Saturday, December 4, 2010

My Chemical Romance: แวมไพร์กลายเป็นฮีโร่ (ภาคต้น)

Technorati Tags: ,

ในชีวิตของคนที่ฟังเพลง มักจะมีวงที่สำคัญต่อชีวิตเป็นอย่างมากด้วยสาเหตุแตกต่างกัน สำหรับผม มีหลายวงเหมือนกัน และอีกวงหนึ่งที่ผมรักมาก จนอยากจะเขียนถึงแบบมือกระดิกแทบไม่หยุด แต่ก็หาจังหวะไม่ได้ซะที จนในที่สุด พวกเขาก็ออกอัลบั้มใหม่ออกมา ไม่มีตอนไหนเหมาะกว่านี้อีกแล้วครับ เชิญพบกับ My Chemical Romance สองตอนรวดครับ0904_my_chemical_romance_b

การจะพูดถึง My Chemical Romance (MCR) คงต้องเริ่มต้นที่ชีวิตของนักร้องแกนนำของวง Gerard Way (เจอราร์ด)ก่อน เพราะเขาเป็นเหมือนทุกอย่างของวงเลยทีเดียว Gerard โตมาในย่านชานเมืองนิวเจอร์ซีย์ ที่ไม่ปลอดภัยนัก เขาเคยโดนทั้งเอาปืนจ่อกบาล เจอศพของแก๊งที่ยิงกันตายมาแล้ว แต่เขาก็ยังมีศรัทธา ด้วยความชอบงานศิลปะ เขาก็ได้เป็นนักวาดการ์ตูนให้ Cartoon Network (หาดู Magic Breakfast Monkey ได้ครับ) แต่เหตุการณ์ 9/11 ที่เขาเห็นมันเกิดขึ้นต่อหน้าตัวเอง ทำให้เขาคิดได้ว่า ชีวิตสั้นเกินกว่าที่จะปล่อยไปวันๆ เขาจึงตัดสินใจทำสิ่งที่อยากทำมาตลอด นั่นคือ ตั้งวงดนตรี

เขาเริ่มวงกับ Matt Pelissier (แมตต์ กลอง) และดึงเอา Ray Toro (เรย์) มาเล่นกีตาร์ ตามมาด้วย Mikey Way (ไมกี้)น้องชายของ Gerard มาเล่นเบส ก่อนจะได้ Frank Iero (แฟรงค์) มาเล่นกีตาร์อีกคน กลายเป็นจุดเริ่มต้นของวง พวกเขาเรียกตัวเองว่า My Chemical Romance จากชื่อหนังสือที่ Mikey เจอ

0904_my_chemical_romance_aพวกเขาเริ่มแต่เพลงของตัวเอง โดยแนวเพลงของพวกเขาคือพังค์ผสมกับเมทัล ส่วนเนื้อเพลงมักจะปนเปกันไป ทั้งเรื่องชีวิต ผีดิบ และ แวมไพร์ พวกเขาได้สัญญากับค่าย Eyeball Records และออกผมงานชิ้นแรกในลักษณะอินดี้ ชื่อว่า I Brought You My Bullets, You Brought Me Your Love ในปี 2002

ในช่วงแรก พวกเขายังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แม้ว่ามันจะเป็นอัลบั้มที่น่าสนใจมาก แต่มันยังไม่โดดเด่นกว่าวงอื่นมากนัก พวกเขาผสมเอาสารพัดสิ่งที่พวกเขาชอบลงไปในงานเพลงของพวกเขา แม้แนวหลักจะเป็นพังค์ แต่พวกเขาก็ใส่ไลน์กีตาร์สวยๆจากฝีมือของ Ray เข้าไปเสมอ ทำให้มันได้อารมณ์แตกต่างไป ยิ่งตัวอย่างเช่นท่อนอินโทรเพลง Headfirst For Halos นั้นเหมือนกับมาจาก Van Halen บวกกับ Queen จริงๆครับ ส่วน Vampires Will Never Hurt You ที่เป็นซิงเกิ้ล ก็มันแบบไม่หยุดหย่อนเหมือนกัน แล้วยังมีเพลงเจ๋งๆอย่าง Skylines And Turnstiles ที่เกี่ยวกับ 9/11 และ Cubicles ที่เกี่ยวกับความรักในออฟฟิส อีกด้วยครับ

พวกเขาเปิดตัวได้ไม่เปรี้ยงปร้างนัก แต่ก็เริ่มดังแบบปากต่อปาก ผมเองก็รู้จักพวกเขาจาก NME ที่แนะนำ Gerard ใน Cool List ปี 2003 ว่าเหมือนกับร่างจุติของ Billy Corgan (ทั้งหน้าทั้งเสียง) กับปกใน Funeral for a Friend ที่สมาขิกวงสวมเสื้อของ MCR ด้วย ดูท่าทางว่า เส้นทางของพวกเขาจะมีแสงสว่างอยู่รำไรเหมือนกัน

พวกเขากลับไปทำงานชุดที่สอง ที่เป็นงานชิ้นแรกกับค่าย Reprise ค่ายเพลงเมเจอร์ที่เซ็นสัญญากับพวกเขามา และมันก็กลายเป็นงานที่ชื่อ three Cheers For Sweet Revenge ที่เป็นงานที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย พวกเขาถูกตราว่าเป็นวง Emo เพราะเนื้อเพลง และภาพลักษณ์ที่เริ่มมียูนิฟอร์มและแต่งหน้า แต่ใครจะสนเมื่อพวกเขาทำเพลงที่โคตรมันได้ขนาดนี้ ส่วนตัวอัลบั้มนั่น เป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่เกี่ยวกับชายหนุ่มที่จะพยายามต่อสู้เพื่อเอาชีวิตของแฟนสาวเขาคืนมาจากซาตาน ซิงเกิ้ลแรก I’m Not Okay (I Promise) กลายเป็นเพลงชาติของEmoไปเรียบร้อย เพลงเด่นเพลงอื่นก็อย่าง Helena ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ Thank You For The Venom ที่โชว์ฝีมือกันเต็มที่ (ชุดนี้กีตาร์ทั้งสองเด่นมากครับ) ส่วนอีกเพลงโปรดผมที่ค่อนข้างน่าขนลุกคือ Cemetery Drive อัลบั้มนี้ใส่อารมณ์ความสะใจกันเต็มๆครับ และเนื้อเพลงแบบทำลายตัวเองและความตายของพวกเขาก็ทำให้พวกเขากลายเป็นเป้าโจมตีของสังคมไป แต่สุดท้าย พวกเขาก็ถือว่าประสบความสำเร็จในวงกว้างอย่างงดงามครับ และพร้อมที่จะครองโลกในอีกไม่ช้า0604_my_chemical_romance_a

แม้จะเป็นวงร๊อค แต่เนื้อใน พวกเขาเป็นเด็กเนิร์ดชนิดเข้าใส้ พวกเขาเลือกเล่นเกมแทนไปเมาเหล้า และเป็นพวกสบายๆจริงๆกว่าที่คิดครับ ปี 2004 ผมอยู่ที่ญี่ปุ่น พวกเขามาเล่นคอนเสิร์ต ตอนที่พึ่งออกอัลบั้มที่สอง เลยยังไม่ดังมาก ผมกับเพื่อนอเมริกันไปเดินเล่นก่อนเริ่ม ดันไปเจอ Ray กับ Mikey ที่ร้านรองเท้า พอเข้าไปทัก พวกเขาก็คุยโคตรดี แถมให้ผมช่วยพูดภาษาญี่ปุ่นหารองเท้าคอนเวิร์สสีชมพูให้แฟนอีกตะหาก ติดดินโคตรๆครับ ส่วนตอนเล่นคอนเสิร์ตในไลฟ์เฮาส์ Gerard ก็ตะโกนมาเล่นกับเพื่อนผมฝรั่งบ้านเดียวกันอย่างสนุก แถมรับมุข America! Fxxk Yeah! จาก Team America ซะด้วย ไม่รักไม่ได้ครับ และผมก็ดีใจมากๆที่วงที่เชียร์มาตั้งแต่ยังไม่ดังเลย กลายเป็นวงดังระดับบิ๊กเบิ้มไปแล้ว

แต่ผมพลาดไปหน่อยตรงที่ พวกเขาจะยิ่งใหญ่กว่าที่ผมคาดคิดไว้ซะอีกครับ เพราะอะไร ติดตามตอนต่อไปครับ

No comments: