ถ้าจะไล่เรียงชื่อดีเจชื่อดังในโลกตอนนี้ แน่นอนว่า พลาดไม่ได้ที่จะใส่ชื่อของ David Guetta ดีเจและโปรดิวเซอร์เพลงแดนซ์จากฝรั่งเศษที่ประสบความสำเร็จในวงกว้างอย่างงดงามจริงๆครับ เพราะตอนนี้ถ้าไปเที่ยวคลับ คงไม่พลาดที่จะได้ฟังเพลงแดนซ์ที่ติดหูจริงๆของเขาครับ
David Guetta คือ หนุ่มปารีเซียง ฝรั่งเศส ที่เริ่มสนใจงานดีเจตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น และสร้างผลงานเพลงพร้อมทั้งเป็นดีเจ และดูแลคลับมาตั้งแต่ยุค ’90 และก็มีผลงานที่เป็นที่นิยมในคลับในฝรั่งเศสบ้าง ซึ่งก็เป็นโชคของเขาที่มันเป็นยุครุ่งเรืองของดนตรีเฮาส์จากฝรั่งเศสที่เบ่งบานไปทั่วยุโรปด้วยการเจาะตลาดของรุ่นพี่ระดับตำนานอย่าง Daft Punk หรือ Dimitri from Paris ซึ่งการทำงานเพลงในยุคนั้นก็ได้สร้างเสริมประสบการณ์ให้เขาก่อนที่จะเริ่มเบ่งบานตามหลังรุ่นพี่
บางที ความสุขมันก็มากันแบบติดๆจนไม่น่าเชื่อนะครับ นี่ เดี๋ยว X-Japan จะมาแล้ว แล้วยังมีข่าวว่า อีกวงหนึ่ง ที่เล่นสดได้เมามันเต็มที่อย่าง Story of the Year ก็จะมาเปิดคอนเสิร์ตที่เมืองไทย ให้ขาร๊อคได้มอชกันให้มันเลยทีเดียวครับStory of the Year คือวงจากท้องถิ่นเซนต์หลุยส์ มิซซูรี่ หลังจากที่เป็นวงท้องถิ่นมานาน โดยใช้ชื่อ Big Blue Monkey มาก่อน ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Story of the Year เพื่อว่ามีวงที่ชื่อซ้ำกันมาก่อนแล้ว จึงเลือกชื่อวงใหม่จาก EP ที่ออกมาในตอนนั้น โดยสมาชิกคือ Dan Marsala (แดน ร้องนำ) Ryan Phillips (ไรอัน กีตาร์) Philip Sneed (ฟิลลิป กีตาร์) Adam Russell (อดัม เบส) และ Josh Wills (จอช กลอง)
และเหมือนจะเป็นชื่อนำโชค เพราะหลังจากเล่นท้องถิ่น ออกผลงานแบบอินดี้ พวกเขาก็ไปเข้าตาค่าย Maverick และได้ออกผลงานชิ้นแรกในระดับประเทศชื่อ Page Avenue ในปี 2003 โดยมีซิงเกิ้ลเปิดตัวอย่าง Until the Day I Die ที่เริ่มต้นอย่างช้าๆ ก่อนที่จะกระชากอย่างเมามันให้แฟนได้สะใจ ในแนวเดียวกับวงบอดี้แสลมยุคเก่าล่ะครับ ตามมาด้วยซิงเกิ้ลที่สองอย่าง Anthem of our Dying Day ที่มาในแนวเดียวกับเพลงแรก พวกเขาเน้นอัดความหนักหน่วงเข้าไปในช่วงที่ต้องอัดอย่างเต็มสูบจริงๆครับ ส่วนอีกเพลงที่หลายคนน่าจะรู้จักคือ And The Hero Will Drown ที่อัดหนั่งหน่วงเต็มสูบตั้งแต่ต้นเพลงในแบบฮาร์ดคอร์แท้ๆ ก็ได้ไปอยู่ในเกม Need For Speed: Underground ที่ฮิตถล่มทลายนั่นล่ะครับ ทำให้ชื่อพวกเขาเป็นที่รู้จักในตลาดวงกว้างขึ้น และตัวอัลบั้มเองก็ไม่ทำให้แฟนของแนวเพลงโพสต์ฮาร์ดคอร์ผิดหวังครับ เพราะมันเต็มไปด้วยกำลังที่อัดแน่นไปทั้งอัลบั้มจริงๆครับ
และเมื่อคุณหยิบ A Solitary Man ผลงานชิ้นแรกของเขามาฟัง คุณจะเข้าใจความทุ่มเทที่เขาใส่ลงไปในงานชิ้นนี้ครับ แม้บางคนจะมองมันว่าเป็นแค่งานเพลงฟังสบายๆ ไม่หวือหวา แต่มันเต็มไปด้วยความบรรจงในการแต่งแต้มสีสันของเพลงเป็นอย่างดี แต่ละเพลงร้อยเรียงได้อย่างลงตัวไร้รอยต่อจริงๆ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความตั้งใจในการประสานเครื่องดนตรีทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพลงอย่าง That Same Old Line เป็นตัวอย่างที่ดีมากในการเล่าเรื่องราวผ่านเพลง ส่วน Heart of Stone ก็เป็นเพลงร๊อคย้อนยุคแบบที่ฟังดูแล้วไม่เชยเลย เหมาะแก่การหยิบไปฟังเวลาขับรถทางไกลมาก Lost เป็นเพลงโปรดอีกเพลงหนึ่งของผม ที่เล่นกับเนื้อเพลงง่ายๆออกมาได้อย่างดี Happiness ก็เป็นอีกเพลงที่เรียบเรียงออกมาได้ลงตัวมาก เช่นเดียวกับ See ที่เครื่องสายบาดลงไปถึงหัวใจเราเลยทีเดียว
แม้คุณจะมีความสุขกับการฟังเพลงสุดเท่ทั้งหลาย แต่ในบางเวลา เมื่อคุณเหน็ดเหนื่อยกับสิ่งต่างๆ งานเพลงของ Jonathan Jeremiah คือสิ่งที่จะเยียวยาคุณจากความเหน็ดเหนื่อยเหล่านั้นได้ครับ
James Blake
อีกหนึ่งหนุ่มลอนดอนที่โดดเด่นเอามากๆในช่วงปีที่ผ่านมาก James Blake จบการศึกษาจาก Goldsmiths, University of London โดยมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อดังอีกคนอย่าง Katy B และเขาก็ใช้เวลาระหว่าเรียนในการอัดผลงานเพลงของตัวเองมาเสมอ และเริ่มออกงานเพลงชิ้นแรก Air & Lack Thereof ในปี 2009 และมันก็ไปเข้าตาดีเจชื่อดังอย่าง Gilles Peterson จนได้รับเชิญไปมิกซ์เพลง หลังจากนั้น เขาก็ได้ออก EP ชื่อ CMYK ซึ่งก็กลายเป็นที่จับตามองอีก
แต่เพลงที่ส่งเขาเข้าไปอยู่ในสปอตไลต์ของวงการเพลงจริงๆคือ Limit to Your Love ที่เป็นเพลงช้าๆ เนิบๆ แต่เล่นกับช่องว่างของเสียงได้เป็นอย่างดี และยังไล่อารมณ์เพลงได้ยอดเยี่ยมจนขนลุกเลยทีเดียว และนั่นทำให้เขาได้รับการจับตามอง จนถึงกับถูกรวมใน The Sound of 2011 ที่จัดโดย BBC เลยทีเดียว
เขาใช้เวลาตลอดปี2010 เพื่ออัดงานเพลงชุดแรกของเขา และกลายมาเป็นงานอัลบั้มเต็มที่ใช้ชื่อเดียวกับเขาเลย และมันก็กลายเป็นงานที่โดดเด่นเอามากๆอีกชิ้นหนึ่งในปีนี้ ด้วยความที่มันสามารถใช้ช่องว่างระหว่างเสียงและจังหวะสร้างบรรยากาศแบบเฉพาะตัวได้อย่างงดงามเกินบรรยาย เพลงที่โดดเด่นมากๆก็อย่างซิงเกิ้ล The Wilhelm Scream ที่งดงามเกินบรรยาย ให้ความรู้สึกเหมือนการล่องลอยอยู่ระหว่างความฝันและความจริงโดยที่ไม่รู้แน่ชัดว่าเรากำลังอยู่ส่วนไหนกันแน่ ราวกับหลุดเข้าไปอยู่นภาพวาดเซอเรียลิสม์ชั้นครู และเป็นตัวแทนของอัลบั้มนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะทั้งอัลบั้ม มันเล่นกับจังหวะและช่องว่างได้อย่างเหนือชั้นจริงๆครับ เป็นตัวอย่างของการสร้างบรรยากาศของเพลงที่ดึงดูดเราเข้าไปสู่โลกของศิลปินได้อย่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน