไปเล่นที่งานขาร๊อคอย่าง Glastonbury มาแล้ว ดังนั้น คงต้องมีอะไรถูกใจขาร๊อคอย่างผมแน่นอน

พอเข้าไปในงาน ก็มี DJ มาวอร์มอัพรออยู่แล้วครับ แต่ที่นั่งไกลไปหน่อยเลยดูไม่ออกว่าใคร แต่พอไฟดับลง ฮอลล์ก็กระหึ่มไปด้วยเสียงกรี้ดต้อนรับ Kylie ม่านถูกกางออก เผยให้เห็นสกรีนด้านหลังขนาดยักษ์ใหญ่ขนาดเกินบ้านสองชั้นหลังใหญ่ๆแน่นอนครับ บวกกับเวทีที่จัดได้อย่างสวยงาม กราฟฟิคแสนสวยปรากฏบนจอได้ซักพัก Kylie ก็ค่อยๆเยื้องกรายออกมาบนเวที และทันใดนั้น ความสนุกก็เริ่มต้นขึ้นทันทีเลยครับ เธอเปิดตัวด้วยเพลง Speakerphone ก่อนตามติดด้วยเพลงดังระดับก๊อดซิลล่าอย่า Can’t Get You Out of My Head ถึงตอนนี้ทั้งฮอลล์อยู่กันไม่สุขแล้วครับ หลายรายหลังจากนั่งเก๊กแมนมานาน ก็เก็บอาการไม่อยู่ แต๋วแตกทันที (ฮา) และเธอก็กระหน่ำรัวเพลงฮิตมาแบบกลัวแฟนเพลงไม่เหนื่อยเลยครับ พอเธอเปลี่ยนชุดกลับมาเป็น เชียร์ลีดเดอร์สาวสีชมพู และร้องเพลง Wow ก็เล่นเอาหัวใจชายหนุ่มอย่างผมเต้นเร็วกว่าจังหวะเพลงเลยครับ นอกจากตัวเธอที่แสดงเต็มที่แล้ว ทีมนักเต้นก็ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมครับ กราฟฟิคด้านหลังที่ประสานไปกับตัวเพลงเป็นเนื้อเดียวกัน และที่ผมชอบมากคือ เธอเลือกใช้วงดนตรีจริงๆมาเล่นสด ไม่ได้เปิดเพลงเอานี่ มันทำให้รู้สึกถึงความตั้งใจเลยทีเดียวครับ จังหวะที่เธอไปเปลี่ยนเสื้อก็จะมีการแสดงคั่นเวลาเสมอทำให้อารมณ์ไม่ติดขัดเลยครับ

IMG_3004

เธอกลับมารอบสามกับชุดออกทะเล เพื่อมาร้องเพลง Love Boat และ Copa Cabana โดยแทบจะเป็นการเล่นละครสั้นเลยครับ ต้องยอมรับเลยว่าการออกแบบท่าเต้นและฝึกซ้อมของทีมงานนักเต้นก็ทำออกมาได้อย่างประณีตมากๆ

Kylie ทั้งร้อง เต้น เอนเตอร์เทน คนดูได้แบบไม่เหนื่อยเลยครับ ทุกครั้งที่เธอกลับขึ้นมาเวที เหมือนกับเธอพร้อมจะลุยต่อเสมอ และแต่ละเพลงก็ทำให้คนดูทั้งฮอลล์ได้ฮืออาเสมอ และพอเธออำลาด้วยเพลง In My Arms ทั้งฮอล์ก็ตะโกนเรียกร้องให้เธอกลับมาอีก และเธอก็กลับมาอย่างอลังการในเพลง No More Rain และ Love At First Sight เพลงโปรดของผม และมีการโปรยเกล็ดทองลงมาอย่างงดงาม แม้เธอจะบอกว่าจบ แต่คนดูก็เซ้าซี้จนเธอกลับมาร้องเพลง The One ต่อ แต่แฟนเพลงก็เหมือนกับว่ายังไม่พอใจ จนเธอต้องงัดไม้ตาย สั่งลาด้วยเพลง I Should be so Lucky ที่เธอบอกเองเลยว่า หลายคนยังไม่เกิดตอนเพลงนี้ออกวางขายเลยด้วยซ้ำ และมันก็เป็นการปิดท้ายอย่างงดงามของคอนเสิร์ตสุดอลังการของเจ๊วัย 40 กะรัตที่ยังสุดเซ็กซี่ ที่เล่นเอาผมได้แต่ยืนตบมือค้างอยู่อย่างนั้นเลยครับ ผมต้องขอยอมรับเลยว่าเป็นคอนเสิร์ตที่มีโปรดัคชั่นที่ยอดเยี่ยม และคุ้มเงินคนดูจริงๆครับ เพราะถ้าเทียบกับวงร๊อคที่ไม่มีอะไรประดับฉากเลย นี่คือการโชว์ที่สุดอลังการที่ได้รับการกำกับมาอย่างดีและประณีตทุกจุด จนเรียกว่าสมบูรณ์แบบเลยก็ได้ครับ ที่สำคัญคือ แม้เธอจะอายุขนาดนี้และพึ่งหายจากมะเร็ง แต่ก็ทั้งร้องทั้งเต้นเอาใจคนดูไปทั่วทั้งโลกแบบวันเว้นวัน โดยไม่ต้องมีข่าวว่าต้องให้ออกซิเจนเหมือนป้าแถวบ้านเราเลยครับ (ฮา)

IMG_1224

Saturday, November 22, 2008

ตัวโน๊ตแห่งความเศร้า Ian Curtis (1956 -1980)

Technorati Tags: ,,

Curtis Memorial ในช่วงเดือนพฤษภาคมของปี 1980 Ian Curtis นักร้องหนุ่มของวงโพสต์พังค์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่าง Joy Divison ได้นัดกับ Bernard Sumner เพื่อนร่วมวงของเขาเพื่อไปเล่นสกีน้ำด้วยกัน อะไรก็ดูจะสดชื่นขึ้นสำหรับนักร้องหนุ่มที่ชีวิตถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกแห่งความเศร้าและยาเสพติด แต่เมื่อถึงวันนัด เขากลับไม่โผล่มา จน Bernard ตัดสินใจทิ้งเพื่อนแล้วไปคนเดียว แต่เขาไม่ได้รู้เลยว่า จริงๆแล้ว เอียน ได้มีนัดกับความตายไว้ก่อนแล้ว เพราะจากนั้นไม่นาน เอียน ก็ถูกพบในห้องครัวของเขา ในสภาพที่มีเชือกพันอยู่รอบคอและขาทั้งสองลอยอยู่เหนือพื้น

ชีวิตอันแสนสับสนของเขาเริ่มต้นอย่างเรียบง่าย เอียนเป็นที่รู้จักกันดีว่าเขาหลงใหลในบทกวีโดยมี Joseph Conrad และ William Burroughs เป็นแรงบันดาลใจหลัก แต่ถึงแม้เขาจะเรียนดีจนได้ทุนเรียนต่อมัธยม เขากลับเริ่มต้นเสพยาในช่วงนี้โดยค่อยๆเริ่มจากยาต่างๆในตู้ยาสามัญประจำบ้าน

จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมบทนี้คือการที่เขาได้พบกับ Deborah เพื่อนร่วมโรงเรียนเมื่อสมัยอายุแค่ 16 ปี เขาตกหลุมรักเธออย่างจัง และแม้จะสารภาพกับเธอว่าเขาไม่คิดที่จะมีอายุอยู่เกิน 25 ปี แต่พวกเขาก็ตัดสินใจแต่งงานกันเมื่อเอียนมีอายุได้เพียงแค่ 19 ปีเท่านั้น ใครจะรู้ว่าความรักที่เริ่มต้นอย่างสวยงามจะกลายเป็นความขมขื่นเมื่อบุคคลที่เป็นนักคิดเสรีอย่างเขาจะกลายเป็นเผด็จการเมื่อเป็นเรื่องความรัก เพราะเขาครอบงำเธอทุกอย่างและกระทั่งสั่งให้เธอแต่งตัวตามที่เขาต้องการตลอด ความรัก กลายเป็นสิ่งที่ชวนสับสนที่สุดสำหรับตัวเขา

IanCurtisดูเหมือนว่าการระบายออกผ่านบทกวีอาจะยังไม่เพียงพอ ทันทีที่เขาไปพบกับสองนักดนตรีหนุ่มอย่าง Sumner และ Peter Hook ซึ่งกำลังพยายามตั้งวงดนตรีอยู่ เขาก็เข้าไปรับหน้าที่ร้องนำและแต่งเนื้อเพลงให้กับวงทันที โดยหลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ Stephen Morris รุ่นพี่โรงเรียนของเอียนมาเล่นกลองให้ พวกเขาตั้งขื่อวงว่า Warsaw แต่ก็มีวงอื่นอยู่แล้ว ทำให้พวกเขาต้องหันมาเรียกตัวเองว่า Joy Division ซึ่งหมายถึง แผนกหรรษา ซึ่งทหารนาซีในช่วงสงครามโลกจะเอาเชลยหรือนักโทษมาเป็นเครื่องปรนเปรอกามตัณหาของพวกเขา

พวกเขาเองเริ่มต้นได้อย่างย่ำแย่ เพราะว่าพวกเขาเองยังไม่รู้จักวิถีเล่นเครื่องดนตรีให้เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ในทีสุด พวกเขาก็พบส่วนผสมอันสุดวิเศษ ด้วยเบสที่เล่นเป็นทำนอง กับกีตาร์ที่เล่นเป็นเครื่องให้จังหวะ เสียงกลองที่พยามข่มเครื่องดนตรีทั้งสอง แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ เสียงร้องและเนื้อเพลงของเอียนที่สร้างบรรยากาศอันวังเวง มืดหม่นไม่ต่างกับป่าช้ายามค่ำคืน ทั้งหมดผสมผสานกันอย่างลงตัวและกลายเป็นดนตรีที่แหวกแนว กล้าหาญ จริงจังและยังมืดหม่นในช่วงของการบูมของดนตรีป๊อป และดิสโกที่ไร้แก่นสาร

การแสดงสดที่ติดตาของพวกเขาทำให้พวกเขาถูก Tony Wilson เซ็นเข้าค่าย Factory  Records ทันที พวกเขาเริ่มสร้างชื่อได้อย่างยอดเยี่ยมจากการแสดงสดในรายการของ John Peel และอัลบั้มแรก Unknown Pleasure ก็สร้างชื่อให้กับพวกเขา และการแสดงสดที่เต็มไปด้วยพลังทำให้วงเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าเต้นกระตุกๆของเอียน ดูเหมือนเขาจะพบที่ๆควรอยู่แล้ว

แต่ชีวิตศิลปินก็สร้างปัญหาให้เขา เพราะโรคลมบ้าหมูที่เขาเป็นได้รับผลกระทบจากแสงสีบนเวที เมื่อเริ่มออกทัวร์ จู่ๆเขาก็หอนเหมือนคนบ้าน ชกผนัง และล้มลงชักกระตุก และมันก็เกิดบ่อยขึ้นเรื่อยๆจนหลายครั้งที่แฟนเพลงไม่รู้ว่าเขาชักจริงๆหรือกำลังเต้นตามปกติอยู่ แพทย์ยื่นมือเข้ามาห้ามไม่ให้เขาดื่ม ห้ามนอนดึก และให้อยู่อย่างสงบ ซึ่งตรงกันข้ามกับเส้นทางที่เขาเลือก และแน่นอนว่ามันเป็นการเลือกถนนสู่ความตายอย่างแท้จริง

ปัญหาของเขาหนักขึ้นไปอีกเมื่อ เขาพบกับแฟนเพลงชาวเบลเยี่ยมและเริ่มคบชู้กับเธอ ความรู้สึกผิดในตัวเขาทำให้เขาจมลึกลงไปอีก หนำซ้ำ เมียสาว Deborah ให้กำเนิด Natalie ลูกสาวแสนน่ารัก ทำให้เขากลายเป็นคุณพ่อแสนเลวในทันที และเขาก็รู้ตัวเองดีและเอาแต่โทษตัวเอง วันหนึ่ง Deborah แทบสิ้นสติเมื่อกลับมาพบสามีตัวเองเอามีดกรีดอกอยู่ เขาจมลงไปโดยยังไม่เห็นก้นบ่อian-curtis

เมื่ออัลบั้มที่สอง Closer ออกวางขาย มันเป็นงานคลาสสิกที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง แต่เอียนได้จองตั๋วสู่นรกเรียบร้อยแล้วหากพิจารณาจากเนื้อเพลงที่สื่อถึงการไม่สนใจชีวิตตัวเองอีกต่อไปแล้ว และไม่นานหลังจากนั้นเอง ที่เขาเลือกจบชีวิตของตัวเองด้วยการแขวนคอเมื่ออายุได้เพียง 23 ปี จบชีวิตของ เม่น ที่ถึงแม้จะรักและอยากเข้าใกล้ผู้ใด หนามรอบกายก็คอยทิ่มแทงให้ผู้คนเหล่านั้นต้องรับบาดเจ็บไปเสมอ

เพลงที่เขาฝากไว้ให้กับโลกใบนี้ คือ Love Will Tear Us Apart บทเพลงที่สรุปชีวิตเขาได้อย่างดี เพราะว่ามันคือความรักที่ทำให้เขารู้สึกผิดจนต้องเลือกจากโลกนี้ไป แต่จากมุมมองของภรรยา ความหลงใหลกับความตายของเขาต่างหากที่นำไปสู่จุดจบของชีวิตคู่

แม้เอียนจะจากไปนานแล้ว แต่อิทธิพลของเขายังแผ่ซ่านอยู่ไปทั่ววงการดนตรี ไม่มีเขา ก็คงไม่มี U2, Radiohead, Interpol หรือ Bloc Party และอีกหลายร้อยวงที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นหลังจากการตายของเขา

Friday, November 14, 2008

Death from Above 1979: Drum & Bass ของแท้จากอเวจี

Technorati Tags: ,

หลังจากเคยแนะนำวงที่แตกวงไปแล้วอย่าง The Cooper Temple Clause อีกหนึ่งวงดนตรีที่ผมแสนเสียดายเวลาได้ยินข่าวแยกวงก่อนเวลาอันควรนั่นคือ Death from Above 1979 นั่นเอง อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเสียดายวงนี้มากก็อยู่ที่ชื่อวงนั่นเองครับ แล้วจะอธิบายอีกที

Death from Above 1979 ถือกำเนิดจากการโคจรมาพบกันของสองหนุ่มชาวแคนาดา Jesse F. Keeler (เจส เบส ซินธ์) อดีตสมาชิกวง Black Cat #13 และ Sebastian Grainger (เซบาสเตียน ร้องนำ กลอง) ในคอนเสิร์ตของ Sonic Youth และก็ตัดสินใจร่วมกันทำงานเพลงในนาม Death from Above โดยทะลึ่งพอที่จะไม่เอามือกีตาร์ที่แทบจะเป็นสัญลักษณ์ของวงร๊อคทั่วไปมาอยู่ในวง โดยให้เหตุผลง่ายๆว่า “ไม่จำเป็น” และ “ไม่อยากแบ่งค่าตัว” ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังโอบรับเอาอิทธิพลของดนตรีแนวอื่นๆอย่างดนตรีแดนซ์ และฮิปฮอปเข้ามาผสมในงานของพวกเขาอีกด้วย มันเลยยิ่งทำให้แหวกแนวกันเข้าไปใหญ่ กลายเป็นวงดนตรีสองชิ้นที่แทบจะโหวกเหวก และหนวกหูที่สุดไปได้ (คงแพ้แค่วง Lightning Bolt ที่มีแค่เบสกับกลองเหมือนกัน แต่วงนั้น สับแหลกเป็นพายุครับ ลองไปหาฟังดูก็ดีเหมือนกัน) พวกเขายังได้ให้ความเห็นว่า ดนตรีแดนซ์และฮิปฮอปส่วนมากก็ใช้เครื่องดนตรีแค่นี้ พวกเขาเองก็อยากรู้ว่าจะผลักดันดนตรีของตนเองไปได้ไกลแค่ไหน

พวกเขาเริ่มออกตัวด้วยการออก EP ที่ชื่อ Heads Up กับตราแผ่นเสียง Ache Records ในปี 2002 ซึ่งมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานของพวกเขาเป็นอย่างดี แต่ละเพลง สั้น แต่หนักหน่วงสะใจ เหมือนกับการยื่นกลองและเบสให้กับฝูงกอริลลาไปตีเล่น ความหนักหน่วงนั้นสะท้อนออกมาเป็นอย่างดีกับการที่ภาพปกเป็นภาพของพวกเขาสองคนมีงวงเหมือนช้าง เนื่องจากพวกเขาต้องการให้ซาวนด์ดนตรีของพวกเขาเหมือนกับการมีโขลงช้างอยู่ในห้องของคนฟังนั่นเอง

หลังจากสร้างชื่อเสียงในระดับหนึ่งกับEPแรก พวกเขาก็ออก EP ต่อมา Romantic Rights ในปี 2004 ซึ่งเป็นงานที่ส่งให้พวกเขาเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เพลงหลักอย่าง Romantic Rights นั้นได้แสดงให้เห็นถึงซาวนด์ของพวกเขาอย่างชัดเจนจริงๆ ทั้งลูกเบสที่หนักหน่วง กับจังหวะกลองที่ถ้าลองเปลี่ยนแปลงมันอีกนิดเดียวก็กลายเป็นเพลงแดนซ์ได้ทันที บวกกับเสียงร้องที่ออกมาจากหัวใจของหนุ่มกลัดมันที่พร่ำร้องว่า “I don’t need you, I want you” มันก็สื่ออะไรได้มากเกินต้องการแล้ว ส่งให้กลายเป็นงานคลาสสิกไปในทันที

ทว่า พวกเขาถูกตราแผ่นเสียง DFA ของ James Murphy ฟ้องร้องให้เลิกใช้ชื่อ Death from Above เพราะว่าเวลาย่อลงแล้วจะเหลือแค่ DFA เหมือนกัน พวกเขาไม่พอใจ แต่ก็เลือกเติม 1979 ลงไปในชื่อวง เพราะเป็นปีเกิดของ Sebastian นั่นเอง (และของผมด้วยครับ) โดยเขายังให้เหตุผลเท่ๆว่า มันเป็นปีสุดท้ายของยุคสุดคูล และเป็นปีที่ Off the Wall และ Pleasure Principle ออกวางขาย จากนั้น พวกเขาก็คือ Death from Above 1979

หลังจากปัญหาพวกเขาก็ได้ออก อัลบั้มเต็มชุดแรก (และชุดเดียว) ชื่อ You’re a Woman, I’m a Machine ซึ่งสานต่อความยอดเยี่ยมของงานก่อนหน้านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยจริงๆ แน่นอนว่า Romantic Rights ที่ถูกมิกซ์ใหม่ให้แน่นขึ้นต้องอยู่ในอัลบั้มนี้แน่นอน พวกเขาเปิดอัลบั้มด้วยเสียงลึกลับๆ ก่อนที่จะกระหน่ำกลองและเบสในเพลง Turn In Out ได้รุนแรงไม่ต่างจากสายฟ้าของมหาเทพซูสเลย และก็เป็นแบบนี้แทบทุกเพลงครับ ไม่ว่าจะเป็น Going Steady, Pull Out หรือ Go Home, Get Down ที่ตามกันมา ส่วนซิงเกิ้ลอย่าง Blood on Our Hands และเพลง Sexy Results ก็ผสมความเป็นดนตรีเต้นรำลงไปในท่อนเบสได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะที่ Little Girl และ Cold War ก็ทำให้เรานึกไปถึง Deep Purple ยุคเก่าได้เลย เพลงYou're A Woman, I'm A Machine ก็คือการระเบิดของพละกำลังทั้งหมดที่พวกเขามี และเพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่าง Black History Month ที่พวกเขาผสมผสานดนตรีแนวต่างๆจนออกมาได้อย่างลงตัวไร้ที่ติใดๆทั้งปวง แน่นอนว่า You're A Woman, I'm A Machine คืออัลบั้มที่คลาสสิกจากความคิดสร้างสรรค์ ความดิบ ความห้าว ความงุ่นง่าน และความกล้า และจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลังได้เป็นอย่างดี42683eab5a46a-40-1

ในปี 2005 พวกเขาตามติดความสำเร็จด้วยการออกอัลบั้ม remixed version กับb-side ที่ชื่อ Romance Bloody Romance เพื่อแสดงให้เห็นถึงรากของเพลงเต้นรำที่อยู่ในดนตรีของพวกเขา ซึ่งนอกจากจะได้ศิลปินดังๆหลายแนวอย่าง Alain Braxe, Erol Alkan, Justice, Josh Homme (Queens of the Stone Age)และ Sammy Danger (Test-Icicles)มารีมิกซ์เพลงของพวกเขา ยังมีเวอร์ชั่นของเพลงต่างๆที่DFA1979 มิกซ์แยกกันในนามโปรเจ็กต์ส่วนตัวของแต่ละคน ทั้ง Girl on Girl ของ Sebastian มาร่วมมือกับ Final Fantasy ของ Owen Palette (Arcade Fire) ทำเพลง Black History Month และ MSTRKRFTของ Jesse ที่ทำ Sexy Resultsและ Little Girl ใหม่ และยังมีเพลงแถมเก่าอย่าง Better off Dead และ You're Lovely (But You've Got Problems) ที่ดิบเถื่อนสะใจไม่แพ้กัน

แต่ว่าในปีเดียวกันนั้นเอง พวกเขาประกาศแยกวง เพราะว่าพวกเขาเติบโตเกินกว่าที่จะร่วมงานกันในฐานะวงๆเดียวกันแล้ว แต่ก็ยังรักษาความเป็นเพื่อนนักดนตรีกันไว้อยู่ โดยที่ทั้งคู่ต่างมุ่งมั่นไปกับโปรเจ็กต์ส่วนตัวสารพัดของแต่ละคน ทำให้ต้องปิดฉากวงดนตรีที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกวงหนึ่งแห่งทศวรรษ ’00 ไปอย่างน่าเสียดาย

Warm Up รอ Bangkok 100 Rock Festival 2008

กลับมาอีกรอบแล้วนะครับ กับความสนุกที่ 100 Pipers จะเอาให้ให้เราได้สัมผัส หลังจากเคยจัดเทศกาลดนตรีที่บ้านเราไปแล้วหนึ่งรอบ (ตอนนั้นอยู่ที่ญี่ปุ่น เลยอดครับ เสียดายโคตร) กับเมื่อไม่นานมานี้ที่พึ่งเอา Stereophonics มาชนกับวงไทยอย่า Modern Dog และ Paradox ผ่านไปยังไม่ทันไร ก็กลับมาสร้างความสนุกให้กับพวกเราอีกแล้วครับ แล้วครั้งนี้ กลับมาในรูปแบบเทศกาลดนตรีอีกแล้วครับ นั่นคืองาน Bangkok 100 Rock Festival 2008 ที่จะจัดขึ้นวันที่ 29 และ 30 พฤศจิกายนนี้ ที่ ร. 1 พัน อ. 1 รอ. ถนนวิภาวดีรังสิตนี่เองครับ แล้วงานนี้ ก็มีวงจากต่างประเทศถึง 6 วงด้วยกัน เลยต้องขอเอามาแนะนำกันสั้นๆให้รู้จักกันก่อนได้ไปสัมผัสของจริงแล้วกันครับ

Melee วงร๊อคจาก Orange County อเมริกา ที่ออกลุยในวงการมาตั้งแต่ ปี 2000 แล้วครับ โดยได้รับอิทธิพลจาก Elton John และ Coldplay ในการทำเพลงร๊อคที่ใช้เปียโนเป็นเครื่องดนตรีหลัก เพลงของพวกเขาฟังสบายแบบที่คุณอยากติดไปฟังริมชายหาดเลยล่ะครับ น่าจะเหมาะกับคนที่ชอบเพลงร๊อคผสมกับแนวอื่นแบบ Maroon 5 นะครับ

Hoobastank วงร๊อคอีกวงหนึ่งจากแถบ L.A. อเมริกา พวกเขาตั้งวงกันมาตั้งแต่ปี 1994 แต่เริ่มเป็นที่รู้จักจากอัลบั้มแรกชื่อเดียวกับวงที่ออกกับต้นสังกัดใหญ่ในปี 2001 ซึ่งมีเพลงเด็ดอย่าง Crawling in the Dark กับ Running Away และมาดังเป็นพลุแตกกับอัลบั้มถัดมา The Reason ที่มีเพลงช้าขวัญใจวัยรุ่นอย่าง The Reason ที่ถูกเอาไปเล่นและร้องจีบสาวมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบทั่วโลก พวกเขาเคยมาเล่นสดฟรๆที่เมืองไทยครั้งนึงแล้ว และครั้งนี้พวกเขาก็คงพกเอาความมันไม่แพ้ครั้งที่แล้วมาฝากแฟนๆเพลงชาวไทยอีกแน่นอนครับ

As I Ley DyingAs I Lay Dying วงจากอเมริกาวงสุดท้าย พวกเขามาจาก San Diego และเอาชื่อวงมาจากนิยายของ William Falkner ซึ่งแค่ชื่อก็คงจะสื่อได้ดีอย่างมากว่าพวกเขาไม่ได้ทำเพลงหวานแหววแต๋วจ๋าแน่นอน แต่พวกเขาคือวงเมทัลหนักกะโหลก (มาก) ที่เริ่มท่องยุทธจักรตั้งแต่ปี 2000 แล้วครับ ถ้าใครอยากหาอะไรหนักมาแก้เซ็ง รับรองครับว่าไม่ผิดหวังแน่นอน ทุกวันนี้เวลาเซ็งๆผมยังชอบเปิดเพลง Reflection จากอัลบั้ม Shadows are Securities ฟังในรถเวลาเซ็งๆ เพราะเสียงสับกระเดื่องคู่ กีตาร์บาดหู และเสียงสำรอกของวงนี้มันผสมกันออกมาได้มันจริงๆครับ ระวังเมื่อยคอไว้ได้เลย

สามวงข้างต้นคือที่เล่นในวันที่ 29 นะครับ อีกสามวงจากนี้จะเป็นวงที่เล่นในวันที่ 30 ครับ

Penny Century วงสวีดิชป๊อปหกคน อีกวงหนึ่งที่เริ่มเป็นทีรู้จักในบ้านเราระดับนึงแล้วครับหลังจากออกอัลบั้ม Between a Hundred Lies พวกเขาเองก็ไม่ต่างจากรุ่นพี่ของพวกเขาครับ ที่ทำดนตรีป๊อปในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศนี้จริงๆ เตรียมไปนั่งฟังสบายๆ พักผ่อนหัวใจไปกับดนตรีของพวกเขากันดีกว่าAsh

Ash วงจากไอร์แลนด์ที่ดังตั้งแต่ยุค Britpop ที่พวกเขายังเป็นหนุ่มน้อยเรียนมัธยมกันอยู่เลย แต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นมือเก๋าของวงการที่ขยันผลิตงานเพลงพังค์มันๆในแบบของพวกเขามาฝากพวกเราไม่เคยขาดเลย แน่นอนว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างผมต้องรอคยเพลงอย่าง Girl from Mars, Angel Interceptor, A Life Less Ordinary และ Wild Surf ที่ชวนให้ผมโยกหัวตลอดตั้งแต่สมัยยังนุ่งกางเกงขาสั้นอยู่เลยครับ แล้วก็เป็นการล้างแค้นที่อดดูพวกเขาตอนมาเมืองไทยเมื่อครั้งที่แล้วด้วยครับ

Manic Street Preachers วงที่น่าจะเรียกเสียงกรี้ดจากแฟนเพลงได้ได้เยอะสุด ถ้าเป็นแฟนเพลงรุ่นผม คงไม่ต้องบอกว่าทำไม แต่สำหรับแฟนเพลงรุ่นหลัง พวกเขาคือวงดนตรีต่างประเทศที่ได้รับความนิยมสุดในบ้านเราเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เมื่อตอนที่มาเมืองไทยครั้งที่แล้ว เล่นเอา MBK Hall สะเทือนไปทั้งสองวันเลย แม้สมาชิกหลักอย่าง Richey จะหายตัวไปไม่ยอมกลับมา แต่พวกเขาก็ยังสู้ต่อในวงการเพลง แม้ผลงานช่วงปลายอาชีพจะไม่สะเทือนเกาะอังกฤษเหมือนยุค Generation Terrorist หรือ Everything Must Go แต่พวกเขาก็กลับมาได้อย่างสวยงานกับอัลบั้มล่าสุด Send away the Tigers ที่สดและใหม่เหมือนกับพวกเขาแอบไปขโมยความหนุ่มมากจากวงอื่นๆเลย และวงนี้ก็เป็นวงรักในดวงใจผมอีกวงที่แค่ได้ยินอินโทรก็ร้องตามได้ทั้งเพลงแล้วครับ ครั้งนี้ผมไม่ยอมพลาดแน่นอนหลังจากที่พลาดคอนเสิร์ตของพวกเขามาตลอดสามครั้งแล้ว สำหรับรายละเอียดวงนี้ จะเอามาเขียนอีกรอบครับ ครั้งนี้เอามาแนะนำสั้นๆก่อน

Manic Street Preachers

นอกจากวงจากต่างชาติแล้ว วงไทยเจ๋งๆก็มากันเกือบทั้งหมดนะครับ วงที่ผมเล็งไว้ว่าอยากดูในครั้งนี้คือ Ebola, Greasy Café, Futon, Brand New Sunset และ Silly Fools บอกตรงๆครับ ว่าไม่อยากพลาดจริงๆ หวังว่าจะเจอกับทุกคนในงานนะครับ ตอนนี้ขอไปฟิตร่างกายรอก่อนครับ

For More Information http://www.bangkok100rock.com/

The Verve: เดี๋ยวรัก เดี๋ยวเลิก

Technorati Tags: ,

การอยู่ในวงดนตรี บางทีมันก็ไม่ต่างอะไรกับความสัมพันธ์อื่นของคน เพราะมีทั้งช่วงหวานชื่น ช่วงขื่นขม การร้างลา และสำหรับวงดนตรีบางวง อาจจะมีการเลิกกัน และหันกลับมาจูบปากกันใหม่บ่อยกว่าวงอื่น และวงที่เป็นตัวอย่างของความสัมพันธ์แบบรักๆเลิกๆในวงการดนตรีที่ดีคือ The Verve นั่นเอง

The Verve ถือกำเนิดขึ้นในเมืองที่รักบี้ดังกว่าฟุตบอลอย่าง Wigan ประเทศอังกฤษ หนุ่มน้อย (ในตอนนั้น) ทั้งสี่คนคือ Richard Ashcroft (ริชาร์ด ร้องนำ) Nick McCabe (นิค กีตาร์) Simon Jones (ไซมอน เบส) และ Pete Salisbury (พีท กลอง) พบกันในมหาวิทยาลัย และมักใช้เวลาในการคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ชีวิตตัวเองต้องลงเอยด้วยการเป็น nobody และคำตอบที่ผุดขึ้นมาในสมองของพวกเขาคือ ตั้งวง (ดนตรี) สิวะ

กิจกรรมในฐานะนักดนตรีของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นในปี 1989 ซึ่งพวกเขาเริ่มสร้างสรรค์เพลงของตัวเองโดยได้รับอิทธิพลหลักๆจากดนตรี Shoegazing และ Space Rock และหลังจากออกเล่นสดได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มเป็นที่เลื่องลือกันแบบปากต่อปากจากความสามารถในการดึงคนดูได้อยู่หมัดด้วยดนตรีแนวทดลองหลุดโลกของพวกเขา

จากชื่อเสียงของพวกเขา ทำให้ค่ายเพลงหัวก้าวหน้าอย่าง Hut Records รีบตัดสินใจเซ็นสัญญากับพวกเขาทันที และพวกเขาก็ตอบแทนด้วยการทยอยออกซิงเกิ้ลเด็ด นั่นคือ All in Mind ที่มีอารมณ์ของเพลงเต้นรำอยู่ด้วย She’s Superstar ที่อบอวลไปด้วยเสียงกีตาร์หลอนประสาท และ Gravity Grave ที่เป็นเหมือนกับการเดินเข้าไปในสมองคนที่กำลังพี้ยาอยู่ ทั้งสามเพลงคือเพลงเด่นที่แม้แต่ทุกวันนี้พวกเขายังเอามาเล่นสดอยู่

จุดเด่นของพวกเขาคือ นอกจากภาคจังหวะที่แน่น และผสมความเป็นฟังค์และดนตรีเต้นรำลงไป เสียงกีตาร์ของอัจฉริยะวัยหนุ่มอย่าง Nick และเนื้อร้องหลุดโลกที่ถูกพ่นออกมาโดย Richard ทำให้พวกเขาโดดเด่นขึ้นมาทันที

พวกเขาได้โปรดิวเซอร์มือทองอย่าง John Leckie ช่วยควบคุมงานให้ และผลที่ออกมาคืออัลบั้ม A Storm in Heaven ในปี 1993 ที่แม้จะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่ว่ามันได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เป็นอย่างมาก แม้ 3 ซิงเกิ้ลแรกจะไม่ถูกรวมอยู่ในอัลบั้ม แต่ว่ามันก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันเลย โดยมีเพลงอย่าง Blue และ Slide Away เป็นตัวชูโรงจากความหลอนของมัน และ จากการแสดงสดที่ยอดเยี่ยม ทำให้ Richard ได้รับฉายาว่า Mad Richard ไปในทันใด แต่เงาของยาเสพติดและความขัดแย้งก็เริ่มฉายอยู่เหนือสมาชิกในวง

ในปี 1995 กระแส Brit Pop กำลังมาแรงมาก และพวกเขาก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยการหันจากดนตรีหลอนประสาทไปสู่เพลงที่ร๊อคมากขึ้นกว่าเดิม จนออกมาเป็นอัลบั้ม A Northern Soul ที่เกิดขึ้นบนความขัดแย้งระหว่าง Nick และ Richard แต่ดันกลับกลายเป็นอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมเอามากๆ มันเต็มไปด้วยเพลงที่ยอดเยี่ยมอย่าง This is Music ที่เป็นการประกาศอย่างองอาจ Brainstorm Interlude ที่เล่นเอาหัวเราแทบระเบิด และมันยังมีเพลงช้าสุดเพราะอย่าง On Your Own และ History ที่งามอย่างน่าเศร้าไม่ต่างกับการเขียนนิยายรักโดยใช้คนรักเก่าเป็นนางเอก พวกเขากำลังอยู่ในขาขึ้น แต่ก็ต้องแตกวงด้วยจากจากไปของ Nick เพราะปัญหาเรื่องไม่มีที่พอให้ ego ของเขาและ Richard พร้อมกัน แต่พวกเขาก็กลับมาร่วมวงกันโดยดึงเอา Simon Tong มาเล่นกีตาร์แทน

เมื่อเริ่มลุยงานได้ไม่นาน Nick ก็กลับมาคืนดี และพวกเขาก็สานสัมพันธ์กันด้วยการเล่นยาขนานหนัก (ไม่ควรเอาเป็นตัวอย่าง) และผลของมันคือ Urban Hymns ที่เป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จที่สุดของพวกเขา

ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม Bittersweet Symphony คือเพลงที่ดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลกด้วยความยอดเยี่ยมของมัน แม้ในทุกวันนี้เรายังได้ยินมันอยู่เรื่อยๆอย่างไม่ขาดสาย แต่คนที่ได้เงินคือ The Rolling Stones ฟ้องพวกเขาว่าเอาเพลง The Last Time มาทำใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต และชนะคดี นอนกินเงินศิลปินรุ่นน้องไป (รวยไม่พอรึไงวะ) แต่ Urban Hymns ก็ยังมีเพลงอื่นที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันอีกอย่าง Lucky Man หรือ The Drugs Don’t Work และเพลงช้าอื่นๆอีกมากมาย Urban Hymns ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม แม้จะโดนค่อนขอดจากแฟนเพลงดั้งเดิมว่ากลายเป็นตาแก่ร้องเพลงช้าๆธรรมดาไปแล้ว ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ได้สร้างชื่อให้กับตัวเองได้อย่างเกรียงไกร แต่พวกเขาก็ดันทะลึ่งแตกวงอีกในปี 1999 โดยไม่บอกสาเหตุ

หลังจากสมาชิกหันไปทำงานเพลงของตัวเองกัน แม้จะไม่ได้ประสบความสำเร็จมาก แต่ทุกคนก็อยู่ในวงการเพลงตลอด จน Richard กลับมาดังอีกครั้งจากการไปเล่นในงาน Live Eight จากการเชิญของ Coldplay ชื่นชมเขามาตลอดพวกเขาตัดสินใจกลับมาร่วมงานกันโดยไม่มี Simon Tong และแม้แจะมีความขัดแย้งอยู่ในวงเรื่อยๆ แต่พวกเขาก็ออกซิงเกิ้ลแรก Love is Noise ที่เป็นการกลับมาอย่างงดงามจริงๆ เพราะมันช่างยิ่งใหญ่และห้าวหาญราวกับพวกเขาเป็นเด็กหนุ่มอยู่เลย จนทำให้การกลับมาครั้งนี้น่าสนอย่างยิ่ง ยิ่ง Forth อัลบั้มเต็มชุดที่สี่ออกมาในปีนี้ ทำให้เราประทับใจกับมันอย่างมาก หวังว่า ครั้งนี้คงไม่แยกทางกันโดยกะทันหันอีกนะครับ

Sunday, October 19, 2008

The Academy is… - Fast Times at Barrington High

Clip อีกหนึ่งวงที่ขยันทำงานเหลือเกิน โดยตั้งแต่ออกอัลบั้มแรกในปี 2006 วงพ๊อพพังค์ (หรือที่หลายๆคนชอบที่จะเรียกว่า Emo ในช่วงหลัง) จากชิคาโกวงนี้ทำสถิติออกอัลบั้มทุกปี และอัลบั้มใหม่ที่ชื่ออัลบั้มล้อเลียนหนังเก่าอย่าง Fast Times at Ridgemont High ชุดนี้ ก็เป็นการเติบโตที่น่าสนใจอย่างมากของพวกเขาจริงๆ แม้จะไม่มีเพลงชวนโยกหัวลืมโลกแบบ Checkmarks แต่ว่ามันก็เป็นงานที่ประณีตและเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน ความดิบแบบเด็กหนุ่มอาจจะน้อยลง แต่เราก็ได้ความสดชื่นและความละเอียดในเนื้องานที่เพิ่มมากขึ้นแทน แค่ซิงเกิ้ลเปิดตัว About a Girl ก็สร้างความสุขให้เราทุกครั้งที่ได้ยิน มันคือเพลงร๊อคที่แสนจะติดหู และทำให้เรารู้สึกเหมือนการกำลังขับรถรับแดดอุ่นๆยามเช้า ในขณะที่ Summer Hair = Forever Young คือเพลงมันๆที่ชวนเรากระทืบเท้าตามอย่างสะใจไปตามจังหวะกระหน่ำกลอง ส่วน His Girl Friday ก็ทำให้เรานึกถึงรุ่นพี่ของพวกเขาอย่าง Jimmy Eat World ขึ้นมาทันทีกับท่อนฮุคที่ชวนแหกปากร้องตาม ส่วน After The Last Midnight Show ก็เป็นเพลงที่ไอ้กุ้งแห้ง William ร้องครวญคู่ไปกับเปียโนอย่างงดงาม และ Beware! Cougar! ก็เป็นเพลงสนุกๆอีกเพลงหนึ่งที่น่าจับตาไม่แพ้กัน แม้ว่า Fast Times at Ridgemont High อาจจะไม่ใช่อัลบั้มที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบไปหมด แต่มันก็ถือได้ว่าเป็นไฮไลท์ของชีวิตนักดนตรีของพวกเขาเหมือนกัน และก็เป็นหนึ่งในอัลบั้มยอดเยี่ยมของปีนี้แน่นอนครับ

image

Coldplay – Viva La Vida or Death And All His Friends

Technorati Tags: ,,

บางคนอาจจะสงสัยว่า อ้าว เขียนถึงไปแล้วนี่นา แต่ที่ต้องขอเอาอัลบั้มนี้มาเขียนถึงอีกรอบ เพราะว่าหลังจากที่มันถูกวางขายในบ้านเราในแบบแผ่นนำเข้าในช่วงแรก ตอนนี้ ค่าย Warner ไทย ก็ได้ลิขสิทธิ์ของศิลปินที่สังกัดในค่าย Emi บ้านเรา ซึ่งพึ่งปิดตัวลงไปเมื่อปีที่แล้ว ดังนั้น จากนี้ไป ใครที่รออัลบั้มอะไรอยู่ ก็น่าจะถูกทยอยออกมาวางขายแล้วครับ และอัลบั้มชุดที่ 4 ของ Coldplay ก็เช่นเดียวกันครับ ต้องขอบคุณ Warner จริงๆที่ทยอยส่งแผ่นมาถึงที่ทำงานตลอดเลย อีกสาเหตุหนึ่งที่ต้องเอาอัลบั้มนี้มาเขียนถึง ก็เพราะความยอดเยี่ยมของมันที่ทำให้รู้สึกว่าครั้งที่แล้วยังระบายออกไม่พอครับ

ในยุคที่ผู้คนแห่กันดาวน์โหลดเพลงผ่านอินเตอร์เน็ตกันเป็นล่ำเป็นสัน อัลบั้มใหม่ของ Coldplay กับทำยอดขายเปิดตัวได้อย่างงดงามจนน่าตกใจ พิสูจน์ได้ว่า พวกเขาคือตัวจริง เสียงจริงของวงการ และยังพิสูจน์ให้เห็นว่า พวกเขาไม่ใช่วงที่ทำได้แค่ครวญเพลงแบบซึมๆเศร้าๆ Mellow ในสามอัลบั้มที่ผ่านมาแบบที่หลายคนปรามาสไว้ แต่เมื่อพวกเขาต้องการทำดนตรีที่อลังการขนาดสนามเวมบลีย์สามสนามยังจุไม่พอ พวกเขาก็ทำได้สบายๆ แค่การเลือก Brian Eno มาร่วมงานด้วย ก็แสดงอย่างชัดเจนแล้วว่าพวกเขาต้องการที่จะเป็นวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกตามรุ่นพี่ๆที่ Eno เคยโปรดิวซ์มาอย่าง U2 และพวกเขาก็ได้ตามที่ต้องการเมื่อง Viva La Vida ส่งให้พวกเขากลายเป็นวงที่ครองโลกไปใน

ทันที ทุกๆเพลงในอัลบั้มชุดนี้เปี่ยมไปด้วยพลัง ความสดใหม่ ความทะเยอทะยาน และความอลังการ จนถ้าหากต้องเขียนบรรยายทั้งหมด คงทำให้บรรยากาศโลกร้อนขึ้นอีกเยอะ เพราะคงต้องใช้ต้นไม้จำนวนมหาศาลเพื่อมาทำกระดาษให้พอเขียนบรรยายความยอดเยี่ยมทั้งหมดของมัน อัลบั้มนี้ยอดเยี่ยมตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้ายครับ แต่แค่กดไปหาเพลง Viva La Vida ที่เป็นซิงเกิ้ลที่สอง ก็ทำให้ผมขนลุกทุกครั้งที่ได้ยิน เพราะความสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติของมัน เป็นบทเพลงที่เหมือนการลั่นกลองศึกเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่สงครามครูเสด มันทั้งยอดเยี่ยมและน่าสนใจค้นหาความหมายที่อยู่หลังเนื้อเพลงว่ามันกำลังกล่าวถึงใครกันแน่ ยิ่งช่วงนี้ผมกำลังติดหนังสือที่เกี่ยวกับสงครามครูเสดทำให้ยิ่งอินกับเนื้อหาเข้าไปใหญ่ครับ เอาเข้าจริงๆแล้ว ทุกเพลงในอัลบั้มนี้ยอดเยี่ยมพอที่จะถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลได้ทั้งหมดเลย นอกจากเนื้อเพลงที่วนเวียนอยู่กับ ความรัก สงคราม และสันติภาพซึ่งเป็นสิ่งที่วนเวียนอยู่ในประวิติศาสตร์ของมวลมนุษย์แล้ว ภาคดนตรีที่ประโคมด้วยเครื่องสายทั้งหลายก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน สรุปได้ง่ายๆว่า ยอดเยี่ยมเกินคุ้มครับ

image 1_resize

Saturday, October 11, 2008

Asian Dub Foundation: รากแห่งวัฒนธรรมเอเชีย

Technorati Tags: ,

ในยุคที่โลกกำลังแปรเปลี่ยนไปสู่แนวระนาบตามความรวดเร็วของการติดต่อสื่อสาร ขอบเขตของดินแดนทางกายภาพของแต่ละประเทศกำลังลดความสำคัญลงเรื่อยๆ และวัฒนธรรมต่างๆก็ได้เริ่มผสมผสานกันหรือถูกกลืนกิน ทำให้ชนชายขอบต้องแสดงความเป็นตัวตน และ “ราก” ของตนเองออกให้ชัดเจนผ่านหลากหลายหนทาง ซึ่งดนตรีก็เป็นหนึ่งในนั้น และวงที่ใช้รากวัฒนธรรมของตนเองเข้ามาผสมกับดนตรีสมัยใหม่ได้อย่างเหนือชั้นคือ Asian Dub FoundationADF

ADF เกิดขึ้นจากรายการสารคดีที่ถ่ายทำเกี่ยวกับการสอนดนตรีสมัยให ม่ให้กับเด็กเชื้อสายอินเดียในประเทศอังกฤษในปี 1993 ซึ่งต่อมา อาจารย์ประจำโครงการ มือเบส และตับลา (Tabla) อนิรุธ ดาซ จับมือกับ แรปเปอร์หนุ่มวัยทีนจากเบงกอล Deeder Zaman และนักเคลื่อนไหวทางสังคม จอห์น บัณฑิต ตั้งวงดนตรีขึ้นมาและเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น Dr. Das, Master D และ Pandit G (บัณฑิต G) ตามลำดับ โดยเรียกพวกตนเองว่า Asian Dub Foundation

เพื่อเพิ่มความหลากหลายของดนตรี พวกเขาได้ดึงเอา Chandrasonic (จันทราโซนิค) มือกีตาร์ที่ใช้เทคนิคการเล่นให้เสียงออกมาเหมือนซิตาร์ของอินเดีย พวกเขาเริ่มสร้างงานดนตรีโดยได้แรงบันดาลใจจากแผ่นเสียงอินเดียเก่าๆของพ่อแม่ การเล่นเบสแบบตับลา ดนตรีแรกก้า (Ragga) จังเกิ้ล (Jungle) บวกเข้ากับเนื้อหาที่เป็นพังค์ที่วิจารณ์สังคมอย่างเฉียบคมที่พรั่งพรูออกมาในสไตล์ฮิปฮอปอันรวดเร็วปานสายฟ้า และเมื่อบวก Sun-J เข้ามาเป็นดีเจ พวกเขาก็พร้อมออกรบแล้ว

ช่วงเวลาที่พวกเขาเริ่มผลิตผลงานเพลงออกมา คือช่วงที่เริ่มมีกระแสต่อต้านชาวเอเชียในอังกฤษที่รุนแรงขึ้นจากการสร้างกระแสของกลุ่มคลั่งชาติ ทำให้แรงปฏิกิริยาจากฝ่ายชาวเอเชียกลายเป็นแรงผลักดันให้กระแสดนตรีเอเชียพุ่งแรงขึ้นมาในตอนนั้น AsianDubFoundation

พวกเขาเริ่มออกผลงานในระดับอินดี้ในช่วงแรก แต่ไม่ได้รับการเหลียวมองมากนัก แต่เมื่ออัลบั้มที่สาม Rafi’s Revenge วางขายในปี 1998 นอกจากความยอดเยี่ยมของดนตรีที่แหวกแนวออกมาตามที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ความมันสะใจในการเล่นสดที่ไม่มียั้ง กับแรงหนุนจากศิลปินรุ่นพี่อย่าง Primal Scream ทำให้พวกเขาได้รับความนิยมขึ้นมา บทเพลงต่างในอัลบั้มคือการระเบิดของพลังความกราดเกรี้ยวของวัยรุ่นที่พวกเขาแสดงมันผ่านดนตรีร่วมสมัยที่ผสมกับดนตรีรากวัฒนธรรมของพวกเขา โดยมีเนื้อหาที่เข้มข้นเกี่ยวกับการเรียกร้องความเป็นธรรมและปัญหาสังคม รวมไปถึงนโยบายการเมืองระหว่างประเทศอีกด้วย เพลง Free Satpal Ram คือการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวเอเชียที่ได้รับการพิพากษาที่ไม่เป็นธรรมบนจังหวะที่เร้าใจจนน่าเอามาเป็นเพลงประกอบ James Bond ฉบับ Ballywood ส่วน Charge ก็ให้ความรู้สึกของการตกลงไปกลางสนามรบ Black White ก็เฉียบคมไม่แพ้กัน พวกเขาได้สร้างดนตรีในแบบของเขาซึ่งได้ตอบแทนพวกเขาด้วย ที่ยืน ในวงการดนตรีอย่างงดงามในฐานะตัวแทนชาวเอเชียในเมืองผู้ดี แฟนเพลงของพวกเขาไม่ได้มีแค่นักฟังเพลง แต่ยังรวมไปถึงผู้ติดตามกิจกรรมเพื่อสังคมของพวกเขาอีกด้วย

อัลบั้มถัดมา Community Music (2000) ด้วยภาคดนตรีที่แน่นขึ้นไปอีก บวกกับเนื้อหาเพลงที่ยังคงสะใจเหมือนเดิมอย่าง Real Great Britain หรือRebel Warrior ที่แสนเข้มข้น หรือเพลงติดหูอย่าง New Way New Life ทำให้พวกเขากลายเป็นวงดังคับเกาะอังกฤษจนข้ามไปดังถึงฝั่งอเมริกาและญี่ปุ่นได้อีก นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังจัดตั้ง ADF Education เป็นองกรเอกชนเพื่อสอนดนตรีให้กับวัยรุ่นในลอนดอนอีกด้วย ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนสมาชิกวงอยู่บ่อยๆ แต่ผลงานที่ออกมาก็ไม่ได้เสียคุณภาพเลย โดยยังมี Pandit-G ทำหน้าที่หัวหอกสร้างสรรค์ดนตรี และทำกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ asian_dub_sat_1_470x350

พวกเขาออกผลงาน Enemy of the Enemy ในปี 2003 และกลายเป็นงานที่ขายดีที่สุดของพวกเขา Fortress Europe คือเพลงประท้วงที่ดุเดือดเหมือนปืนกลที่ยิงใส่นโยบายคนอพยพของยุโรป และ 1000 Mirrors คือเพลงDub หนักที่ได้ Sinead O’Connor มาร้องเกี่ยวกับสตรีที่ถูกจำคุกตลอดชีวิตเพราะฆ่าผัวที่ทุบตีเธอ นอกไปจากนี้ งานในช่วงหลังอย่าง Son of a Bush หรือ Oil ก็วิจารณ์ ประเทศอเมริกาและนโยบายสงครามเพื่อการค้าได้อย่างเจ็บแสบ ทำให้พวกเขากลายเป็นกลุ่มนักเคลื่อนไหวทางดนตรีที่ไม่เคยเหนื่อยกับการพัฒนาสังคมเลย จน Pandit –G ได้รับเครื่องราชฯชั้น MBE แต่เขาไม่รับเพราะว่าไม่คิดว่าการให้รางวัลเขาคนเดียวจะช่วยสังคมได้

ถ้าเทียบกับบ้านเราที่เห็นศิลปินหลายๆรายอยากจะเป็นต่างชาติกันเหลือเกินด้วยการแสดงออกทางการแต่งตัว และดนตรีที่ไปเอาของเขามาใส่เนื้อหาไทยที่เบาหวิว วนเวียนไม่พ้นจากการกินเหล้าเอาหญิงทำตัวกร่าง ไร้แก่นสารไปวันๆ จนลืมรากของตัวเองไปสนิทใจ คิดว่าตัวเองเป็นพี่มืดไปซะแล้ว พอหันไปมอง Asian Dub Foundation ที่ภูมิใจกับ “ราก” ของพวกเขาแล้วก็ได้แต่อิจฉา และชื่นชมพวกเขาเท่านั้นแหละครับ

The Coral: Liverpool ไม่ได้มีดีแค่ทีมบอล

Technorati Tags: ,

Liverpool คือหนึ่งในเมืองใหญ่ในประเทศอังกฤษ ที่ชาวไทยเรามักจะคุ้นเคยกันดีกับทีมหงส์แดงที่โด่งดังในบ้านเรา จนเมื่อพูดถึงลิเวอร์พูล เราจะนึกกันถึงทีมบอลมากกว่าจะนึกถึงเมือง แต่ว่า จริงๆแล้ว เมืองๆนี้ก็เป็นแหล่งสร้างสรรค์วงดนตรีต่างๆ ออกมาประดับวงการเช่นกัน โดยมี The Beatles เป็นวงที่สร้างชื่อเสียงให้กับเมืองนี้ และก็แตกเถาเหล่ากอมาเป็นวงรุ่นหลังอีกหลายวง และอีกวงหนึ่งที่สร้างความเป็นเอกลักษณ์ทางดนตรีให้กับเมืองๆนี้ในยุค 2000 ก็คือ The Coral

The Coral

The Coral คือการรวมตัวของเด็กหนุ่มหกคนจากละแวกรอบนอกของลิเวอร์พูลในช่วงมัธยมโดยมี James Skelly (ร้องนำ) เป็นแกนนำของวง และสมาชิกอื่นๆคือ มือกีตาร์อัจฉริยะ Bill Ryder-Jones กับ Lee Southall ออร์แกน Nick Power เบส Paul Duffy และมือกลอง Ian Skelly น้องชายของ James พวกเขาเติบโตมาด้วยกันและใช้เวลาไปกับการดูหนัง ฟังเพลง เล่นกีตาร์ตามบ้านของแต่ละคน ทำให้พวกเขากลายเป็นวงที่สายสัมพันธ์แน่นที่สุดในลิเวอร์พูลเลยทีเดียว ขณะที่พวกเขาต้องเริ่มแยกย้ายกันไปเรียนต่อหรือทำงาน พวกเขาเลือกที่จะทิ้งทุกอย่าง แล้วกลับมารวมตัวกันเล่นดนตรีเหมือนเดิม

พวกเขาสานต่อเพลงที่พวกเขาแต่งไว้ ดนตรีของ The Coral นั้นผสมดนตรีหลากแนวเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งสวนประกอบหลักคือดนตรีลูกทุ่งแบบอังกฤษผสานเข้ากับบรรยากาศหลอนๆแบบดนตรีไซคีเดลิค เหยาะดนตรีโมเดอร์นร๊อคเข้าไป เอาไปผ่านควันกัญชาอีกหน่อยจนกลายเป็นดนตรีในแบบเฉพาะตัวของพวกเขาไป และเส้นทางที่เขาเลิกเดินก็เป็นทางเลือกที่ถูกต้องเมื่อพวกเขาไปเตะตาของแมวมองเข้า จนถูกดึงเข้าสังกัด Deltasonic ในเวลาอันรวดเร็ว แล้วก็ได้รับสัญญาอัดแผ่นจาก Sony ในเวลาไม่นานหลังจากที่พวกเขาออก EP มาสามแผ่น

พวกเขากลายเป็นวงหน้าใหม่มาแรงในช่วงปี 2001 ทันที เพราะนอกจากความแปลกใหม่ของแนวดนตรีของพวกเขาแล้ว พวกเขายังเป็นวงแรกๆทำให้ดนตรีกีตาร์ของอังกฤษกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง หลังจากขาดแคลนวงหน้าใหม่ดีๆมานาน และก็โดนบุกอย่างหนักจากการกลับมาของการาจทางฝั่งอเมริกา หน้าที่การกอบกู้ศักดิ์ศรีของดนตรีอังกฤษจึงเป็นของพวกเขาและเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง the Libertines The Coral Live

และเมื่ออัลบั้มเต็ม The Coral ออกวางขายในปี 2002 พวกเขาก็ดังไปทั่วเกาะอังกฤษเมื่อมันทะยานเข้าชาร์ตได้อย่างงดงาม เป็นเพราะความสดใหม่ในตัวเพลง และอารมณ์แบบอังกฤษแท้ๆ พวกเขาสรรหาเครื่องดนตรีเก่าๆ ประหลาดๆมาใส่ในดนตรี ทำให้มันได้เสียงอันแหวกแนว บวกกับการร้องแบบสำเนียงถิ่น ทำให้คนอังกฤษได้ยืดกันเต็มที่ เพลงเด่นๆในอัลบั้มอย่าง Dreaming of You ก็เป็นเพลงที่ยังยอดเยี่ยมแลเปี่ยมไปด้วยพลังเสมอเมื่อเราฟังมัน Shadow Fall ก็สร้างบรรยากาศหลอนๆได้เป็นอย่างดี Wildfire ก็เต็มไปด้วยความลึกลับน่าค้นหา ในขณะที่ Simon Diamond ก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่มบ้านนอกเข้ากรุงได้เป็นอย่างดี The Coral คือหนึ่งในอัลบั้มเปิดตัวที่ยอดเยี่ยมและออริจินอลที่สุดเท่าที่เคยมีมา มันคือดนตรีในแบบที่ Jim Morrison จะทำถ้าหากเข้าเติบโตขึ้นมาในลิเวอร์พูลแทนฟลอริด้า

แม้จะต้องออกทัวร์อย่างหนัก แต่ด้วยไอเดียที่ล้นเหลือ ทำให้พวกเขาสามารถผลิตผลงานต่อมา Magic and Medicine ในปี 2003 ได้อย่างรวดเร็ว และมันก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงามเช่นกัน ซิงเกิ้ลอย่าง Pass In On ก็เหมือนกับการนั่งรถไปไปสู่ชนบทของอังกฤษ ส่วน Don’t Think You’re the First ก็เยี่ยมไม่แพ้กัน และ เพลง Leizah ก็เป็นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวจอมแสบได้อย่างน่าสนใจ หลังจากนี้ พวกเขายังมีแรงพอออกมินิอัลบั้ม Nightfreak and Sons of Becker มาได้อีก และตามด้วย Invisible Invasion ในปี 2005 ที่แน่นไปด้วยเพลงเจ๋งๆเช่นเคย Cripple Crown ก็สร้างบรรยากาศลึกลับเท่ๆได้อีก ส่วน In The Morning ก็เป็นเพลงติดหูในแบบของ the Beatles จริงๆ แต่การออกทัวร์อย่างหนักแบบไม่มีพักผ่อน ทำให้ทุกคนเหนื่อยจน Bill ขอออกจากวง พวกเขาเลยติดเบรก อัดกัญชา กลับไปเป็นเด็กหนุ่มอีกที ก่อนที่ Bill จะกลับมา และเริ่มทำงานเพลงด้วยอารมณ์ของมือใหม่อีกครั้ง และด้วยการช่วยเหลือจากแฟนเพลงอย่าง Noel Gallagher พวกเขาก็ได้อัลบั้ม Roots and Echoes ที่ นิ่ง และ ลึก ยิ่งกว่าเดิม แค่เพลง Who’s Gonna Find Me, Put the Sun Back และ Jacquline ก็คุมที่จะเสียเงินแล้วครับ

The Samurai Coral

แม้ The Coral อาจจะไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้าง แต่พวกเขาก็เป็นวงที่ให้แรงบันดาลใจกับรุ่นน้องอย่าง Arctic Monkeys และได้ทำให้ ซีน ดนตรีของเมืองลิเวอร์พูลกลับมาเท่อีกรอบโดยมีรุ่นน้องอย่าง The Zutons และ Dead 60’ ตามมาติดๆ และพวกเขายังเป็นวงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันโดยเฉพาะกับการถ่ายรูปโปรโมทที่มักจะมีไอเดียฮาๆเสมอ จนเป็นวงที่ให้ความรู้สึกเป็นกันเองจริงๆ เราได้แต่หวังว่า การออกจากวงอีกรอบของ Bill และการออกอัลบั้มรวมฮิตของพวกเขาในปีนี้จะไม่ใช่จุดจบอย่างน่าเสียดายของวงๆนี้

Friday, October 10, 2008

Long Stay in Chiang Mai

Technorati Tags: ,

เมื่อคืน ได้ดู รายการของทางช่องเก้า เกี่ยวกับการที่ชาวญี่ปุ่นสุงอายุ มาอาศัยอยู่ในเมืองไทยแบบลองสเตย์(ประเภทวีซ่าคนเกษียณอายุแล้ว) ทำให้รู้สึกดีที่ชาวญี่ปุ่น เลือกมาใช้ชีวิตบั้นปลายในเมืองไทยเพราะว่าเป็นประเทศที่น่าอยู่

ตอนนี้ ตัวเลขอย่างเป็นทางการของชาวญี่ปุ่นที่อยู่ที่เชียงใหม่ มีประมาณ 2,000 - 3,000 คน แต่จริงๆแล้ว ก็คงมีเยอะกว่านั้นแน่นอนครับ ผู้สูงอายุทั้งหลาย ส่วนใหญ่เลือกมาที่ไทย เพราะว่า ค่าครองชีพที่นี่ถูกกว่าที่ญี่ปุ่นมาก คนญี่ปุ่นที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ จะมีค่าใช้จ่ายราวๆ 50,000 -60,000 บาท ต่อเดือน แต่ถ้ายังอยู่ที่ญี่ปุ่น ก็จะตกอยู่ที่ ประมาณ 120,000 - 130,000 บาทต่อเดือน จะเห็นได้ว่า ถ้ายังอยู่ที่ญี่ปุ่น เงินบำนาญ ที่ได้รับจากทางการก็ไม่พออยู่แน่นอนครับ (ระบบบำนาญญี่ปุ่นไม่เหมือนไทยนะครับ ไม่ว่าจะทำงานราชการหรือเอกชน ทุกคนจะถูกหักเงินเข้าหลวง และได้รับคือเมื่อเกษียณอายุ) ดังนั้น หลายๆคนจึงเลือกที่จะย้ายไปอยู่ที่ประเทศอื่น ซึ่งนอกจากประเทศไทยแล้ว ก็ยังมีบราซิล หรือ ฮาวาย ที่มีคนเชื้อสายญี่ปุ่นอยู่เยอะเหมือนกัน แต่หลายๆคนก็บอกว่า ไทยดีที่สุด เพราะคนไทยปฏิบัติต่อคนต่างชาติดี

หลายๆคนก็ใช้เวลาว่างไปกับการเล่นกอลฟ์ บางคน ก็ตั้งชมรมถ่ายภาพ และมีกระทั่งชมรมผลิตเครื่องประดับ ซึ่งแต่ละปี จะมีการเอาออกมาขาย และมอบรายได้ให้กับมูลนิธิต่างๆต่อไป ก็ถือว่ามาทำประโยชน์ ด้านการใช้ชีวิตก็ไม่ลำบาก เพราะว่ามีร้านค้าต่างๆคอยรองรับอยู่แล้ว โรงพยาบาลก็มีบริการเป็นภาษาญี่ปุ่นเหมือนกัน เรียกได้ว่าอยู่ได้อย่างสบายใจเลยครับ ยิ่งบางคนเริ่มต้นเรียนภาษาไทยตามโรงเรียนต่างๆ ทำให้สามารถสื่อสารกับคนไทยได้ ยิ่งสบายกว่าเดิมเลย

น่าประทับใจนะครับ ที่เค้าเลือกที่่จะมาอยู่บ้านเรา และรักเมืองไทยของเรา ถ้าเค้ามาในฐานะแขกที่ดีแบบนี้ เราคนไทยเองก็ควรจะต้อนรับเขาในฐานะเจ้าบ้านที่ดีเช่นกันนะครับ

 

 

Thursday, October 9, 2008

チェンマイロングステー

Technorati Tags:
Technorati Tags: ,

今テレビ見ているけど。なんか、チェンマイでロングステーしている日本の老人たちについて。今は何千人もいるし。大体夫婦で来てる場合も多いけど、一人で来てる場合もそもそもある。こっちの生活は月5-6万バーツくらいかかるけど、日本にいたら、月12万バーツかかるから、タイがいいと言っている。まぁ、確かに二人の年金だったら問題ないね。

やはり日本人にとってバンコクよりチェンマイの方がいいよな。空気はだいぶ汚くなってきたらしいけど、バンコクと比べるとやっぱ全然平気だね。天気も涼しいし。タイ人(特に北部の人たち)もまだ優しいから、なんとか昔の日本の感じがするかな。みんな年金で生活送っているから、結構暇でいろんなことをしている。ゴルフをやってる人も多いけど、小物を作って、集まって売って、儲けたお金を寄付している。無駄な生活ではないな。欧米人のロングステーとは全く違うと思う。

上に書いてある通り、二人で来ている場合は多いから変な問題はあまりない。でも欧米人のロングステーは大体おっさん一人で来て、タイ人の女の人と結婚して、家を買うケースが多い。それで、外国人は土地持ってはいけないから(コンドミニアムは大丈夫だけど)、みんなは奥さんを戸主にしている。それが詐欺だね。お金がなくなったら他のタイの男の方に行って、欧米人の旦那はもう意味ない。結局負け犬として自分の国に戻る。それはまだいいかも。奥さん喧嘩して殺されるイギリス人もいたし。

なんか、日本人のロングステーを書こうとしてたけど、なんか、欧米人のケースになっちゃったな。まいいか。今日はこれで。

Wednesday, October 8, 2008

World's Mystery

img005
Technorati Tags: ,

หลังจากที่หันความสนใจจากหนังสือประเภทเรื่องลี้ลับ ปริศนาต่างๆมานาน พอได้มาอ่านหนังสือประเภทนี้อีกที มันก็เป็นความบันเทิงที่สนุกดีเหมือนกัน สามารถย่อยสลายได้ในเวลาไม่นาน และยังปลุกความสนใจเก่าของเราได้เสมอๆ เรายังคิดเสมอว่า ตกลง มันมีทวีปแอตแลนติสมั้ย ทวีปมูอยู่ไหน คนในอดีตมีเทคโนโลยีก้าวหน้าแค่ไหน แค่คิด ก็สนุกแล้ว ยิ่งมาดูสารคดีใน NGC หรือ Discovery Channel ยิ่งทำให้ได้ข้อมูลใหม่ๆ น่าสนใจอยู่เรื่อยๆ บางทีอาจจะฟังดูเหมือนแค่เรื่องเพ้อฝัน ไม่มีสาระ แต่ถ้ามานึกดู หลายสิ่ที่เราคิดว่าไม่เป็นจริง มันก็ดันมีขึ้นมาได้ ของแบบนี้ ใครจะรู้ครับ มนุษย์เรามีอะไรเหนือกว่าที่ตัวเราเองคิดไว้อีกตั้งเยอะนะครับ

Sunday, October 5, 2008

ดู ดู๊ ดู ดูมันทำ

เมื่อวานนี้ หลังจากเลิกงานก็พอจะหาเวลาได้ เลยไปกินข้าวเที่ยงกับไอ้โอ๋ที่เซนทรัลเวิร์ดตามประสา พอซัดซูชิกันไปเต็มคราบ มันก็ชวนดูหนัง ไอ้เราก็อยากแก้เซ็งอยู่แล้ว ก็เลยเดินไปที่โรงหนัง สุดท้ายตกลงดูโซฮาน หนังไร้สาระคลายเครียด ที่แอบมีมุขคมๆเหมือนกัน (สายด่วน ฮิสบอลเลาะห์) แต่ที่ต้องเอามาเขียนวีันนี้ึืคือ ตามคอนเซปต์ของ SF ที่ต้องแจก แผ่นแมกเน็ตติดตู้เย็น เท่าที่เค้ามีให้เราเลือกมา ก็เห็นว่าโดราเอมอนน่าสนใจสุด เลยเลิอกมา ทีแรกก็มาพร้อมที่ใส่แบบน่ารักดีแบบนี้ครับ

 

img003-1  ดุสวยดี ไม่แปลกอะไร

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แล้วเปิดมาข้างใน ก็มี แผ่นแม่เหล็กอยู่แบบนี้ มีโฆษณาแฝงเล็กๆ พองาม

img004

แต่พอพลิกด้านหลังเท่านั้นแหละครับ

img003

ไม่ทราบว่าพี่ท่านคิดกันยังไ เล่นเอา SAW V มาลงแผ่นเดียวกันกับโดราเอมอน ขนาดเราเป็นผู้ใหญ่ เห็นแม่งยังกลัวเลย แล้วเด็กล่ะครับ ไม่หลอนไปยาวเลยเหรอ เล่นเอาลุงใส่หน้ากากหนังคนมาแปะคู่กันกับโดราเอมอนแบบนี้ ถ้าผมมีลูกนี้ คงไม่กล้าเอาให้เด็กมันดูหรอกครับ สยองเกิน คิดหน่อยแล้วกันครับเพ่ ครั้งหน้าคงไม่มี โปเกมอน อยู่แผ่นเดียวกับหนังขายเซ็กส์นะ

Teenage Kicks: ฤดูร้อนกับความหลัง

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมเยียน เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น เมืองซึ่งผมถือเป็นบ้านหลังที่สองด้วยความผูกพันจากการได้อาศัยพึ่งพิงเมืองๆนี้เป็นเวลาเกือบสี่ปี และสิ่งหนึ่งที่ผมทำเสมอเมื่อต้องเดินทางคือ เตรียมยัดเพลงต่างๆลงไปใน iPod คู่ใจ และอีกอย่างที่ผมชอบทำคือมักจะไรท์แผ่นรวมเพลงที่จะเอาไปเปิดในรถคนอื่นแก้เซ็งอีกด้วย (นิสัยเสียที่ไม่ควรเอาอย่าง โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่รถแฟน พี่น้อง หรือเพื่อนสนิท) และด้วยเหตุที่ว่าญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงหน้าร้อน ทำให้ผมเลือกเอาเพลง Teenage Kicks ของวง The Undertones ใส่ลงไป

และเมื่อ Teenage Kicks กังวานขึ้นมาในรถของคนรู้ใจท่ามกลางค่ำคืนฤดูร้อนของญี่ปุ่น น้ำตาก็คลออยู่ที่เบ้าตาของผมทันทีหลังจากเพลงๆนี้จบลง อาจจะสรุปได้ง่ายๆว่า เพราะความสมบูรณ์แบบของมัน ทำให้เราไม่อาจหยุดความตื้นตันที่มีเพลงที่งดงามขนาดนี้จุติลงมาบนโลก และอีกเหตุผลหนึ่ง น่าจะเป็นการที่เพลงๆนี้มีบรรยากาศของฤดูร้อนอบอวลแน่นอยู่ในเพลง บวกกับเนื้อเพลงที่บอกกล่าวถึงความกลัดกลุ้มใจของวัยรุ่นได้ภาษาง่ายๆแต่กินใจที่สุด ซึ่งใครที่เคยใช้ชีวิตวัยรุ่นมา คงจะโยงใยมันเข้ากับประสบการณ์ของตัวเองได้อย่างง่ายดาย และความสำเร็จของเพลงนี้นอกจากจะต้องยกความดีความชอบให้กับวงที่ผลิตมันออกมาแล้ว ยังต้องขอบคุณดีเจอีกรายหนึ่งด้วย

Teenage Kicks คือเพลงที่ดังที่สุดของวงพังค์ร๊อควงจากไอร์แลนด์เหนือที่ชื่อ The Undertones มันถูกออกวางขายในปี 1978 ผ่านตราแผ่นเสียง Good Vibrations ซึ่งในตอนแรก Terri Hooley เจ้าของ Good Vibrations ตะเวนแบกมันไปขายให้กับตราแผ่นเสียงที่ใหญ่กว่าในลอนดอน แต่เขาก็ถูกเมินจากทุกคน ทั้งๆที่เขาคิดว่ามันดีพอที่จะทำให้ทุกคนรักมันได้ สุดท้ายเขาก็ต้องหอบมันกลับไปที่เบลฟาสต์และร้องไห้กับตัวเองThe Undertones

John Peel       แต่ว่า โชคก็เข้าข้างเขา เมื่อดีเจคนหนึ่งที่ได้รับแผ่นเสียงเพลงนี้ ซึ่งเป็นแผ่นเดียวที่ Terry แจกให้สื่อ เปิด Teenage Kicks ในคืนนั้น และเมื่อจบเพลง เขากล่าวว่า “มันน่าจะเป็นเพลงยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่คุณเคยได้ยินไม่ใช่เหรอ” กับผู้ฟัง และเปิดมันอีกรอบทันที ซึ่งเป็นการแหวกธรรมเนียมของดีเจจริงๆ และก็เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนตลอดชีวิตการทำงานของเขา และTeenage Kicks คงไม่เป็นที่น่าสนใจมากนัก ถ้าหากว่าดีเจคนนั้นไม่ได้มีชื่อว่า John Peel ซึ่งเป็นดีเจที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการเพลงของอังกฤษ เป็นชายที่หลงใหล และรักดนตรีจากก้นบึ้งหัวใจ และเป็นที่ยอมรับของทุกคนในวงการเพลง สำหรับ The Undertonesแล้วเรียกได้ว่า ถ้าสวรรค์มีตา ชายที่ชื่อ John Peel ก็มีหูเช่นกัน และหูนั้นก็พาพวกเขาไปสู่ความสำเร็จในวงการอินดี้ แม่ว่ามันจะสามารถตะกายขึ้นชาร์ตเพลงอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ที่อันดับ 31 เท่านั้น แต่ด้วยการหนุนหลังของ John Peel ทำให้ The Undertones เปลี่ยนจากวงที่เคยโดนถ่มน้ำลายใส่กลายเป็นวงที่เป็นที่รักของวัยรุ่น

ไม่แปลกอะไรที่ John Peel จะตกหลุมรัก Teenage Kicks อย่างมาก อย่างที่ผมบอกไปข้างต้นว่ามันยอดเยี่ยมทั้งเนื้อหาและอารมณ์ของเพลง เนื้อเพลงที่ Feargal Sharkey ร้องซ้ำไปมาอย่าง

Are teenage dreams so hard to beatVinyl Cover
Every time she walks down the street
Another girl in the neighbourhood
Wish she was mine, she looks so good

I wanna hold her wanna hold her tight
Get teenage kicks right through the night

I'm gonna call her on the telephone
Have her over cos I'm all alone
I need excitement oh I need it bad
And it’s the best, I've ever had

I wanna hold her wanna hold her tight
Get teenage kicks right through the night

บ่งบอกถึงความรู้สึกของวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยแรงขับดันจากภายในร่างกายที่เร่าร้อน ความห่าม ความเลือดร้อนที่ต้องการแสดงออก ความกลัดมันที่อยู่ในใจ ความว้าวุ่นใจต้องการที่จะหาใครซักคนมากอดไว้ในอ้อมอก

ลองมองย้อนกลับไป ไม่ว่าใครก็ต้องผ่านจุดๆนั้นมา แม้ตัวผมเองจะมารู้จักเพลงนี้เอาก็ตอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เนื้อเพลง และอารมณ์ของเพลง ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปที่ปิดเทอมหน้าร้อนเมื่อสมัยวัยรุ่นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นความสนุกในการออกตระเวนราตรีกับเพื่อนสนิท การขับรถเล่นรับลม การขโมยตกปลา เล่นกีฬายันค่ำ ดูบอลยันสว่าง การนั่งดูดาว และที่สำคัญคือความว้าวุ่นใจในเรื่องเพศตรงข้าม เรื่องแบบนี้ใครๆก็ต้องเคยผ่านมาทั้งนั้น และ Teenage Kicks ก็จับเอาอารมณ์ในช่วงที่เจิดจรัสที่สุดของชีวิตเราได้ออกมาอย่างยอดเยี่ยม จนทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ภาพในอดีตของเราก็มักจะถูกฉายย้อนกลับไปมาในสมองของเราเหมือนฟิล์มหนังเก่าๆที่ทำให้เรามีความสุขทุกครั้งที่นั่งดูมัน

John Peel หลงรักเพลงๆนี้มากถึงขนาดยกให้มันเป็นเพลงที่ดีที่สุดในชีวิต ทั้งๆที่เขาน่าจะมีแผ่นเสียงเยอะที่สุดในเกาะอังกฤษ แต่ทุกครั้งที่เขาต้องการฟังเพลงที่ดีที่สุด เขาก็หันไปหาแผ่นเสียงปกสีเหลืองมัสตาร์ดแผ่นนี้บนชั้นวางเสมอ เมื่อเมื่อเขาจากโลกนี้ไป แน่นอน เพลงที่เปิดในงานศพของเขาก็คือ Teenage Kicks พร้อมทั้งสลักป้ายหลุมศพว่า Teenage Dreams, So Hard To Beat

Teenage Kicks คือเพชรเม็ดงามของวงการเพลงที่สร้างความสุขให้กับเราทุกครั้งที่ได้ฟังด้วยการนำเราไปสู่อดีต แต่สำหรับปัจจุบันแล้ว สิ่งที่เราควรทำคือ ปาดน้ำตาแล้ว หันไปบอกคนข้างๆเราว่า I wanna hold you I wanna hold you tight พร้อมทั้งทำอย่างที่พูดเถอะครับ

Saturday, October 4, 2008

We Are The Physics

Technorati Tags: ,,

ชื่อวงสุดกวนจากสกอตแลนด์วงนี้ย่อมาจากชื่อเต็มว่า We Are the Physics Club and Therefore Everything We Say Is Fact (ตูอยู่ชมรมฟิสิกส์ ดังนั้น ตูพูดแต่ข้อเท็จจริง) พวกเขาดูเหมือนกับเด็กฟิสิกส์โอลิมปิกมากกว่านักดนตรี และดนตรีที่พวกเขาทำออกมาคือ เพลงพังค์ผสมผสาน ดนตรีนิวเวฟ และคณิตศาสตร์ลงไปในตัวเพลง ตามรอยวงรุ่นพี่อย่าง Devo หรือ Polysics จากญี่ปุ่น อัลบั้ม We Are The Physics Are Ok At Music เต็มไปด้วยเสียงกีตาร์รกหู จังหวะแปลกๆเพี้ยนแบบที่เจ้าหุ่นยนต์ในเรื่อง Short Circuit จะทำ และเสียงตะโกนโหวกเหวกเหมือนนักวิทยาศาสตร์จิตหลุด แนะนำให้ลองฟัง Less Than Three, In the Graveyards, Networking และ You Can Do Athletics, BTW รับรองว่าสนุกสำหรับคนชอบของแปลกแน่ๆครับ

We Are The Physics

Black Kids

Technorati Tags: ,,

วงดนตรีชื่อเสี่ยงปัญหาเหยียดสีผิวกลายเป็นวงที่ทำดนตรีที่เหมาะกับการปาร์ตี้ที่สุดในปีนี้ พวกเขาคือวัยรุ่น 5 คนที่ฟอร์มวงขึ้นในเมือง Jacksonville นำทีมโดยพ่อหนุ่ม Reggie Youngblood พวกเขาสร้างชื่อจากการแสดงสดใน Georgia จนกลายเป็นวงหน้าใหม่มาแรงแซงโค้ง ขึ้นปกนิตยสารหลายเล่ม พวกเขาข้ามฟากไปที่เกาะอังกฤษ ไปอัดเสียงกับโปรดิวเซอร์ไฟแรง Bernard Butler และสร้างชื่อเสียงด้วยการเล่นสดที่เทศกาล Glastonbury แม้ดูจากภาพลักษณ์ของพวกเขา พวกเขาน่าจะเป็นเด็กเนิร์ดที่เวลาพักเที่ยงจะนั่งเก็บกดเล่น D&D อยู่ในห้องเรียน แต่กลับกลายเป็นว่า ดนตรีของพวกเขาสามารถสะท้อนความสนุกสนานของงานปาร์ตี้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ซิงเกิ้ลแรก I'm Not Gonna Teach Your Boyfriend How To Dance With You ก็เริ่มต้นได้อย่างสนุกสนานจากเสียงกีตาร์ที่สับไปมาพ่วงมาได้เสียงคีย์บอร์ดใสๆ และการนับ 1-2-3 ก่อนเข้าช่วงคอรัสที่เป็นไม้ตายของเพลงป๊อปเล่นเอาเรารู้สึกเหมือนโดนหมัดฮุคเข้าไปจนทำอะไรไม่ถูก แม้มันจะไม่เป็นป๊อปมหัศจรรย์เท่ากับ Move Your Feet ของ Junior Senior แต่มันกสนุกจนทำให้เราเต้นจนลืมวัยไปได้ ส่วนซิงเกิลต่อมา Hurricane Jane ก็ขึ้นต้นได้อย่างเท่เหมือนกับการเดินหลงแสงสีในกินซ่าตอนตีหนึ่ง มันคือดิสโก้ป๊อปแสนสนุกที่ควรมีติดรถไว้ให้เพื่อนๆตะโกนแหกปากร้องตาม อัลบั้มเต็ม Partie Trauma ยังมีเพลงเจ๋งๆอย่าง I'm Making Eyes At You ที่เหมือนกับลูกนอกสมรสของ My Life Story กับ Psychedelic Fur อัลบั้ม Partie Trauma ของ Black Kids คือการพาเรานั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปยังยุค 80’ ที่แห่งดนตรีป๊อปสุดเจิดจรัส โดยติดเอาแผ่นเสียงของวงการาจของยุคนี้ตามไปด้วย สนุกกับพวกเขาในวันนี้โดยไม่ต้องไปสนวันข้างหน้าเถอะครับ

Black Kids

Glasvegas

,,Glasvegas

วงหน้าใหม่จากแดนขี้เมาชาวสก๊อต ที่นอกจากจะมีชื่อแสนเท่แล้ว ดนตรีของพวกเขายังทำให้เราต้องปากค้างด้วยความอลังการของมัน แม้จะพึ่งออกอัลบั้มแรกที่ชื่อเดียวกับวงในปีนี้หมาดๆ แต่พวกเขาก็รวมตัวกันมาตั้งแต่ปี 2000 แล้ว โดยทั้ง 3 หนุ่ม 1 สาว ได้ตะเวนออกเล่นสดไปตามคลับต่างๆทั่วสกอตแลนด์ จนไปเข้าตา (หู?) ของ Alan McGee บุรุษผู้ปลุกปั้นวงอย่าง Oasis ขึ้นมา และ Alan ก็กลายเป็นป๋าดันพวกเขาอย่างเต็มตัว แม้จะเป็นวงหน้าใหม่ แต่ดนตรีของพวกเขาแสดงถึงกลิ่นอายของดนตรีอเมริกันจากยุค 50’ และ 60’ ออกมาอย่างชัดเจนผ่านสำเนียงถิ่นของพวกเขา พวกเขาออกซิงเกิ้ลแรก Go Square Go ที่ค่อยๆเริ่มต้นอย่างเจียมตัวและค่อยๆไล่เรียงขึ้นไปอย่างยิ่งใหญ่ไม่ต่างไปจากอิฐก้อนเล็กๆที่ค่อยๆก่อกองกันขึ้นไปเป็นหอคอยบาเบลเลยทีเดียว และซิงเกิ้ลที่สอง Daddy’s Gone คือเพลงที่ซื่อตรงกับความรู้สึกที่สุด โดยเนื้อเพลงที่เกี่ยวกับชายที่ต้องการลบเลือนแผลในใจที่ถูกพ่อบังเกิดเกล้าทอดทิ้งนั้นไร้การเสริมแต่งอารมณ์น้ำเน่าใดๆทั้งปวง ในขณะที่ It's My Own Cheating Heart That Makes Me Cry ก็ทำให้เรานึกไปถึงงานเก่าๆของ Roy Orbison ที่แสนงดงาม ส่วน Geraldine ก็เหมือนกับ Manic Street Preachers ยุค Everything Must Go ความยอดเยี่ยมของศิลปินหลายๆรายอย่าง Prefab Sprout, Jesus and the Mary Chains, The Blue Nile หรือ Phil Specter ได้กังวานอยู่ทั่วทั้ง 41 นาทีของอัลบั้มชุดนี้ ไม่แปลกเลยที่มันขึ้นไปถึงอันดับที่ 2 ของชาร์ตอัลบั้มในอังกฤษ

The First Time for This One

ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เปิดตัว Blog ตัวนี้ซะที หลังจากติดขัดปัญหาสารพัดสารพัน แต่ในที่สุด ก็ได้เริ่มซะที จากนี้คงพยายามที่จะอัพให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกัน หลักๆคงเป็นงานเขียนเรื่องเพลง ส่วนเรื่องอื่น ก็แล้วแต่สะดวกตัวเอง เพราะขี้เกียจเกินทน แล้วค่อยว่ากันไปแล้วกัน

やっとブログ始められた。ずっといろんな問題でなかなか始められなかったけど、やっと。基本的に音楽の記事載せると思うけど、他の事も書くぞ。(記事はタイ語だし)今やりたいのはどうすればもっとかわいいフォントに変えられるんだろうな。俺XMLなんか全くわかんないし。頑張るぜ。

Finally this blog got its start. I wanted to start it earlier but due to many difficulties I got no chance to do it poperly. I basically would upload my music column here, but I will also write about other stuff too. I hwant to make it right, so I'll do my best.