Saturday, July 17, 2010

Jay Sean: ภารตะบุกตะวันตก

Technorati Tags: ,

หลังจากที่ชาติจากเอเชียทำผลงานได้ดีในฟุตบอลโลก แล้วชาวเอเชีย ทำได้ดีขนาดไหนในวงการเพลงระดับโลกล่ะครับ แม้เราจะมีศิลปินเกาหลีหลายคนที่พยายามไปเปิดตลาดในอเมริกาหรือยุโรป แต่ก็ยังมีชายเชื้อสายเอเชียอีกคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในตะวันตกครับ เขาคือ Jay Sean นั่นเอง

ถ้าบอกชื่อ Jay Sean เฉยๆ หลายคนคงจะบอกว่า มันเอเชียตรงไหนหว่า แต่จริงๆแล้ว ชื่อของเขาคือ Kamaljeet Singh Jhooti ชื่อแบบนี้ คงเดาได้นะครับว่าเป็นชาวอะไร เขาคือหนุ่มเชื้อสายอินเดียที่เกิดในครอบครัวผู้อพยพชาวปัญจาบในอังกฤษครับ และแม้จะเป็นชนกลุ่มน้อย เขาก็สนใจในดนตรีของตะวันตกมาตั้งแต่เด็กโดยได้ตั้งวงฮิปฮอปตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่เสียการเรียนอะไร เขาจบจากโรงเรียนมัธยมชื่อดังโดยได้เกรดดี ถึงขนาดได้เข้าเรียนในคณะแพทย์ของมหาวิทยาลัยลอนดอน แต่สุดท้าย เขาก็เลือกทำในสิ่งที่เขารักจริงๆ ด้วยการลาออกจากมหาวิทยาลัยมาเผชิญความเสี่ยงกับชีวิตศิลปินที่เขายังไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย (ใจกล้ามากครับ ถ้าเป็นบ้านเรา แบ๊คกราวนด์ดีแบบนี้ เดี๋ยวก็ไปสมัครไม่เอฟเอ ก็ ดาร์ สะเตอะ แล้วไปเต้นด๊อกแด๊กๆ อาววว มันกลับมาหลอนอีกแล้ว ครั้งนี้ขนาดพณท่านยังมาช่วยเชียร์ด้วย)Jay Sean  Lil Wayne jay_sean7

หลังจากออกจากมหาวิทยาลัย เขาได้ไปเข้าสังกัดค่ายเพลง 2Point9 ในปี 2003 ซึ่งในช่วงนั้น ได้เป็นแหล่งรวมศิลปินเชื้อสายเอเชียไว้เยอะมาก โดยที่เขาก็หันมาเรียกตัวเองว่า Jay Sean จากชื่อเล่นตั้งแต่เด็กของเขา เปลี่ยนแนวเพลงจากฮิปฮอปมาเป็น R&B เนื่องจากเขารู้ดีว่าการเป็นชนกลุ่มน้อยเชื้อสายอินเดียนั้นยากที่ประสบความสำเร็จกับแนวเพลงนี้ได้ และเขาก็ได้ออกผลงานชิ้นแรกในปลายปีนั้นเอง ด้วยการโปรดิวซ์ของไอ้หนุ่มภารตะอีกราย นั่นคือ Rishi Rich เช่นเดียวกับเพื่อที่มาร้องเสริมอย่าง Juggy Dในเพลง Dance With You ที่เต็มไปด้วยความเป็นภารตะตั้งแต่อินโทรขึ้นมาก แม้ว่าจังหวะของเพลงจะเป็นเพลง R&B แต่ว่าเสียงประกอบที่โชยกลิ่นโรตีมาแต่ไกล ทำให้มันเหมือนกับเพลงประกอบหนังบอลลีวู้ดที่ทันสมัยมากกว่าครับ แต่ก็แน่นอนว่า การผสมผสานกลิ่นตะวันออกเข้ากับดนตรีตะวันตกได้อย่างลงตัวแบบที่น่าจะเรียกได้ว่า Bhangra R&B ทำให้เขาเป็นที่สนใจของวงการเพลงในทันที

และนั่นทำให้ค่ายใหญ่อย่าง Virgin เซ็นสัญญาเขาเข้าค่ายเพลงทันที และเขาก็ได้ออกซิงเกิ้ลต่อมาในฐานะศิลปินเดี่ยวเต็มตัว นั่นคือ Eyes On You ที่ยังดำเนินตามแนวทางเดิม และมันก็เป็นเพลง Top 10 เพลงแรกของเขา และซิงเกิ้ลต่อมา เพลงช้าอย่าง Stolen ก็กลายเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ทำให้เขาเข้าระดับดาราทันที และอัลบั้มแรกของเขาก็ตามมาในปี 2004 นั่นคือ Me Against Myself ที่เป็นการผสมผสานที่ลงตัวของสองวัฒนธรรมจริงๆ นอกจากสามเพลงที่ว่ามาแล้ว ยังมีเพลงระดับเทพอย่าง On and On ที่โชว์น้ำเสียงชั้นเลิศ และเพลง One Night ที่เด่นด้วยเสียงเครื่องดนตรีอินเดีย แม้ตัวอัลบั้มจะขึ้นอันดับไม่ถึง Top 20 แต่มันก็เป็นความสำเร็จชั้นเลิศ และมันยังดังไปถึงอินเดีย และตลาดยุโรปตะวันออก และส่งให้เขาได้ไปโผล่ในหนังบอลลีวู้ด้วย ดาราเอเชียคนใหม่ได้จุติขึ้นแล้วjaysean-02-big

แต่เนื่องจากนโยบายของค่ายเพลง ทำให้เขาเลือกหันหลังให้ค่ายเพลง แล้วหันมาตั้งค่ายเพลงของตัวเองแทน และนั่นหมายถึงอิสระที่มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้เขาเลือกตั้งชื่ออัลบั้มที่สองในปี 2008 ว่า My Own Way ซึ่งมันเป็นไปตามที่เขาต้องการทุกอย่าง เพลงเปิดตัวคือ Ride It ที่เป็นเพลงช้าแต่งามด้วยเสียงร้องไร้ที่ติดของเขา แต่เป็นซิงเกิ้ลที่สอง Maybe ที่ผมคิดว่ามันเป็นเพลง Urban R&B ที่สมบูรณ์แบบจริงๆถึงขนาดไปทาบงานของ Maxwell ได้เลยทีเดียว แม้สองเพลงที่ผ่านมา อิทธิพลอินเดียจะหายไป แต่ในอัลบั้ม ก็ยังคงมีกลิ่นเพลงอินเดียกระจัดกระจายไปเรื่อยแบบเสือไม่ทิ้งลายครับ และต้องไม่ลืมความยอดเยี่ยมของ Stay ซิงเกิ้ลสุดท้ายด้วย ใครต้องการเพลง R&B ที่เต็มไปด้วยความละเมียดละไมก็พลาดไม่ได้ โดยเฉพาะแฟนของ Ne-Yo ครับ

และเขายังไม่เลิกทะเยอทะยาน โดยเขาได้ไปเซ็นสัญญากับค่าย Cash Money ในอเมริกา ซึ่งกลายเป็นตลาดใหม่ที่เขาเข้าเจาะด้วยซิงเกิ้ล Down ที่เป็นเพลง R&B ที่แสนติดหูและได้ดาราใหญ่อย่าง Lil Wayne มาร่วมงาน ทำให้มันกลายเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายรวมไปถึงในประเทศไทยเราด้วยครับ และเขาก็ได้ทำการอัดเพลงใหม่ และเลือกเพลงเก่าจากอัลบั้มก่อน กลายมาเป็น My Own Way ในฉบับอเมริกาที่ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น All or Nothing โดยที่เพลงเด่นก็ถูกนำมารวมในอัลบั้มนี้ และเพิ่มเพลงใหม่ที่เด่นไม่แพ้กันอย่าง Do You Remember หรือ Love Like This (Eternity) เข้าไป กลายเป็นการเปิดตัวศิลปินหนุ่มเลือดภารตะคนนี้ในวงการเพลงอเมริกาได้อย่างงดงาม38811_2

เมื่อไปได้ไกลขนาดนั้นแล้ว สิ่งต่อไปที่รอเขาอยู่คือ การสร้างผลงานอัพเกรดขึ้นมาเป็น Superstar เต็มตัว และสร้างผลงานที่จะกลายเป็นงานคลาสสิคเท่านั้นล่ะครับ

No comments: