ในตอนที่กลับบ้านที่ต่างจังหวัด ผมใช้เวลากลับไปดูรูปเก่าๆที่เคยถ่ายไว้ ทำให้นึกถึงอดีตวันวานของตัวเองขึ้นมา บางที ยังสงสัยว่าทำไมแต่งตัวแบบนั้นไปได้ สมัยนักศึกษา ผมนิยมใส่กางเกงตัวหลวม เสื้อยืดตัวยาวๆ กับเสื้อแจ๊คเก็ตกีฬา พอมานึกอีกที ก็เป็นเพราะอิทธิพลของวงดนตรีที่ฟังในสมัยนั้นอย่างวงนิวเมทัลชื่อดังอย่าง Korn
Korn เกิดขึ้นจากซากของวง LAPD ที่แตกไป สมาชิกวงอย่าง Reginald ‘Fieldy’ Arvizu (ฟิลดี้ เบส) James ‘Munky’ Shaffer (มังกี้ กีตาร์) และ David Silveria (เดวิด กลอง) พยายามสานวงต่อ และได้รับเอา Brian ‘Head’ Welsh (เฮด กีตาร์) กับนักร้องอีกคนเข้ามา แต่พวกเขาก็ไม่พอใจและไล่นักร้องคนนั้นออก ก่อนจะไปเจอกับ Jonathan Davis (โจนาธาน) นักร้องของวง Sexart จึงไปดึงตัวเข้ามาร่วมวง และเมื่อซ้อมเริ่มกัน พวกเขาก็ได้เลือกเชื่อวงว่า Korn จากการตั้งใจสะกดคำว่า Corn ให้ผิดนั่นเอง
พวกเขาได้เจอกับ Ross Robinson ผู้ที่จะกลายเป็นโปรดิวเซอร์ระดับตำนานต่อไป จนได้อัดเดโมอัลบั้ม แต่ก็ไม่ค่อยมีค่ายเพลงสนแนวเพลงลูกผสมของพวกเขา เพราะตอนนั้นทุกคนเห่อแต่เพลงกรันจ์ แต่สุดท้าย พวกเขาก็ได้สัญญากับค่าย Epic ที่ประทับใจผลงานของพวกเขา และพวกเขาก็เริ่มออกลุยทันที
งานชุดแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวงออกวางขายในปี 1994 และความแปลกใหม่ที่เกิดจากการผสมดนตรีหลายแนวเข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็น ทั้งเสียงกีตาร์แบบเฮวี่เมทัล เบสแบบฟังค์ กับจังหวะและการร้องแบบฮิพฮอพ ทำให้พวกเขาเป็นที่สนใจของแฟนดนตรี ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Blind ที่แสนโหดสะใจก็ช่วยให้พวกเขาเปิดตัวได้อย่างงดงามจริงๆ และซิงเกิ้ลถัดมาอย่าง Shoots and Ladders ที่เอาเพลงเด็กมาทำใหม่อย่างโหดก็ได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีเพลงสุดมันอย่าง Ball Tongue และ Lies ที่แหกปากอย่างสุดมัน รวมไปถึง Faget ที่เกี่ยวกับอดีตที่ไม่น่าจดจำนัก Korn กลายเป็นงานที่เปิดตัวพวกเขาได้อย่างงดงามและเป็นการแผ้วถางทางให้กับแนวเพลงที่จะเป็นที่รู้จักในนาม Nu-Metal ต่อไป
หลังจากออกทัวร์กับวงรุ่นพี่ พวกเขาก็กลับมาตั้งใจทำงานเพลง จนกลายเป็น Life is Peachy ในปี 1996 ซึ่งเป็นงานที่หนักไปทางฟังค์มากกว่าชุดแรก ยกตัวอย่างเช่นเพลง Porno Creep หรือ Wicked และ Low Rider ที่เป็นงานคัฟเวอร์ทั้งสองเพลง แต่มันก็ยังมีเพลงหนักๆอย่ากง No Place to Hide ที่ยังหนักหน่วงเช่นเคย รวมไปถึง A.D.I.D.A.S. ที่ชวนร้องตะโกนอย่างสะใจตามว่า All Day I Dream About Sex และงานชุดนี้ก็ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเดิม
ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของเขามาถึงเมื่อออกอัลบั้มที่ 3 ชื่อ Follow the Leader ในปี 1998 ที่พวกเขาทั้งร่วมงานกับนักวาดการ์ตูนระดับเทพอย่าง Todd McFarlane และการใช้อินเตอร์เน็ตอย่างชาญฉลาดในการสื่อสารกับแฟน รวมไปถึงซิงเกิ้ลเปิดตัวที่สุดมันอย่าง Got A Life ทำให้พวกเขาดังเป็นพลุแตก รวมไปถึง Freak on a Leash ที่ได้เข้าชิงรางวัลหลายรายการ และยังมีเพลงมันๆอย่าง Children of the Korn อีกด้วย นอกจากนี้ พวกเขายังประสบความสำเร็จในการจัดทัวร์ที่ชื่อ Family Values ที่มีวงหน้าใหม่ (ในตอนนั้น) อย่าง Limp Bizkit, Incubus และ Orgy อีกด้วย จนพวกเขากลายเป็นวงระดับ Superstar ไปแล้ว
แต่หลังจากความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ก็กลายเป็นความกดดันที่มีต่อพวกเขา พวกเขาออกอัลบั้มที่ 4 Issues ในปี 1999ท ที่ลดอิทธิพลฮิพฮอพออก และหันไปเน้นทางร๊อคมากขึ้น และมันก็ทำยอดขายได้ดีจากเพลงเด่นๆอย่าง Falling Away from Me
ปี 2002 พวกเขาออกงานใหม่ Untouchables ที่เป็นงานที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์มาก แต่ทำยอดขายได้ในระดับไม่เลวนัก ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มกลายเป็นวงที่เริ่มล้าสมัยไป โดยงานที่ออกตามมาอย่าง Take a Look in the Mirror (2003) See You on the Other Side (2005) และ Untitled (2007) ก็เป็นงานธรรมดาๆไป
แต่ในปีนี้ พวกเขากลับมากับอัลบั้มใหม่ Korn III: Remember Who You Are ที่กลายเป็นงานที่ยอดเยี่ยมอย่างที่ขนาดผมเองยังคาดมาถึง พวกเขากลับสู้รากแห่งความโกรธเกรี้ยวของพวกเขาโดยครั้งนี้เพิ่มประสบการณ์ที่ผ่านมาสิบกว่าปีเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นซิงเกิ้ลแรกอย่าง Oildale ที่หนักหน่วงโครมครามไม่ยั้ง หรือเพลงต่อมาอย่าง Pop a Pill ชวนให้แหกปากตามจริงๆ จนเผลอนึกว่าตัวเองยังอายุ 18 หรือ Let The Guilt Go ที่เป็นเพลงที่จะเรียกให้ทุกคนมา Mosh กันได้อย่างเมามันจริงๆ ส่วน Are You Ready Live? ก็เป็นงานทีมืดหม่นสะใจตั้งแต่ริฟฟ์กีตาร์แรกเลย เช่นเดียวกับ Fear Is A Place To Live ที่สะใจไม่แพ้กัน
บอกตรงๆว่า Korn คือวงที่ผมเคยทิ้งไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่งานชุดที่ห้า แต่ว่า อัลบั้มใหม่ชุดนี้กลับเป็นการกลับมาเกิดใหม่ได้อย่างงดงามของพวกเขา ไม่ต่างจากวิหกเพลิงที่พุ่งทะยานจากซากขี้เถ้าของตัวเองเลยครับ
No comments:
Post a Comment