จริงๆแล้ว ครั้งนี้ ผมกะจะเขียนเกี่ยวกับวงดิสโก้แต๋วแตก Scissor Sisters แต่ก็ต้องเปลี่ยนแนวกระทันหัน เมื่อได้รับแจ้งว่าวง Coheed and Cambria กำลังจะมาเล่นที่ไทย ทำให้ต้องเปลี่ยนเรื่องกระทันหันแบบแทบตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน
Coheed and Cambria เป็นวงที่ไม่ค่อยดังเท่าไหร่นักในบ้านเรา เพราะออกจะจัดกลุ่มแนวดนตรียากหน่อย และนวเพลงของพวกเขาก็ไม่ใช่สายหลักที่วัยรุ่บ้านเราฟังกัน แต่ถ้าเป็นนักฟังเพลงที่เจาะรายละเอียดหน่อย จะรู้ว่าเพลงของพวกเขานั้นซับซ้อนในภาดดนตรี และลงลึกในภาคเนื้อเพลงจริงๆ เดี๋ยวจะไปลงรายละเอียดว่าทำไมผมถึงคิดอย่างนั้นนะครับ
Coheed and Cambria คือวงที่รวมตัวกันในช่วงปี 1995 โดยสมาชิกวงในปัจจุบันคือ Claudio Sanchez (คลาวดิโอ ร้องนำ กีตาร์ และเกือบทุกอย่าง) Travis Stever (ทราวิส กีตาร์) Michael Todd (ไมเคิล เบส) และ Chris Pennie (คริส กลอง) โดยที่เมื่อตอนเริ่มต้น พวกเขาทดลองกับดนตรีหลากหลายแนว โดยที่พวกเขามีวงดนตรีอย่าง Pink Floyd และ Led Zeppelin เป็นแรงบันดาลใจหลักของพวกเขา โดยผสมเข้ากับวงพังค์รุ่นใหม่อย่าง At The Drive-In เข้าไปด้วย จนกลายเป็นแนวเพลงแบบอลังการและซับซ้อนแบบเฉพาะของพวกเขาเอง
ในทีแรกที่ตั้งวง พวกเขาเรียกตัวเองว่า Shabutie ก่อน แต่เมื่อเริ่มแต่งเพลง พวกเขาก็ยืนพื้นเนื้อเพลงของพวกเขาจาก เนื้อเรื่องการ์ตูนเรื่อง The Bag. On Line Adventures ที่เป็นการ์ตูนวิทยาศาสตร์ที่ Claudio เป็นคนแต่ง จนออกมาเป็น EP Delirium Trigger ในปี 2000 และเนื้อเรื่องการ์ตูนนี้เองที่จะเป็นคอนเซ็ปต์ในการแต่งเนื้อเพลงของอัลบั้มต่อๆไปของพวกเขา จนพวกเขาเปลี่ยนชื่อวงเป็น Coheed and Cambria ตามชื่อตัวละครเอกของเรื่องนี้ รวมทั้งโลโก้ของวงที่เป็นสัญลักษณ์หลักของของเรื่องอีกด้วย
อัลบั้มแรกในนาม Coheed and Cambria คือ Second Stage Turbine Blade ที่ออกมาในปี 2002 ซึ่งเนื้อเรื่องของงานเป็นภาคที่สองของ The Bag. On Line Adventures ที่เปลี่ยนชื่อมาเป็น The Amory Wars โดยเนื้อเพลงเป็นช่วงเริ่มต้นของการ์ตูนชุดนี้ ส่วนภาคดนตรี มันออกจะไปคล้ายกับวง At The Drive-In ที่ผสมเอาความเป็นดนตรี Progressive ในแบบ Pink Floyd เข้ามา และมันก็เป็นอัลบั้มที่เปิดตัววงได้อย่างงดงามเลยทีเดียว โดยมีเพลงเด่นอย่าง Devil In Jersey City และ Time Consumer
พวกเขาทำภาคต่อมาในอัลบั้ม In Keeping Secrets of Silent Earth 3 ที่เป็น 10 ปีหลังจากเหตุการณ์แรก และ Claudio ลูกชายของตัวเอกภาคที่แล้วที่ตายไป พบว่าตัวเองกุมโชคชะตาของโลกไว้อยู่ ซึ่งก็กล่าวไว้ในเพลง The Crowing นั่นเอง และยังมีเพลงเด่นอย่าง Blood Red Summer อีก
ปีต่อมา พวกเขาก็ออก Good Apollo, I'm Burning Star IV, Volume One: From Fear Through The Eyes of Madness เป็นตอนแรกของภาคสี่ของเรื่อง ซึ่งโฟกัสไปที่คนเขียนเรื่องแทน ซึ่งโทนเพลงของอัลบั้มนี้ออกจะไปคล้ายกับแนวเฮวี่เมทัลซะมากกว่าโดยเพลงโปรดของผมคือ Crossing the Frame ครับ
ปี 2007 พวกเขาก็ออกภาคต่อ Good Apollo, I'm Burning Star IV, Volume Two: No World for Tomorrow ออกมา โดยกลับไปหาเนื้อเรื่องเดิม โดยงานชุดนี้ พวกเขากะทำให้มันอลังการยิ่งกว่าเดิม โดยฟังจากซาวนด์เพลงในอัลบั้มได้ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาพลาดไปตรงที่ไม่ทำให้มันสุดๆไปเลย เลยค่อนข้างจะค้างเติ่งไปหน่อย แต่เพลงอย่าง The Running Free ก็เจ๋งใช้ได้ครับ
และในปีนี้พวกเขาก็ออก Year Of the Black Rainbow ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องก่อนหน้า Second Stage Turbine Blade และเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด ซึ่งพวกเขาก็เลือกกลับไปทำผลงานแนวเมทัลแบบเต็มรูปแบบ ฟังจากเพลง Here We Are Juggernaut ที่หนักหน่วงเอาเรื่อง เช่นเดียวกับ In the Flame of Error และทำให้พวกเขาได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เป็นอย่างมาก กลายเป็นงานที่คืนฟอร์มให้กับพวกเขาได้เป็นอย่างดีครับ
หลังจากที่ตามวงนี้มานานกว่า 6 ปี ในที่สุดก็มีโอกาสได้ดูวงนี้เล่นสดซะทีครับ ถึงจะรู้แบบกระทันหันก็ตามที แต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ครับ แต่พอเขียนเสร็จ แล้วมาเช็คอีกรอบ ปรากฎว่ายกเลิกแล้ว เอาเป็นว่า อย่างน้อยก็ได้รู้จักกับวงใหม่แล้วกันนะครับ ถึงจะไม่ได้ดูคอนเสิร์ตก็เถอะ แล้วเดี๋ยวเจอกับ Scissor Sisters สัปดาห์หน้าครับ
No comments:
Post a Comment