การอยู่ในวงดนตรี บางทีมันก็ไม่ต่างอะไรกับความสัมพันธ์อื่นของคน เพราะมีทั้งช่วงหวานชื่น ช่วงขื่นขม การร้างลา และสำหรับวงดนตรีบางวง อาจจะมีการเลิกกัน และหันกลับมาจูบปากกันใหม่บ่อยกว่าวงอื่น และวงที่เป็นตัวอย่างของความสัมพันธ์แบบรักๆเลิกๆในวงการดนตรีที่ดีคือ The Verve นั่นเอง
The Verve ถือกำเนิดขึ้นในเมืองที่รักบี้ดังกว่าฟุตบอลอย่าง Wigan ประเทศอังกฤษ หนุ่มน้อย (ในตอนนั้น) ทั้งสี่คนคือ Richard Ashcroft (ริชาร์ด ร้องนำ) Nick McCabe (นิค กีตาร์) Simon Jones (ไซมอน เบส) และ Pete Salisbury (พีท กลอง) พบกันในมหาวิทยาลัย และมักใช้เวลาในการคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ชีวิตตัวเองต้องลงเอยด้วยการเป็น nobody และคำตอบที่ผุดขึ้นมาในสมองของพวกเขาคือ ตั้งวง (ดนตรี) สิวะ
กิจกรรมในฐานะนักดนตรีของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นในปี 1989 ซึ่งพวกเขาเริ่มสร้างสรรค์เพลงของตัวเองโดยได้รับอิทธิพลหลักๆจากดนตรี Shoegazing และ Space Rock และหลังจากออกเล่นสดได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มเป็นที่เลื่องลือกันแบบปากต่อปากจากความสามารถในการดึงคนดูได้อยู่หมัดด้วยดนตรีแนวทดลองหลุดโลกของพวกเขา
จากชื่อเสียงของพวกเขา ทำให้ค่ายเพลงหัวก้าวหน้าอย่าง Hut Records รีบตัดสินใจเซ็นสัญญากับพวกเขาทันที และพวกเขาก็ตอบแทนด้วยการทยอยออกซิงเกิ้ลเด็ด นั่นคือ All in Mind ที่มีอารมณ์ของเพลงเต้นรำอยู่ด้วย She’s Superstar ที่อบอวลไปด้วยเสียงกีตาร์หลอนประสาท และ Gravity Grave ที่เป็นเหมือนกับการเดินเข้าไปในสมองคนที่กำลังพี้ยาอยู่ ทั้งสามเพลงคือเพลงเด่นที่แม้แต่ทุกวันนี้พวกเขายังเอามาเล่นสดอยู่
จุดเด่นของพวกเขาคือ นอกจากภาคจังหวะที่แน่น และผสมความเป็นฟังค์และดนตรีเต้นรำลงไป เสียงกีตาร์ของอัจฉริยะวัยหนุ่มอย่าง Nick และเนื้อร้องหลุดโลกที่ถูกพ่นออกมาโดย Richard ทำให้พวกเขาโดดเด่นขึ้นมาทันที
พวกเขาได้โปรดิวเซอร์มือทองอย่าง John Leckie ช่วยควบคุมงานให้ และผลที่ออกมาคืออัลบั้ม A Storm in Heaven ในปี 1993 ที่แม้จะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่ว่ามันได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เป็นอย่างมาก แม้ 3 ซิงเกิ้ลแรกจะไม่ถูกรวมอยู่ในอัลบั้ม แต่ว่ามันก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันเลย โดยมีเพลงอย่าง Blue และ Slide Away เป็นตัวชูโรงจากความหลอนของมัน และ จากการแสดงสดที่ยอดเยี่ยม ทำให้ Richard ได้รับฉายาว่า Mad Richard ไปในทันใด แต่เงาของยาเสพติดและความขัดแย้งก็เริ่มฉายอยู่เหนือสมาชิกในวง
ในปี 1995 กระแส Brit Pop กำลังมาแรงมาก และพวกเขาก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยการหันจากดนตรีหลอนประสาทไปสู่เพลงที่ร๊อคมากขึ้นกว่าเดิม จนออกมาเป็นอัลบั้ม A Northern Soul ที่เกิดขึ้นบนความขัดแย้งระหว่าง Nick และ Richard แต่ดันกลับกลายเป็นอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมเอามากๆ มันเต็มไปด้วยเพลงที่ยอดเยี่ยมอย่าง This is Music ที่เป็นการประกาศอย่างองอาจ Brainstorm Interlude ที่เล่นเอาหัวเราแทบระเบิด และมันยังมีเพลงช้าสุดเพราะอย่าง On Your Own และ History ที่งามอย่างน่าเศร้าไม่ต่างกับการเขียนนิยายรักโดยใช้คนรักเก่าเป็นนางเอก พวกเขากำลังอยู่ในขาขึ้น แต่ก็ต้องแตกวงด้วยจากจากไปของ Nick เพราะปัญหาเรื่องไม่มีที่พอให้ ego ของเขาและ Richard พร้อมกัน แต่พวกเขาก็กลับมาร่วมวงกันโดยดึงเอา Simon Tong มาเล่นกีตาร์แทน
เมื่อเริ่มลุยงานได้ไม่นาน Nick ก็กลับมาคืนดี และพวกเขาก็สานสัมพันธ์กันด้วยการเล่นยาขนานหนัก (ไม่ควรเอาเป็นตัวอย่าง) และผลของมันคือ Urban Hymns ที่เป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จที่สุดของพวกเขา
ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม Bittersweet Symphony คือเพลงที่ดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลกด้วยความยอดเยี่ยมของมัน แม้ในทุกวันนี้เรายังได้ยินมันอยู่เรื่อยๆอย่างไม่ขาดสาย แต่คนที่ได้เงินคือ The Rolling Stones ฟ้องพวกเขาว่าเอาเพลง The Last Time มาทำใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต และชนะคดี นอนกินเงินศิลปินรุ่นน้องไป (รวยไม่พอรึไงวะ) แต่ Urban Hymns ก็ยังมีเพลงอื่นที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันอีกอย่าง Lucky Man หรือ The Drugs Don’t Work และเพลงช้าอื่นๆอีกมากมาย Urban Hymns ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม แม้จะโดนค่อนขอดจากแฟนเพลงดั้งเดิมว่ากลายเป็นตาแก่ร้องเพลงช้าๆธรรมดาไปแล้ว ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ได้สร้างชื่อให้กับตัวเองได้อย่างเกรียงไกร แต่พวกเขาก็ดันทะลึ่งแตกวงอีกในปี 1999 โดยไม่บอกสาเหตุ
หลังจากสมาชิกหันไปทำงานเพลงของตัวเองกัน แม้จะไม่ได้ประสบความสำเร็จมาก แต่ทุกคนก็อยู่ในวงการเพลงตลอด จน Richard กลับมาดังอีกครั้งจากการไปเล่นในงาน Live Eight จากการเชิญของ Coldplay ชื่นชมเขามาตลอดพวกเขาตัดสินใจกลับมาร่วมงานกันโดยไม่มี Simon Tong และแม้แจะมีความขัดแย้งอยู่ในวงเรื่อยๆ แต่พวกเขาก็ออกซิงเกิ้ลแรก Love is Noise ที่เป็นการกลับมาอย่างงดงามจริงๆ เพราะมันช่างยิ่งใหญ่และห้าวหาญราวกับพวกเขาเป็นเด็กหนุ่มอยู่เลย จนทำให้การกลับมาครั้งนี้น่าสนอย่างยิ่ง ยิ่ง Forth อัลบั้มเต็มชุดที่สี่ออกมาในปีนี้ ทำให้เราประทับใจกับมันอย่างมาก หวังว่า ครั้งนี้คงไม่แยกทางกันโดยกะทันหันอีกนะครับ
No comments:
Post a Comment