งานชิ้นที่สี่ของวงที่อยู่รอดจากยุค Nu-Metal แม้ว่ากระแส Nu-Metal จะจืดจางลงอย่างรวดเร็วและทิ้งวงหลายๆวงไว้เบื่องหลัง แต่ Linkin Park ก็รู้ที่จะเล่นกับเกมเป็นอย่างดี และนอกจากอยู่รอดกันอย่างเหนียวแน่นแล้ว พวกเขายังสร้างผลงานที่น่าประทับใจและแหวกไปจากแนวทางเดิมเรื่อยๆ
งานชุด
A Thousand Suns ก็เป็นงานชุดที่สี่ที่แหวกแนวจากงานเก่ามาก แม้เราจะได้กลิ่นการเปลี่ยนแนวเพลงในอัลบั้มชุด Minutes to Midnight แล้ว แต่งานชุดนี้มันฉีกไปจากแนวเดิมเป็นอย่างมาก จนเรียกได้ว่า คนที่เคยฟังแต่งานชุดแรก แล้วได้มาฟังงานชุดนี้เลย คงอาจะคิดว่าเป็นคนละวงก็เป็นได้ ส่วนตัวผมเอง ก็ไม่ได้ตามวงนี้มากนัก เพราะไม่ใช่แนวถนัด แต่ก็รู้จักและเคยฟังเพลงของพวกเขามาเรื่อยๆ พอมาเจออัลบั้มนี้ ก็เล่นเอางงเหมือนกันครับ เพราะว่าแทบจะไม่เหลือเค้าเดิมเลย
A Thousand Suns ยังเป็นผลงานการโปรดิวซ์ของตำนานอย่าง Rick Rubin และ Mike Shinoda เช่นเดียวกับอัลบั้มที่แล้ว แต่ในครั้งนี้ พวกเขาหันเข้าหาดนตรีสังเคราะห์มากยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า ตัวเพลงต่างๆจึงเปลี่ยนจากเพลงร๊อคที่แหกปากตะโกน และแทรกด้วยการแร๊พเป็นช่วงๆ กับกลายเป็นงานดนตรีอีเล็กโทรนิกส์ที่ผสมความก้าวร้าวเข้าไป คล้ายๆกับ ให้ Junior Boys ที่โกรธกับเมียมาทำเพลงก็ว่าได้ครับ มันเลยทำให้ผมกลัวหน่อยๆว่า แฟนดั้งเดิมของพวกเขาจะรับได้หรือไม่ครับ
แม้อัลบั้มนี้จะมีเพลงถึง 15 เพลง แต่เนื่องจากหลายเพลงเป็นเพลงคั่นสั้นๆ ทำให้มันยาวแค่ 47 นาทีเท่านั้น แต่มันก็เป็นงานที่ยังฟังได้สนุกครับ โดยที่สำหรับผมแล้ว เพลงเด่นๆจะไปกองอยู่ที่ครึ่งค่อนหลังของอัลบั้มเอาซะมากครับ ตั้งแต่เพลง Blackout ที่แม้จะเต็มไปด้วยเสียงแหกปาก แต่ดนตรีประกอบข้างหลังนี่เยี่ยมไม่เบาเลยครับ แถมยังมีบีทที่หนักหน่วงเอาเรื่องอีกต่างหาก ส่วน Wretches And Kings ก็เป็นการผสมเพลงฮิพฮอพที่ใช้เสียงสังเคราะห์หนักๆมาเป็นตัวให้จังหวะ ออกจะไปคล้ายกับงานของ Public Enemy ถูกนำมาทำให้ทันสมัยมากขึ้น ส่วนซิงเกิ้ลแรกอย่าง The Catalyst ก็เป็นงานเพลงร๊อคผสมกับอีเล็กโทรนิกส์ที่ทำออกมาได้อย่างน่าสนใจ บวกกับเสียงสังเคราะห์แบบเพลง Trance คงจะทำให้ดีเจหลายคนอยากเอาไปรีมิกซ์มาก แต่ที่น่าทึ่งที่สุดคงเป็นเพลงปิดท้ายอัลบั้มThe Messenger ที่เป็นเพลงกีตาร์โปร่ง ออกไปคล้ายๆกับเพลงแนวที่วงแฮร์แบนด์ชอบทำ ฟังไปเกือบเผลอจุดไฟแช๊คครับ
A Thousands Suns เป็นการเปลี่ยนแนวอย่างกล้าหาญของพวกเขามากๆ เพราะเป็นการทิ้งแทบจะทุกสิ่งที่สร้างชื่อให้พวกเขามา อาจจะเทียบได้กับ Kid A ของ Radiohead ได้เลยครับ ใครเป็นแฟนก็ลองหามาฟังกันดูครับ
No comments:
Post a Comment