ในวงการเพลง หลายครั้งที่การจากไปของสมาชิกวงหมายถึงความล่มสลายของวงไปตลอดการ แต่สำหรับอีกหลายๆวง มันอาจจะเป็นการเดินหน้าไปในทิศทางใหม่ หรือสำหรับบางวง ก็ต้องมุ่งมั่น เดินหน้าต่อไปใน เพื่อทำหน้าที่แบกเจตนารมย์ของเพื่อที่จากไปต่อไป และ Avenged Sevenfold ก็เป็นหนึ่งในนั้น
A7X (ชื่อย่อของวง) เกิดขึ้นจากการรวมตัวของ M. Shadows (ร้องนำ) Zacky Vengeance (กีตาร์) The Rev (กลอง) และ Matt Wendt (เบส) ตั้งแต่ช่วงเรียนมัธยม และพวกเขาตัดสินใจที่จะทำผลงานเพลงร่วมกัน พวกเขาเริ่มอัดเดโมตั้งแต่ตอนนั้น จนพวกเขาได้สัญญากับค่ายเพลงอินดี้และได้ออกผลงานชุดแรกที่ชื่อ The Sound of Seven Trumpet ในปี 2001 ก่อนที่จะได้ Synyster Gates มาเล่นกีตาร์เพิ่มอีกแรง ทำให้พวกเขาตัดสินใจอัดอัลบั้มเดิมอีกครั้งเพื่อให้แน่นขึ้นและออกขายใหม่ในปี 2002
The Sound of Seven Trumpet เป็นการเปิดตัวอย่างสวยงามของ A7X เพราะเมื่อตอนที่พวกเขาอัดอัลบั้ม พวกเขายังอายุแค่ 18 ปี และยังเรียนมัธยมอยู่แท้ๆ แต่กลับสร้างผลงานเพลงที่ต้องทำให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายต้องตกตะลึง เพราะพวกเขานำเอาเพลงเฮวี่เมทัลแบบคลาสสิกมาปรับปรุงใหม่ให้เป็นแนวเพลงของพวกเขา มันจึงเป็นส่วนผสมของความหนักหน่วง และแน่นแบบวงร๊อครุ่นใหม่ แต่ไม่ลืมไลน์กีตาร์ที่แสนสวยราวกับเป็นการผสมพันธุ์กันอย่างลงตัวของเทวาและซานตาน บอกตรงๆว่าแค่ท่อนอินโทรเพลงแรกอย่าง To End The Rapture ก็ทำให้ผมนึกไปถึงการผสมผสานกันอย่างลงตัวของมือกีตาร์คู่อย่าง Glen Tipton และ K.K. Downing ของ Judas Priest ที่ผมโปรดปรานมาตั้งแต่สมัยยังเด็กเลยทีเดียว เพลงอย่าง Darkness Surrounding ก็หนักหน่วงสะใจตั้งแต่นักร้องเริ่มสำรอกออกมาเลยครับ อีกเพลงที่ผมว่าหนักกะโหลกไม่แพ้กันคือ We Come Out at Nightที่สับเอาอย่างไม่ยั้งเลยครับ
เมื่อเปิดตัวได้อย่างงดงาม พวกเขาก็กลับมามุ่งมันทำงานเพลงต่อ และเมื่อได้มือเบสคนใหม่ Johnny Christ มาร่วมงานแทน พวกเขาก็เดินหน้าออกอัลบั้มที่สอง Waking The Fallen ในปี 2003 กับค่ายเพลงอินดี้อีกครั้ง และก็เป็นอีกครั้งที่พวกเขาทำเพลงในแบบของพวกเขาออกมาได้โดยอาศัยแรงบันดาลใจจากรุ่นพี่ เพลงอย่าง Second Heartbeat ที่เร็วและหนักหน่วงเหมือนกับที่ Megadeath ถนัด เช่นเดียวกับอีกซิงเกิ้ล Unholy Confessions ที่เป็นการสลับการเล่นแบบหนักและเร็วได้อย่างลงตัว
จากความสำเร็จของสองอัลบั้ม ทำให้พวกเขาได้โอกาสเซ็นสัญญาเข้าค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง Warner และพวกเขาก็ไม่ได้ทำให้ค่ายเพลงผิดหวัง เนื่องจากอัลบั้มที่สามของพวกเขา City of Evil ในปี 2005 กลายเป็นความสำเร็จอย่างงดงาม และเป็นการเปิดตัวพวกเขาในวงกว้างได้อย่างดี ตัวอัลบั้มเป็นการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับงานเพลงที่ผ่านมา พวกเขากันไปสู่แนวทางเมทัลแบบคลาสสิกมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนภาคการร้องก็เปลี่ยนไปเยอะเมื่อพวกเขาทิ้งการสำรอกและตะโกนออกไป และเปลี่ยนมาสู่เสียงร้องที่รายละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม สังเกตได้ตั้งแต่เพลงเปิดอัลบั้ม Beast And The Harlot ที่เป็นเพลงเมทัลคลาสสิกที่ชนะใจได้ทั้งแฟนเพลงรุ่นใหม่และคอเมทัลรุ่นเก่า (แบบผม) นอกจากนี้ยังมีเพลงอย่าง Seize The Day ที่ทำให้ผมนึกไปถึง Chris Corenell ตะหงิดๆเลยทีเดียวเพราะโทนเสียงร้องคล้ายกันมากครับ City of Evil คืองานเพลงเมทัลที่ได้รับการสร้างสรรค์มาเป็นอย่างดีและเก็บรายละเอียดได้แบบทุกเม็ดเลยทีเดียว และมันก็เป็นงานเพลงที่ขายดีที่สุดของพวกเขา
พวกเขากลับมาอีกในปี 2007 กับอัลบั้ม Avenged Sevenfold ที่ยังเป็นงานที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้งานชุดที่แล้ว แต่ละเพลงยังเต็มไปด้วยความหนักหน่วง รวดเร็ว และเปี่ยมรายละเอียดเหมือนเดิม ตัวอย่างที่ชัดคือ Almost Easy ที่มันโคตร เช่นเดียวกับ After Life มีริฟฟ์ที่ดุเดือดพอจะถล่มภูเขาลงมาได้เลย และพวกเขายังทำเพลงช้า Dear God ที่มีกลิ่นคันทรี่หน่อยๆออกมาให้แฟนเพลงได้ลิ้มลองอีกรสชาติด้วย
ดูเหมือนว่าอะไรต่อมิอะไรจะไปได้สวยสำหรับพวกเขา แต่ในเดือนธันวาคม ของปีที่แล้ว The Rev กับเสียชีวิตอย่างกระทันหัน ซึ่งผลออกมาว่าเป็นเพราะการเสพยามากเกินไป ทำให้วงตกอยู่ในสภาพช๊อค แต่สุดท้าย พวกเขาก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อเพื่อเพื่อนที่จากไป และดึงเอา Mike Portnoy แห่ง Dream Theater มาช่วยเล่นกลองให้ จนออกมาเป็นอัลบั้ม Nightmare ที่ออกวางขายในปีนี้
และพวกเขาก็ไม่ได้ทำให้แฟนๆผิดหวัง Nightmare ยังเป็นอัลบั้มที่ไม่ทิ้งลาย A7X จริงๆ ความหนักหน่วงเรวดเร็วและสวยงามยังอยู่ครบในอัลบั้มครับ ซึ่งเราก็สัมผัสได้ตั้งแต่เพลง Nightmare เปิดอัลบั้มเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าในอัลบั้มนี้ จะมีด้านที่เศร้าเพิ่มเข้ามาด้วย เพลงอย่าง So Far Away แม้จะหนัก แต่เสียงกีตาร์ที่กรีดออกมานั้นช่างเต็มไปด้วยความเหงา เช่นเดียวกับ Victim แต่ก็ไม่ต้องห่วงครับ หลายเพลงในอัลบั้มยังมันสะใจเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็น Danger Line ที่ได้เสียงประสานชั้นเยี่ยมมาสร้างบรรยากาศ ส่วน God Hates Us ก็หนักหน่วงปานก๊อดซิลล่าถล่มโตเกียวเลยทีเดียว เล่นเอาอยากเห็นคนมอชกับเพลงนี้จริงๆครับ
A7X ได้เสียสมาชิกของวงไป แต่พวกเขาก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อไปโดยรับช่วงต่อความฝันที่ค้างไว้ของเพื่อนและสานต่อความฝันนั้นได้อย่างสวยงาม โดยมีอัลบั้ม Nightmare เป็นเหมือนกันจารึกหลุมศพให้แก่เพื่อนที่จากไป
No comments:
Post a Comment