Monday, March 30, 2009

The Gaslight Anthem: ความตาย บทเพลง และน้ำตา

Technorati Tags: ,

ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนถึงเพลง Teenage Kicks ที่ทำให้ผมน้ำตาซึมเพราะว่าความหลังที่ถูกรื้อฟื้นมาด้วยเพลงนี้มาแล้ว และครั้งนี้ผมคงต้องขอเขียนถึงเพลงอีกเพลงที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างเดียวกัน นั่นคือดึงเอาประสบการณ์ในอดีตของเราออกมาด้วยความซื่อตรง และจริงใจของมัน

 

ตั้งแต่เริ่มเข้าวัยผู้ใหญ่ สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าแย่ยิ่งกว่าการที่อายุมากขึ้นเรื่อยๆคือ การที่ต้องเห็นคนรอบตัวจากไปอย่างไม่มีวันกลับเรื่อยๆ ผมคิดว่าความเศร้านี้คือทัณฑ์ที่มนุษย์ต้องแบกรับต่อไปเพื่อแลกกับการมีชีวิตอยู่ต่อ และตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยมา คนรู้จักรอบตัวผมหลายคนก็ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ และในจำนวนนั้นก็มีเพื่อนสมัยเรียนอีกด้วย

 

คนหนึ่งตายไปเมื่อหลายปีก่อนด้วยสาเหตุที่ผมไม่อยากกล่าวถึง อีกคนเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี่เอง จริงๆแล้ว ตอนที่เรารู้ข่าว มันจะยังชา และยังไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่พอมามองย้อนไป บางทีน้ำตามันก็ซึมมาโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อไม่นานมานี้ พอผมได้ฟังและแกะเนื้อเพลงที่ชื่อ The ’59 Sound ของ The Gaslight Anthem น้ำตาของผมก็ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อฟังเพลงนี้

 

GA BW

 

The Gaslight Anthem คือวงดนตรีหน้าใหม่สี่ชิ้นจาก New Jersey อเมริกา นำโดยหัวหอกของวงอย่าง Brian Fallon (ร้องนำ กีตาร์) พวกเขารวมตัวกันในปี 2005 และเริ่มทำเพลงโดยได้รับอิทธิพลจากศิลปินรุ่นพี่ (พ่อ) จากเมืองเดียวกันอย่าง Bruce Springsteen ในแง่ของการทำเพลงชวนตะโกนแหกปากร้องตาม และผสมเข้ากับดนตรี Hardcore Punk ที่ได้รับอิทธิพลมาจาก Jawbreaker จนไปถึง The Ramones, The Cure และ The Clash จนกลายมาเป็นซาวนด์เฉพาะตัวของพวกเขา

 

GA LIVE

 

ปี 2007 พวกเขาออกอัลบั้มแรกที่ชื่อ Sink or Swim ที่สร้างชื่อเสียงในแวดวง  เพลงร๊อคได้เป็นอย่างดี จนได้ไปร่วมทัวร์กับวงดังๆอย่าง Against Me! และ Rise Against และเมื่อพวกเขาออก EP คั่นเวลา พวกเขาก็ดังข้ามฟากไปฝั่งอังกฤษ โดยนิตยสารอย่าง Kerrang ถึงกับเอาพวกเขาขึ้นปกทันทีโดยไม่เคยเขียนถึงมาก่อนด้วยซ้ำ

 

ปี 2008 พวกเขาออกอัลบั้มที่ 2 ชื่อ ’59 Sound ซึ่งเต็มไปด้วยเพลงพังค์ร๊อคเด่นๆหลายเพลงอย่าง High Lonesome, The Patient Ferris Wheel หรือ Miles Davis & The Cool แต่เพลงเด่นที่สุดของอัลบั้มชุดที่สองคือ The ’59 Sound ตามชื่ออัลบั้ม มันคือเพลงที่ยอดเยี่ยมอีกเพลงหนึ่งของปีที่แล้ว มันคือเพลงที่ Brian แต่งขึ้นมาเพื่อเพื่อนของเขาที่เสียชีวิตในอุบัติเหตุ และในทุกๆคำที่เขาร้องออกมา คุณจะสัมผัสถึงความจริงใจ และความเศร้าของเขาที่มันแน่นจนต้องระบายออกมาเป็นเพลง มันไม่ใช่เพลงเศร้าๆ โง่ๆแบบที่นักร้องเพลงป๊อปสวะๆชอบสักแต่ผลิตออกมาโดยไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง แต่มันคือบทเพลงที่ทำให้เรารู้สึกว่า Brian เอามีดกรีดไปที่กลางหัวใจของเขาเพื่อเอาเลือดมาเป็นหมึกเขียนเพลง ผมคงต้องขอหยิบเนื้อเพลงบางส่วนออกมาเพื่อให้คุณได้สัมผัสมันเช่นกัน

 

 

And I wonder were you scared when the metal hit the glass.
See I was playing a show down the road when your spirit left your body.
And they told me on the front lawn, I'm sorry I couldn't go.
But I still know the song and the words and the name and the reasons.
And I know cause we were kids and we used to hang.

 

ชั้นสงสัยว่านายกลัวหรือเปล่า ตอนที่เหล็กมันทะลุกระจกเข้ามา

ชั้นเล่นสดอยู่ในเมืองตอนที่วิญญาณนายจากร่างไป

แล้วค่อยมารู้ข่าวทีหลัง ขอโทษด้วยที่ไปงานไม่ได้

แต่ชั้นยังคงจำเพลง เนื้อร้อง ชื่อ และเหตุผลได้

และชั้นรู้เพราะเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก

 

แค่นี้ก็ทำให้เรารู้แล้วว่ามันคือเพลงที่ถูกเขียนออกมาจากใจขนาดไหน ถ้าเท่านี้มันยังไม่พอ ลองไปดูท่อนคอรัสของเพลงนี้สิครับ

 

To hear the '59 sound coming through my Grandfather's radio.
Did you hear the rattling chains in the hospital walls?
Did you hear the old gospel choir when they came to carry you over?
Did you hear your favorite song one last time?
Young boys........young girls.
Ain't supposed to die on a saturday nights.

 

ฟังเพลงจากปี 59 ด้วยวิทยุของคุณปู่

นายได้ยินเสียงโซ่ในโรงพยาบาลมั้ย

แล้วนายได้ยินเพลงสวดตอนที่เขามาหามร่างนายมั้ย

นายได้ฟังเพลงโปรดของนายเป็นครั้งสุดท้ายมั้ย

หนุ่มสาวเอ๋ย

ไม่ควรมาตายในคือวันเสาร์เลย

*ปี1959 คือปีที่ศิลปินดังอย่าง Buddy Holly และ Ritchie Valens ตายในอุบัติเหตุพร้อมกัน

 GA LIVE BW

เท่านี้คงจะเข้าใจแล้วว่าเพลงนี้มันเศร้าแค่ไหน ผมเองไม่ใช่คนเสพติดความเศร้า แต่ที่ผมชอบฟังเพลงนี้และปล่อยให้น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตาเสมอก็เพราะว่า นอกจากมันจะเป็นเพลงที่เศร้า และชวนให้รำลึกถึงอดีตทุกครั้ง มันยังเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ และเป็นเพลงที่ทุกๆคนควรจะได้ฟังอย่างน้อยก็ซักครั้งหนึ่ง เพราะในโลกแห่งอุตสาหกรรมดนตรี การจะหาเพลงซักเพลงที่สื่อสารออกมาอย่างจริงใจกับคุณขนาดนี้มันไม่ง่ายหรอกครับ

No comments: