หลังจากที่ประสบความสำเร็จในวงกว้าง และถูกเกลียดโดยสื่อและคนหัวโบราณที่มองพวกเขาว่าเป็นแค่เด็ก Emo ขี้แพ้ เรียกร้องความสนใจเท่านั้น คำถามคือ พวกเขาจะทำอะไรต่อไป และผลที่ออกมาก็คือ อัลบั้มชุfที่สามที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะคิดไว้ได้
พวกเขาเก็บรายละเอียดของอัลบั้มนี้ไว้เป็นความลับ และในคอนเสิร์ตก่อนเปิดอัลบั้ม พวกเขาเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น The Black Parade เพื่อปูทางให้เข้ากับอัลบั้มใหม่ที่ชื่อเดียวกันนั่นเอง และมันก็ไม่มีแวมไพร์อีกต่อไป แต่ Gerard กลับออกมาด้วยภาพลักษณ์ที่น่าตกใจ เพราะเขากัดสีผมตัวเองเป็นสีขาวโพลน เพื่อให้เข้ากับคอนเซ์ปต์ของอัลบั้ม เพราะสำหรับงานครั้งนี้ มันคือเรื่องราวของชีวิตผู้ป่วยโรคมะเร็งขั้นสุดท้าย
The Black Parade ได้ Rob Cavallo โปรดิวเซอร์มือทองเจ้าของ American Idiot มาร่วมงาน และเขาก็ช่วยพัฒนาแนวคิดคอนเซ็ปต์อัลบั้มของวงได้เป็นอย่างดี The Black Parade คือการเดินทางครั้งสุดท้ายของ The Patience ตัวละครเอก ผู้ป่วยมะเร็งขั้นสุดท้ายที่นอนซมในโรงพยาบาล ตั้งแต่เพลงแรก The End ที่เปรยถึงจุดจบของชีวิตเขาเอง ไปจนเพลงสุดท้าย มันเปิดตัวด้วยเพลง Welcome to The Black Parade ซิงเกิ้ลแรกที่เกี่ยวกับภาพหลอนของพาเหรดที่ตัวเอกเคยชมสมัยเด็ก มาปรากฎตรงหน้าเขาก่อนที่เขาจะสิ้นใจไป มันคือพังค์ร๊อคโอเปร่าแบบอลังการเหมือนกับเอาวง Queen มาผสมกับ Sex Pistols และเป็นการเปิดตัวอัลบั้มอย่างงดงามเหลือเกิน ด้วยความยิ่งใหญ่ของเพลงนี้ ทำให้เรารู้แล้วว่า วิสัยทัศน์ของพวกเขานั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน
ทั้งอัลบั้มวนเวียนอยู่กับจิตใจของ the Patience ทั้งอัลบั้ม ไม่ว่าจะเป็น Mother ที่พูดถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับแม่เขา Teenagers เพลงที่เกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่นของเขา ส่วน I Don’t Love You เป็นบัลลาดซิงเกิ้ลที่โคตรเศร้า เพราะเขาขอร้องคนรักของเขาให้จากเขาไป โดยให้เธอบอกว่า ไม่รักอีกต่อไปแล้ว เพื่อที่เธอจะได้มีชีวิตทีดีกว่า อีกเพลงที่เศร้าไม่แพ้กันคือ Cancer ที่บรรยายภาพชีวิตของคนเป็นมะเร็งออกมาได้อย่างชัดเจน บรรยากาศความเศร้ามันอบอวลไปทั่วเพลง
และเนื้อเพลงที่ค่อยๆคลี่คลายเรื่องราวปานนิยาย ขมวดถึงจุดจบในเพลง Famous Last Words ที่ เป็นซิงเกิ้ลสุดท้าย ที่ทิ้งปริศนาให้เรางงว่า The Patience เป็นเช่นไร ในเมื่อเขาประกาศก้องในวินาทีสุดท้ายว่า เขาไม่กลัวที่จะมีชีวิตต่อไป และไม่กลัวที่จะต้องก้าวเดินอย่างเดียวดาย แต่โดยรวมแล้วมันคืออัลบั้มที่ยอดเยี่ยม ยิ่งใหญ่ และสมบูรณ์แบบจนคนที่เคยโจมตีพวกเขาไว้ต้องหันกลับมามองอีกที พวกเขากลายเป็นวงร๊อคระดับ Monster ไปในทันที (เส้นทางคล้ายกับ Green Day ที่เคยถูกมองว่าเป็นแค่วงพังค์โง่ๆมาก่อน)
พวกเขาสนุกกับความสำเร็จและขยายฐานแฟนออกไปกว้างมาก แต่ความสำเร็จจากงานชุดนี้ทำให้หลายคนสงสัยว่าพวกเขาจะเดินไปในทางไหนต่อ และคำใบ้ก็อยู่ในงาน Desolation Row ที่อยู่ในหนัง Watchmen ที่เป็นงานคัฟเวอร์เพลงเก่ามาเป็นเพลงพังค์แบบดิบๆ มันสะใจไปอีกแบบ
หลังจากเงียบไปให้แฟนๆรอเกือบสี่ปี พวกเขาก็กลับมาทำงานชุดใหม่ และแฟนๆก็ได้ตะลึงอีกครั้ง เพราะหลังทำเรื่องเครียดของคนเป็นมะเร็งมาแล้ว พวกเขาเลือกทำเพลงร๊อคเบาสมองเกี่ยวกับโลกอนาคตที่ถูกเหล่าร้ายครอบงำ และพวกเขาคือฮีโร่ที่จะมากอบกู้โลกใบนี้ ผมสีขาวถูกย้อมเป็นสีส้ม พร้อมกับเสื้อผ้าหลุดโลก และเพลงร๊อคแบบที่พร้อมจะเติมเวทีขนาดยักษ์ได้ทุกแห่ง และชื่อของงานชิ้นนี้คือ Danger Days: The True Lives of the Fabulous Killjoys
พวกเขาเปลี่ยนโทนของเพลงจากที่มืดหม่น มาเป็นเพลงที่แหกคอก และสร้างความหวังให้กับโลกที่มืดหม่นแทน มันคือการ์ตูนไซไฟแอคชั่นชั้นดีที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเพลงก็ว่าได้ เริ่มตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรก Na Na Na ที่เป็นเพลงพังค์เบาสมองแบบไม่ต้องคิดอะไรเลย คล้ายกับเพลงอื่นๆในอัลบั้มที่เป็นเพลงพังค์สะใจเช่นกัน เช่น Party Poison และ DESTROYA เพลงที่แหวกแนวออกมามากๆคือ Planetary (GO!) ที่มีส่วนผสมของดิสโกผสมลงไปด้วย Bulletproof Heart ก็ทำให้ผมนึกถึง The Who ขึ้นมาตะหงิด เพลง Summertime ก็เป็นเพลงที่น่าจะสดใสที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยทำออกมาแล้ว คล้ายกับเพลง The Kids From Yesterday ที่น่าฟังขณะขับรถทางไกลจริงๆ ถ้าอยากจะได้บรรยากาศเก่าก็ต้องเพลง Save Yourself, I'll Hold Them Back ส่วนเพลงที่น่าจะเติมเต็มเวทีใหญ่ๆได้สบายก็อย่าง The Only Hope For Me Is You และ Sing ซิงเกิ้ลที่สองที่ชวนแฟนเพลงแหกปากตามได้เป็นอย่างดี Danger Days คือก้าวใหม่ที่กล้าหาญของพวกเขาที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งครับ ยิ่งถ้าพยายามตามเรื่องทั้งหมดแล้วจะสนุกเอาเรื่องเลย ลองดู MV ใน Youtube ก็ได้ครับ โคตรสนุก
My Chemical Romance ผ่านอะไรมาเยอะกว่าจะได้เป็นขวัญใจของคนในวงกว้าง ด้วยความสร้างสรรค์อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยของพวกเขาจริงๆ ทำให้การรอคอยอัลบั้มแต่ละชิ้นของพวกเขาเป็นความสนุกอย่างแท้จริงครับ