Saturday, October 11, 2008

The Coral: Liverpool ไม่ได้มีดีแค่ทีมบอล

Technorati Tags: ,

Liverpool คือหนึ่งในเมืองใหญ่ในประเทศอังกฤษ ที่ชาวไทยเรามักจะคุ้นเคยกันดีกับทีมหงส์แดงที่โด่งดังในบ้านเรา จนเมื่อพูดถึงลิเวอร์พูล เราจะนึกกันถึงทีมบอลมากกว่าจะนึกถึงเมือง แต่ว่า จริงๆแล้ว เมืองๆนี้ก็เป็นแหล่งสร้างสรรค์วงดนตรีต่างๆ ออกมาประดับวงการเช่นกัน โดยมี The Beatles เป็นวงที่สร้างชื่อเสียงให้กับเมืองนี้ และก็แตกเถาเหล่ากอมาเป็นวงรุ่นหลังอีกหลายวง และอีกวงหนึ่งที่สร้างความเป็นเอกลักษณ์ทางดนตรีให้กับเมืองๆนี้ในยุค 2000 ก็คือ The Coral

The Coral

The Coral คือการรวมตัวของเด็กหนุ่มหกคนจากละแวกรอบนอกของลิเวอร์พูลในช่วงมัธยมโดยมี James Skelly (ร้องนำ) เป็นแกนนำของวง และสมาชิกอื่นๆคือ มือกีตาร์อัจฉริยะ Bill Ryder-Jones กับ Lee Southall ออร์แกน Nick Power เบส Paul Duffy และมือกลอง Ian Skelly น้องชายของ James พวกเขาเติบโตมาด้วยกันและใช้เวลาไปกับการดูหนัง ฟังเพลง เล่นกีตาร์ตามบ้านของแต่ละคน ทำให้พวกเขากลายเป็นวงที่สายสัมพันธ์แน่นที่สุดในลิเวอร์พูลเลยทีเดียว ขณะที่พวกเขาต้องเริ่มแยกย้ายกันไปเรียนต่อหรือทำงาน พวกเขาเลือกที่จะทิ้งทุกอย่าง แล้วกลับมารวมตัวกันเล่นดนตรีเหมือนเดิม

พวกเขาสานต่อเพลงที่พวกเขาแต่งไว้ ดนตรีของ The Coral นั้นผสมดนตรีหลากแนวเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งสวนประกอบหลักคือดนตรีลูกทุ่งแบบอังกฤษผสานเข้ากับบรรยากาศหลอนๆแบบดนตรีไซคีเดลิค เหยาะดนตรีโมเดอร์นร๊อคเข้าไป เอาไปผ่านควันกัญชาอีกหน่อยจนกลายเป็นดนตรีในแบบเฉพาะตัวของพวกเขาไป และเส้นทางที่เขาเลิกเดินก็เป็นทางเลือกที่ถูกต้องเมื่อพวกเขาไปเตะตาของแมวมองเข้า จนถูกดึงเข้าสังกัด Deltasonic ในเวลาอันรวดเร็ว แล้วก็ได้รับสัญญาอัดแผ่นจาก Sony ในเวลาไม่นานหลังจากที่พวกเขาออก EP มาสามแผ่น

พวกเขากลายเป็นวงหน้าใหม่มาแรงในช่วงปี 2001 ทันที เพราะนอกจากความแปลกใหม่ของแนวดนตรีของพวกเขาแล้ว พวกเขายังเป็นวงแรกๆทำให้ดนตรีกีตาร์ของอังกฤษกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง หลังจากขาดแคลนวงหน้าใหม่ดีๆมานาน และก็โดนบุกอย่างหนักจากการกลับมาของการาจทางฝั่งอเมริกา หน้าที่การกอบกู้ศักดิ์ศรีของดนตรีอังกฤษจึงเป็นของพวกเขาและเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง the Libertines The Coral Live

และเมื่ออัลบั้มเต็ม The Coral ออกวางขายในปี 2002 พวกเขาก็ดังไปทั่วเกาะอังกฤษเมื่อมันทะยานเข้าชาร์ตได้อย่างงดงาม เป็นเพราะความสดใหม่ในตัวเพลง และอารมณ์แบบอังกฤษแท้ๆ พวกเขาสรรหาเครื่องดนตรีเก่าๆ ประหลาดๆมาใส่ในดนตรี ทำให้มันได้เสียงอันแหวกแนว บวกกับการร้องแบบสำเนียงถิ่น ทำให้คนอังกฤษได้ยืดกันเต็มที่ เพลงเด่นๆในอัลบั้มอย่าง Dreaming of You ก็เป็นเพลงที่ยังยอดเยี่ยมแลเปี่ยมไปด้วยพลังเสมอเมื่อเราฟังมัน Shadow Fall ก็สร้างบรรยากาศหลอนๆได้เป็นอย่างดี Wildfire ก็เต็มไปด้วยความลึกลับน่าค้นหา ในขณะที่ Simon Diamond ก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่มบ้านนอกเข้ากรุงได้เป็นอย่างดี The Coral คือหนึ่งในอัลบั้มเปิดตัวที่ยอดเยี่ยมและออริจินอลที่สุดเท่าที่เคยมีมา มันคือดนตรีในแบบที่ Jim Morrison จะทำถ้าหากเข้าเติบโตขึ้นมาในลิเวอร์พูลแทนฟลอริด้า

แม้จะต้องออกทัวร์อย่างหนัก แต่ด้วยไอเดียที่ล้นเหลือ ทำให้พวกเขาสามารถผลิตผลงานต่อมา Magic and Medicine ในปี 2003 ได้อย่างรวดเร็ว และมันก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงามเช่นกัน ซิงเกิ้ลอย่าง Pass In On ก็เหมือนกับการนั่งรถไปไปสู่ชนบทของอังกฤษ ส่วน Don’t Think You’re the First ก็เยี่ยมไม่แพ้กัน และ เพลง Leizah ก็เป็นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวจอมแสบได้อย่างน่าสนใจ หลังจากนี้ พวกเขายังมีแรงพอออกมินิอัลบั้ม Nightfreak and Sons of Becker มาได้อีก และตามด้วย Invisible Invasion ในปี 2005 ที่แน่นไปด้วยเพลงเจ๋งๆเช่นเคย Cripple Crown ก็สร้างบรรยากาศลึกลับเท่ๆได้อีก ส่วน In The Morning ก็เป็นเพลงติดหูในแบบของ the Beatles จริงๆ แต่การออกทัวร์อย่างหนักแบบไม่มีพักผ่อน ทำให้ทุกคนเหนื่อยจน Bill ขอออกจากวง พวกเขาเลยติดเบรก อัดกัญชา กลับไปเป็นเด็กหนุ่มอีกที ก่อนที่ Bill จะกลับมา และเริ่มทำงานเพลงด้วยอารมณ์ของมือใหม่อีกครั้ง และด้วยการช่วยเหลือจากแฟนเพลงอย่าง Noel Gallagher พวกเขาก็ได้อัลบั้ม Roots and Echoes ที่ นิ่ง และ ลึก ยิ่งกว่าเดิม แค่เพลง Who’s Gonna Find Me, Put the Sun Back และ Jacquline ก็คุมที่จะเสียเงินแล้วครับ

The Samurai Coral

แม้ The Coral อาจจะไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้าง แต่พวกเขาก็เป็นวงที่ให้แรงบันดาลใจกับรุ่นน้องอย่าง Arctic Monkeys และได้ทำให้ ซีน ดนตรีของเมืองลิเวอร์พูลกลับมาเท่อีกรอบโดยมีรุ่นน้องอย่าง The Zutons และ Dead 60’ ตามมาติดๆ และพวกเขายังเป็นวงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันโดยเฉพาะกับการถ่ายรูปโปรโมทที่มักจะมีไอเดียฮาๆเสมอ จนเป็นวงที่ให้ความรู้สึกเป็นกันเองจริงๆ เราได้แต่หวังว่า การออกจากวงอีกรอบของ Bill และการออกอัลบั้มรวมฮิตของพวกเขาในปีนี้จะไม่ใช่จุดจบอย่างน่าเสียดายของวงๆนี้

No comments: