จริงๆ เรื่องนี้ ต้องลงตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แต่ผมสลับเอาเรื่องของคอนเสิร์ตของวง Coheed and Cambria ที่เขียนเสร็จก็ยกเลิกทันที เสียหน้าไปเล็กน้อยครับ เอาเป็นว่า ไปเจอกับวงแต๋วแตกอย่าง Scissor Sisters ที่ควรจะได้อ่านตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วก็แล้วกันครับ
Scissor Sisters เริ่มต้นจากการย้ายจากบ้านเกิดที่เคนตักกี้มาอยู่นิวยอร์กของสองเกย์ Jakes Shears (เจค ร้องนำ) กับ Scott ‘Babydaddy’ Hoffman (เบบี้แดดดี้ เบส และอื่นๆ) ซึ่งพวกเขาประทับใจบรรยากาศที่เปิดเสรีให้แก่ชาวเพศที่สองอย่างพวกเขามากกว่าในบ้านเกิด และเริ่มทำงานเพลงกันก่อนไปเจอ Ana ‘Ana Matronik’ Lynch (แอนา มาโทรนิค ร้องนำ ซินธ์) ที่ดิสนีย์แลนด์ และได้ดึงเธอมาร่วมวงอีกคน และเรียกตัวเองว่า Scissor Sisters โดยหั่นชื่อเดิมก่อนหน้าให้สั้นลง
ต่อมา พวกเขาได้ Derek ‘Del Maquis’ Gruen (เดล มาคี) เพื่อนของคู่ขาเจคมาเป็นมือกีตาร์ และก็ได้ Patrick ‘PaddyBoom’ Seacor (แพดดี้บูม) หนึ่งเดียวในวงที่เป็นชายแท้มาเล่นกลองให้ (เขาต้องอธิบายให้แม่เข้าใจว่า ไม่ได้เป็นเกย์ และไม่ได้เป็นวงเกย์ แต่มีเกย์เป็นสมาชิกวง) และแล้ว Scissor Sisters ก็ครบคนแล้ว
หลังจากได้สัญญากับค่ายเพลงเล็กๆในนิวยอร์ก พวกเขาก็ออกซิงเกิ้ลแรก Elctrobix ที่น่าเสียดายที่มันไม่ดังเท่ากับเพลงแถมของมัน Comfortably Numb ที่คัฟเวอร์เพลงเก่าของ Pink Floyd กลายเป็นเพลงดังประจำคลับและ Pink Floyd ก็ชอบเพลงของพวกเขาด้วย
ต่อมาพวกเขาก็ออกเพลงป๊อปที่มีกลิ่นดิสโกเท่ห์อย่าง Laura ออกมา และกลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตในเกาะอังกฤษที่พวกเขาได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาออกเพลง Comfortably Numb มาเป็นซิงเกิ้ลออีกรอบ ตามมาด้วยเพลง Take Your Mama ที่เกี่ยวกับการพาแม่ไปเที่ยวคลับเกย์ เพื่อสารภาพว่าลูกชายเป็นเกย์นะฮะ ซึ่งมันก็ได้รับความนิยมอย่างมากอีกเช่นกัน
พวกเขาตามความสำเร็จด้วยการออกอัลบั้มเต็ม ชุดแรกที่ชื่อ Scissor Sisters เหมือนวงในช่วงต้นปี 2004 และมันก็ทำยอดขายได้ถล่มทลายเป็นที่อิตไปทั่วเกาะอังกฤษ ถึงขนาดขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่ง และที่อเมริกาบ้านของพวกเขาก็ขึ้นอันดับหนึ่งชาร์ตเพลงเต้นรำเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งอย่างมาก เมื่อเทีบยบกับภาพลักษณ์ของพวกเขาที่เรียกได้ว่า เป็นชนกลุ่มน้อยของสังคมที่หลายคนยังไม่ยอมรับ แต่กลับสามารถทำยอดขายได้เท่าเทียมกับศิลปินประเภทเอาใจสาธารณชนอย่าง James Blunt หรือ Norah Jones ได้อย่างงดงาม
แต่หากฟังดนตรีอย่างเอาจริงเอาจัง ก็คงไม่ต้องสงสัย เพราะว่าดนตรีของพวกเขาเต็มไปด้วยความสดใหม่ ก๋ากั๋น และฉูดฉาด หวือหวา อย่างเร้าใจ นอกจากจากซิงเกิ้ลต่างๆที่ว่ามาแล้ว เพลงอย่าง Lovers in the Backseat หรือ Tits on the Radio ก็เยี่ยมและติดหูไม่แพ้กัน ไม่แปลกอะไรที่พวกเขาจะกลายเป็นวงขวัญใจในเทศกาลดนตรีในหน้าร้อน นอกจาก การแสดงสดที่เต็มไปด้วยสีสันแล้ว พวกเขายังมีเพลงเด็ดอย่าง Filthy/Gorgeous ที่ทำให้เป็นเพลงชาติของพวกสุขนิยมอีกด้วย
หลังจากปรสบความสำเร็จ พวกเขาก็ได้โอกาสเข้ารับคำชี้แนะจากปรมจารย์แต๋วอย่าง Elton John และมันกลายมาเป็นอิทธิพลต่องานชุดใหม่ Ta-Dah ที่จะออกวางขายในปี 2006 นั่นเอง
พวกเขาออกซิงเกิ้ล I Don’t Feel Like Dancin ที่เป็นเพลงกีตาร์ป๊อปผสมดิสโกที่ติดหูเป็นอย่างมาก และจะสัมผัสได้ถึงอิทธิพลของเอลตัน จอห์นที่มีต่อตัวเพลงอีกด้วย และเมื่ออัลบั้ม Ta-Dah ออกมา มันก็ทำยอดขายได้เป้นอย่างดี รวมไปถึงคำชมในแง่บวกจากนักวิจารณ์อีกด้วย โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่ามันเป็นอัลบั้มที่ดี เต็มไปด้วยเพลงเด่นหลายเพลงอย่าง Land of a Thousand Words หรือ Kiss You Off เพียงแต่น่าเสียดายที่มันขาดความก๋ากั๋น น่าตื่นเต้นแบบที่เคยมีอยู่เต็มในอัลบั้มแรก
ระหว่างที่พวกเขาเริ่มทำผลงานชิ้นที่ 3 มาได้ปีกว่า Jake คิดว่า เขาไม่ชอบผลงานที่ออกมา จึงขยำงานทั้งหมดทิ้ง และออกเดินทางไปเบอร์ลิน เพื่อหาแรงบันดาลใจใหม่ และได้ Stuart Price โปรดิวเซอร์มือทองมาโปรดิวซ์ให้ และผลลัพท์ที่ออกมาคืองาน Night Work ที่ออกวางขายในปีนี้ ซึ่งนำโดย Fire with Fire เป็นซิงเกิ้ลแรก และมันคืองานเพลงเต้นรำที่เต็มไปด้วยความสดใหม่ ไล่เรียงทำนองเป็นอย่างดี และชวนให้แหกปากตาม และด้วยเสียงร้องของ Jake ทำให้ผมนึกไปถึงวง Ultravox ขึ้นมาโดยทันที
และเมื่อได้ฟังทั้งอัลบั้ม Night Work คืองานที่เรียกได้ว่าเป็นก้าวย่างใหม่ทางดนตรีของพวกเขาจริงๆ เพราะพวกเขาลดความเป็นเพลงป๊อป และหันไปหาดนตรีเต้นรำแบบแทบจะเต็มตัวเลยทีเดียว ว่าที่ซิงเกิ้ลต่อไปอย่าง Any Which Way ก็เต็มไปด้วยลูกเล่นที่คอยตอดเล็กตอดน้อยอยู่ตลอดทั้งเพลง เพลง Invisible Light ก็ควรประดับอยู่ในทุกคลับอย่างงดงาม น่าจะเป็นอิทธิพลของ Stuart Price ที่นำทางให้นักดนตรีที่มีความสามารถได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้ และมันก็เป็นจุดเปลี่ยนในอาชีพของพวกเขาที่น่าสนใจมากๆเลยครับ
ในโลกที่ผู้คนต่างกลัวที่จะแปลก แต่ Scissor Sisters ไม่สนใจกลัวว่าสังคมจะว่าอย่างไร พวกเขาทำในสิ่งที่เขารักอย่างสุดหัวใจ และผลของมันก็กลายมาเป็นดนตรีชั้นเลิศให้เราได้สัมผัสกัน
No comments:
Post a Comment