Wednesday, March 11, 2009

The French Experience

ขณะที่กำลังเขียนต้นฉบับนี้อยู่ ผมกำลังพยายามปรับตัวกับอาการ Jet Lag (เจ็ทแล๊ก ไม่ใช่ แหยกเล็ด) จากการเดินทางกลับจากการไปท่องทวีปยุโรปเป็นครั้งแรก และตามวิสัยแล้ว ก็ต้องเอาประสบการณ์มาเผื่อแผ่ให้ท่านผู้อ่านที่รักได้ตามอ่านกัน โดยที่ผมคงจะต้องขอแซมที่เรื่องดนตรีหน่อย ไม่งั้นจะโดนหาว่านอกเรื่องเกินไป (นานๆขอที)

 

ทัวร์ที่ผมไปคือทัวร์สมนาคุณที่ทางบริษัทบัตรเครดิต KTC ตอบแทนให้กับทางธนาคารกรุงไทย ที่ป๊ะป๋าผมเคยทำงานอยู่ เลยขออาศัยบุญไปเปิดซิงยุโรปเป็นครั้งแรกด้วย หลังจากเดินทางด้วยสารบินQatar Air เป็นเวลารวม 16 ชั่วโมง ทันทีที่เท้าผมเหยียบสนามบินนานาชาติซูริค ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ก็ต้องประทะกับความหนาวของช่วงปลายฤดูหนาวของยุโรปทันที แต่ไม่มีปัญหาอะไรกับคนที่ทนหนาวมาก่อนอย่างผม ระหว่างทางไปชะโงกที่โน่นที่นี่ คุณบ๊อบ พลขับของเราก็เปิดวิทยุคลอไปพลาง ท่าทางแกจะชอบเพลงเก่าสมวัย ผมเลยได้ฟังเพลงฮิตเก่าๆคลอไปเรื่อยๆ ครึ่งวันแรกเราแวะน้ำตกไรน์ และกรุงเบิร์นเล็กกระจิ๋วหลิวจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นเมืองหลวง ผมโดนเด็กแถวนั้นตะโกนทักด้วยภาษาญี่ปุ่น จนต้องบอกไปว่า ตูมาจากไทยโว้ย ด้วยภาษาเยอรมันกระท่อนกระแท่นไป แต่ก็สนุกดีครับ ตอนนี้ก็ยังไม่หนาวหรอกครับ แต่พอไปที่ Interlagen ที่เราจะพักเพื่อเตรียมไปที่ Jungfrau ก็ได้เจอกับทุ่งหิมะขาวโพลนอันสวยงาม และหนาวโคตรๆครับ พอได้ซัดมื้อเย็นเป็นฟองดูว์แสนอร่อย ก็เข้านอนในโรงแรมสุดคลาสสิก ผมนึกกลับไปว่า วันนี้ทั้งวัน เจอคนสวิสพูดทั้งเยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว เล่นเอาอิจฉาจริงๆที่รากฐานการศึกษาของเขานั้นดีจริงๆ นี่แหละครับ รัฐสวัสดิการ ที่ภาษีแพงๆได้กลับคืนสู่ประชาชนด้วยการศึกษาและสวัสดิการทางสังคมที่ดี ไม่ใช่ให้ข้าราชการไปดูงานเปลืองๆ

 

วันต่อมาได้ไปขึ้นเขา Jungfrau ที่เป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในโลก หนาวไม่ต้องคิดเลยครับ เจอแต่หิมะ ตกเย็นไปที่ลูเซิร์น และค้างในโรงแรมหรูอีกแล้ว ก่อนที่จะช๊อปปิ้งบ้างในวันต่อมา (ไม่มีเงินครับ) และมุ่งสู่ Dijon ในฝรั่งเศส

 

จะเห็นได้ว่า ผมแทบไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับดนตรีในช่วงที่อยู่ที่สวิสเลย เพราะบ้านนี้เมืองนี้มันมีเรื่องพวกนี้น้อยจริงๆครัล ไม่เห็นคลับ ไม่เห็นโปสเตอร์ เจอแค่โปสเตอร์วง Uriah Heep แผ่นเดียวเท่านั้น กับร้านซีดีที่ขายเพลงเมทัลเก่าๆ นึกอีกที วงดนตรีจากประเทศนี้ก็ไม่ค่อยมี สงสัยรับของเยอรมันกับฝรั่งเศสมาหมดUriah Heep Joe Cocker

 

หลังจากค้างที่ Dijon หนึ่งคืน วันต่อมาก็ได้นั่ง TGV รถไฟที่เร็วสุดของยุโรปเข้าสู่ตัวปารีส ผมก็ได้สัมผัสถึงดนตรีรอบๆตัวผมอย่างเต็มที่เลยครับ แค่ลงจากสถานี ก็เจอกลุ่มวัยรุ่นถือธง AC/DC พอคุยด้วยหน่อยก็พอจับใจความได้ว่าไปดูสดที่อดีตคุกบาสติลล์มา แค่ก้าวแรกก็ท่าทางจะสนุกแล้วครับ

 AC/DC Live

ทางทัวร์ก็พานั่งรถวนไปทั่วเมือง และนั่นเองที่ทำให้ผมต้องปากค้าง คนที่ใช้ชีวิตในญี่ปุ่นมาพอตัวอย่างผม รู้ว่าเมืองนอกมันเจริญกว่าบ้านเรา แต่ปารีสนี่ต่างออกไปเลยครับ มันคือการผสานกันระหว่างศิลปะในอดีตกับเทคโนโลยีแสนก้าวหน้าได้อย่างลงตัว ตึกรามบ้านช่องต่างๆก็ล้วนแต่รักษาของเก่าไว้ได้อย่างดีไม่น่าเชื่อครับ เรียกได้ว่า เมืองทั้งเมืองเหมือนเป็นงานศิลปะชั้นดีเลยจริงๆ นี่แหละครับ การรักษาตึกรามบ้านช่อง และชุมชนเก่าแก่ที่แท้จริง ไม่เหมือนบางประเทศที่พยายามไล่ชุมชน ทำสวนสาธารณะ แต่ไม่ยอมลดคอนโดอุบาทว์ริมน้ำบ้าง ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมศิลปินดังๆในโลกถึงอาศัยในเมืองนี้เยอะจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านทัศนศิลป์หรือด้านดนตรี เมืองๆนี้ให้กำเนิดศิลปินอย่าง Serge Gainsbourg, Stereolab หรือวงแดนซ์ระดับตำนานอย่าง Daft Punk และรุ่นน้องที่ตามพวกเขามาทีหลัง

 

และแค่เวลาผ่านไปไม่นาน ตอนที่หัวหน้าทัวร์พาไปถ่ายรูปมุมไกลของหอไอเฟล ก็ได้เจอกับอิทธิพลของดนตรีกับผู้คนจริงๆครับ เพราะว่าในตอนนั้นกำลังมีการประท้วงอะไรบางอย่างของชนชายขอบที่ผมไม่เข้าใจภาษาที่เค้าใช้กัน แต่ว่าดนตรีที่พวกเขาใช้เปิดประกอบนั้น สามารถสัมผัสถึงความร้อนแรง และเข้มข้นได้ เพราะมันคือฮิปฮอปแบบต้นตำรับที่กล่าวถึงความไม่เท่าเทียมกันของเชื้อชาติ และยังมีเพลงชวนสลดอย่าง No Surprises ของ Radiohead แซมมาด้วย นี่แหละถึงจะเป็นการประท้วงที่ อาหาร (แถวนั้น) อร่อย และดนตรีไพเราะจริงๆ มีบุญได้เห็นของจริง

Queen Club

คืนนั้นผมทะลึ่ง ออกมาเดินย่านชอง เอลิเซย์คนเดียว เพราะไหนๆก็มาแล้ว ก็อยากเห็นให้เยอะหน่อย และดีมากที่ย่านนี้มันจอแจทั้งคืนจริงๆครับ และที่แรกๆที่เลือกเดินคือ ร้าน Virgin Megastore ที่เต็มไปด้วยสื่อทุกประเภทจริงๆครับ ร้านโอ่อ่า โล่ง และเดินสบายกว่า HMV หรือ Towers จริงๆคับ แต่อาจจะเป็นเฉพาะสาขานี้ก็ได้ เพราะใช้ตึกเก่าเป็นร้าน น่าเสียดายที่ผมเจอคลับที่มีดีเจชื่อดังอย่าง Dimitri from Paris มาเปิดแผ่นด้วย แต่เนื่องจากมากับทัวร์ ทำให้ไม่สามารถเกรียนได้มากกว่านี้แล้ว เลยต้องกลับโรงแรมอย่างซึมเศร้าเล็กน้อยครับ

 

ถึงจะเป็นทริปสั้นๆ แต่ก็เป็นทริปที่ทำให้ผมได้เข้าใจอะไรต่อมิอะไรอีกมาเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่มาของความยอดเยี่ยม อลังการ และลึกลับของดนตรีจากแดนน้ำหอม ถ้ามีโอกาส คงต้องไปหาประสบการณ์ให้มากกว่า

2 comments:

padam said...

แนะนำศิลปินชาวสวิสที่คนสวิสเขาว่าระดับโลก
Dj Bobo ลองไปหามาฟังมาดูครับ รับประกันอย่างฮา

(ตามอ่านจากในไทยโพสต์มาครับ ชอบคอลัมน์ของคุณมากครับ)

Unknown said...

ขอบคุณครับ
แหม่ อุตส่าห์ตามมาเป็นกำลังใจให้ (น้ำตาแทบไหล)
จะพยายามพัฒนางานเขียนให้ดีขึ้นครับ
สู้ๆ